Group Blog
 
All Blogs
 

นั่งสมาธิอายุยืนจริงหรือ?


ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมาย เป็นที่น่ายินดีว่าได้มีการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือได้ ลองพิจารณาบทความเรื่อง “ชีวิตก้าวหน้า” ของนิวตรอน ดังต่อไปนี้

พิสูจน์ได้แล้ว การทำสมาธิ ทำจิตใจให้ว่าง เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ยังคงดูหนุ่มสาว ชั่วแต่เพียงทำให้ได้วันละแค่ ๒๐ นาทีเท่านั้น

รายงานการศึกษาอันน่าตื่นใจ เปิดเผยในวารสารเวชศาสตร์พฤติกรรม เล่มใหม่ กล่าวว่า ผู้ทำสมาธิจะมีปริมาณฮอร์โมนอายุยืนในร่างกาย มากเท่ากับผู้ที่หนุ่มสาวกว่าตั้ง ๕ - ๑๐ ปี พร้อมกับสอนว่าเพียงแค่หาที่นั่งสมาธิตามมุมสงบ จะนั่งเก้าอี้หรือนั่งกับพื้นก็ได้ ปล่อยตัวตามสบาย นั่งหลังตั้งตรง แล้วทำจิตใจให้ว่างเท่านั้น

“การนั่งสมาธิทำให้เรารู้จักชีวิต มีขันติ และจิตใจสบาย” หมอเจย์ แกลเซอร์ ที่ศูนย์สาธารณสุข ที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐแมสซาจูเส็ตต์ กล่าวและบอกว่า “ความแก่ชรานี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันก็คือความเครียดที่ฝังสะสมอยู่มานานนั่นเอง” การศึกษาคุณประโยชน์ของการทำสมาธิครั้งนี้ ได้ทำกับผู้นั่งสมาธิ ๔๒๓ คน เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ วัยตั้งแต่ ๒๐ ถึง ๘๐ ปี จำนวน ๑,๕๒๕ คน

ก่อนหน้านี้ แพทย์และผู้เชี่ยวชาญคนอื่น อย่างเช่น

แพทย์ใหญ่เบอรนี่ ฟอร์เมอร์ ศาสตราจารย์แพทย์ มหาวิทยาลัยเยลของอเมริกา ก็บอกอย่างเชื่อมั่นว่า การทำสมาธิสามารถป้องกัน และแม้แต่รักษาโรคอย่างข้ออักเสบและมะเร็งให้หายได้ และยังได้เผยว่า ใน ประเทศฮอลแลนด์ได้มีการศึกษาพบว่าผู้ทำสมาธิจะเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยกว่าธรรมดา ตั้งครึ่ง มีเอกสารเรื่องของคนที่ใช้พลังจิตพิชิตโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เอาชนะโรคที่ทำให้พิกลพิการอย่างโรคข้ออักเสบ ให้กลับมีชีวิตอย่างแข็งแรงได้ อยู่ตั้งมากมายหลายราย

จากหนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม ๗




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 17:28:50 น.
Counter : 363 Pageviews.  

จับกบบ่อยๆ อันตรายหรือไม่?


ใครหลายคนคงมีความเชื่อว่าหากจับเนื้อต้องตัวกบหรือคางคก อาจจะเป็นหูดได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

ความเชื่อที่บอกว่าหากจับเนื้อต้องตัวกบหรือคางคกแล้วจะเป็นหูดได้ ความจริงแล้วไม่ใช่เลย แต่ถ้าจะเป็นหูด ต้องได้รับเชื้อไวรัสบางชนิดที่ผิวหนัง ไม่ใช่จากการจับถูกตัวสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างกบ หรือ คางคก อันที่จริงผิวหนังที่เป็นมันลื่นของกบ มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นในเวลาที่กบไม่ได้อยู่ใน น้ำเท่านั้นเอง

ส่วนผิวปุ่มๆ ของกบหรือคางคกบางชนิดนั้นใช้สำหรับการพรางตัวให้พ้นจากการล่าหรือถูกจับกิน หรือซ่อนตัวเพื่อหาอาหารโดยปลอมแปลงสีให้ดูคล้ายกับใบไม้ กิ่งไม้ หรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่ แต่สารที่หลั่งจากต่อมบริเวณกระหม่อมของกบและคางคก อาจมีพิษระคายเคืองต่อผิวหนัง และอาจมีพิษต่อสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข เพราะถ้าสุนัขไปคาบคางคกเข้าละก็ปากจะบวมเป่งจนน่ากลัว จนต้องพาไปหาหมอฉีดยาโดยด่วนเลย

รู้อย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวที่จะจับกบหรือคางคกอีกต่อไป รับรองว่าไม่เป็นหูดอย่างที่คิดแน่นอน

ที่มา : dailynews.co.th




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 17:04:13 น.
Counter : 414 Pageviews.  

ขับถ่ายทุกเช้า ช่วยลดกลิ่นกาย!


ใครทราบบ้างว่า การขับถ่ายทุกเช้า สามารถลดกลิ่นกายได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

กลิ่นกายเกิดจากการปรับฮอร์โมนเพศในร่างกาย โดยเริ่มเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น เช่นเดียวกับการมีประจำเดือนของเด็กผู้หญิง หรือเสียงแตกของเด็กผู้ชาย และการที่เด็ก ๆ มักไม่ค่อยได้กลิ่นตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าประสาทรับรู้กลิ่นนั้นอ่อนล้าง่าย ไม่ว่าจะหอมหรือเหม็น เมื่อดมนานเข้าก็จะไม่รับรู้กลิ่นเดิม กลิ่นตัวจึงมีลักษณะดมติดเป็นนิสัย คนอื่นรู้สึก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึก

ช่วงเวลาตี 5-7 โมงเช้า เป็นเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ถ้า ใครยังไม่ขับถ่าย ปล่อยปละจนเวลาเลยมาถึงช่วง 9 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก ของเสียจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็กกลับมาถูกดูด ซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งอุจจาระเก่าจะมีแก๊ส ที่เสียแล้วเกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายที่มีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด

ผลที่ตามมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงถึงบ่าย อาจรู้สึกง่วงนอนเพราะเลือดที่ไม่สะอาดเมื่อไหลไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำให้อ่อน ล้าไม่สดชื่น นอกจากนี้การที่เลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว

การที่ไม่ค่อยขับถ่ายตอนเช้าหลายวัน บางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดอาการท้องอืดได้ ที่น่ากลัว ใครที่ละเลยการขับถ่ายในช่วงเช้าเป็นเวลาหลาย ๆ ปี เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็วกว่าปกติอีกด้วย

วิธีแก้ คือ ใครที่ไม่ค่อยถ่ายในช่วงเช้า ให้กินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00-09.00 น. แต่ถ้ากินข้าวเช้าแล้วยังไม่ค่อยขับถ่าย ก็ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ไปในตัว

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมขับถ่ายให้เป็นเวลา จะได้มีสุขภาพที่ดี.




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 12:55:24 น.
Counter : 308 Pageviews.  

5 Super Foods ที่สาวๆ ขาดไม่ได้


วันนี้จัดเมนูสุขภาพมาฝากสาว ๆ เพื่อเอาไว้ดูแลสุขภาพ และป้องกันโรคเสี่ยงที่เป็นกันในหมู่ผู้หญิงเรา เมื่ออายุอานามมากขึ้น ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

1. โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการติดเชื้อในช่องคลอด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงป้องกันปัญหากระดูกพรุนได้ด้วย

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

2. ปลาที่มีไขมัน ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี ซึ่งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

3. ถั่ว ทั้งถั่วที่กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว และถั่วเมล็ดรูปไต เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง มีไฟเบอร์สูง มีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สำคัญส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

4. มะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้ดูอ่อนเยาว์ เพราะช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำลาย

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

5. เบอร์รี่ เบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ มีแอนโตไซแอนส์ (anthocyans) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งระบบทางเดินอาหาร

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

อยากเป็นสาวสวยสุขภาพดี ต้องดูแลตั้งแต่วันนี้นะคะ

ที่มา : ชีวจิต




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 10:28:53 น.
Counter : 288 Pageviews.  

ช้าสักนิด ชีวิตมีพลัง!!


กลางสัปดาห์ก็ยังกล่าวต่อกันด้วยเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต ‘Slow Life’ ปรับ ลดความเร็วของการคิด พูด ทำ ให้อยู่สุขสงบบนทางสายกลางอย่างพอเพียง

"สามัญประจำบ้าน" วันนี้ มีเคล็ดไม่ลับในการปฏิบัติตัวให้ช้าลง แล้วประโยชน์นั้นจะเกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกาย โดยเริ่มจากการกิน ที่ใคร ๆ มักจะตักอาหารใส่ปาก รีบกิน รีบเคี้ยว รีบกลืน ซึ่งไม่เป็นผลดีเพราะอาหารจะถูกย่อยยากและช้าขึ้น จนบางคนอาจรู้สึกไม่สบายท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ส่วนผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนัก การกินเร็วจะไม่ทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้นได้

แล้ววิธีการกินให้ร่างกายได้สุขภาพจะต้องทำอย่างไร? เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เกี่ยวข้องกับ ‘สมอง’ เพราะสมองจะส่งความรู้สึกอิ่มหลังการกินอาหาร เข้าไปแล้วราว 20 นาที เนื่องจากร่างกายส่งสัญญาณไปว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดขยับตัวสูงขึ้นแล้ว เพราะ ฉะนั้นการรีบกินอย่างเร็วในช่วง 20 นาทีแรก อาจทำให้คุณอิ่มเกินจริง หรือจุกเสียดได้ แต่ที่ควรทำคือเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งต่อคำแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้กินได้น้อยลงและย่อยง่ายเสริมเติม นอกจากการกินให้ช้า เคี้ยวอย่างละเอียด...ชาวโอกินาวา ในญี่ปุ่น นิยมใช้เทคนิค การกินอาหารให้อิ่มเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ เขาถือว่าเป็นระดับความอิ่มแบบพอดี ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการดื่มน้ำตาม ผลลัพธ์จึงทำให้ชาวบ้านในบ้านเมืองนั้นไม่ค่อยอ้วนลงพุง และสุขภาพดี

อีกเรื่องคือ "การหายใจ" ที่ขอเวลาเพียงอย่างน้อยวันละ 15 นาที ตั้ง สติให้ความสำคัญกับการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการเติมพลังให้กับปอด แถมยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย

นอกจากข้อควรคำนึงทั้งสองอย่างข้างต้นนั้น ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ทุกคนรู้ แต่ไม่ค่อยใส่ใจทำ อย่างเช่น การพักผ่อนให้เพียงพอในช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำแล้วช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว

พรุ่งนี้ "ยืดเส้นยืดสาย" มีวิธีการออกกำลังกายที่ทำได้ทุกวันและทุกที่มาฝาก

ที่มา : เดลินิวส์




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 20:13:24 น.
Counter : 260 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.