The wall is just the wall. It can't be taller than heaven.
Group Blog
 
All blogs
 

Hairspray : ปรานีตนิทานก่อนนอน



และแล้วหนมปังก็ได้เวลาว่างอีกครั้ง เมื่อเสาร์ที่แล้วนี่เอง

คิดอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเป็นแม่นมั่นว่า อยากดูหนัง แต่เรื่องอะไรดีอ่ะ?

คิดต่ออีกไม่กี่มากน้อย ก็พบว่ามีชื่อ Hairspray อยู่ในอันดับต้นๆที่อยากลองดู เพราะกิติศัพท์เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นหนังเพลง(เรื่องแรกในรอบหลายปี) เป็นละครเวทีมาก่อน มีมิเชล ไฟเฟอร์ กับจอห์น เทรอโวลต้า แล้วยังป๋าคริสโตเฟอร์ วอล์คเคนขวัญใจหนมปังจาก Sleepy Hallow อีกต๊ะหาก(เขียนถูกป่าวหว่า)

หนมปังพกความคาดหวังเข้าไปในระดับกลางๆ เพราะไม่คุ้นกับภาพยนต์เพลง แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเนื้อหามันจะเป็นประมาณใด

ว่าแล้วก็ตีตั๋วเข้าเอสพลานาดรอบบ่ายแก่ๆ จ่ายแพงกว่าหน่อย แต่ผิดหวังกะเมเจอร์มาเยอะเกินแระ

ก่อนเข้าแวะเห็นน้องโฟกัสกะอั้มในโปสเตอร์"ผีเลี้ยงลูกคน" พลางคิดในใจว่าเออ น่าดูแฮะ แต่คงไม่ดู

หนมปังเข้าโรงสาย หนังตัวอย่างเหลือแค่สองเรื่องก่อนเข้าตัวภาพยนต์

เอาล่ะจะเล่าแล้วนา

หนังเปิดด้วยเพลง Good morning Baltimore ขับร้องโดยสาวน้อยตุ้ยนุ้ยแสนน่ารักนามว่า นิคกี้ บลอนสกี้ ในบท เทรซี่ ที่แนะนำตัวเองด้วยเพลงว่าเป็นสาวน้อยน่ารักมองโลกในแง่ดี เรียนอยู่โรงเรียนใกล้บ้านและฝันอยากเป็นดาราดาวเต้นในรายการทีวีสุดฮิตรายการหนึ่ง

จากนั้นคนดูก็เข้าสู่โลกของเธอ โลกที่สีสันตระการตา ผู้คนมีน้ำใจมีคุณธรรมชัดเจน และคนชั่วก็ชั่วอย่างเปิดเผย

หนมปังนั่งดูเหตุการณ์ต่างๆในโลกของเธอผ่านไปเรื่อยๆ แม้หนังตัวอย่างจะทำให้คิดว่าประเด็นหลักหรือแก่นของหนังอยู่ที่เธอเอาชนะปมด้อยคือความอ้วนแล้วก้าวไปสู่อาชีพที่แม้แต่คนสวยหุ่นดียังไม่กล้าที่จะฝัน (คล้ายหนูพ่อครัวอึดตายยากน่ะแหละ) แต่พอดูเข้าจริงแล้วกลับไม่ใช่

ประเด็นความตุ้ยนุ้ยและการเอาชนะตนเองข้างต้นกลายเป็นแค่น้ำจิ้ม ไม่ใช่แก่นเรื่อง เป็นเหตุการณ์ง่ายๆเหตุการณ์เดียว แต่สิ่งที่เป็นประเด็นของเรื่องน้จริงๆก็คือ การเหยียดสีผิว



ซึ่งขอบอกว่าแม้จะเป็นประเด็นที่ดราม่า และมีปรัชญาสังคมเข้ามาเอี่ยวด้วยไม่น้อย แต่หนังกลับทำให้ดูไม่ซับซ้อนขนาดนั้น เด็กผิวสีถูกกีดกัน มีคนขาวคนดี คนขาวคนไม่ดี ขัดแย้งกัน สุดท้ายธรรมะก็ชนะอธรรม มีแค่นั้นแหละ

ความง่ายเป็นข้อดี ทำให้คนดูเข้าถึงแก่นของเรื่องง่าย เข้าใจตรงกัน แต่ก็กลับกลายเป็นข้อเสียใหญ่หลวงด้วย เพราะว่าหลังจากผ่านไปสิบห้านาที หนมปังที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของน้องเทรซี่ ก็รู้ตัวว่า โลกที่ขาวกับดำมันตัดกันชัดเจน ชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี ความฝันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพยายามมากก็ได้มา โลกที่ตำรวจไม่ฉลาดพากันมาเป็นโขยงเพื่อจับเด็กผู้หญิงคนเดียว โลกแบบนั้น มันไม่มีอยู่จริง มันเป็นโลกแห่งความฝัน มันเป็นนิทานก่อนนอน เป็นแฟนตาซียิ่งกว่า Lord of the ring ซะอีก

น้องเทรซี่กลายเป็นนางเอกที่มีบุคลิกเป็นเจ้าหญิง ชอบช่วยเหลือ กล้าเกิ๊น เป็นนางเอ๊ก นางเอก พระเอกกลายเป็นคนมีมิติมีที่มาที่ไปมากที่สุด แต่ก็ยังเป็นพระเอกนิทานอยู่มาก ตัวร้ายก็เปิดเผยจริงใจน่าได้โล่

แม้จะเป็น Fairy Tale แต่ก็ต้องขอบอกว่า Hairspray ถือเป็น Fairy tale ชั้นผู้ดี ไม่ใช่ว่าเป็นนิทานที่ทำมาให้เด็กเล็กอินอย่างเดียว แต่ก็มีแก่นมีข้อคิดที่น่าสนใจไม่น้อย แม้แก่นหลักขอเรื่องจะถูกระบายสีของนิทานเด็กจนประหลาดๆไปบ้าง แต่แก่นรองๆของตัวประกอบรุ่นผู้ใหญ่ทำได้น่าสนใจ



เช่นพ่อแม่นางเอก ขวัญใจหนมปังไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ แม้จะร้องเพลงบอกรักจอห์น เทรอโวลต้าอยู่นาน แต่ที่ซึ้งใจที่สุดเห็นจะเป็นประโยคที่ว่า "เอ็ดน่า คุณน่ะทั้งแก่ทั้งอ้วน แต่ผมไม่เคยเบื่อคุณเลย" หรือดีเจสาวผิวสีร่างท้วม ที่พูดกับลูกว่า"ใจเย็นๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้น" เหมือนกับจะบอกว่าของบางอย่าง อย่างเช่นทัศนคติคน เปลี่ยนกันในวันสองวันไม่ได้

และฉากสุดท้ายที่จะทำให้คุณมัวเมาไปกับเสียงดนตรี กับเพลงประกอบที่เพราะและสนุกสุดเหวี่ยง แม้บทสรุปประเด็นหนังจะยังงงๆ(จู่ก็มีคนโหวตเด็กน้อยผิวสีเป็นเทพีซะงั้น) หาที่มาที่ไปเลือนราง แต่ก็ยังเป็นฉากจบ Fairy Tale มี่มันหยดอย่าบอกใคร

สรุปแล้ว หากตัดเอาตัวละครเบื้องหน้าอันได้แก่นางเอก เพื่อนนางเอก แฟนเพื่อนนางเอก พระเอก ตัวร้ายรุ่นใหญ่และเล็ก ออกไป เราจะพบประเด็นที่น่าสนใจของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ ที่แอบแฝงอยู่ในสีสันฉูดฉาด และ บรรยากาศอบอุ่นเหล่านี้มากขั้น

สำหรับคนที่ชอบภาพยนต์เพลง ไปดูเถิด มีลูกก็พาไปดูก็ได้ เรื่องนี้เข้าใจง่าย เพลงเพราะ นิคกี้ บลอนสกี้เต้นเก่งนะ แต่หากท่านอยากจะดูภาพสะท้อนของยุคนั้นผ่านบทเพลง และตัวเนื้อหา แนะนำว่าท่านต้องพก ส้อม ช้อน หนักๆก็จอบเข้าไปด้วย เพื่อไปแกะเอาสิ่งที่ท่านอยากได้ออกมา ส่วนตัวแล้วเป็นหนังอารมณ์ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ตราตรึงใจเท่าที่ควร




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2550    
Last Update : 16 สิงหาคม 2550 14:40:49 น.
Counter : 781 Pageviews.  

Rattatouille : แอ็คชั่นบรรเจิด

แปลกเนาะ หนังดีๆที่น่าดูมักจะยกขบวนเข้าโรงในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้คนดูอย่างเราลำบากใจอย่างยิ่ง

สัปดาห์ก่อนหนมปังมีวันว่างก็เลยไปเดินช็อปปิ้ง กะว่าจะไปกินข้าว แล้วก็ซื้อของใช้ในห้อง ก็ดั๊น ไม่มีใครว่าง ไม่เป็นไรเฟร้ย ไปคนเดียว

ซื้อของเสร็จก็ยังไม่เย็น เหลือบเห็นโปสเตอร์หนูพ่อครัวก็นึกในใจ

"น่าดูอ่ะ.....อยากดูอ่ะ.... อยากดู.....อยากดู.....โอ๊ย ดูเลยดีกว่า!"

ก็เลยตีตั๋วเข้าไปเลย จังหวะดีที่รอบต่อไปเริ่มทันที ได้นั่งกลางๆโรง ข้างหลังมีครอบครัวคุณหนูพาเด็กมาด้วยหลายคน ทำเอาระแวงไปเลย ตูจะเจอผีเด็กในตำนานมั้ยว้า

แล้วโรงก็ปิดไฟ

โฆษณาน้อย หนังตัวอย่างเยอะ สุขใจ

จะเล่าแล้วน้า

เรื่องเปิดที่เจ้าหนูเรมี่ แบกหนังสือทำอาหารทะลุหน้าต่างออกมา ขอย้ำอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ Die hard แต่มันเปิดด้วยฉากแอ็คชั่นแบบนั้นจริงๆ ก่อนหนังจะแนะนำให้เรารู้จักเรมี่อย่างเป็นทางการโดยการเล่าย้อนถึงพื้นเพ นิสัยใจคอ ครอบครัว และเหตุผลว่าทำไมถึงมาแอ็คชั่นระห่ำแบบนี้ได้(ระห่ำจริงๆ มียิงกันด้วย)



เรมี่เป็นหนูบ้านอยู่ในกลุ่มประชากรหนูฝูงใหญ่ มีพ่อเป็นจ่าฝูง เรมี่มีพรสวรรค์ในการรับรสและกลิ่น สามารถแยกแยะส่วนผสมต่างๆของอาหารได้ และเขาก็ชอบอ่านตำราทำอาหารที่เปิดค้างไว้ในครัว รายการทำอาหารที่เปิดทิ้งไว้กล่อมคนในบ้าน เรมี่เลยกลายเป็นหนูปัญญาชน มีความรู้ด้านทำอาหารเพราะสื่อมวลชนโดยแท้

ตอนแรกเรมี่ไม่ได้อยากเป็นพ่อครัว แต่เขาฝันว่าอยากไปที่ภัตตาคารของพ่อครัวกุสโตว์สักครั้งเพื่อศึกษา



หนังพาเราสรุปฉากแอ็คชั่นที่การพลัดหลงของเรมี่กับฝูงในท่อระบายน้ำ หลังจากฉากไล่ยิงเรือ(Die Hard มั้ยล่ะ) จนเรมี่เจอภัตตาคารของกุสโตว์ เขาแอบดูครัวอยู่บนหลังคา เห็นเด็กเก็บขยะคนหนึ่งทำซุปหกจากหม้อจึงเติมน้ำใส่เข้าไปและโยนเครื่องปรุงลงไป นายเรมี่ก็ออกอาการเสียเส้นทันที จนพลัดตกลงไปที่ครัว และเริ่มแก้ไขซุปเจ้าปัญหาจนอร่อยเหาะ



ลิงกวินี่ เด็กเก็บขยะที่ทำอาหารไม่เป็น ก็เลยกลายเป็นที่จับตามองของทั้งครัว ในฐานะรับสมอ้างฝีมือซุปในหม้อ หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่ลิงกวินี่ กลายเป็นหุ่นเชิด(เป็นหุ่นเชิดจริงๆ) ให้กับพ่อหนูเรมี่ได้แสดงฝีไม้ลายมือการทำอาหาร

หลังจาก Pixar จับเรื่องปลาการ์ตูนพ่อลูก หนมปังก็ติดตามมาตลอด จะมาก่งก๊งนิดหน่อยกับเรื่อง Cars แต่ Incredible ทำออกมาได้ประท๊าบใจ เพราะไม่ใช่แค่ไอเดียบรรเจิดที่เปลี่ยนเหตุการณ์ธรรมดาๆให้กลายเป็นน่าสนใจได้ แต่เพราะแก่นของเรื่องที่ไม่ได้หละหลวม แต่กลับพูดถึงประเด็นที่น่าขบคิด ความรัก ความซื่อสัตย์ การไว้ใจ การปรับตัว ครอบครัว

เรื่องนี้ก็เหมียนกัล นอกจากการทำให้เหตุการณ์เล็กๆน่าสนใจแล้วๆ(แค่ชอตเรมี่หล่นลงมาในครัวก็ดูสนุกแล้ว) แก่นของเรื่องน่ารักและหนักแน่นมาก ไม่ว่าจะเป็นการไว้ใจ มิตรภาพ ทีม การเป็นในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าไม่มีทาง



เพราะโครงเรื่อง และแก่นที่ชัดเจนหนักแน่น ทำให้ภาพรวมของเรื่องราวออกมาในทิศทางเดียวกันและมีพลังอยู่ในเนื้อเรื่อง แม้ช่วงกลางๆเรื่องจะอืดไปนีสนึง เหมือนเป็นช่วงการ์ตูนจริงๆที่ตลกๆ อารมณ์ทอมกับเจอรี่ แต่เปิดเรื่องและช่วงท้ายๆทำได้ดี

ด้วยความเป็นการ์ตูนก็เลยไม่มีข้อจำกัดมาก เราให้อภัยได้ในความตะขิดตะขวงใจที่หนูอ่านหนังสือออก หรือฉากท้ายๆที่หนูยั้วเยี้ยเต็มครัว หรือ ลิงกวีกนี่ที่ถูกเชิดด้วยผมสองกระจุก



แต่ความตงิดๆนี้ก็ถูกกลบด้วยฉากบรรเจิดๆ ทั้งหลาย วิธีการเคลื่อนไหวของหนู วิธีการผจญภัย การเผชิญหน้า และแอ็คชั่น

เมื่อถึงเวลาที่แก่นของเรื่องที่ถูกคลายปม เราก็ได้พบกับบทวิจารณ์อาหารที่ช่วยสรุปแนวความคิดทั้งหมด กับคำพูดไม่กี่ประโยค

"ใครกันที่จะตัดสินว่าสิ่งไหนมีค่าไม่มีค่า เพราะบางครั้งสิ่งที่มีค่า ก็มาจากแหล่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุด" (ประมาณเนี้ย)

เมื่อถึงตอนจบ หนมปังกลับออกมาจากโรงด้วยความรู้สึกว่า เออแฮะ คุ้มค่าตั๋วนะเนี่ย

ปล. ปรากฏว่าเด็กๆทั้งหลายเรียบร้อยกันดีมากคับ คุยกันยังกระซิบๆ กระซิบถามพ่อ กระซิบคุยกับพี่ พ่อแม่ควบคุมกันดีมาก ไม่มีผีมาหลอกหลอนชาวบ้าน




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2550    
Last Update : 7 สิงหาคม 2550 10:28:27 น.
Counter : 2277 Pageviews.  

ดูแล้วเอามาเล่า: Harry Potter 5 (OOP) เท่ ......อีกนิดน่า....



ไม่ใช่บทวิจารณ์นะ ขอบอก

ด้วยเพราะความเป็นแฟนหนังสือตั้งแต่เล่มแรก หนมปังกรอบเลยตั้งตารอหนังแฮรี่ภาคห้าอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความเป็นตัวหนังว่าจะน่าสนใจมั้ย ผกก. เป็นใคร แค่คิดว่าตัวละครโปรดในหนังสือจะออกมามีหน้าตาเสียงพูดจริงๆก็ตื่นเต้นแล้ว

หนมปังกรอบไม่ลังเลที่จะตีตั๋วรอแฮรี่ล่วงหน้าและจัดเวลาฉายวันแรกของแฮรี่เป็นวันว่างของตัวเอง ทางสะดวกโยธินเช่นนั้นแล้ว เมื่อแฮรี่เข้าฉายปุ๊บ หนมปังกรอบก็ไปดูทันที

คนเต็มโรงสมกับที่ฉายวันแรก หนมปังกรอบได้นั่งหลังริมๆ หัวคนผลุบๆโผล่ๆเป็นระยะ แต่เงียบใช้ได้

โฆษณาผ่านไปเป็นเวลา 50 นาที แง่ง....

จะสปอยละเด๋อ

หนมปังกรอบเลือกที่จะไม่อ่านหนังสือมาก่อนเพราะอยากดื่มด่ำกับจินตนาการสดในโรงหนัง มากกว่าจะจับความแตกต่างระหว่างหนังสือกับภาพยนตร์ ซึ่งมันใช้ได้ดีในแฮรี่หลายๆภาค

หนังเปิดเรื่องด้วยสนามเด็กเล่นกับแฮรี่และดัดลีห์ และด้วยมุมกล้องและการวางภาพตั้งแต่เด็กๆกลับบ้านจนถึงตอนทั้งคู่ถูกไล่โดยผู้คุมวิญญาณต้องทำให้หนมปังกรอบร้อง ว้าว ในใจ มันเท่จิงๆจ๊อด แต่เมื่อผู้คุมวิญญาณปรากฏโฉม ความน่าขนลุกของผู้คุมกลับทำได้ไม่น่าประทับใจเท่าภาคสาม(อันนั้นฉากเปิดประตูในรถไฟยังติดตาอยู่เลย) เลยลดความเท่ของมุมกล้องไปเย้อ น่าเฉียดาย



หนังดำเนินเรื่องต่อมาในลักษณะการเล่าเรื่อง มีมุมมองเจ๋งๆออกมาเป็นระยะๆ แต่ไม่โดนใจหนมปังนักเพราะไม่เด่นเท่าอันแรก หนมปังชอบฉากที่ซีเรียสพยายามเล่าเรื่องภาคีให้แฮรี่ฟัง เป็นการขมวดเอาภาวะทั้งหมดมาอธิบายด้วยปฏิกิริยาของตัวละครหลายๆตัวได้ในไม่กี่นาที เราสามารถสังเกตได้ทันทีว่าใครเกาเหลากะใครอยู่ ใครอึดอัด ใครทำงานในจุดไหน ใครเป็นวงในแค่ไหน

เรื่องดำเนินด้วยการเล่าปูพื้นต่อ จนถึงฉากในศาล ที่ทำได้ชัดเจนดี แต่พลังน้อยไป


มาเริ่มเอาตอนที่เจ๊ชมพูเข้ามามีบทบาทแทรกแซงฮอกวอต สีชมพูของเจ๊ไม่ได้ทำให้หนังสดใสแต่อย่างใด แต่กลับทำให้รู้สึกคลื่นเหียน เป็นความฉลาดของคอสตูมและแสงที่สะท้อนออกมาได้ดีง่ะ ชอบ และนักแสดงที่หลายๆคนชมเป็นเสียงเดียวกัน ว่าได้ใจจิงๆพับเผื่อย แต่เพราะความเจนเวที และรอบจัดทางการแสดงของเจ๊ เมื่อเข้าฉากกับพ่อหนุ่มแฮรี่ ก็เกือบทำให้แฮรี่ตายคาจอหลายครั้งเพราะความรอบจัดของเจ๊ เข้าใจนะแดเนียล เพราะเจอเข้าแบบนี้ถ้าไม่ทำการบ้านมาดีจริงๆก็รอดยาก แต่ก็เห็นความพยายามของแดเนียลดีมากประกอบมือเขียนบทและผู้กำกับประคับประคอง จึงทำให้รอดมาได้อย่างไม่น่าเกลียดนัก



ส่วนคู่หูรอนและเฮอร์ไม่โอนี่ถูกลดความโดดเด่นลงจากภาคก่อนๆพอสมควรทีเดียว บางคนที่ดู(เราด้วย)จึงรู้สึกเหมือนขาดๆอะไรสักอย่างไปเมื่อไม่มีรอนมาคอยโวยวายอยู่ข้างๆมากนัก

และที่จะอดพูดถึงไม่ได้คือแม่หนูลูน่า ที่น่ารักเข้าตาจนอยากเชียร์ให้เป็นนางเอก เธอลอยๆ ฝันๆ ชัดเจนดีมั่ก แต่เพราะเธอเด่นมากไปเลยเป็นผลกระทบกับเนื้อเรื่องอย่างที่เจเคตั้งใจให้เป็น คือเธอชิงหน้าที่ที่ปรึกษาแฮรี่ไปจากจินนี่ ทั้งยังชิงหน้าที่ปลอบประโลมใจเป็นพักๆไปจากเฮอร์มี่ ก็ดูต่อไปว่าเดวิด เยต จะแก้เกมยังไงในภาคหก

มาถึงช่วงฟอร์มทีม DA ซึ่งทำได้ดีในระดับนึง ทั้งมุขที่เพิ่มเข้ามาและเนื้อเรื่อง ดูเพลินๆตลกๆ และตื่นตากับคาถางามๆ รวมๆแล้วเป็นฉากโชว์คาถาที่ให้ความรู้สึกไม่ตื่นเต้น แต่ก็ไม่กระจิริดจนเกินไป กลางๆ

และ ต่าแล้นๆๆ มาถึงชอตครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่รอคอย ไม่ว่าจะอ่านหนังสือมารึเปล่า ก็จะรู้สึกคล้ายกันว่า ขออีกนิดได้มะ ครือเข้าใจว่ามันคือฉากโชว์คาถาอลัง แต่ความเร้าใจในฐานะฉากแอ็คชั่นมันยังไม่กริ๊ก ยังมีความเป็นละครอยู่มากจนอินไม่ลง ถ้าเพิ่มเอาความธรรมชาติใส่ลงไป เพิ่มความตื่นเต้นในฐานะแอ็คชั่น ให้เด็กๆเอย ผู้ใหญ่เอยได้ออกกำลังกายกันหน่อย คิดว่าภาพรวมของหนังจะเท่ขึ้นทันตาเห็นทีเดียว

อยากจะพูดปลีกย่อยในครึ่งชั่วโมงสุดท้ายอีกสองสามซีน อันแรกคือตอนซีเรียสตาย รีบไปหน่อย แต่บรรยากาศนี่เท่นะ เพลงประกอบที่เงียบวูบลงไปเลย สโลวโมชั่นที่แฮรี่ สี แสง แม้จะยังไม่ถึงแต่เท่ ถ้าไม่รีบลงก่อนคาดว่าจะติดตากว่านี้ ซีนที่สองที่ดูขัดๆคือฉากเปิดดัมบี้ตอนที่มาถึงกระทรวง แบบว่า ธรรมดาเกิ๊น มุมมองเท่ๆหายไปไหนหมดไม่รู้ อยู่ๆก็มากับผงฟลูตรงๆเลยไม่มีอ้อม ถ้าเอาความเท่ของการตัดภาพมุมภาพไสตล์ตอนแรกๆมาเล่นก็คงเป็นอีกซีนที่เท่คอดๆชัวร์ อีกอันคือตอนแฮรี่โดนสิง อันนี้ชอบแฮะ รู้สึกเหมือนสรุปรวบยอดแนวคิดของทั้งหนังไว้ตรงนั้น และออกมาเป็นคำพูดไม่กี่คำ ลึกซึ้งทีเดียว

รวมๆแล้วภาคนี้เป็นหนังแฮรี่ที่เล่าเรื่องเท่ รวบรัดได้ดี เสียดสี(การเมือง)ลึกซึ้ง และคาถาสวย แต่องค์ประกอบโดยรวมยังดึงความเด่นของจุดดีของหนังออกมาได้ไม่เต็มที่นัก ส่วนตัวหนมปังคิดว่าหนังเรื่องนี้ซ่อนอะไรดีๆเท่ๆไว้เยอะทีเดียว แต่ที่ไม่ติดตาติดใจเพราะมันไม่เด่น

อย่างนี้จะรอดูภาคหกอย่างใจจดใจจ่อ

ดูแล้วเอามาเล่าดังนี้แล




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2550    
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 14:50:29 น.
Counter : 801 Pageviews.  

1  2  

รถขนมปังกรอบ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add รถขนมปังกรอบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.