Holistic Wellness
Holistic Wellness สุขภาพดี ใจ สร้างได้ ความล้มเหลว 5 ประการของแพทย์แผนปัจจุบัน 1. การวินิจฉัยโรค 2. การรักษาโดยละเลยปัจจัยทางด้านอารมณ์ความรู้สึก 3. แพทย์หาเหตุผลการป่วยแบบสรุปรวมไม่ได้ 4. การให้คำแนะนำที่ขาดความเมตตาและจริงใจ 5. ขาดความรู้และความระมัดระวังในการรักษาโรค
o หัวใจของการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพคือ หาสาเหตุและปรับเปลี่ยนแก้ไขพลังชี่ดั้งเดิมในร่างกายให้กลับคืนสู่ความถูกต้องสมดุล o ต่างเวลา ต่างคน ต่างสถานที่ ต่างยารักษา
สุขภาพแบบองค์รวม o ตะวันตก = เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย > เซลล์ > อวัยวะ > ความเจ็บป่วยทางร่างกาย o ตะวันออก = ความผิดปกติจากภายใน > สมดุลแปรปรวน > อวัยวะภายใน > เจ็บป่วยทางกาย 7 ปัจจัยที่ช่วยให้หายจากโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ 1. ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง 2. รับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยด้วยตัวเอง 3. อาหารที่เหมาะสม 4. ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะหาย 5. ความเชื่อที่ถูกต้อง 6. ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง 7. มีจุดหมายในการมีชีวิต ต้นตอและความหมายของโรคภัย o ความหมายของโรค , อาการป่วย , คนป่วย ในสถานที่ต่างกัน ความหมายก็ต่างกันไปด้วย o สิ่งที่ตรวจได้ชัดเจน เช่น ความดันโลหิต ยังมีความหมายหรือเกณฑ์พิจารณาต่างกัน o จีน > เชื่อว่า ร่างกายมนุษย์คือจักรวาลที่ย่อส่วนลงมา ประกอบด้วยอวัยวะภายในน้อยใหญ่ 365 อย่าง มีเส้นลมปราณ 12 เส้น มีหลอดเลือดใหญ่ 4 เส้น o อวัยวะภายในเป็นบ่อเกิดของ พลัง ที่เชื่อมโยงกับกระแสพลังจากอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย อันก่อให้เกิดสมดุลของพลังชีวิต o หากมีพลังหนึ่งใดมากน้อยเกินไป จะเกิดความผิดปกติของการไหลของพลัง > ป่วย o โยคะ ซี่กง ฝังเข็ม นั่งสมาธิ ล้วนมุ่งที่จะปรับสมดุลของพลังนี้ให้สอดคล้องกับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าอันเป็นพลังที่แทรกซึมผ่านอยู่ในอณูของสรรพสิ่ง o ฉันจ่ายเงินค่าหมอ แต่ไม่ได้จำเป็นต้องเชื่อคำวินิจฉัยของเขาหรอกนะ
มุมมองของร่างกายกับจิตใจ o การแพทย์ตะวันออกให้ความสำคัญกับการมองในแง่ พลังงาน มากกว่า สสาร o แม้จะเริ่มด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่ที่ตามมาคือสิ่งที่เป็นรูปธรรม คือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ตรวจวัดได้ o สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะขัดกับธรรมชาติ เพียงแต่ขัดกับสิ่งที่พวกเรารู้เห็นกันว่าเป็นธรรมชาติ o สิ่งที่หมอพูดกับคนไข้สำคัญกว่ายาที่จ่ายให้
การเยียวยาคือการสื่อสาร o ความป่วยเป็นวิถีที่ระบบอวัยวะปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นเราแค่ปล่อยให้กระบวนการป่วยสุกงอมเต็มที่ เพื่อที่ว่ามันจะได้เยียวยาตัวเองได้สำเร็จ o ความป่วยเป็นสิ่งที่ร่างกายสื่อสารออกมาให้เราได้รู้ว่าภายในผิดปกติ o การเยียวยาคือการสื่อสารย้อนกลับไปยังอวัยวะให้ซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น o การสื่อสาร หมายรวมถึงการพูด การแสดงออก และทุกๆอย่าง o ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่สมการที่ว่า ร่างกาย + จิตใจ = ชีวิตคน
o การป่วยมีสาเหตุได้ 3 ประการ 1. ปัจจัยภายนอก ดิน ฟ้า อากาศ 2. ปัจจัยภายใน จิตใจ อารมณ์ 3. อื่นๆ นิสัย กิจกรรม สิ่งแวดล้อม มิตรสหาย การทำงาน อาหาร o การฝังเข็ม คือ การไปกระตุ้นหรือปรับสมดุลของการไหลเวียนของพลังในร่างกาย ตามจุดสะสมพลังงานจุดต่างๆ จนรักษาอาการเจ็บป่วยได้
o จิตใจสามารถควบคุมเซลล์ได้ อาจจะเซลล์เดียว ในบรรดา 60 ล้านเซลล์ การกระตุ้นเซลล์เพียงเซลล์เดียวก็ส่งผลกระทบในระดับกว้างต่อการทำงานทั้งร่างกายได้ (กดจุด ฝังเข็ม) o จิตสำนึกเราไม่มีวันรับรู้ได้ว่า เซลล์เดียวนี้อยู่ตรงไหนของร่างกาย
เรียนรู้ความเจ็บปวด พลัง ที่เปลี่ยนทาง o ความเจ็บปวดเป็นกระบวนการเรียนรู้และให้ความหมาย ความเจ็บปวดของแต่ละคน แต่ละพื้นที่จึงมีนิยามต่างกันไป o ธรรมชาติให้วิธีรับมือกับความเจ็บปวดแก่เรา o ความเจ็บปวดเป็นสัญญาณให้เกิดการเปลี่ยนแปลง o ชี่ (พลัง) ที่อยู่ในร่างกาย เมื่อเกิดสะดุด > ป่วย แสดงอาการต่างๆ ออกมา o การรักษาแบบตะวันออกจึงต้องคำนึงถึงตำแหน่งการเคลื่อนของชี่ และเวลาด้วย o การรักษาการป่วย คือ การรักษาสมดุลของชี่
วิธีคิดแบบสะท้อนรับของจีน o Butterfly effect คือตัวอย่างการสะท้อนรับซึ่งกันและกัน o สิ่งที่ไม่เห็นว่ามันมี แต่มันมี o มีบางสิ่งเกิดขึ้นตามมาหลังจากอีกสิ่งหนึ่งเสมอ (อย่างหลังจึงเกิดขึ้นเพราะอย่างแรก) o การสูบบุหรี่ไม่ใช่เป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็ง ทว่าอาการมะเร็งเป็นผลสะท้อนรับของบุคลิกภาพของบุคคลที่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็ง o ทุกสรรพสิ่งปฏิเศษสิ่งที่แตกต่าง (จากตัวเอง) และจะติดตามสิ่งที่คล้ายกัน o เรียกว่า ปรากฏการณ์ที่ มันเป็นเช่นนั้นเอง o ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น มักขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถใช้สอยสิ่งที่ ไม่มีอยู่ของสิ่งนั้นได้หรือไม่ (บ้าน ใช้พื้นที่ว่าง , แจกัน ใช้ช่องว่าง) o การรักษาหูที่ไต , ลดอาการโกรธที่ตับ คือตัวอย่างการใช้วิธีคิดแบบสะท้อนรับ o ความสัมพันธ์แบบสะท้อนรับตามหลักห้าธาตุ ฤดูใบไม้ผลิ ไม้ ตับ , ถุงน้ำดี โกรธ ฤดูร้อน ไฟ หัวใจ , ลำไส้เล็ก ดีใจ ปลายฤดูร้อน ดิน ความชื้น , ม้าม , กระเพาะ กังวล ฤดูใบไม้ร่วง ทอง ความแห้ง , ปอด , ลำไส้ใหญ่ เศร้า ฤดูหนาว น้ำ ความเย็น , ไต , กระเพาะปัสสาวะ กลัว
สมดุลที่ขัดกับหลักเหตุผล o เราจะไม่เจ็บปวดมาก ถ้าไม่เคยรู้สึกสบายมาก่อน o โรคเรื้อรังคือการเสียสมดุลไป จนมีการปรับตัวที่ผิดวิธีจนสมดุลเสียไปอย่างถาวร o คนที่หลบเลี่ยงปัญหาเก่ง ยิ่งเกิดวงจรเลวร้ายได้มากขึ้น o หยางเกิน ต้องลดหยาง ไม่ใช่ไปเพิ่มหยิน
เหนือกว่าชีวเคมี o วัตถุทุกชนิดในจักรวาลนี้ ทั้งที่มีและไม่มีชีวิตจิตใจ สามารถแสดงตัวออกมาได้ใน 2 ลักษณะ คือ แง่ที่เป็นสสาร และแง่ที่เป็นพลังงาน o วิทยาศาสตร์มองร่างกาย ระบบประสาท กระแสประสาท เซลล์ เป็นระบบสารเคมี o แล้วทำไมยาเดียวกันรักษาได้ผลต่างกันในบุคคลต่างกัน เวลาต่างกัน สถานที่ต่างกัน o ตะวันตก คนไข้ = รถ , หมอ = ช่างซ่อมรถ , โรงพยาบาล = อู่ซ่อมรถ o ตะวันออก คนไข้ = สิ่งมีชีวิตที่มีพลังในตัวเอง o อาการป่วยเป็นผลมาจากความผิดปกติของร่างกายและจิตใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไข้มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ขัดกับหลักธรรมชาติ จนชี่ไหลเวียนผิดปกติ สะดุดติดขัด จนไม่สามารถเยียวยาตนเองได้ตามปกติ
กาย จิต สัมพันธ์ o อาการป่วยนอกจากจิตสำนึกแล้วอาจเกิดจากจิตใต้สำนึก ที่คนป่วยก็อาจไม่รู้ตัวด้วย o ไม่ว่าคนไข้จะแสดงอาการป่วยออกมาอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้ปัจจัยทางจิตใจ และอารมณ์คลายตัวลงจนหายป่วยได้ o การรักษาใจ > สมาธิ > ส่งผลถึงร่างกาย o การรักษาร่างกาย > ไทเก็ก > ส่งผลถึงจิตใจ
จุดแห่งพลังชีวิต o ตะวันออกเชื่อว่า มีจุดเชื่อมระหว่าง ร่างกายและจิตใจ สุขภาพดีและป่วย o จุดเชื่อม = พลัง = ชี่ , ปราณ = พลังชีวิต o ให้ความสำคัญไปถึงภาวะที่แม้ไม่เจ็บป่วย แต่รู้สึกไม่ค่อยปกติ o เราไม่ได้หายใจเอาเพียงอากาศเข้าไปเท่านั้น แต่ยังสูดเอาพลังงาน จากภายนอกเข้าไปด้วย o จุดเชื่อมต่อพลัง ณ ตำแหน่งต่างๆบนร่างกายที่ว่านั้นคือ จุดฝังเข็ม
วิญญาณในใจ o ไม่เคยเห็น จึงไม่เชื่อ o บางคนเอาจเคยเห็นและเชื่อแล้ว แต่สิ่งนั้นอาจไม่มีอยู่จริง o ความเชื่อ เป็นความรู้สึกนึกคิดเฉพาะตัว จะจริงหรือไม่จริง ก็แต่เฉพาะกับคนนั้นเท่านั้น อาจไม่จริงสำหรับคนอื่นก็ได้ o ต้องแยกระหว่างสิ่งที่เป็นจริง กับสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นจริง o วิญญาณ = ความรับรู้ = ประสาทสัมผัส o ความฝันนั้นเกิดจากความปรารถนาโดยไม่ใช่เหตุผล เกิดจากใจไม่ใช่ความคิด o ประสาทสัมผัสที่หก = ตัวรับคลื่น (ความรู้สึก + จิตใต้สำนึก)
ความคิด อัจฉริยะ หรือปิศาจ? o กิจกรรมหลายอย่างในชีวิตประจำวัน ทำโดยจิตใต้สำนึก o ความสามารถพิเศษที่ทำได้โดยจิตใต้สำนึกที่ควบคุมไม่ได้ อาจถูกเรียกว่า พรสวรรค์ o เราแทบไม่สามารถแยกได้ว่า ความคิดที่เกิดขึ้นในจิตใจเป็นความจริงที่เราคิดขึ้น หรือเป็นแค่เพียงการแสดงของจิตใต้สำนึก o จิตสำนึกที่ไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่จิตใต้สำนึกรู้ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งกันเองได้
ภาษาของความคิด o วิธีคิด หรือ ภาษาทางใจ ทำให้ความเข้าใจของคนเราแตกต่างกัน แม้จะพูดเรื่องเดียวกัน o ภาษา เป็นเพียงการเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่การเรียนรู้เป็นไปเองตามธรรมชาติ o ภาษาที่ใช้สื่อความหมาย ยังก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก ทางจิตใจที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนด้วย o จิตใจของเราจะมีภาษาของตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษาที่ใช้กันในโลกที่เป็นจริงภายนอกเลย o จิตสำนึกของเราตามปกติเหมือนน้ำใส แต่เมื่อมีความคิดปรุงแต่ง(จากจิตใต้สำนึก) โดยไม่รู้ตัว ก็เหมือนถูกน้ำสีสันต่างๆ ผสมไปทีละน้อย o จิตใต้สำนึกมีภาษาเป็นของตนเองซึ่งอาจขัดแย้งกับจิตสำนึกได้
เรื่องเล่า ภาษาของจิตใต้สำนึก o การฟัง/อ่านเรื่องเล่า ทำให้เราสามารถค้นพบคำตอบของตนเองได้ o จุดประสงค์ของเรื่องเล่า นิทาน ไม่ได้เป็นข้อมูลสำหรับคนภายนอกเท่านั้น แต่เพื่อปลุกเร้ากระบวนการ ทางจิตที่เกิดขึ้นในตัวเราด้วย o เรื่องเล่าที่ดีต้องสื่อสารเข้าไปในระดับจิตใต้สำนึกได้ด้วย
โรคการแสดง o การเสแสร้งแกล้งทำ การแสดง ทำให้เราต้องสูญเสียความเรียบง่ายที่มีอยู่ตามธรรมชาติ o เมื่อเรารู้อะไรมากเท่าไหร่ ก็จะกลายเป็นว่ารู้อะไร แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร เช่น รู้ว่าขับรถแต่ไม่รู้ว่าขับอย่างไร เพราะเป็นความรับรู้ของจิตใต้สำนึกไป o เรายังเสแสร้งแกล้งแสดงแม้กับตัวเราเอง o ปัญหาคือเราแยกไม่ออกระหว่าง ความจริง vs การแสดง
ปัญหา : การออกกำลังใจ o ปัญหาหลายอย่าง สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่การจัดการกับปัญหาภายนอก แต่กลับเป็นเรื่องที่เราต้องหันมาจัดการภายในตัวเราเองมากกว่า (การทำใจ) o การทำใจ = การปรับสภาพจิตใจให้มีความสงบมั่งคงพอที่จะมองหาทางแก้ไขปัญหา o หลายครั้ง วิธีแก้ปัญหานั่นเองที่มักเป็นตัวการสร้างปัญหาให้เกิดแก่เรา o ปัญหาที่เราพบเปรียบเป็นการออกกำลังใจ ฝึกบ่อยๆปัญหาเยอะ เกิดความชำนาญ o ปัญหาที่ดูเหมือนไม่มีทางแก้ จริงๆเป็นเพราะเราขาดความชำนาญในการรับมือกับปัญหา และการรับมือกับตัวเอง o ความหวัง + กำลังใจ = สิ่งสำคัญที่สุดต่อการแก้ปัญหาในทุกรูปแบบ o เราไม่อาจมั่นใจว่าเสียงกระซิบเตือนจากภายใน เชื่อได้หรือไม่ เราต้องทำจิตใจให้สงบก่อน o ปัญหาที่เราต้องพบเจอนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองปัญหานั้นอย่างไร o เรื่องผิดพลาดก็เป็นแค่โอกาสที่จะทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป
เหนือกว่าสมองสองซีก o เราอาจไม่สามารถใช้ตรรกะหรือเหตุผลใดเข้าช่วย เพื่อให้ได้ผลการรับรู้ที่ต้องการ แต่เราก็ยังหาคำตอบออกมาได้โดยใช้จินตนาการ o ขณะนอน , สะกดจิต สมองซีกขวาจะทำงานมากกว่า o จิตใจของคนเรามีความสามารถเกินกว่าขอบเขตของการรับรู้ทางสมองที่มีอยู่เฉพาะร่างกายเรา วิกลจริต VS รู้แจ้ง o จากสมมติฐานที่ว่า สมองซีกซ้าย = จิตสำนึก , สมองซีกขวา = จิตใต้สำนึก o ความขัดแย้งของสมอง 2 ซีกอาจเกิดโดย 2 เงื่อนไขคือ 1. บทดีของซีกซ้าย (เหตุผล) ขัดแย้งกับซีกขวา (อารมณ์) 2. บทร้ายของซีกซ้าย ขัดแย้งกับบทดีของซีกขวา o ผู้ที่สามารถแก้ไขบทร้ายดังกล่าวได้สำเร็จ = กูรู ผู้รู้ ศาสดาของศาสนา o คนที่แก้ไขไม่ได้ = คนไข้โรคจิต o คนโรคจิตกับผู้รู้แจ้งต่างตกอยู่ในมหาสมุทรเดียวกัน เพียงแต่ผู้รู้แจ้งนั้นแหวกว่าย ส่วนผู้ป่วยโรคจิตกลับจมดิ่งลง
ศิลปะ การแก้ปัญหาและเยียวยา จิตป่วย o ความทรงจำคือนักบวชผู้ประกอบพิธีสังหาร ปัจจุบัน เซ่นสังเวยอดีตที่ตายไปนานแล้ว o ความผิดหวัง เกิดจาก ความคาดหวัง o ความคาดหวัง ไม่ใช่ความหวัง เสียทีเดียว o ผู้ประสบความทุกข์มี 4 จำพวก 1. ไม่ทำอะไร แต่หวังผล > ทุกข์มากสุด 2. ไม่ทำอะไร ไม่หวังผล > ทุกข์รองลงมา 3. ทำด้วย หวังผลด้วย > ทุกข์น้อยลง 4. ทำด้วย แต่ไม่หวังผล > ทุกข์น้อยสุด o วู่-เว่ย คือการกระทำโดยไม่กระทำ กระทำโดยไม่หวังผล คิดโดยไม่คิด o บางครั้งเราแก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่ยอมรับออกมาตรงๆ ว่านั่นคือปัญหา o การสื่อสารกับคนป่วยต้องสื่อสารในระดับจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว o คนเราก็เหมือนถุงชา ที่จะรู้จักความเข้ม ในตัวเอง ก็ต่อเมื่อถูกโยนลงไปในน้ำเดือดๆ
Free TextEditor
Create Date : 04 มิถุนายน 2554 |
| |
|
Last Update : 4 มิถุนายน 2554 13:59:29 น. |
| |
Counter : 438 Pageviews. |
| |
|
|