Group Blog
 
All Blogs
 

จาก TM สู่ โยคะแห่งมันตระ

ในยุคซิกตี้ แนวทางการฝึกสมาธิแบบ Transcendental Meditation หรือ TM ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกตะวันตก โดยการนำของ มหาฤๅษี มเหศโยคี (Maharishi Mahesh Yogi) กูรูผู้โด่งดังในยุคนั้น ทำเอาฝรั่งตาน้ำข้าวยินดีจ่ายเงินมากมาย เพื่อแลกกับ "มันตระ" ส่วนตัว เพื่อใช้ในการบริกรรมภาวนา

โยคะแห่งมันตระ, โยคะ

ผลลัพธ์แห่งการฝึก TM นี้ก็ถูกพิสูจน์ออกมาทางวิทยาศาสตร์และผลงานวิจัยมากมายในแง่ผลที่ได้ต่อ สภาวะร่างกายและจิตใจของผู้ที่เข้ารับการฝึก TM ไล่เลียง มาตั้งแต่เรื่อง ปัญหาในระบบการหายใจต่างๆ ได้รับการเยียวยา ระบบการทำงานของปอด การลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด การชะลอความแก่ เรื่องของความดันในโลหิตลดลง โรคหัวใจ และแน่นอนผลทางจิตใจ มีความสุขสงบ ลดความฟุ้งซ่านของจิต มีสมาธิดีขึ้น หลับง่าย คลายเครียด หลังจากกระแส TM โด่งดังเป็นพลุแตก ผู้คนหลั่งไหลทุ่มเงินไม่อั้น เพื่อให้ได้มันตระมาภาวนาฝึกสมาธิ สุดท้ายก็มีผู้ออกมาเปิดโปง เผยความลับว่า "มันตระ" หรือมนตราที่เคยถูกบอกว่าเป็นความลับและเฉพาะตัวบุคคลนั้น แท้ที่จริงก็ได้มันตระเดียวกัน นั่นก็มันตระแห่ง "โอม" (AUM) นั่นเอง คนไทยเราก็คุ้นเคยกับเสียงแห่งโอมมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ ยามเมื่อเราหกล้ม หัวโน เข่าถลอก คนเฒ่าคนแก่ ก็จะทำปากขมุบขมิบท่องมนต์ที่เราก็ฟังไม่ออกแต่จะลงท้ายด้วยคำว่า "โอม...เพี้ยง" ทุกครั้งไป แล้วเราก็กลับไปวิ่งเล่นใหม่ได้อีกราวกับว่าอาการเจ็บเหล่านั้นหายไปเป็น ปลิดทิ้ง จนเติบโตขึ้นมา ในโลกสมัยใหม่ มีชีวิตสำเร็จรูปที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยา ศาสตร์ เรื่อง "โอม...เพี้ยง" รวมถึงเรื่องราวโบร่ำโบราณ อีกมากมายก็ดูคล้ายว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระไม่น่าเชื่อถือ และดูจะหมดความหมายคลายความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียด้วยซ้ำ กลับไปมองโลกตะวันออกอย่างอินเดีย เสียงแห่ง “โอม” (AUM) ถือได้ว่าเป็น เสียงแห่งจักรวาล เป็นเสียงศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเสียงที่เกิดขึ้นมาก่อนสรรพชีวิตใดๆ และการเปล่งเสียงนี้เช่นกันก็จะทำให้เรากลับไปสู่สภาวะแห่งการเข้าถึงพระ เจ้า อันเป็นสภาวะแห่งความบริสุทธิ์ ความดี ความงาม และความจริง  ในทางฮินดู "โอม" ถือว่าเป็นรากแห่งมันตระ หรือมนตราที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ในทางฮินดูเท่านั้น หลายๆ ศาสนาทางตะวันออก จะมีคำว่า "โอม" อยู่ในบทสวดสำคัญๆ อยู่ด้วยทุกครั้งไป ในทางโยคะ "โอม" การเปล่งเสียงแห่ง โอม ซึ่งจะออกเสียงเป็น อะ อู มะ นั้น นอกจากจะเป็นการภาวนาเพื่อนำพาจิตกลับสู่สภาวะแห่งความสงบศานติในพระเจ้า แล้ว ยังเป็นเสียงแห่งการเยียวยาร่างกายและจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อ ในภาษาสันสกฤต เสียงนี้เกิดจากเสียง อะ อู และม ซึ่งเวลาออกเสียงจะเป็น อา เสียงนี้จะออกจากช่องท้องเปล่งออกมาทางลำคอออกมาทางปากที่เปิดกว้าง อู เป็นเสียงที่ออกจากกลางปากต่อเนื่องมาจากเสียงอา แต่ปากจะค่อยๆ หุบลง อืม เป็นเสียงที่ต่อจากอูเมื่อปากหุบลง และเสียงจะขึ้นจมูก แต่จะออกเสียงยาวจนสุดลมหายใจ ซึ่งจะเป็นขั้นสุดท้ายที่เสียงจะสะท้อนให้ได้ยินว่า “โอม” ในทางโยคะเสียงทั้งสามนี้ยังเป็นการสะท้อนจุดจักระสำคัญต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่ เสียงอา และอูสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนใน มณีปุระจักระ บริเวณท้อง และ วิชุดาจักระ บริเวณลำคอ และสุดท้ายเสียง อืมมมม รับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนบริเวณสหัสชราจักระบริเวณส่วนบนของศีรษะ อันเป็นจักระสูงสุดแห่งการตระหนักรู้ และ Self Realization เสียงโอม อันเป็นเสียงแห่งจักรวาลนี้จะหลอมรวมจิตให้กลับเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวได้โดย ง่าย และง่ายต่อการที่จะฝึกสมาธิในขั้นสูงๆ ต่อไป ในการฝึกภาวนา หากผู้ฝึกเข้าถึงแก่นแท้แห่งคำ ลงลึกสู่การภาวนา เสียงนี้จะปลุกเราให้ตื่นจากสภาวะแห่งการหลับใหลอันยาวนาน การจมจ่อมอยู่กับความฝันและก้าวสู่สภาวะแห่งการตื่นรู้ ก้าวออกจากโลกแห่งมายาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ที่สุดแล้วเสียงแห่งโอมนั้นก็คือ การคืนกลับไปสู่สภาวะที่มีและไม่มี อันเป็นสภาวะที่ว่างแต่ไม่ว่างเปล่า อันเป็นสภาวะแห่งพระเจ้า ซึ่งอยู่เหนือถ้อยคำภาษา รูป นาม สัญลักษณ์ ในคัมภีร์ปตัญชลีโยคะ ในบทหนึ่งที่ว่าด้วย “อิศวรปณิธาน” การ ใคร่ครวญถึงสภาวะแห่งความจริงแท้ และพระเจ้า คำคำนี้ ถูกเขียนแทนไว้ด้วยคำว่า ปราณาวา (Pranava) ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่าโอม แม้ว่าทุกวันนี้เราเห็นสัญลักษณ์แห่งโอมอยู่ทั่วไปดาษดื่น ไม่ว่าจะในโปสเตอร์ เสื้อยืด จี้ห้อยคอ แหวน แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่ เสียงแห่งโอม ดังที่กล่าวถึงไม่ เพราะแท้ที่จริงแล้วเสียงแห่งโอมนั้นมิอาจใช้อักษร ภาพหรือสัญลักษณ์ใดๆ แทนได้ ซึ่งเราอาจจะเห็นคำคำนี้สัญลักษณ์นี้อยู่ทั่วไป แต่เราไม่อาจพบกับสภาวะแห่งโอมได้ เพราะสภาวะแห่งโอม หรือพลังแห่งโอมนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปล่งเสียงและน้อมนำเข้า สู่การปฏิบัติ ดังความเชื่อในอินเดีย คำสำคัญคำนี้จึงไม่ถูกเขียนลงในกระดาษ แจกจ่าย หรือนำไปอย่างปราศจากการตระหนักรู้ มีเพียงการถ่ายทอดจากปากของคุรุสู่ศิษย์เท่านั้น และที่สุดคำคำนี้จะมีพลัง ก็ต่อเมื่อศิษย์นั้นนำมาบริกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และใคร่ครวญถึงความหมายอันลึกซึ้งแห่ง "โอม"

ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ




 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 15:34:45 น.
Counter : 633 Pageviews.  

หุ่นเฟิร์ม & บุคลิกภาพดี

ทั้งหญิงและชายที่มีสุขภาพดี รูปร่างดี ล้วนมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะจะทำให้หุ่นดี ผิวพรรณดี ใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็สวย นิตยสารมาดาม ฟิกาโร ฉบับเดือนธ.ค. จึงได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของการออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ ผลงานของผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาจากออสเตรเลีย เบเวอร์เลย์ ฮาดกราฟต์ (Beverley Hadgraft) ไว้อย่างน่าสนใจ ในคอลัมน์ “ฟิตเนส” (Fitness) เราขอหยิบยกมาให้คุณผู้อ่านได้ทราบบางส่วน ออกกำลังกาย, สุขภาพดี, วิ่ง ผู้หญิงที่ต้องการออกกำลังกายแบบง่ายๆ โดยไม่ง้ออุปกรณ์ แนะนำว่า “การ วิ่งจ๊อกกิ้งและเดินธรรมดา” เป็นทางเลือกที่ดี การวิ่งเหยาะๆ จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อขา และน่องให้แข็งแกร่ง การวิ่งเป็นประจำ อย่างน้อย 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะทำให้เผาผลาญไขมันได้มากถึง 2,500 กิโลจูล ในขณะที่การเดินเป็นประจำในเวลาเท่ากัน (ประมาณ 6 กิโลเมตร) ไขมันจะถูกเผาผลาญประมาณ 1,600 กิโลจูล ทั้งการเดินยังช่วยคลายเครียด เพราะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว และถ้าหากเดินเป็นประจำทุกวันแล้วรู้สึกเบื่อ อาจจะเพิ่มจังหวะมากขึ้นจนเป็นวิ่ง และพอเหนื่อยก็กลับมาเดินตามเดิมก็ได้ สำหรับกีฬายอดฮิตของสาวๆ อย่าง “โยคะและพิลาทีส” โยคะสร้างความยืดหยุ่นของร่างกาย ในขณะที่พิลาทีสส่งเสริมเรื่องของบุคลิกภาพ และความเข้มแข็ง การเล่นพิลาทีสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เผาผลาญได้ประมาณ 450–1,000 กิโลจูล ในขณะที่โยคะขั้นต่ำเพียง 430 กิโลจูลก็จริง แต่ถ้าฝึกอย่างจริงจัง จะช่วยได้สูงสุดถึง 1,200 กิโลจูล การเล่นโยคะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สร้างสมาธิ ทำให้คลายเครียดได้มาก อีกทั้งมีหลากรูปแบบให้เลือกสรร เรียกได้ว่าเป็นการออกกำลังสำหรับทุกคนจริงๆ แต่พิลาทีสก็ดีตรงที่เสี่ยงในการบาดเจ็บน้อยกว่า ฟากสาวไฮเปอร์ ต้อง “ปั่นจักรยานและชกมวย” ที่ต่างก็เรียกเหงื่อได้มาก การชกมวยสร้างความแข็งแกร่งได้ทั้งร่างกาย ทั้งแขน ขา หน้าท้อง ทุกอย่างต้องเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และได้ออกกำลัง เผาผลาญไขมันได้สูงสุดถึง 2,000 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง ในขณะที่การปั่นจักรยานจะช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อขา และสะโพกเป็นหลัก เผาผลาญไขมันได้ประมาณ 1,800 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเรื่องคลายเครียด ชกมวยดูจะมีภาษีกว่าเพราะได้ระบายอารมณ์ ปลดปล่อยพลังออกมา แต่ต้องได้รับการฝึกหัดอย่างจริงจังจึงจะทำได้ถูกต้อง  ส่วน “แอโรบิกในน้ำและว่ายน้ำ” ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นได้มากขึ้น และยังช่วยเรื่องข้อต่อต่างๆ ให้สมบูรณ์ ไม่เจ็บหรือปวดเมื่อย โดยการว่ายน้ำใน 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญได้ถึง 2,000 กิโลจูล ส่วนการเข้าคลาสแอโรบิกในน้ำ จะเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 1,500 กิโลจูล แม้แต่กำลังมีครรภ์ ว่าที่คุณแม่ก็สามารถออกกำลังแบบนี้ได้ และยังเป็นการออกกำลังที่ส่งผลต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ท้ายสุด “แชร์บอลและเทนนิส” นับเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง เพราะต้องใช้ทักษะมาก โดยเทนนิสสามารถเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 2,000 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง คุณเล่นคนเดียว ก็ต้องวิ่งอย่างเต็มที่ ส่วนแชร์บอลเล่นเป็นทีม จะอยู่ที่ 1,500 กิโลจูล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าได้วิ่งมากเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ การออกกำลังและทุกๆ ประเภทกีฬาสุดโปรด อย่าลืมจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย แล้วการออกกำลังจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เช็กอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ผสมผสานการออกกำลังเข้าด้วยกัน เมื่อเหนื่อยก็ลองเปลี่ยนมาทำอีกท่าหนึ่งที่เหนื่อยน้อยกว่า อย่าฝืนทำอย่างจริงจังอยู่ตลอด การหยุดพักเมื่อรู้สึกแย่ จะทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ดี ไม่ว่าจะเลือกออกกำลังแบบไหน สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้สึกดีกับมัน เพียงแค่ดูบุคลิกของตัวเอง และเลือกในสิ่งที่ชอบ ย่อมจะทำให้การออกกำลังมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าหากว่าออกกำลังแล้วรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอ ท่าทางไม่สวยเหมือนคนอื่น ควรหยุดคิดมากได้แล้ว การออกกำลังเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่การแข่งขัน การออกกำลังกายควรจะทำให้รู้สึกดีมากกว่าจะทำให้เครียด ทำแบบสบายๆ ผ่อนคลายช้าๆ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ทำในแบบของคุณให้ดีที่สุด นั่น...ก็เพียงพอแล้ว




 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 15:30:21 น.
Counter : 617 Pageviews.  

ทำงานเกินกำลัง . . . ทำให้ป่วยได้!

การทำงานล่วงเวลานานอาจทำให้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น ปวดหลัง นอนไม่หลับ ฯลฯ


จากการศึกษาของนักวิชาการและแพทย์ด้านการทำงานในประเทศเยอรมณีพบว่า ยิ่งทำงานล่วงเวลามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราควรทำงานระหว่างเวลางานให้เต็มที่เพื่อที่จะได้ ไม่ต้องทำงานล่วงเวลาให้เสียสุขภาพ

ทำงานไม่เป็นเวล่ำเวลา...ทำลายสุขภาพ

นักวิชาการได้ ทำแบบสอบถามคนวัยทำงานในยุโรปจำนวน 50,000 คน ได้ผลมาว่า หนึ่งในสี่ของนักทำงานที่ทำงานสัปดาห์ละ 60 ชม. หรือมากกว่านี้มักประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับ หรือเกือบหนึ่งในสิบของผู้ตอบแบบสอบถามที่ทำงานมากกว่า 60 ชม. ต่อสัปดาห์มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ และ 30-60 % ของผู้ที่ทำงานสัปดาห์ ละ 35-44 ชม.มักประสบกับปัญหาปวดหลัง นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้สุขภาพของคนวัยทำงานย่ำแย่ลงก็คือการทำงานเป็นกะ หรือ ทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนการทำงานไม่ดี

การป้องกัน

การหลีกเลี่ยงความเครียดและการทำงานล่วง เวลาก็คือการวางแผนการทำงานที่มีระบบ เพราะร่างกายมีพลังที่แตกต่างกันในการจัดการกับงานที่สำคัญคือทำงานให้เต็ม ที่และทำงานให้เสร็จตรงเวลา ก็เป็นการแก้ปัญหาได้อย่างหนึ่ง

ทำงานให้สมดุล

ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานได้แนะนำ หลักการ 7 ระดับในการจัดการกับงานในชีวิตประจำวันให้ลงตัว คือใส่ใจกับเวลาทำงานและนาฬิกาชีวภาพตามตารางเวลาตั้งแต่เวลา 08.00น. -18.00น. ซึ่งแต่ละชั่วโมงของเรามีพลังในการทำงานแตกต่างกัน จะเห็นว่าในเวลา 10.00 น. เป็นช่วงที่เรามีสมาธิมากที่สุดและมีพลังการทำงานมากที่สุดและในเวลา 18.00น. เป็นช่วงเวลาที่พลังงานทดถอยและขาดสมาธิ หากเรารู้ทันนาฬิกาชีวภาพก็จะช่วยให้เรามีสมาธิในการทำงานได้นานและจะมีความ สุขจากการทำงานมากขึ้น

อิทธิพลของสี...กับการทำงาน

สีแดงช่วยเพิ่มสมาธิ สีฟ้าทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก็ควรใส่ใจกับสีที่ใช้ในการทำงาน แต่ก่อนอื่นก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณต้องการทำงานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ หรือมีสมาธิสูงทัง้นี้ นักวิจัยชาวแคนนาเดียน ราไว เมห์ทา (Ravi Mehta) และรุย ซู (Rui Zhu) ได้เปิดเผยว่าผลการวิจัยในวารสาร "Science" ว่าหากหน้จอคอมเป็นสีฟ้าก็จะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือหน้าจอคอมพิเตอร์เป็นสีแดงก็จะช่วยให้ทำงานอย่างระมัดระวังและมีความ สามารถในการรับข้อมูลอย่างเต็มที่ ซึ่งโดยทั่วไป แล้วสีแดงคือสีที่มีความสัมพันธ์กับอันตรายและการเตือนภัย เช่น ไฟแดงหมายถึงให้รถหยุด ส่วนสีฟ้าเป็นสีแห่งเสรีภาพและความสงสบ เช่น สีของท้องฟ้า

มลพิษในที่ทำงาน... ทำลายสมาธิ

• เสียงอึกทึกของผู้ร่วมงานและเสียงพูดโทรศัพท์ที่ดังเกินไป ล้วนแล้วแต่รบกวนสมาธิและก่อความเครียดในการทำงานดังนั้น คุณควรหาเวลาในการพักผ่อนตอนเย็นหลังเลิกงานหรือในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อ เติมพลังให้แก่ตัวเอง

• อากาศไม่สะอาด เช่น ฝุ่นจับสิ่งพิมพ์ พรม และเฟอร์นิเจอร์ เป็นสิ่งที่รบกวนทางเดินหายใจ เครื่องปรับอากาศทำให้หลอดลมแห้ง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและน้ำหอมในออฟฟิศที่ผสมผสานกันก็สามารถก่อให้เกิดการ อักเสบในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งอากาศที่อับชื้นและไม่โปร่งก็ทำให้มีอาการปวดศรีษะและง่วงเพลีย

ขอขอบคุณที่มาจาก Lisa





 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 16:33:17 น.
Counter : 437 Pageviews.  

ระวังติดเชื้อจากสระว่ายน้ำ !

คุณผู้หญิงที่นิยมชมชอบการว่ายน้ำเป็นประจำ ทราบไหมว่าการว่ายน้ำ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศหรือช่องคลอด

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ ชัย ศิลป์วัฒนา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า การว่ายน้ำอาจจะทำให้มีอาการอักเสบของเยื่อบุปากทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการที่พบหลังว่ายน้ำ โดยจะมีอาการแสบๆ ที่ปากช่องคลอด นอกจากนี้เมื่อปัสสาวะสัมผัสถูกบริเวณดังกล่าว จะมีผลให้บางคนมีอาการตกขาว

เมื่อตรวจภายในจะพบอาการอักเสบของเยื่อบุช่องคลอดอย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้เมื่อตรวจอีกครั้ง ไม่สามารถพบต้นเหตุของโรคได้ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการแพ้คลอรีนในน้ำที่มีส่วนผสมในอัตราส่วนที่เข้มข้น เกินไป

นอกจากนี้ โรคที่เกิดในปากช่องคลอดที่เคยพบ ซึ่งเป็นผลมาจากการว่ายน้ำในสระ ได้แก่ โรคพยาธิในช่องคลอดและโรคจากเชื้อรา เพราะเชื้อพยาธิและเชื้อราสามารถดำรงอยู่ในน้ำสะอาดที่มีคลอรีนเจือจางได้ โดยจะทำให้เกิดอาการอักเสยและตกขาว รวมทั้งอาการคันบริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอด

สำหรับเชื้อกามโรค อื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และ เริม นั้น ไม่พบชัดเจนว่าผู้ป่วยติดเชื้อจากการว่ายน้ำธรรมดา

ฉะนั้น ในขณะเล่นน้ำควรระวังไม่ให้น้ำเข้าทางปาก เพราะเชื้อโรคบางชนิดอาจอยู่ในน้ำ เช่น โรคท้องร่วง และ ตับอักเสบ

ส่วนสระว่ายน้ำบางแห่งที่ไม่ได้ใส่ใจดูแลรักษาความสะอาดเท่าที่ควร มีกระเบื้องแตกและชำรุด เมื่อว่ายน้ำไปกระทบกระเบื้องจนเกิดบาดแผล จะทำให้ ติดเชื้อแบคทีเรีย กลายเป็นแผลเรื้อรังคล้ายแผลจากเชื้อวัณโรคผิวหนัง ซึ่งการรักษาค่อนข้างอยาก แต่สามารถรักษาให้หายได้

วิธีการป้องกัน

ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสระว่ายน้ำ เช่น อาบน้ำทุกครั้งก่อนลงสระ

นักว่ายน้ำควรตรวจร่างกายก่อนอย่างการเจาะเลือดตรวจภาวะภูมิคุ้มกันโรค

เมื่อพบความผิดปกติหลังจากการว่ายน้ำควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และที่สำคัญ ควรงดการว่ายน้ำในช่วงที่พบความผิดปกติ

ขณะว่ายน้ำระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก ว่ายน้ำครั้งต่อไปคุณคงมีวิธีการดูแลตังเองอย่างถูกต้องแล้วนะคะ แต่การดูแลเอาใจใส่เรื่องความสะอาดควรจะพอดีๆ เดี๋ยวมากเกินไปจะกลายเป็นความวิตกกังวลค่ะ เพราะจริงๆ แล้วร่างกายของเราก็มีภูมิต้านทานไว้ต่อกรกับเจ้าเชื้อโรคนานาชนิดอยู่แล้ว

ที่มา - foodhouse.wordpress.com




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 16:14:13 น.
Counter : 451 Pageviews.  

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ ..

- พยายามใช้ท่าทางอย่างถูกต้องในการเคลื่อนไหว ขณะนั่งทำงาน หรือท่ายืน โดยไม่ก้มคอมากเกินไป

- ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ

- พยายามใช้หมอนหนุนบริเวณต้นคอและศีรษะเวลานอน

- อาจสวมใส่เครื่องพยุงลำคอถ้ามีอาการปวดเกร็งที่ต้นคอมาก

- การทำกายภาพบำบัดโดยการประคบด้วยความร้อนและการดึงส่วนลำคอโดยนักกายภาพ บำบัดจะช่วยบรรเทาอาการได้

- อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาโรคปวดต้นคอ หรือทำให้เกิดอาการมากขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากปวดต้นคอ ก็ลองปรับเปลี่ยนลักษณะกิจวัตรประจำวันกันดู

ขอขอบคุณ vcharkarn.com




 

Create Date : 22 เมษายน 2553    
Last Update : 22 เมษายน 2553 18:21:34 น.
Counter : 544 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.