นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'NIKKO 日光' ตอน 2 ยิ่งสูง ยิ่งหนาว ยิ่งสวย

 ณ ความสูงที่เท่าไหร่ไม่แน่ชัด แต่ที่รู้ชัดๆคือความหนาว ยิ่งเดินก็ยิ่งหนาว แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะมีเป้าหมายสำคัญต้องพิชิต


งานนี้ต้องอดทนกันสักหน่อย เพราะมีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ รางวัลที่คุ้มค่ากำลังรอคอยเราอยู่เบื้องหน้านี้แหละ เอ้า...สู้ๆ!!


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


ครั้งที่แล้วทิ้งท้ายไว้ตรงที่ความน่ารักของเจ้าลิงสามตัวแห่งวัดโทโชกุ ห่างกันไม่ไกล เดินหมุนตัวหันกลับมาก็เจอ


ฝั่งตรงข้ามกันนั้นมีศาลาที่ชื่อว่า Kami-Jinko 上神庫 หลังจากที่มีการบูรณะใหม่สวยสดงดงาม


ภายในไม่สามารถเข้าไปชมได้ เนื่องจากปัจจุบันใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายต่างๆ


ที่เอาไว้ใช้ในงานเทศกาลประจำปีของทางศาลเจ้า สิ่งที่ควรชม ณ จุดนี้นั้นคือ งานจิตรกรรมของศาลา



โดยเฉพาะทางฝั่งทิศใต้ (ฝั่งที่หันหน้ามาหาเรา) จะเห็นงานสลักชิ้นสำคัญอีกหนึ่งชิ้น จากทั้งหมด 3 ชิ้น


งานชิ้นแรกที่ชมไปแล้วคือ "ลิงแสนรู้" อีกชิ้นหนึ่งคือ "ช้างและสิงโต" ที่หันหน้าชนกันบริเวณใต้หลังคา


โดยตัวช้างนั้นเป็นงานฝีมือของศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างมากของญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ คือ Kano Tan-yu


โดยที่เขาไม่เคยเห็นช้างตัวจริงมาก่อนในชีวิต ผลงานนี้มีชื่อว่า Sozo-no-zo 想像の象 หมายความว่า ช้างในจินตนาการ



ฝั่งตรงข้ามคือ หอเก็บพระคัมภีร์ของศาลเจ้าหรือ Kyōzō 経蔵


บริเวณรอบๆมีโคมไฟหินตั้งเรียงราย โดยที่ในอดีตขุนศึกทั่วแผ่นดินสร้างถวายเป็นสัญลักษณ์ อุทิศให้กับท่านโชกุนโทกุกาวะผู้ล่วงลับ



ชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่รางน้ำศักดิ์สิทธิ์ Omizuya 御水舎 เป็นน้ำที่มาจากหุบเขาธรรมชาติของนิคโก้


กว่าจะเข้าไปถึงตัววัดจริงๆก็มีอะไรให้เราได้ชมกันตลอดทางเลย พอหมดตรงนี้ก็จะพบกับโทริอิอีกหนึ่งจุด


Kara-do Torii เป็นโทริอิแห่งแรกที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ โดยมีฐานเป็นงานแกะสลักรูปดอกบัวตามแบบของจีน



พ้นจากโทริอิทองแดงก็จะเจอกับประตูทางเข้าที่ยิ่งใหญ่อลังการ ประตูนี้มีชื่อว่า Yomei-mon 陽明門 แปลว่าประตูแห่งแสงสว่าง


และมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Higurashino-mon 日暮らしの門 หมายความว่า ประตูแห่งพระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก


คือต้องการจะสื่อว่าเป็นความงดงามของประตูนี้ สามารถใช้เวลามองพินิจพิจารณาและชื่นชมได้ตลอดทั้งวัน



จริงๆแล้วคำว่า Yomei-mon นั้นมีที่มาจากชื่อของประตูหนึ่งใน 12 ประตูของพระราชวังเกียวโต


ด้วยความวิจิตรของลวดลายและจิตรกรรมบนประตูนี้ ทำให้ผู้คนไม่สามารถที่จะหยุดชื่นชมความงามของมันได้เลยจริงๆ


และที่สำคัญมีงานศิลป์มากกว่า 500 ชิ้นรวบรวมอยู่บนประตูที่มีความสูง 11.1 เมตรแห่งนี้



ทางด้านซ้ายและขวาของ Yomei-mon มีรูปปั้นของผู้มีอิทธิพลอย่างมากในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นทั้งสองท่าน


คือ Hideyoshi Toyotomi และ Yoritomo Minamoto โดยจะถือธนูอยู่ที่มือทั้งสององค์



ที่กำแพงทั้งสองฝั่งแกะสลักเป็นลายต้นไม้และนกยูง วิจิตรตระการตา



ด้านในทั้งสองฝั่งเป็นรูปปั้นสิงโตสีทองตนหนึ่งเป็นสีน้ำเงินและอีกตนเป็นสีเขียว 


ที่บริเวณหลังคานั้นมีรูปปั้นและรูปแกะสลักของสัตว์ในจินตนาการต่างๆมากมาย



ไม่ว่าจะเป็น นกกะเรียน ไก่ฟ้า เสือ สิงโต และ โดยเฉพาะสัตว์ในตำนานของจีนอย่างมังกร


และบริเวณเพดานมีภาพเขียนฝีมือของ Kano Tan-yu เป็นภาพมังกรที่กำลังบินขึ้นฟ้า และ ภาพมังกรที่บินลงมาสู่พื้น


โดนสื่อความหมายว่าเป็น การลงมาจากสวรรค์และกลับสู่สวรรค์






ส่วนเสาหลักของทั้งสองฝั่งนั้นก็แกะสลักไว้อย่างสวยงามและทาด้วยสีเทาขาว


สามารถไปลูบเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ หากสังเกตดีๆ จะมีฝั่งหนึ่งที่ลวดลายบนเสานั้นจะสลับกลับหัวกับเสาอีกฝั่งหนึ่ง



พ้นจากประตูนี้ทางด้านซ้ายมือจะเห็นศาลาที่มีชื่อเรียกว่า Shinyo-sha 神輿舎


หรือแปลว่าศาลาที่มีไว้เก็บ ศาลเจ้าเคลื่อนที่ หรือเรียกว่า Mikoshi 神輿



โดยในแต่ละปีจะมีการนำศาลเจ้าเคลื่อนที่ (มีทั้งหมด 3 ตัว) ออกมาใช้สำหรับแห่ในงานเทศกาลปีละสองครั้ง


โดยแต่ละอันนั้นสร้างขึ้นสำหรับผู้นำสามท่านคือ Hideyoshi Toyotomi, Yoritomo Minamoto และ Ieyasu Tokugawa



ตรงด้านหน้าจะเป็นอีกประตูหนึ่งที่มีความสำคัญแต่ขนาดเล็กกว่า ประตูสีขาวนี้มีชื่อว่า Kara-mon 唐門


สร้างขึ้นเมื่อปี 1636 มีความสูง 3 เมตร มีลวดลายการแกะสลักแบบจีนที่สวยงามไม้แพ้กัน


ถึงแม้จะมีขนาดเล็กและมีงานแกะสลักมากถึง 611 ชิ้นเลยทีเดียว



ผ่านจากประตูนี้เข้าไปจะเป็นหอสวดมนต์หรือเรียกว่า Haiden 拝殿 ซึ่งไม่สามารถเข้าจากทางด้านหน้าโดยตรงได้


เนื่องจากมีขนาดเล็กจึงต้องอ้อมไปทางด้านข้างและต้องฝากรองเท้าไว้ที่ลอคเกอร์ก่อนเข้าไปด้านใน


ด้านในอากาศยิ่งหนาวยะเยือกด้วยเหตุที่สร้างมาจากไม้ทำให้เก็บความเย็นเข้าไป หนาวจนแทบทนไม่ไหวเลย สั่นหงึกๆๆ


ส่วนด้านในบริเวณหอหลักหรือเรียกว่า Honden 本殿 ไม่สามารถเข้าไปชมได้ และที่สำคัญบริเวณทั้งหมดนี้ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด 




จากตรงจุดนี้สามารถเข้าไปชมงานศิลปะชิ้นที่สามคือ ไม้แกะสลักแมวหลับ ที่มีชื่อว่า Nemuri-neko 眠り猫


ผลงานของช่างแกะสลักไม้ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยเอโดะชื่อว่า Hidari Jingoro 左甚五郎


คำว่า Hidari 左 นั้นแปลว่าซ้าย เป็นฉายาที่ใช้เรียกกับชื่อเนื่องจากเป็นคนถนัดมือซ้ายนั่นเอง



โดยสร้างผลงานแกะสลักไว้มากมายโดยเฉพาะตามวัดและศาลเจ้าที่สำคัญต่างๆ โดยเจ้าตัวเป็นคนที่รักแมวมาก


และเคยเก็บตัวเงียบๆเพื่อขัดเกลาความรู้และเทคนิคของเขาในงานปั้นและแกะสลักเพื่อทำให้ผลงานรูปแมวนั้นให้เสมือนจริงที่สุด


และสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในอิริยาบถต่างๆ



Nemuri-neko หรือ Sleeping cat นั้นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนิคโก้ และเป็นจิตวิญญาณของท่านอิเอยาสุ


ผู้ที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าแห่งการเยียวยารักษา เนื่องจากท่านนั้นเป็นผู้ที่นำการรักษาโรคด้วยยาและการบำรุงร่างกายหล่อเลี้ยงจิตใจ


และจิตวิญญาณเพื่อขจัดความเจ็บป่วยโรคร้ายต่างๆให้หายไป และนอกจากนี้ยังสื่อความหมายถึงความสงบสุขอีกด้วย


แมวหลับอย่างสบายใจแบบนี้ก็คงสื่อว่าไม่มีอันตรายใดๆเข้ามาใกล้ๆแล้วละ



จากตรงนี้ผ่านประตู Sakashita-mon 坂下門 เพื่อเข้าไปสู่บริเวณศาลเจ้าด้านใน Okusha 奥社


ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานของท่านอิเอยาสุโดยจะต้องเดินขึ้นบันไดหิน 200 ขั้นจนไปถึงโทริอิหิน Ishi-Dorii 石鳥居



ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน สังเกตที่พื้นด้านข้างบันไดทั้งสองฝั่งจะเห็นว่ามีรูปปั้นครึ่งสุนัขครึ่งสิงโตหรือเรียกว่า Koma-Inu 狛犬


คอยปกปักรักษาศาลเจ้าของชินโต โดยรูปปั้นนี้ได้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผู้คอยติดตามรับใช้ท่านโชกุนอิเอะยาสึ



และต้องเดินผ่านประตูด้านหน้าสุสานก่อนถึงจะเข้าไปด้านใน โดยมี Treasure Tower ที่เป็นที่ฝังพระศพของท่านโชกุนเอาไว้ด้านใต้



หลังจากนั้นเราจึงเดินทางต่อไปที่เป้าหมายที่สามคือ ศาลเจ้า Futarasan 二荒山神社 ที่นี่เป็นเป้าหมายหลักอีกหนึ่งแห่ง


และเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าชินโตที่สำคัญ ชื่อของวัดตั้งขึ้นมากจากชื่อเขาฟูตาระซัน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เขานันไท"


สร้างขึ้นเมื่อปี 767 โดยท่านโชนิน สำหรับสักการะเทพเจ้า 3 องค์คือ


เทพเจ้าผู้สร้าง Ōkuninushi, เทพธิดาแห่งแสงสว่าง Tagori-hime และ เทพเจ้าสายฟ้า Aji-suki-taka-hikone



นอกจากนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เก็บรักษาดาบสองเล่มที่จัดว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่น


และที่สำคัญคือ สะพานศักดิ์สิทธิ์ซังเคียว ที่ข้ามแม่น้ำไดยะก็เป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย


ทั้งนี้ทั้งนั้นตั้งแต่สมัยก่อนศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อภูเขาศักดิสิทธิ์ทั้งสามแห่งของนิคโก้นั่นคือ


Mt. Nantai (男体山 2,486 m), Mt. Nyoho (女峰山 2,483 m) และ Mt. Taro (太郎山 2,367 m)



ทางเดินเข้าศาลเจ้ามีชื่อว่า Kami-shinmichi 上新道 เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างศาลเจ้าโทโชกุและศาลเจ้าฟูตาระซัน


โดยจะมีโคมหิมตั้งเรียงรายตามทางเดิน และจะพบกับเสาหินที่สลักชื่อของศาลเจ้าเอาไว้ที่ด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้า



ที่มีชื่อว่า Ro-mon 楼門 ประตูจีนสีแดง และถัดเข้าไปเป็นโทริอิด้านหน้าศาลเจ้า


มาถึงตรงนี้มีสาวๆชาวญี่ปุ่นมาขอให้พวกเราถ่ายรูปให้ก้อทักทายตามประสา


พอเค้ารู้ว่าเราพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ตื่นเต้นดีใจใหญ่ แล้วก็มาถ่ายรูปพวกเราให้ด้วยเป็นการตอบแทน น่ารักจริงๆ Smiley



ภายในบริเวณศาลเจ้าจะมีหอสวดมนต์อยู่ตรงกลางที่เรียกว่า Haiden และมีหอหลักอยู่ถัดกันคือ Honden



มุมอื่นๆภายในวัด



บรรยากาศรอบๆ




และที่ใกล้ๆกันจะมีโคมจีน Bake-doro (Ghost Lantern) ที่ทำจากทองแดงที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วสีแดงอยู่ สร้างขึ้นเมื่อปี 1292


ว่ากันว่าเป็นโคมที่สร้างขึ้นเพื่อกักขังปีศาจที่ออกมาทำร้ายชาวบ้านในสมัยก่อนและถูกปราบโดยซามูไร


และขังไว้ในโคมแห่งนี้เพื่อไม่ให้ออกมาแผลงฤทธิ์ได้อีก สังเกตดีๆจะเห็นเป็นรอยดาบที่ว่ากันว่าเป็นรอยดาบของซามูไรท่านนี้นี่แหละ 




หลังจากนั้น พวกเราหยุดแวะเล่นเกมส์โยนห่วงกัน


จริงๆแล้วห่วงที่ว่าเป็นห่วงเชือกศักดิ์สิทธิ์ของทางศาลเจ้ามีชื่อเรียกว่า Undameshi-wanage 運試し輪投げ


มีความหมายว่าการโยนห่วงเสี่ยงโชคนั่นเอง ถ้าหากสามารถโยนได้ครบสามห่วงหรือแค่เพียงห่วงเดียวก็จะพบกับความโชคดี


พวกเราไม่มีใครโยนครบทั้งสามห่วงเลย แต่อย่างน้อยก็โชคดีละน่า เพราะโยนลงคนละห่วงแน่ะ Smiley



ถ้าหากใครอยากสมหวังในความรักต้องมาทางนี้ ใกล้ๆกันนั้นจะมีทางเข้าศาลเจ้า En-musubi-jinjya 縁結び神社


ซึ่งเป็นศาลเจ้าเล็กๆที่ว่ากันว่า สามารถขอพรเพื่อให้สมหวังในความรัก หาคู่ครอง และการแต่งงาน


ด้านในมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เรียกว่า Go-shinboku 御神木 ที่เขียนไว้ว่ามีอายุกว่า 700 ปีและมีความสูงกว่า 60 เมตร


ถัดมาเป็นศาลเจ้า Hoyu-jinjya 朋友神社 ศาลเจ้าแห่งสหายและมิตรภาพ


แวะกราบสักการะเพื่อความเป็นมิตรกับเพื่อนๆที่รักของพวกเราเพื่อที่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันฮาๆแบบนี้ตลอดไป Smiley



ถ้าหากได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ ให้หันซ้ายหันขวามองหาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ Futara Reisen 二荒霊泉


ที่จะนำพาความเยาว์วัยและปัญญามาให้ผู้ที่ศรัทธาและดื่มน้ำพุธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ลงมาจากเขา รับรองดื่มได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงห้ามโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำพุแห่งนี้ ไม่อย่างงั้นมันก็จะเปรอะเปื้อนได้



นอกจาก นี้จุดอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมี Shinyo-sha 神輿舎 ไว้สำหรับเก็บรักษา Mikoshi


ว่ากันว่าศาลาหลังนี้เป็นหลังดั้งเดิมที่เก่าที่สุดในนิคโก้ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้


(คาดว่าหลังอื่นที่เก่าๆมากคงพุพังตามอายุจนต้องสร้างใหม่ไปแล้ว)



เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรารีบเดินจ้ำๆต่อไปที่วัด Rinnō-ji Taiyū-in 輪王寺大猷院


ชื่อของวัดนั้นตั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่านโชกุนโทกุกาวะ อิเอะยาสึ โดยที่ท่านได้กล่าวคำพูดหนึ่งไว้ก่อนสิ้นลมหายใจว่า


"I will serve for Ieyasu even after I die." เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 1651 ดังนั้นท่านโชกุนโทกุกาวะรุ่นที่สี่


คือโชกุนอิเอะซึนะ จึงสืบต่อเจตนารมย์และได้โปรดสร้างวัดแห่งนี้ในปี 1652 และแล้วเสร็จในเดือน เม.ย.ปี 1653




โดยระหว่างการก่อสร้างนั้นท่านโชกุนได้เกิดความลังเล และตัดสินใจที่จะไม่ลอกเลียนรูปแบบการก่อสร้างตามแบบของวัดโทโชกุ


ดังนั้นจึงสังเกตได้เห็นถึงความแตกต่างโดยที่วัดโทโชกุนั้นจะมีสีพื้นฐานคือสีขาวและสีทองโดยล้อมกรอบสีดำ


แต่ในขณะที่วัดไทยูอิน มีสีพื้นฐานคือสีทองและสีดำโดยล้อมรอบเป็นสีแดง โดยทำเลที่ตั้งนั้นจะหันหน้าเข้าหาวัดโทโชกุ


แสดงให้เห็นว่า ท่านโชกุนอิเอะซึนะนั้นมีความเคารพและจงรักภักดีต่อท่านโชกุนอิเอะยาสึเป็นอย่างมาก



ประตูจีนที่ตั้งตระหว่านต้อนรับเราอยู่ที่เบื้องหน้านั้นมีชื่อว่า Niō-mon 仁王門


หากเห็นชื่อนี้เมื่อไหร่ต้องนึกถึงยักษ์คู่ (ไม่ใช่ไอติมยักคู่สมัยก่อนนะ) สองตนที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของฝั่งประตู



ต้องชำระร่างกายและจิตใจให้สะอาดที่ซุ้มสีดำทอง Omizuya ก่อน และก็มุ่งหน้าเข้าสู่ด้านในวัดกันเลย



ประตูที่อยู่ด้านหน้าวัดมีชื่อว่า Niten-mon 二天門 มีความหมายว่าประตูแห่งเทพเจ้าทั้งสอง เทพเจ้าทั้งสององค์ที่ว่านี้คือ


Jikoku-ten 持国天 เทพผู้ปกปักรักษาทางทิศตะวันออก และ Komoku-ten 広目天 เทพผู้ปกปักรักษาทางทิศตะวันออก



ก่อนมาถึงประตูก็ต้องขึ้นบันได้ พอพ้นประตูมาก็ต้องขึ้นบันได้อีก แถมอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ


ขาก็พาลจะไม่มีแรง แต่ไหนๆมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดกันหน่อยละ ฮึบๆ



ระหว่างทางที่ขึ้นก็จะเห็นเป็นสวนกว้างๆทั้งหมดนี้เป็นบริเวณของสวน Jinkai-teien 人界庭園 มีโคมหินตั้งเรียงรายเต็มบริเวณสวน



จนกระทั้งมาถึงหอระฆังหรือเรียกว่า Shōrō 鐘楼 ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือน


นี่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าด้านในมีระฆังอยู่ และเราก็มาถึงประตูเข้าในตัววัดกันจริงๆซักที



ว่าไปแล้วที่วัดนี้มียักษ์ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองเยอะมาก เพราะที่ประตูนี้มีชื่อเรียกว่า Yasha-mon 夜叉門



มีความหมายว่าประตูแห่งเทพอสูรสตรี มีความสง่างามมาก


สมกับที่ท่านโชกุนอิเอะซึนะ ตั้งใจบรรจงสร้างออกมาเพื่อถวายแด่ท่านโชกุนอิเอะยาสึที่ล่วงลับไป



บริเวณด้านนอกของประตู มีสององค์คือ สีแดงและสีเขียว และด้านในประตูคือองค์สีน้ำเงินและสีขาว



มองยังไงก็มองไม่ออกว่าจะแยกแยะความเป็นชายหรือหญิงได้ เพราะทุกตนก็ไม่ได้มีหน้าอกหรือใส่เสื้อผ้ามิดชิดกว่าตนอื่น


แต่ที่สังเกตได้ชัดที่สุดน่าจะเป็นองค์สีขาวที่ ท่าทางและการวางมือนั้นจะดูออกเป็นสตรีเป็นพิเศษ



ด้านในวัดมีเพียงหอหลักๆเท่านั้นคือ หอสวดมนต์ Haiden และ หอหลัก Honden ที่ไว้สำหรับทำพิธีต่างๆ


นอกจากบริเวณนี้ก็ไม่สามารถเข้าไปชมได้แล้ว เพราะด้านในนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สงวนไว้และไม่เปิดให้เข้าไปสักการะที่ด้านในได้



บริเวณที่ว่านี้จะอยู่หลังประตู Koka-mon 皇嘉門 หมายความว่า ประตูแห่งความมงคลอันศักดิ์สิทธิ์



ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งในการพิชิต World Heritage Site เกือบทั้งหมด


ที่บอกว่าเกือบเพราะยังมีเป้าหมายสำคัญท้ายสุดที่ ถ้าไม่ได้ไปที่นี่ถือว่าไม่ได้มานิคโก้


แต่ตอนนี้ท้องเริ่มหิวแล้วเพราะเลยเที่ยงมานานละ คงต้องหาอะไรอร่อยๆแบบสไตล์นิคโก้แท้ๆลงท้องซักหน่อย


ออกจากบริเวณวัดจะมีทางเดินลาดลง เดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะเป็นชุมชนเล็กๆส่วนมากเป็นร้านค้าและร้านอาหาร


เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้หยุดพักเลือกซื้อของฝากและหาอาหารอร่อยๆทานกัน


Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley


เมนูที่เราเลือกกัน เป็นเมนูที่เห็นมาจากป้ายระหว่างทางเดินลง น่ากินมาก เราเลยไปดูหน้าตาของจริง


และก็เข้าไปในร้านสั่งกันโดยไม่รีรอ เจ้าของร้านออกมาทักทายและชักชวนเราเข้าร้านอย่างน่ารักอัธยาศัยดี


เมนูนี้ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ เจ้าของร้านโฆษณาไว้อย่างนี้ และรับประกันความอร่อยอีกต่างหาก


เมนูนี้มีชื่อเรียกว่า Yuba-don ゆば丼 ข้าวราดหน้าเต้าหู้แผ่นทรงเครื่อง (แปลเป็นประมาณนี้แล้วกัน)


เป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองนิคโก้มาแล้วต้องชิมให้ได้ อ้อ...ลืมบอกชื่อร้าน ร้านนี้มีชื่อว่า Maruhide まるひで



จากที่มองจากภาพที่ป้ายโฆษณาหน้าร้านแล้ว สีสันหน้าตาน่าทานจนได้กลิ่นของความอร่อยโชยมาแต่ไกล


พวกเราสั่งเมนูเดียวกันคือ Yuba-don Set ราคา 1,370 เยน โดยเสิร์พร้อมกับ Yuba-nabe ゆば鍋


หม้อยูบะร้อนที่เป็นซุปต้มยูบะ และ เครื่องเคียง Yuba-toge ゆば刺 ตามสไตล์อาหารชุดของญี่ปุ่น


ข้าวหน้ายูบะนั้นราดหน้าด้วยซอสเหนียวที่ปรุงรสและคลุกเคล้ากันอย่างดีกับยูบะและผักหลากหลายชนิดที่ไม่เคยเจอที่ไหน


รสชาติอร่อยอย่างที่เจ้าของร้านพูดไว้จริงๆ กินกันเกลี้ยงไม่มีเหลือสงสัยเพราะบวกกับพลังหิวด้วย



ลองดูรายละเอียดได้ที่นี่ เขียนแนะนำเอาไว้อย่างละเอียด


//plaza.rakuten.co.jp/akairokujaku/diary/200812240000/


แถมประโยคเด็ดทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ‘Yuba’ wa ‘Yuba’ dane! (‘ゆば’は‘ゆば’ダネ!) แปลว่า ยูบะก็คือยูบะละเนอะ


เผลอแป้บเดียวก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว พวกเราจึงรีบจรลีออกจากร้าน


หลังจากนั่งชิลล์กินขนมเค้กชื่อดังของนิคโก้รสชาเขียวที่ทางร้านมีขาย แถมให้บัตรส่วนลดมาด้วย


Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley


จุดหมายต่อไปที่พวกเรากำลังจะไปนั้นสามารถเดินไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนั่งรถบัส


เพราะพวกเราอยากจะซึมซับบรรยากาศธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ของที่นี่ อากาศก็ดี


เหมือนกับปรับตัวกับสภาพอากาศได้แล้ว จนไม่รู้สึกหนาวทรมานเท่าตอนแรก


ที่สำคัญวิวข้างทางนั้นเป็นลำธารน้ำใส แค่ได้ยินเสียงน้ำความสุขก็ล้นปรี่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



เดินลัดเลาะตามทางขึ้นไปเรื่อยก็จะพบกับจุดหมายแห่งสุดท้ายของเรานั่นคือ สะพานศักดิสิทธิ์ Shinkyō 神橋


ขอเล่าความเปิ่นของตัวเองหน่อย จริงๆแล้วสะพานแห่งนี้ถือเป็นสะพานหน้าด่านของบรรดาวัดและศาลเจ้าทั้งปวงที่เราเที่ยวกันมา


แต่กลายเป็นว่าเราเที่ยวกันแบบ Backward กันซะอย่างนั้น มิน่าละทำไมถึงไม่เห็นพวกกลุ่มที่เจอกันตั้งแต่นอนนั่งรถขามา



สะพานชินเคียวขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าของญี่ปุ่นและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น "มรดกโลก" ในเดือนธันวาคมปี 1999


อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าสะพานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าฟูตาระซัง


มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Yamasuge-no-jabashi 山管の蛇橋 แปลว่า Snake Bridge with a Sedge



สะพานชินเคียวนั้นเป็นสะพานชักหรือสะพานไม้แบบยกข้ามช่องเขาที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น


และเป็นหนึ่งในสามสะพานที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย


(อีกสองสะพานที่ว่านี้คือ KIntai-kyō ที่จังหวัดยะมะงุจิ และ Saru-hashi ที่จังหวัดยะมะนะฌิ)


มีความยาว 28 เมตร, กว้าง 7.4 เมตร และอยู่สูงจากแม่น้ำ Daiya 大谷川 10.6 เมตร


โดยฉาบด้วยสีแดงชาดและฝั่งตรงข้ามส่วนของด้านล่างนั้นฉาบเป็นสีดำ และมีฐานที่สร้างจากหิน



ต้นกำเนิดของการสร้างสะพานแห่งนี้ไม่แน่ชัด แต่ได้มีการสร้างใหม่ในปี 1636


แต่หลังจากปี 1973 ก็ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนสามารถขึ้นไปเดินบนสะพานได้ จนกระทั่งมีการบูรณะครั้งใหญ่


ที่ใช้เวลาในการบูรณะยาวนานถึง 8 ปี ตั้งแต่ปี 1997 ถึง 2005 และใช้งบประมาณมากถึง 800 ล้านเยน


ในปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดแล้ว โดยที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 300 เยน


เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 9.00-17.00 และถึงแค่ 4 โมงเย็นในช่วงฤดูหนาว



หลังจากชมสะพานกันอิ่มจุใจแล้วก็ได้เวลากลับ ใกล้ๆกันนั้นมีร้านขายของฝากด้วย


ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อแวะซื้อที่นี่ก็ได้และมีป้ายรถบัสอยู่ก็สามารถนั่งรถบัสกลับไปลงที่สถานีเดิม คือ Tōbu Nikkō


รอแป้บเดียวรถบัสก็มา Smiley พวกเราก็พร้อมโบกมืออำลาเมืองที่แสนสวยงามรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้



เมื่อถึงสถานี เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาขึ้นรถไฟ เลยแวะหาอะไรกินเล่นกันหน่อย เพราะมีคุณป้าหน้าตาใจดี


ตะโกนเรียกพวกเราว่าให้เข้าไปช่วยอุดหนุนแกหน่อย ว่าแล้วก็เลยแวะเข้าไปดู พอเห็นเป็นขนมมันจูทอด ก็เลยถามว่ามีใส้อะไรบ้าง


ทอดร้อนๆกำลังน่าทาน ก็อดคิดไม่ได้ว่านี่ก็จะ 5 โมงเย็นแล้ว ขนมมันจูยังทอดร้อนๆวางเรียงกันอยู่เต็มเลย


คุณป้าจะขายหมดรึเปล่านะวันนี้ สรุปแล้วอุดหนุนคุณป้ามาสองชิ้นแบ่งกันกิน และ ขอบอกว่าอร่อยมากจริงๆ



หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อขึ้นรถไฟปุ้บก็นอนหลับพักผ่อนกันเลย ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็กลับมาถึงอาซะคุซะ


เลยแวะถ่ายรูปโคมแดงที่หน้าวัดเซนโซจิกันอีกรอบ เพราะว่ายังไม่เคยมีรูปที่นี่ตอนกลางคืนเก็บเอาไว้เลย


ร้านรวงต่างๆที่นากามิเซะโดริก็ปิดกันเกือบหมดแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อนกันบ้างแล้วละ



เป็นยังไงกันบ้าง เที่ยวกันอิ่มจุใจรึเปล่าครับ


ยังคงมีอีกหลายเมืองมาฝากกัน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะครับกับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley





Create Date : 12 สิงหาคม 2554
Last Update : 12 สิงหาคม 2554 10:37:01 น.
Counter : 5897 Pageviews.

8 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'NIKKO 日光' ตอน 1 มุ่งหน้าสู่เมืองมรดกโลก


ตี้ดติ้ด...ตี้ดติ้ด...ตี้ดติ้ด...ตี้ดดดดดดดดดดดดดดดด...ผัวะ!!


เสียงจากเหตุการ์ณจริงที่เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่ของวันที่หก...โอยย ปลุกกันทำไม นี่มันยังไม่เช้าเลยนะ...


สักพักเริ่มรู้สึกตัวว่าจะมานอนต่อไปไม่ได้แล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันรถไฟรอบเช้าสุด แย่กันพอดี


จึงต้องพยายามพาร่างกายอันบอบช้ำจากการใช้งานอย่างหนักหน่วงตลอดห้าวันที่ผ่านมา


ไปฟื้นฟูความสดชื่นจากมวลไม้ธรรมชาติแสนบริสุทธิ์กันที่เมืองมรดกโลก....นิกโก้ 日光



Nikkō 日光


อยู่ทางตอนเหนือห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 140 กิโลเมตร


ตั้งอยู่ในจังหวัด Tochigi 栃木県


เมืองนิคโก้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก


เนื่องจากในอดีตเป็นพื้นที่ในอาณาเขตของโชกุนตระกูลโทกุกาวะ อิเอยาสุ ผู้ก่อตั้งเมืองเอโดะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่


และปัจจุบันเป็นสถานที่ที่เก็บพระบรมอัฐิของท่านโชกุนไว้ด้วย มีสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายและมีอายุยาวนานกว่า 1,200 ปี


โดยจุดเริ่มต้นของเมืองนั้นเริ่มขึ้นโดยที่มีการสร้างวัด ก่อนตามมาด้วยศาลเจ้า Futarasan และศาลเจ้า Tōshō-gū


หมู่บ้านนิคโก้จึงพัฒนาในรอบบริเวณนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นเขตมรดกโลก


นิคโก้นั้นเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธและชินโตมานานหลายศตวรรษ ก่อนที่ศาลเจ้า Tōshō-gūจะถูกสร้างขึ้นเสร็จสมบูรณ์ในปี 1617 ซะอีก





เส้นทางที่เราจะใช้เดินทางกันในวันนี้ต้องไปตั้งต้นที่ อาซากุสะ 浅草 โดยจะเดินทางกันด้วย Tōbu Nikkō Line 東武日光線


ออกจากสถานีใต้ดินอาซากุสะที่ตั้งอยู่ด้านล่างของห้าง Matsuya Asakusa ก็มีป้ายบอกว่าจะต้องไปต่อสายโทบุที่ไหน


เดินมาตามทางถนน Edo Dōri 江戸道路 มาอีกทางเข้าหนึ่งคือ North Ticket Gate


แต่ก่อนถึงทางเข้าจะมี Tourist Information Center สามารถสอบถามข้อมูลท่องเที่ยว ขอแผนที่ท่องเที่ยวได้


และพนักงานสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษพอได้ด้วย ท่าทางจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเยอะ





เลยตัดสินใจขอคำปรึกษาเรื่อง Nikko Discount Pass ทางเจ้าหน้าที่เลยแนะนำมาว่าถ้ามีเวลาวันเดียวน่าจะเที่ยวเฉพาะที่หลักๆ


ให้เลือกแบบ World Heritage Pass น่าจะดีกว่าเพราะสามารถเข้าสถานที่สำคัญๆได้หมดแถมรวมตั๋วรถไฟไป-กลับไว้แล้วด้วย


ในราคาสุดประหยัด เพียง 3,600 เยน เท่านั้น แต่ถ้าใครที่อยากจะออกไปไกลนิดหน่อยเพื่อเที่ยวที่บริเวณทะเลสาปและน้ำตกเคกอน


เลือกแบบ All Nikko Pass ราคา 4,400 เยนที่จะประหยัดค่าโดยสารระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวได้มาก แต่จะไม่รวมค่าเข้าชมสถานที่ไว้





หลังจากนั้นเดินไปสถานีขึ้นไปชั้นสองตรงชานชาลา โชว์ World Heritage Pass ให้กับนายสถานีได้เลย


ขึ้นไปถึงรถไฟก็จอดรออยู่แล้ว เช็คชื่อขบวนนิดนึงว่าเป็นรถด่วนพิเศษรึเปล่า ไม่มีอะไรผิดพลาดก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งตามสะดวก


เพราะเช้านี้รถไฟโล่งมาก รถไฟไม่ใหม่แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน โดยเลือกขบวนเร็วที่สุดคือ Limited Express 特急 เรียกว่า SPACIA





เผลอหลับไปแบบไม่รู้ตัว แป้บเดียวใช้เวลาเกือบ 2 ช.ม. ก็ถึงสถานี Tōbu Nikkō 東武日光駅 เป็นที่เรียบร้อย


พาหนะหลักที่ใช้สำหรับเดินทางเที่ยวในเมืองนิคโก้คือ รถบัส ที่มีชื่อว่า World Heritage Bus โดยจะมีวิ่งตลอดทั้งวัน


ตารางเดินรถบัสจะมีแจกให้ตั้งแต่ตอนที่ซื้อตั๋วแล้ว ถ้าเค้าไม่ให้ก็อย่าลืมขอ


เจ้าหน้าที่บอกให้ไปรอที่ป้ายรถบัสเบอร์ 2C ซึ่งเป็นจุดที่รถบัสคันนี้จะมาเทียบจอด




บรรยากาศรอบๆสถาณี สงบเสงี่ยม เงียบเชียบ




จุดเริ่มต้นของ World Heritage Site คือ วัดรินโนจิ 輪王寺 เป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญที่สุดของนิคโก้


สร้างขึ้นโดยพระสงฆ์นามว่า Shōdō Shonin 勝道上人 ขึ้นในปี 766 ผู้ที่นำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 8


ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ที่อยู่ในหุบเขา ทำให้ต่อมาวัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของพระหลายองค์ที่แสวงหาความสงบ


เพื่อสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างสงบและมีความเป็นส่วนตัวสูง




นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Omotesandō 表参道 พอหันหลังก็จะพบกับรูปปั้นของท่าน Shōdō Shonin


และมีป้ายเขียนต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ว่า


Welcome to Nikkō Mountain - The Entrace of World Heritage Site


ตื่นเต้นๆๆ ลิ่นความขลังเก่าแก่โชยมาแต่ไกล เห็นทางเข้าใหญ่ๆอยู่ด้านหน้าให้เดินตรงเข้าไป


จะเห็นจุดจำหน่ายตั๋วให้เอาพาสที่เรามีอยู่ไปแลกตั๋วเข้าชมสถานที่ได้




โดยทางเจ้าหน้าที่จะเก็บพาสของเราไปและให้เป็นกระดาษสีขาวมาหนึ่งใบ


โดยจะแบ่งเป็นช่องๆ ระบุส่วนที่สามารถเข้าไปชมได้เป็นลำดับ


ถ้าหากเข้าไปที่แรกทางพนักงานก็จะฉีกหรือตัดตรงบริเวณภาพของสถานที่นั้นๆ


เพื่อแสดงว่าเราได้เข้ามาชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอแรกตั๋วเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปลุยกันเล้ย Smiley




แต่ก่อนเข้าไปด้านใน เยื้องกับบริเวณซุ้มขายตั๋วจะมีสวนญี่ปุ่นสไตล์โบราณขนาดเล็ก


ตกแต่งสวนด้วยหินอ่อนชื่อว่า Shōyōen 逍遙園 เดินชมนกชมไม้กันพอเป็นพิธี อย่าใช้เวลามากเพราะของดียังมีอีกเยอะ


ใกล้ๆกันนั้นจะมีศาลาที่จัดแสดงสมบัติทางพระพุทธศาสนาของตระกูลโทกุกาวะเอาไว้ด้วย


แต่หากจะเข้าชมทั้ง 2 ที่นี้จะไม่รวมกับส่วนที่เราแลกตั๋วมาเมื่อครู่นี้ ต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม 300 เยน




ภายในบริเวณวัดรินโนจิประกอบไปด้วยศาลาหลายหลัง แต่ที่มีความสำคัญที่สุดคือ


Sanbutsudō 三仏堂 หรือ Three Buddha Hall


สร้างขึ้นภายหลังในปี 1648 ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปไม้สามองค์คือ


พระอมิตาภพุทธะ (Amida) เจ้าแม่กวนอิมพันกร (Senju-Kannon) และ พุทธรูปซึ่งมีเศียรเป็นม้า (Bato-Kannon)


คุ้มครองชาวเมืองนิคโก้มานานแสนนาน ล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ แกะสลักจากไม้ขนาดใหญ่และปิดสีทองอร่าม




ด้านในนั้นห้ามถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด บรรยากาศด้านในเงียบสงบ น่าวังเวงทำเอาขนลุกแบบไม่ใช่เพราะความหนาว


และที่สำคัญมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มากแบบสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก


สามารถเขียนขอพรบนแผ่นไม้ที่เตรียมไว้ให้ได้ด้วย ทำบุญแล้วแต่ความศรัทธา





นอกจากนี้ในบริเวณยังมีสุสานของท่านโชกุนโทกุกาวะ อิเอะมิตซุ โชกุนลำดับที่สามของตระกูลโทกุกาวะ Taiyū-in Reibyō 大猷院霊廟


พร้อมกันนั้นยังเป็นจุดที่ตั้งของศาลเจ้า Futarasan และ Tōshō-gū โดยทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่าเป็นแหล่งมรดกโลก


Shrines and Temples of Nikkō UNESCO World Heritage Site



อย่างที่บอกว่าที่นี่ตั้งอยู่ในหุบเขา นอกจากอากาศจะหนาวเย็นจับใจแล้วทางเดินยังชันสุดชีวิต เดินทีทำเอาเมื่อยเหมือนกัน


ระหว่างทางเดินหลังจากชมวัดรินโนจิเสร็จแล้ว จะเห็นต้นไม้ที่มีอายุนานหลายร้อยปีสูงค้ำฟ้าอยู่ทั้งสองข้างทางเยอะแยะมากมาย


เรียงรายให้สมศักดิ์ศรีขุนเขาแห่งธรรมชาติอันเก่าแก่ สุดทางเดินนี้เราจะพบกับเป้าหมายต่อไปของเราคือ วัดโทโชกุ 東照宮


สังเกตได้จากแท่นหินด้านข้างที่สลักชื่อวัดไว้ พร้อมกับที่ด้านบนมีตราสัญลักษณ์สีทอง เป็นรูปใบไม้สามใบประจำตระกูลโทกุกาวะ




วัดโทโชกุสร้างขึ้นในสมัยของโชกุนโทกุกาวะรุ่นที่สอง คือ ท่านฮิเดทาดะ ในปี 1617


ก่อนท่านโชกุนโทกุกาวะ อิเอะยะสึ สิ้นพระชนม์ลงในปราสาทที่จังหวัดชิซุโอกะนั้น ท่านมีประสงค์ว่าให้ทำการฝังพระศพที่นิคโก้แห่งนี้


ดังนั้นวัดนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของท่านอิเอยาสุนั่นเอง ในสมัยโชกุนโทกุกาวะรุ่นที่สามคือ ท่านอิเอะมิตซึ


ได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 1634-1636 โดยใช้แรงงานคนมากถึง 4,533,648 คน ใช้เวลาทั้งหมด 17 เดือน


ด้วยจำนวนเงินมหาศาลถึง 4 หมื่นล้านเยน (เทียบเป็นเงินเยนในปัจจุบัน) 


ทั้งบริเวณวัดมีงานประติมากรรมมากถึง 5,173 ชิ้นกระจายตามจุดต่างๆนับเป็นจุดเด่นที่สำคัญของสถานที่แห่งนี้



บริเวณทางเข้ามีโทริอิขนาดใหญ่ทำจากหินเรียกว่า Ishi-Dorii 石鳥居 มีความสูง 9 เมตรและเป็นโทริอิที่ทำจากหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุด


รู้สึกทึ่งว่าสามารถแบกหินท่อนโตขนาดนั้นไปอยู่ด้านบน แล้วยังคงตั้งปักหลักอยู่ที่ฐานอย่างแน่นหนาโดยที่ไม่ล้มลงมาได้อย่างไร


เลยจากทางเข้าศาลเจ้าทางด้านซ้ายมือจะมี เจดีย์ 5 ชั้น Five-story pagoda


มีความสูง 34.3 เมตร สร้างขึ้นภายหลังในปี ค.ศ. 1650 หลังจากที่ถูกไฟไหม้เสียหายจึงได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในปี 1818


โดยแต่ละชั้นแสดงถึงส่วนประกอบต่างๆคือ พื้นดิน, น้ำ, ลม, ไฟ และ สวรรค์




บรรยากาศดูร่มรื่นย์ผสมให้อารมณ์ขลัง เพราะบรรดาป่าต้นสนด้านหลังสูงเทียมทัดยอดของเจดีย์เลยทีเดียว


ภายในได้รับการออกแบบให้รับกับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยที่แกนหลักนั้นถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ขนาดใหญ่


ประตูชั้นนอกสุด หรือ Omote-mon 御殿表門 มีสีแดงและที่สองฝั่งของประตูมีรูปปั้นยักษ์ 2 ตนที่ชื่อว่า Niō 仁王 สูง 4 เมตร


และด้านในเป็นรูปปั้นของสิงโต มีศาลาอยู่ทางซ้ายมือคือ Shinkyu-sha 神厩舎 พอดูจากชื่อแล้วถึงรู้ว่าที่นี่เคยเป็นคอกม้ามาก่อน




ที่นี่เราจะพบกับรูปแกะสลักของลิงแสนรู้สามตัว Three Wise Monkeys 三匹の猿


ถ้าสังเกตที่นี่จะเป็นศาลาเดียวที่ไม่ได้มีการขัดเงาบนไม้ ลิงสามตัวนี้เป็นภาพปริศนาธรรมที่มีใจความหลักและสอนว่า


“ไม่เห็นในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี” (See-no-evil, Say-no-evil, Hear-no-evil)



ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่ารอบศาลาจะมีภาพไม้แกะสลักภาพลิงเป็นเรื่องราว


ลิงแต่ละตัวมีชื่อว่า Mizaru 見ざる ใช้มือปิดตา, Kikazaru 聞かざる ใช้มือปิดหู, และ Iwazaru 言わざる ใช้มือปิดปาก


จริงๆแล้วอาจจะมีลิงตัวที่สี่มาเกี่ยวข้องชื่อว่า Shizaru しざる ใช้มือปิดท้องหรืออวัยวะเพศ คือสื่อว่าไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี



โดยชื่อของลิงทั้งสามตัวนั้นมาจากการเล่นคำโดยการนำคำกิริยามารวมกับคำว่า Saru ที่แปลว่าลิง


และนำไปสอดคล้องกับหลักคำสอนโบราณที่อยู่ในคัมภีร์ของขงจื้อ ความหมายของลิงทั้งสามตัวนี้ถ้าพูดเอาให้เข้าใจง่าย


นั่นคือ การพูดดี คิดดี และกระทำดี หรือมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ไม่เกิดความประมาทในการไม่มองอีกมุมหนึ่ง คือการแสร้งที่จะไม่รับรู้



โดยรอบด้านของศาลาเล่าเรื่องราวของลิงแสนรู้ทั้งสามตัวนี้ มีทั้งหมดแปดภาพ



ภาพ 1 สื่อว่า “แม่ลิงกำลังมองมุ่งไปข้างหน้าเพื่ออนาคตของลูกลิงและลูกลิงแหงนหน้าขึ้นมองแม่ลิง” 


ภาพ 2 สื่อว่า “ลูกลิงแสนรู้ทั้งสามบอกว่าเด็กไม่ควรมอง ฟัง และ พูด ในสิ่งที่ไม่ดี” 



ภาพ 3 สื่อว่า “เมื่อลูกลิงเติบโตขึ้น ก็จะต้องดำรงชีวิตตามลำพัง” 


ภาพ 4 สื่อว่า “ลิงที่กำลังมองขึ้นข้างบนด้วยความทะเยอทะยาน” 



ภาพ 5 สื่อว่า “ลิงกำลังสับสนในชีวิตและมองลงจากหน้าภาพอย่างโดดเดี่ยวโดยที่มีเพื่อนลิงให้กำลังใจอยู่ข้างกาย”


ภาพ 6 สื่อว่า “เจ้าลิงกำลังมีอาการป่วยด้วยโรครัก”



ภาพ 7 สื่อว่า “ลิงสองตัวที่เพิ่งตกลงเป็นคู่ชีวิตกัน กำลังจะลงเรือลำเดียวกันเพื่อผ่านมรสุมในชีวิตไปด้วยกัน”


ภาพ 8 สื่อว่า “ลิงตัวเมียกำลังอุ้มท้อง และ เรื่องราวก็ย้อนกลับไปที่ภาพแรก”




ใช้เวลากับเจ้าลิงแสนรู้กันพักใหญ่ ที่ใกล้ๆกันก็มีร้านของของที่ระลึกกันเลยทีเดียว แบบว่าประทับใจปุ้บก็หันมาซื้อเก็บเป็นที่ระลึกได้ปั้บ


ของที่ระลึกมีหลากหลายตั้งแต่ชิ้นเล็กจนถึงชิ้นใหญ่ และแน่นอนที่จะขาดไม่ได้ก็คือ ลิงแสนรู้สามตัว


เลยเก็บพวกกุญแจเครื่องรางลิงสามตัวที่ทำออกมาหน้าตาน่ารักคิกขุมาเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง ราคาก็ไม่แพงแค่ชิ้นละ 300 เยน


ส่วนเพื่อนอยากจะซื้อดาบญี่ปุ่นไปฝากคนที่บ้านก็เลือกซื้อกันตามใจชอบ ของแต่ละชิ้นล้วนมีความหมายทั้งสิ้น


โดยจะมีป้ายบอกไว้เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ อย่างเช่นดาบที่เพื่อนซื้อไปนั้นคือเพื่อให้ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจของที่บ้าน



ยังไม่จบเท่านี้นะครับ เดี๋ยวกลับมาเที่ยวนิคโก้ต่อกันตอนหน้า 


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley




Create Date : 06 สิงหาคม 2554
Last Update : 6 สิงหาคม 2554 15:19:59 น.
Counter : 11085 Pageviews.

2 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'SHIRAKAWA-GO 白川郷' หมู่บ้านมรดกโลก

ตอนที่แล้วยังหนาวไม่หนำใจพอ ตอนนี้จึงจะพาตามกันไปหนาวต่อให้ถึงสุดขั้วหัวใจ


แต่ไม่รู้ทำไมหนอ มาถึงแล้วกับไม่หนาวระริกอย่างคิดไว้ หรือว่าเป็นเพราะโดนหิมะทำให้เย็นชาตามกันไปแบบไม่ทันรู้ตัว


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


ทิ้งท้ายเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วว่า จะพาไปเที่ยว "หมู่บ้านเลื่องชื่อ" ที่ใครเห็นก็ต้องร้องว้าว เต้นเร่าๆอยากไปเหยียบให้ได้สักครั้ง


ตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อยากจะไปยลโฉม "หมู่บ้านที่ว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่น" โดยเฉพาะยิ่งถ้าทั้งหมู่บ้านเป็นสีขาวโพลน เส่น่ห์นั้นเกินทานไหว


งามอย่างไรที่ถึงขนาด UNESCO ก็คิดเหมือนกัน ยกย่องให้เป็น "มรดกโลก" คู่บ้านคู่เมืองสู่ความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น



ชิระคะวะโกะ 白川郷


- อยู่ในจังหวัด Gifu 岐阜県 -


หมู่บ้านชิระคะวะ Shirawaka-Mura แห่งนี้ มีแม่น้ำตัดผ่านออกสู่ทะเลสาปชิระคะวะ หรือ Shirakawa-Go


ตั้งอยู่ในหุบเขาลำธาร Shogawa ที่ถอดยาวครอบคลุมพื้นที่ถึง 2 จังหวัดยาวไปถึง Toyama 


ซึ่งในส่วนนี้ก็มีหมู่บ้านลักษณะคล้ายกัน มีชื่อเรียกว่า Gokayama 五箇山 แต่จะเล็กและเข้าถึงลำบากกว่า



การเดินทางด้วยรถบัสเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด สามารถเดินทางมาได้ทั้งจาก Takyama และ Kanazawa


โดยใช้ระยะเวลาเพียง 50 นาที แถมราคาประหยัดไป-กลับต่อคนเพียง 4300 เยนเท่านั้น (จากทะคะยะมะ)


สามารถตรวจสอบตารางเดินรถได้ที่นี่ Bus Timetable Takayama - Shirakawago - Kanazawa



(ขอบคุณภาพสวยๆจาก //www.ilovetogo.com)


องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ (ทั้ง Shirakawago และ Gokayama) เป็น World Heritge Site เมื่อปี 1995


นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและวัฒนธรรมที่เด่นชัดแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้อย่างดี


ในอดีต Shirakawago นั้นเคยถูกปกครองโดยตระกูลคะนะซะวะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 17 จนถึงยุคปฏิรูปเมจิ


เมื่อปี 1868 ก็ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหารบะฟุคุมาโดยตลอด ในขณะที่ Gokayama อยู่ในมือของตระกูลคะนะซะวะไม่เปลี่ยนแปลง



(ขอบคุณภาพชวนขนลุกจาก //www.flickr.com)


หมู่บ้านชาวนาแห่งนี้ด้วยภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศแล้วไม่ได้อำนวยต่อการปลูกข้าวไปซะทุกแห่ง ดังนั้นชาวบ้านจึงได้คิดค้น


และทดแทนด้วยการปลูกพืชผลชนิดอื่นแทน ไม่ว่าจะเป็น buckwheat และ ข้าวฟ่าง (millet) นอกจากนี้ยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์


และเป็นที่ต้องการของตลาดมากในสมัยนั้นคือ กระดาษ ที่ทำจากเส้นใยของต้น Mulberry และก็ได้ลดบทบาทลงในช่วงศตวรรษที่ 19


เพราะอิทธิพลจากฝั่งยุโรปเข้ามาแทนที่ในยุคนั้น ส่วนอุตสาหกรรมจำพวกผ้าไหมยังคงอยู่มานานจนถึงช่วงประมาณปี 1970


ไม่ว่าจะเป็นตัวไหม (silkworm) หรือใบจากต้นมัลเบอร์รี่ล้วนแต่ต้องการความดูแลเป็นพิเศษ ต้องเก็บให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม 


และด้วยเหตุนี้เองที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างบ้านสไตล์ Gasshō ของหมู่บ้านที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้



(ขอบคุณภาพถ่ายงามๆจาก //www.flickr.com ถ่ายประมาณเดือนสิงหา 2010 ดูสดใสต่างจากหน้าหนาวลิบลับ)


Gasshō-Zukuri 合掌造り หรือ Gasshō-styled House


คำว่า กัชโช่ แปลว่า การเอาฝ่ามือมาชนกัน หรือคล้ายๆกับการประนมมือแล้วแบะออก


คนญี่ปุ่นนี่เวลาจะสร้างอะไรก็ต้องมีที่มาที่ไปซะหมด น่าทึ่งก็ตรงนี้แหละน้า ถ้าไม่อ่านมาก่อนก็คงไม่รู้ว่าหลังคานี้แปลงมาจากการประนมมือ


ลักษณะที่สามารถบ่งบอกได้ดีที่สุดว่าเป็นสไตล์กัชโช่ก็คงไม่พ้นหลังคาที่ทั้งใหญ่ ยาว และ หนา ทำขึ้นจากฟาง


ทั้งนี้ที่ต้องสร้างให้มีขนาดใหญ่โตเป็นพิเศษนั้นก็เพื่อป้องกันแรงกดทับจากหิมะนั่นเอง เพราะอาจจะต้องแบกรับนน.หิมะมากถึง 500 KG Smiley



(ขอบคุณภาพสวยๆจาก //www.blogspot.com)


เพราะที่เมืองนี้ยามหิมะตกนั้น ตกแบบไม่ยั้งจนเมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้กองหิมะ อย่างที่ได้เห็นกันในรูป


ชาวบ้านไม่ได้สนุกเพลินกับหิมะอย่างพวกเรานักท่องเที่ยวนะครับ เพราะนอกจากอากาศที่หนาวถึงขั้นทรมานแล้ว


ถ้าสร้างบ้านไม่ดีพอพืชผลที่เก็บรักษาเอาไว้อาจจะพลอยได้รับผลกระทบเกิดความเสียหายอีกด้วย เผลอๆบ้านอาจจะถล่มได้ 


เอาล่ะ เล่าประวัติความเป็นมากันพอสมควรแล้ว พร้อมจะเดินเที่ยวกันรึยังครับ Smiley



ถึงแม้วันที่เรามาถึงจะไม่มีหิมะตก แต่ก็มีหิมะปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้าน เพราะเพิ่งตกหนักไปเมื่อ 2-3 วันก่อนหน้าที่จะมาถึงเอง


เรื่องอากาศหนาวคงไม่ต้องพูดถึง หนาวๆยังงี้ละของชอบ แต่ถึงยังไงก็ต้องแต่องค์ทรงเครื่องให้เข้ากะสถานที่ซะหน่อย Smiley



คุณไกด์สาวใจดีให้พวกเราลงตรงจุดจอดรถบัส แจกแผนที่ และนัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ


แถมวันนี้ใจดีเป็นพิเศษ ให้เราเดินเล่นกันถึง 2 ช.ม. เต็ม Smiley เดินลงมาก็เจอร้านของฝากเรียงรายมากมาย



แอบแวบออกนอกเส้นทางเล็กน้อย เลยได้ภาพมุมสวยๆกลับมาฝากกัน Smiley



มีป้ายหินคล้ายๆอนุสรณ์อะไรสักอย่าง พยายามอ่านแล้วแต่ตัวหนังสือเลือนลางมาก 



ไม่ว่าจะบ้านเล็กหรือบ้านใหญ่ ก็ขอให้เป็นสไตล์กัชโช่เอาไว้ก่อน Smiley



หิมะท่วมสูงมาก นี่ขนาดหยุดตกไปหลายวันแล้วนะเนี่ย ถ้ามาตอนวันหิมะตกคงเดินเที่ยวลำบากพอดู 



ประติมากรรมเล็กๆน้อยๆ ช่วยให้ดูมีสีสันน่ารัก Smiley



ถ่ายรูปที่นี่ รับรองภาพที่ได้ออกมาต้องสวยที่สุดเแน่นอน โลเคชั่นเป้ะมาก



จริงๆไม่ต้องกางแผนที่ก็เดินเที่ยวได้ หมู่บ้านไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถเดินลัดเลาะตามใจได้สะดวก


อ้อ หมู่บ้านแห่งนี้ถ้าวัดประชากรชาวบ้านกันจิงๆ อาศัยกันอยู่แค่พันกว่าคนเองนะครับ 



หมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า Ogimachi 荻町 เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด ต้องเดินข้ามสะพานไปก่อน



แวะถ่ายรูปข้างทางกันหน่อย ชาวบ้านที่นี่ช่วยกันตกแต่งซะน่ารักเชียว



เรามีนายแบบมาด้วย แก้มแดงยังกะลูกพีช วิ่งเล่นบนกองหิมะใหญ่เลย แถมยิ้มให้กล้องอีกแน่ะ Smiley



นี่ละครับสะพานที่บอก ชื่อว่า Deai-Bashi であい橋 (อ่านว่า เดะอะอิบะชิ)


ข้ามแม่น้ำสายใหญ่ของหมู่บ้าน แม่น้ำโช หรือ Shogawa 庄川 นั่นเอง มีโทริอิอยู่ด้านหน้า นั่นหมายความว่าต้องมีวัดแน่นอน



บนสะพานนี้วิวสวยมาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก ถึงมากที่สุด 



มองลงไปด้านล่างก็จะพบกับหมู่บ้าน Ogimachi 



แผนที่คร่าวๆ จาก Japan-Guide




บ้านโดยส่วนใหญ่ก็ถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ร้านขายของฝากท้องถิ่นต่างๆ ใครจะฝากท้องไว้ที่นี่ก็ดีนะครับ มีร้านน่าทานเยอะ 



กลางวันนี้ยังไม่หิวมาก แถมกลัวเสียเวลาเดินเที่ยว เลยขอแบบง่ายๆ ชมวิวไปเดินชิมไปละกัน 



ทอดใหม่ๆร้อนๆ ขนมปังแกงกะหรี่ 



ร้านโซบะ และ ร้านขายของฝาก ของที่นี่ ไม่เหมือนใครในญี่ปุ่น 



ทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ Gasshō-Zukuri Minka-en 合掌造くり民家園



เป็น Open-Air Museum ค่าเข้าชม 500 เยน เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า - 4 โมงเย็น (ช่วงฤดูหนาว)




ถ่ายรูปกับกำแพงหิมะ ว่ากันว่าเวลาหิมะตกหนักๆ หิมะจะก่อตัวสูงถึง 1.8 เมตร เลยท่วมหัวกันพอดี Smiley



ถนนหนทางตัดไว้อย่างดี ให้รถราเข้าถึงง่ายมากขึ้น ต้องขอขอบคุณทางการของญี่ปุ่นที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ


จะเห็นว่าชาวบ้านถึงแมจะคงสไตล์บ้านแบบเดิมไว้ แต่รถยนต์เข้าถึงกันแทบทุกบ้าน รุ่นใหม่ๆทั้งนั้น



เดินย้อนออกมาที่จุดชมวิวอีกครั้ง มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและมีความสุขเหลือเกิน 



เดินอ้อมไปเที่ยวหมู่บ้านอีกด้านหนึ่ง มีรูปปั้น Thinker ด้วย ท่าทางจะหนาวนะ ตัวหดเชียว 



เห็นด้วยมั้ยครับว่าที่นี่คือ หมู่บ้านที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น Smiley


ส่วนถาพข้างๆคือ หอระฆัง ตอนนั้นด้านในปิดปรับปรุงอยู่ น่าเสียดาย Smiley



ถ้าเอาผ้าใบที่คลุมสำหรับปิดปรับปรุงออก ก็จะพบว่าสวยงามอย่างที่เห็นในภาพ 



 จุดชมวิวย่อมๆ หากใครไม่มีเวลามากพอเดินไปถึง Shiroyama Viewpoint (ขอบอกว่าลื่นมากกกก Smiley)



เดินเล่นเตร็ดเตร่ลืมดูนาฬิกา ก็พบว่าเวลา 2 ช.ม.นั้นผ่านไปไวอย่างกับโกหก


ยอมรับว่ายังเดินไม่คุ้มเลย ยังมีที่ๆอยากไปอีกเยอะ ยังไม่อยากกลับ แต่ก็ไม่กลับไม่ได้ ไม่งั้นก็โดนทิ้ง ฮือๆ Smiley


คงจะต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้ง คราวหน้าขอเป็นช่วงดอกไม้บานละกัน ท่าทางจะสวยน่าดู 




แวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านเล็กน้อย 



คิตตี้จังเวอร์ชั่นกัชโช่ น่ารักมากๆๆ เลยสอยมาทั้งคู่ 



ซื้อบ้านกัชโช่จำลองไปฝากคนที่บ้านก็น่ารักดีนะครับ 




ขากลับคุณไกด์พาแวะจุดแวะพัก เลยแก้หิวด้วยราเมงชามโต


หลังจากนั้นก็นั่งรถยิงยาวเข้าสู่โตเกียว กว่าจะถึงบ้านก็เกือบๆ 3 ทุ่มแล้ว เป็นทริปสองวันที่เที่ยวคุ้มค่าสุดๆ


แถมบริการของ H.I.S ก็น่าประทับใจตลอดการเดินทาง ต้องได้ใช้บริการอีกแน่นอน Smiley



ตอนหน้ายังคงพาไปเที่ยวญี่ปุ่นกันต่อนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันซะก่อน ไหนๆก็มาแนวมรดกโลกกันแล้ว


ตอนหน้าขอนำเสนอ Nikkō เมืองเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,200 ปี


ขอบคุณสำหรับทุกๆแรงใจและทุกๆคนที่คอยติดตามเรื่อยมาครับ Smiley แล้วพบกันใหม่ตอนหน้ากับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley






Create Date : 31 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:46:06 น.
Counter : 11344 Pageviews.

8 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'KANAZAWA 金沢' ตอน ดื่มด่ำกับโฉมสวนงาม

วันนี้เรายังคงอยู่ในโปรแกรมทัวร์สัญชาติญี่ปุ่นที่เรียกว่าจัดเต็มอย่างเข้มข้นกันตั้งแต่เช้า


หลังจากที่วันแรกเดินทางจากใจกลางกรุงโตเกียวมาเที่ยวชมเมือง Takayama กันอย่างเต็มอิ่ม


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


เริ่มต้นของวันใหม่ด้วยรถบัสคันเดิม คุณไกด์สาวน่ารักคนเดิม และคุณลุงคนขับใจดีคนเดิม


ออกเดินทางจากเมือง Toyama ที่เราแวะค้างคืนกันระหว่างทาง ไปสู่เมือง Kanazawa กันทันทีไม่รอช้า



"คะนะซะวะ" 金沢


พกดีกรีความสูงศักดิ์ถึงขั้นเป็นเมืองหลวงของเขต Ishikawa ในภูมิภาค Chubu จุ๊บุจุ๊บุ กันเลยทีเดียว


เมืองแห่งนี้นอกจากจะมีชายฝั่งติดกับ Sea of Japan แล้วยังถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ขุนเขา Japan Alps อีกด้วย


ดั่งคำชวนเชิญของจังหวัดนี้ที่เห็นกันในภาพด้านบนเขียนถึงเมืองและจังหวัดนี้ไว้ว่าเป็น "เสน่ห์ที่ถูกซ่อน" ของญี่ปุ่น



เชื่อหรือไม่ครับว่าเมืองคะนะซะวะแห่งนี้เคยรุ่งเรืองสูงสุดและมีอำนาจมากในสมัยเอโดะ สมัยนั้นปกครองโดยท่านเจ้าเมือง Maeda


และด้วยความงามความยิ่งใหญ่ของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทำให้สามารถทัดเทียมกับเมืองหลวงอย่าง เกียวโต และ เอโดะ (โตเกียว) ได้เลย


ในสมัยก่อน "ข้าว" เป็นสิ่งที่มีมูลค่ามาก จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวชี้วัดระดับความร่ำรวยและส่งผลไปถึงอำนาจปกครองบ้านเมืองด้วย


และแน่นอนที่เมืองแห่งนี้ก็มีความเป็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และเป็นเมืองเกษตรกรรมชั้นเยี่ยมของญี่ปุ่นในยุคนั้น 



ถามว่าถ้าไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยว Takayama ตั้งแต่แรกจะได้มีโอกาสมาเที่ยว Kanazawa รึเปล่า


ขอบอกตรงๆเลยว่าคงไม่มี เพราะเมืองนี้ในความคิดเคยถูกรัศมีของเมืองดังอื่นๆบดบังแทบสิ้น


จนกระทั่งได้มาเยือนถึงที่เห็นกับตาว่า "เสน่ห์ของคะนะซะวะ" นี่แหละตัวจริงและยากที่จะมีใครมาลบเลือน



สถานที่ท่องเที่ยวของคะนะซะวะนั้นมีเยอะมาก มากเกินจะสามารถเก็บได้หมดภายในครึ่งวันหรือวันเดียว


เอาเป็นว่าแค่เดินชมเมืองก็หมดเวลาไปทั้งวันแล้ว เพราะกลิ่นอายอารยธรรมของเมืองนี้ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างดี


เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ที่รอดพ้นจากระเบิดและบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (รองจากเกียวโต)


เพราะงั้นทั้งวัด สถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงหมู่บ้านก็ยังคงอยู่ในปัจจุบันในสภาพที่ถือว่าสมบูรณ์มากอีกด้วย



ครั้งนี้เนื่องจากไปกับทัวร์ที่จะเน้นไปทาง Takayama และ Shirakawa-go มากกว่า จึงเหมือนกับจัดให้เมืองนี้เป็น "เมืองแถม"


เราจึงได้ไปแค่ไฮไลท์เพียงหนึ่งเดียวแต่ก็เป็นไฮไลท์ที่เด็ดที่สุด ชนิดที่ว่าเป็นของดีติดอันดับท้อป 3 ระดับประเทศเลย


ถึงแม้จะไปได้แค่ที่เดียว ขอเก็บความอยากที่ฝากเอาไว้ก่อน เอามาระบายในทริปหน้าละกัน จะจัดให้หนำใจเลย 


สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมของสถานที่ท่องเที่ยวหรืองานเทศกาลต่างๆได้ที่นี่ Kanazawa-Tourism



เกริ่นไว้ซะขนาดนี้ หลายๆคนน่าจะพอเดาออกแล้วว่าไฮไลท์ที่พูดถึงนี้ก็คือ สวน ที่ไม่ใช่แค่สวนบ้านๆทั่วไป


ถ้าจะเรียกให้เหมาะก็ต้องเรียกว่า "สวนพฤกษชาติ" ถึงจะดี มีนามว่า Kenroku-en 


ที่ได้รับการยกย่องดีกรีความงามให้เป็น 1 ใน 3 "สวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น"


และหลายคนบอกไว้ว่าที่แห่งนี้มีความสวยสมดุล "ที่สุด" ในบรรดาทั้งสวนสามแห่งอีกด้วย


เริ่มอยากรู้แล้วว่าไอ้ที่ว่าสวยน่ะสวยยังไง จะงามขนาดไหนกัน เราไปเดินชมโฉมงามของสวนแห่งนี้ไปพร้อมๆกันเลยครับ



เคนโระคุเอ็น 兼六園


สวนพฤกษชาติแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองคะนะซะวะ ใกล้กับปราสาท Kanazawa-jō


บริเวณพื้นที่ของสวนอยู่สูงกว่าระดับปกติ จึงเป็นจุดที่เหมาะที่สุดและนิยมมากที่สุดในการชมวิวเมืองแบบพานอรามา


สวนแห่งนี้มีความครบในทุกรสชาดเพราะถ้ามาที่นี่แล้วจะได้เห็นทั้งภูเขา ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ ลำธาร สะพาน รูปปั้น น้ำพุ น้ำตก หิน


และอีกมากมาย เรียกได้ว่าความร่มรื่นย์ที่สวนแห่งนี้มีให้ มาพร้อมกับความรื่นรมย์สุนทรีย์อย่างแท้จริง



มีดีกรีถึงสวนสวยระดับชาติขนาดนี้ ถ้าจะไม่มีคู่แข่ง อืม...เรียกอย่างนี้คงดีกว่าว่า สวนพี่สวนน้องที่แข่งขันอยู่เคียงข้างกันมา


ราวกับอยู่บนเวทีประกวด Miss Japan National Park ก็ต้องยกให้ 2 สวนงามด้านบนแห่งนี้


ผู้เข้าประกวดทางซ้ายคือ Kairakuen 偕楽園 แห่ง จ.Mito และ ผู้เข้าประกวดทางขวาคือ Korakuen 後楽園 แห่ง จ.Okayama


 ถึงแม้จะยังไม่เคยมีใครการันตี ออกมาป่าวประกาศก้องว่า เคนโระคุเอ็มนั้นหงามหยดย้อยที่สุด


แต่ถ้าฟังจากปากต่อปาก ความเห็นของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวแล้ว มงกุฎคงจะต้องสวมให้กับ Kenrakuen แห่งนี้นี่แหละ



(ภาพสวยๆจาก Japan-Guide บริเวณร้านค้ารอบๆสวนเคนโระคุเอ็น)


เดิมทีสวนแห่งนี้อยู่ในอาณาเขตของปราสาทคะนะซะวะ เป็นสวนหลวงรอบนอกของปราสาท ในปกครองของท่านเจ้าเมือง Maeda


ใช้เวลาสร้างยาวนานร่วม 2 ศตวรรษ และไม่สามารถให้คนนอกเข้ามาเหยียบย่างกรายในอาณาจักรได้อย่างในตอนนี้


จนกระทั่งทางการได้เข้ามาบูรณะในภายหลัง เมื่อปี 1871 สวนแห่งนี้จึงได้เปิดสู่สายตาสาธารณะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



ปัจจุบันต้องเสียค่าเข้าชม คนละ 300 เยน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น (ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน + เพิ่มหน้าหลัง 1 ช.ม.)


แต่ถ้าใครอยากเข้าชมฟรี เค้ามีชั่วโมง Early Admission ถ้าหน้าหนาวก็ต้องไปแต่เช้าตรู่ประมาณ 6 โมงเช้านู่น (ถ้าหน้าร้อนตี 5 นะ)


หรือไม่งั้น ถ้ามาช่วยเทศกาลฮานามิ ดอกซากุระบาน เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดทั้งวันครับ



เราเดินทางมาถึงกันตั้งแต่เช้า สภาพถนนด้านหน้าก็เงียบเชียบตามสไตล์ชนบท นี่ขนาดอยู่ใจกลางเมืองแล้วนะนี่


ที่เห็นอยู่ด้านหน้าก็คือเคนโระคุเอ็นแล้ว แต่ทางเข้าต้องเดินอ้อมไปอีกฝั่งนึง ประมาณ 5 นาทีครับ



งานนี้เดินชมกันตามอัธยาศัยนะครับ ไม่มี fix เส้นทาง อยากเดินไปทางไหนยังไงก็ได้ตามใจชอบ


เพราะสุดท้ายแล้ว ทางจะวนกลับออกมาที่ทางออกเดิมกับที่เราเข้ามา คุณไกด์ให้เวลา 1 ช.ม.เต็ม



แอบเห็นเกล็ดหิมะเบาๆ เพราะ 4-5 วันก่อนที่เราจะมาถึงรู้สึกว่าจะเพิ่งตกไป น่าเสียดายจัง ถ้าได้เห็นป่าเขียวๆมีหิมะปกคลุมคงสวยน่าดู


เจดีย์หิน 5 ชั้นนี้มีชื่อเรียกว่า Omuro-no-tō 御室の塔 ได้มาจากพระราชวัง Omuro (วัด Ninanji) ในเกียวโต 



ถึงแม้จะไม่มีความรู้ด้านสวนญี่่ปุ่นแต่อย่างใด แค่มองด้วยตาก็รู้แล้วว่า สวนแห่งนี้นี่สวยสมชื่อจริงๆ



เดินออกมายังบริเวณสวนกลาง ที่ๆเป็นจุดรวมของนักท่องเที่ยว



มีรูปปั้นของท่านผู้นี้ตั้งอยู่อย่างโดเด่นมาก (ใครทราบว่าเป็นใครช่วยบอกทีนะครับ Smiley) จะเป็นไปได้มั้ยว่าคือท่านมาเอดะ??


ส่วนต้นใหญ่ๆที่อยู่ข้างหลัง ถ้ามาตอนช่วงฤดูใบไม้ผลี ทั้งต้นจะเป็นสีชมพูเลยครับ ใช่แล้ว นี่คือต้นซากุระนั่นเอง



เดินทางมาถึงกลุ่มต้นสน Karazaki pine 唐崎 อันเลื่องชื่อ ถ้าเป็นเพียงสนธรรมดาก็คงไม่หวือหวา แต่ด้วยความงามที่บรรจงสรรสร้าง


ด้วยเชือกนับร้อยเส้นที่ผูกอย่างหนาแน่นตั้งแต่ยอดจนปลายยันฐานนี้ โดดเด่นดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้อง


เชือกที่ผูกรอบคล้ายกับร่มที่ห่อหุ้มต้นสนทั้งต้นอยู่นี้จะมีให้เห็นในช่วงหน้าหนาวเท่านั้น


บรรดาคุณลุงผู้ดูแลสวนจะเริ่มร้อยเชือกเหล่านี้ในช่วงปลายปี (พ.ย.) เพื่อให้ทันก่อนที่หิมะจะตกและจะถอดออกในช่วงเดือนมีนาคม


ร่มเชือกนี้มีชื่อเรียกว่า Yukitsuri 雪吊 มีประโยชน์เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กิ่งก้านของสนหักโค่นลงมายามหิมะตกและก่อตัวหนา



ริมสระ Kasumiga Ike 霞池 สระที่ใหญ่ที่สุดในสวนนี้ งดงามจริงๆ



อีกมุมหนึ่ง น้ำใสราวกับกระจกเงา แถมมีกระท่อมเล็กๆ ประดับบรรยากาศ



 ถึงแม้จะหนาวแค่ไหน ก็ยังพอมีดอกไม้สีหวานๆให้เห็น



มีดอกอะไรไม่รู้หน้าตาแปลกๆ



เหนื่อยก็มีที่ให้นั่งพัก ชิลล์กับบรรยากาศร่มรื่นย์รอบด้าน



ในน้ำมีปลา แต่ไม่มีนาแถวนี้ เดินๆเลาะสระ ทอดน่องมาอีกด้านหนึ่ง


น้ำพุแห่งนี้ หรือ Funsui 噴水 มีความเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น แหล่งน้ำมาจากสระ Kasumiga Ike สูง 3.5 เมตร



แวะซื้อของฝากกันหน่อย



ของขายดีประจำทุกเมือง มีทุกร้าน



นกฮูกน้อยให้โชคแห่งเมืองคะนะซะวะก็มา



เดินขึ้นมาชมวิวส่งท้าย เก็บความทรงจำแบบพานอรามากัน



บ้านเมืองกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักมาก ไม่มีตึกสูงๆมาบดบังทัศนียภาพ



ขากลับคุณไกด์สาวพาแวะร้านขายของที่ระลึก ที่ทุกอย่างทำมาจากทอง ทอง ทอง และ ทอง


Hakusa ร้านนี้เป็นร้านชื่อดัง งานฝีมือทุกชิ้นต้องมีส่วนผสมของทองคำเปลว


เพราะคะนะซะวะนั้นเป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวที่สำคัญ ตามชื่อเมือง คะนะ หรือ คิน ที่แปลตรงตัวว่า "ทอง"


(ห้องทั้งห้องทำด้วยทองคำเปลว อลังการงานสร้างมาก)



คุณลุงเจ้าของร้านกำลังสาธิตวิธีการทำทองคำเปลวให้ชม



งานแต่ละชิ้น พอเห็นราคาแล้ว ถึงกับตะลึง สะอึกไปพักใหญ่



งานชิ้นเล็ก ราคาน้อย พอรับได้ ก็มีขาย



น่ารักๆทั้งนั้น



ขนาดขนมก็ยังไม่เว้น น่าอร่อยมั้ยละครับ



เป็นอันว่าจบโปรแกรมคะนะซะวะแบบพอหอมปากหอมคอกันแค่นี้ ถ้าใครยังพอมีเวลาก็ลองเดินไปชมปราสาทด้วยนะครับ



หลังจากนี้ขึ้นรถบัสออกเดินทางสู่เป้าหมายสุดท้ายของทริป หมู่บ้าน Shirakawa-go


เอาภาพระหว่างทางมายั่วน้ำลายกันก่อน



แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับกับ


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley





Create Date : 23 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:46:19 น.
Counter : 8914 Pageviews.

5 comment
นกน้อยพาเที่ยว - ญี่ปุ่น 'TAKAYAMA 高山' ตอน 2 ย้อนยุคเดินเมืองเก่า

เดินทางมาถึงเมือง Takayama เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อากาศกำลังดี มีลมพัดสบายๆ ไม่หนาวมาก


Smiley อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ Smiley


คุณหัวหน้าทัวร์ให้เวลาเดินเล่นในย่าน Old Town เป็นเวลา 80 นาที (น้อยจัง Smiley)



สามารถ Download ข้อมูลท่องเที่ยวของ JNTO ได้ที่นี่นะครับ Takayama & Shirakawago [PDF]


คุณหัวหน้าทัวร์แจกแผนที่เมือง พร้อมนัดแนะเวลาและสถานที่นัดพบเสร็จสรรพ


เพื่อไม่ให้เสียเวลา (ยิ่งมีน้อยๆอยู่) ออกเดินตะลุยเมืองเก่ากันเลย 



"Sanmachi" Old Town 三町


 เมืองเก่าแห่งนี้ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีให้อยู่ในสภาพคงเดิมมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (ช่วงปี 1600-1868)


โดยหมู่บ้านในสมัยก่อนจะเป็นของบรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการค้าขายและธุรกิจเงินกู้ บางร้านยังเปิดค้าขายมานับร้อยๆปีแล้วด้วย 


อาคารบ้านเรือนบางส่วนได้รับการปรับปรุงดูแลและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมด้านในได้ เรียกว่า Old private House 古い町並


วิธีชมเมืองที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการเดินหรือจะใช้บริการรถลากก็ได้ สนนราราอยู่ที่ 6,000 เยนต่อครึ่งชั่วโมงสำหรับ 2 คน (แพงนะเนี่ย) 



ลงจากรถก็เจอสถานที่แห่งนี้อยู่ด้านหน้า ที่นี่คือ


Takayama City Archives Museum หรือ Takayama Memorial Hall 高山市記念館


ใครชอบแวะพิพิธภัณฑ์ก่อนออกเดินเที่ยว ลองเข้าไปดูประวัติความเป็นมาของเมืองได้ที่นี่เลย 



บริเวณนี้น่าจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมารวมตัวกันเยอะที่สุด มีแต่ร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่รอบตัว


แต่ที่สำคัญร้านแต่ละร้านยังอยู่ในสภาพบ้านเรือนแบบดั้งเดิมแทบทั้งนั้น นี่ละนะ เสน่ห์แบบคลาสสิคที่ช่วยกันรักษาเอาไว้



กองทัพซารุโบโบ มีเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็เจอ



มาถึงจุดไฮไลท์แรก สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า Nakabashi 中橋



 ข้ามแม่น้ำ Miyagawa 宮川



ทุกปีที่เมืองนี้จะมีเทศกาลใหญ่ประจำปี เรียกว่า Takayama Festival 高山祭


โดยจะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ Spring Festival (14-15 เมษายน) และ Autumn Festival (9-10 ตุลาคม) ของทุกปี


งานเทศกาลทะคะยะมะ นี้ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของงานใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของญี่ปุ่นด้วย



Spring Festival เป็นงานเทศกาลของศาลเจ้า Hie ที่อยู่ทางฝั่งเหนือของเมืองเก่า


มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Sanno Festival ตามชื่อของศาลเจ้าอีกชื่อหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันว่า Sanno-sama  


Autumn Festival เป็นงานเทศกาลของศาลเจ้า Hachiman ที่อยู่ทางฝั่งทางใต้ของเมืองเก่า


มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Hachiman Festival



และสะพาน Nakabashi แห่งนี้นั่นเองที่เป็นเส้นทางหลักของเทศกาลทั้งสอง



ข้ามจากสะพานนี้ไป เดินตรงขึ้นไปไม่ไกล ก็จะพบกับ Takayama Jinja 高山神社


สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำการของคณะรัฐบาลในยุคสมัยตระกูลโชกุนโทคะคะวะ ตั้งแต่ปี 1692 จนกระทั่งปี 1969


ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ เสียค่าเข้าชม 420 เยน (แต่ว่าครั้งนี้เราขอผ่านไปก่อนนะครับ เลยไม่ได้พาเข้าชมด้านใน) 



ตอนนี้เริ่มออกนอกเขตไปไกลเกินไปแล้ว กลับเข้าไปเดินแถวๆ center ตรงถนน Sanmachi さんまち通り


ผ่านร้านขายของที่ระลึกอีกร้าน น่าซื้อมาไว้แขวนตรงสวนในบ้าน เสียงใส ดังกรุ๊งกริ๊งตลอดเวลา



แอบเจอคนไทยด้วย มาเที่ยวกันเอง 2 คน ไม่รู้ว่าเป็นสมาชิกของที่นี่กันรึเปล่า ถ้าจำกันได้ก็อย่าลืมทักทายนะครับ



เดินไปเดินมา เจอร้านนี้คนเข้าคิวกันแน่นขนัดเชียว ท่าทางจะอร่อยนะเนี่ย 


เห็นว่าเป็นร้านขึ้นชื่อขาย Minchi-Katsu ミンチカツ มันบดผสมเนื้อชุบเกล็ดขนมปังทอด



ระหว่างยืนรอ ฝั่งตรงข้ามร้านเป็นโกดังโบราณ รูปทรงตึกสวยแปลก ตอนนี้กลายเป็นร้านอาหารไปแล้ว



Family Mart สาขานี้นอกจากจะใหญ่โตกว่าที่อื่นแล้ว หน้าตายังไม่เหมือนที่ไหนอีกด้วย



แวะกินไอศครีมโคนหวานอร่อยชื่นใจไปพลางชมเมืองเก่าไปพลาง


(คนญี่ปุ่นเรียกว่า Softcream ソフトクリーム อ่านว่า โซะฟุโทะคุริหมึ ฮาดี)


ส่วนเจ้าลูกกลมๆที่แขวนอยู่ด้านหน้าทางเข้าเรียกว่า Sugidama 杉玉 ทำมาจากต้นสนชนิดหนึ่ง (Cedar)


มีให้เห็นทั่วทั้งเมือง ถ้าร้านไหนมีแขวนไว้แปลว่า ร้านนั้นเป็นร้านขาย เหล้าสาเก ที่เป็นสินค้าพื้นเมืองของ Takayama 



มองไปทางไหนก็เจอแต่สีน้ำตาลแก่ของไม้เก่าที่ชาวบ้านนำมาใช้สร้างบ้าน อนุรักษ์ไว้ได้ดีอย่างที่พูดไว้



มาถึงถนนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกันแล้ว ร้านค้าสองข้างทางขายข้าวของกันคึกคักน่าดู



ใครที่ทานเนื้อวัวได้ที่นี่เค้ามี ฮิดะกิว 飛騨牛 ของขึ้นชื่อของที่นี่ให้ได้ลิ้มลอง หรือจะเป็นกับแกล้มพร้อมจิบเหล้าสาเกก็สามารถ



ย่านนี้แหละเก่าของแท้



ถนนเส้นนี้มีนักท่องเที่ยวมาเดินกันอุ่นหนาฝาคั่ง 



ย่านเมืองเก่า ก็ต้องมีสมบัติเก่าๆมาประดับให้ได้บรรยากาศ แค่วางเฉยๆก็ขลังแล้ว



ใครอยากชิม Softcream ก็มีหลากหลายรสชาดให้เลือก อย่างของร้านนี้ รสที่แนะนำก็มี


รสแอปเปิ้ล (ทำจากแอปเปิ้ลทะคะยะมะ) รสวนิลา (ทำจากนมวัวทะคะยะมะ) หรือ รสชาเขียว


ส่วนใครอยากชิมเนื้อวัวฮิดะก็มีแบบเสียบไม้ย่างขายด้วย กินกันง่ายๆไม่ต้องเข้าไปในร้านใหญ่ๆ 



หรือจะกินเป็นแบบซูชิก็น่าจะอร่อยไม่แพ้กัน



ในความเก่าแก่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น



จากจุดนี้สามารถเดินต่อไปวัด Hida Kokubunji 飛騨国分寺 ได้


เป็นวัดแห่งเดียวที่มีเจดีย์ในบรรดาวัดรอบๆ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 746 เป็นวัดที่เก่าแกที่สุดใน Takayama



เจดีย์เก่า 3 ชั้น ได้รับการบูรณะเมื่อปี 1821



ใกล้หมดเวลาเต็มที คงต้องเดินกลับไปที่จุดนัดซะแล้ว แวะหาซื้อของฝากกันหน่อยดีกว่า



มีสินค้าให้เลือกเยอะแยะมากมาย แพกเกจจิ้งน่ารักทั้งนั้นเลย



ซารุโบโบจัดเต็มมีทุกรูปแบบ



ตุ๊กตาซารุโบโบน่ารักน่ากอด ไซส์ใหญ่พอดีมือ ราคาประมาณ 550 บาท



 ขอสักรูปส่งท้าย เป็นเมืองที่น่ารักจริงๆ สัญญาว่าจะกลับมาอีกรอบแน่นอน Smiley



ออกเดินทางเข้าสู่เมือง Toyama 富山 ซึ่งทางทัวร์จัดให้เราพักค้างคืนกันที่เมืองนี้


ระหว่างทางก่อนเข้าโรงแรม แวะร้านยาสมุนไพรโบราณของขึ้นชื่อเมือง Toyama ด้วย



คุณลุงเจ้าของร้าน ออกมาสาธิตวิธีการทำให้ดูกันสดๆ


เท่าที่ฟังดูเหมือนจะเป็นยารักษาอาการปวดเข่าปวดข้ออะไรประมาณนี้นะครับ (ฟังยากมาก)



ใครสนใจก็สามารถเลือกซื้อกลับบ้านกันได้



บรรยากาศเมืองรอบๆ เงียบเหงาดีแท้ เมืองนี้จะเป็นจุดพักระหว่าง Takayama และ Kanazawa


ซึ่งเป็นเมืองที่เราจะไปเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น โดยตัวเมือง Toyama เองไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรเด่นมากนัก 



 ประมาณ 6 โมงเย็นก็เดินทางมาถึง APA Hotel เป็นที่เรียบร้อย ที่นี่มี Spa และ Onsen ให้ใช้บริการกันตามอัธยาศัยด้วย


ส่วนมื้อเย็นเป็นหน้าที่ของทางทัวร์จัดการให้กินบุฟเฟท์ไม่อั้น 1 ชั่วโมงที่ห้องอาหารของโรงแรม (คนญี่ปุ่นเรียกว่า Biking バイキング)



 มีนกน้อยรอต้อนรับอยู่บนเตียง ไม่เคยเห็นโรงแรมที่ไหนพับนกกระดาษไว้ตอนรับแขกแบบที่นี่ น่ารักดี



คืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะพรุ่งนี้โปรแกรมอย่างแน่นตั้งแต่เช้า Smiley



Smiley แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับกับ 


Smiley นกน้อยพาเที่ยว Smiley




Create Date : 15 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 14:46:31 น.
Counter : 16654 Pageviews.

16 comment
1  2  3  4  5  

Bird Freedom
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]



All Blog