Group Blog
 
All Blogs
 

เติมพลังเซ็กส์ด้วย "ยำหอยแมลงภู่"


เมนูอาหารของ ‘กินดี’ ประจำสัปดาห์นี้มีสูตรการปรุงอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศด้วย ‘ยำหอยแมลงภู่’

สำหรับวัตถุดิบเด่นอย่าง ‘หอยแมลงภู่’ นั้น อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) แคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสีและซีลีเนียม ที่ทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็ว เพิ่มพลังทางเพศช่วยให้มีบุตรง่าย ลดความเสี่ยงอาการต่อมลูกหมากอักเสบ ทั้งยังเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบสมอง ประสาท และกล้ามเนื้อ แก้โรคไขข้ออักเสบ ปวดตามข้อ

ยำหอยแมลงภู่ มีส่วนผสมให้ต้องเตรียมตามนี้ คือ...
-หอยแมลงภู่ 2 ถ้วย
-พริกขี้หนู 7-8 เม็ด
-หอมแดง 2-3 หัว
-ตะไคร้ 3 ต้น
-ใบมะกรูด 4 ใบ
-น้ำ ปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
-น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
-ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว

ขั้น ตอนในการยำนั้น เริ่มจากนำหอยแมลงภู่ล้างให้สะอาดแล้วต้มให้สุก โดยใช้น้ำต้มหอยเพียงปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนการทำน้ำปรุงรส ให้นำน้ำมะนาวผสมกับน้ำปลา ซอยใบมะกรูดและตะไคร้ให้ละเอียด จากนั้นนำหอยแมลงภู่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซอยพริกและหอมแดงโรยหน้า เสิร์ฟพร้อมผักกาดขาว และถั่วฝักยาวแช่เย็น

แม้หอยแมลงภู่จะมีคุณค่า อาหารตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียแก่ร่างกาย โดยเฉพาะการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย เนื่องจากอาหารของหอยแมลงภู่นั้นคือตะกอนโคลน

ที่มา: เดลินิวส์




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2553 10:42:21 น.
Counter : 837 Pageviews.  

แก้อาการ "ซึมเศร้า" โดยการเติมเกลือในอาหาร

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวา สหรัฐ แนะนำให้เติมเกลือลงในอาหารเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพราะมีคุณสมบัติกระตุ้นอารมณ์ให้ดีขึ้น ช่วยแก้ซึมเศร้าได้

ผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า หนูตัวที่ได้รับเกลือไม่เพียงพอจะเลิกทำกิจกรรมที่มันเคยชื่นชอบ เช่น กินน้ำหวาน หรือวิ่งเล่นตามสิ่งกีดขวางต่างๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ให้รู้ถึงอาการซึมเศร้า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าถ้าร่างกายได้รับเกลือไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้อารมณ์ พลอยหดหู่ซึมเศร้าไม่แจ่มใส

ผลการวิจัยยังพบว่า เกลือเป็นเหมือนสารเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะถ้าได้ลองเติมเกลือลงในอาหารอยู่เป็นประจำจะมีแนวโน้มต้องเติมเกลือ เช่นนั้นตลอดไป แม้จะรู้ดีว่าการกินเกลือมากเกินไปไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ถ้าไม่ได้เติมเกลือ หรือใส่เกลือน้อยไปจะรู้สึกว่าอาหารจานนั้นไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ จึงต้องใส่เกลือลงไปเพิ่มอีก

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ระวังการรับประทานเกลือมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ความดันเลือดพุ่งสูง จนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดอุดตันในสมองและอาการหัวใจวาย สำนักงานมาตรฐานอาหารในอังกฤษระบุว่า ผู้ใหญ่ควรรับประทานเกลือไม่เกิน 6 กรัม/วัน




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 22:26:34 น.
Counter : 714 Pageviews.  

9 วิธี ดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี


      ใครมีผู้สูงอายุที่ต้อง ดูแล ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้รุนแรงกว่าครั้งใด ๆ การป้องกันดูจะเป็นยาขนานเอกที่ได้ผลเกินคลาด วันนี้เรามีวิธีดูแสุขภาพผู้สูงอายุมาฝาก

      1. เลือกอาหาร โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนมถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ๆ ทอด ๆ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

      2. ออกกำลังกาย หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคสัก 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุดเพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว

      3. สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้
      
4. หลีกเลี่ยงอบายมุข ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่าง ๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้

      5. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับ แต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้ม

      6. ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

      วิธีประเมินว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนหรือไม่ โดยคำนวณจากดัชนีมวลกายหรือเรียกสั้น ๆ ว่า "BMI (bodymass index)" ถ้าน้ำหนักตัวเกิน ค่า BMI จะอยู่ระหว่าง 23-24.9 กิโลกรัม/เมตร (ยกกำลัง 2) แต่ถ้าอ้วนละก็ค่า BMI จะตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/เมตร (ยกกำลัง 2) ขึ้นไป

      สูตรดัชนีมวลกาย (BMI)= น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ส่วนสูง (เมตรยกกำลัง 2)

      ตัวอย่าง ผู้สูงอายุ หนัก 67 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร

      ดัชนีมวลกาย (BMI)= 67 (1.6 ยกกำลัง 2)

      = 26.17 ถือว่าเข้าข่ายอ้วน

      7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม เช่น การซื้อยากินเอง การใช้ยาเดิมที่เก็บไว้มาใช้รักษาอาการที่เกิดใหม่ หรือรับยาจากผู้อื่นมาใช้ เนื่องจากวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตในการกำจัดยาลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากยาหรือผลข้างเคียงอาจมีแนวโน้มรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะดีที่สุด

      8. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คลำได้ก้อน โดยเฉพาะก้อนโตเร็ว แผลเรื้อรัง มีปัญหาการกลืนอาหาร กลืนติด กลืนลำบาก ท้องอืดเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกหรือถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ้าอย่างนี้ละก็พามาพบแพทย์ดีที่สุด

      9. ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี หรืออย่างน้อยทุก 3 ปี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น โรคเบาหวาน โรความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจการมองเห็น การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

      นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นสิ่งสำคัญ การทำจิตใจให้แจ่มใส มองโลกในแง่ดี ไม่เครียดหรือวิตกกังวลกับเรื่องต่าง ๆ มากจนเกินไป รวมถึงการเข้าใจและยอมรับตนเองของท่านและผู้อื่น จะช่วยให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดีอย่างแท้จริง




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 22:17:24 น.
Counter : 439 Pageviews.  

อาการแพ้อาหาร แท้จริงเป็นอย่างไร?

แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้าไป นั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance)

นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี เรียบเรียง

คนเรานั้นมีโอกาสเกิดอาการแพ้ อาหารและการรับอาหารบางชนิดไม่ได้เป็นบางช่วงของชีวิต ซึ่งในเด็กประมาณร้อยละ 3 ที่พิสูจน์ได้ว่าแพ้อาหารจริง แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อาการแพ้อาหารนั้นจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น

แท้จริงแล้วอาการหรือปฏิกิริยาทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อกินอาหารบางชนิดเข้า ไปนั้น มีความแตกต่างระหว่างคำว่า การแพ้อาหาร (Food allergies) กับ การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ (Food intolerance) ทั้งนี้ การแพ้อาหาร (Food allergies) จะเกิดจากปฏิกิริยาที่ไวต่ออาหารนั้นๆ เป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่ออาหารเนื่องจากมีการกระตุ้นจากระบบภูมิต้านทาน ของร่างกาย ส่วน การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายคลึงกัน

ทั้งนี้การแพ้อาหาร จริงๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ต้องพยายามตรวจสอบและป้องกันการเกิดปฏิกิริยาการ แพ้ เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยแล้ว บางคนอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

กลไกการเกิดปฏิกิริยาการแพ้อาหาร
ปฏิกิริยาการแพ้ นั้นมีผลเกี่ยวข้องกับ 2 กลไกทางระบบภูมิต้านทาน คือ การสร้างภูมิต้านทานชนิด อี (Immunoglobulin E: IgE) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่าแอนตี้บอดี้ที่อยู่ในกระแสเลือด และอีกกลไกหนึ่งเกี่ยวข้องกับมาสต์เซลล์ (Mast cell) ที่อยู่ในทุกเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการแพ้ เช่น ในจมูก คอ ปอด ผิวหนัง และทางเดินอาหาร

ความสามารถในการสร้าง IgE ต่ออาหารนั้นมักมีส่วนที่ได้รับจากกรรมพันธุ์ เช่น มีคนในครอบครัวมีอาการแพ้ไม่ว่าจะแพ้อาหาร แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ หอบหืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นภูมิแพ้ทั้งสองฝ่าย ลูกก็จะมีโอกาสแพ้มากกว่าคนที่มีเพียงพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งที่เป็นภูมิแพ้

ก่อนที่จะเกิดอาการแพ้นั้น คนที่แพ้ต้องเคยได้รับอาหารชนิดนั้นมาก่อน เมื่อมีการย่อยอาหารก็จะกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE จำนวนมาก ซึ่งจะเข้าไปเกาะผิวของมาสต์เซลล์ เมื่อมีการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้ง อาหารจะไปกระตุ้น IgE จำเพาะบนผิวมาสต์เซลล์นั้น ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี เช่น ฮีสตามีน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการแพ้ตามแต่บริเวณของเนื้อเยื่อที่มีการหลั่งสารเคมีนั้น เช่น มีการหลั่งสารเคมีที่บริเวณหู คอ จมูก ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ปาก คอ หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก แต่ถ้าเป็นที่บริเวณทางเดินอาหาร ก็อาจมีอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้

ส่วนของสารอาหารที่ทำให้ เกิดการแพ้นั้น เป็นโปรตีนในอาหารที่มักไม่ถูกสลายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารหรือกรดใน กระเพาะอาหารหรือน้ำย่อย จึงทำให้สามารถดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดไปยังบริเวณเป้าหมายที่เกิดอาการ แพ้ขึ้นได้ทั่วร่างกาย

ความซับซ้อนในกระบวนการย่อยอาหารมีผล ต่อระยะเวลาและตำแหน่งที่เกิดอาการ ตัวอย่างเช่น อาการจะเริ่มต้นจากมีอาการคันที่ปากก่อนเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร พออาหารถูกย่อยในกระเพาะอาหารแล้ว มักจะเกิดอาการทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องร่วง และปวดท้องได้ เมื่อสารที่ทำให้แพ้เข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตตกลงได้ หากไปที่ผิวหนังก็เกิดอาการผื่นแพ้ หรือไปที่ระบบทางเดินหายใจก็อาจทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ ซึ่งอาการต่างๆ นี้ อาจเกิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีจนเป็นชั่วโมงก็ได้เช่นกัน

การแพ้อาหารที่พบบ่อย
ในผู้ใหญ่อาหารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ อาหารทะเล เช่น กุ้ง กั้ง ปู พืชเมล็ดบางชนิด เช่น ถั่ว ส่วนที่แพ้ได้แต่ไม่บ่อย ได้แก่ ปลา และไข่ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วอาจมีอาการแพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้ คือ อาจจะแค่คัน บวม กระทั่งความดันโลหิตตกอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงแก่ความตายได้

ส่วนในเด็กนั้นอาหารที่พบว่าเกิดการ แพ้นั้นแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ มักมีอาการแพ้ไข่ นมวัว และถั่ว ซึ่งอาการแพ้อาหารนี้อาจจะหายไปได้เองเมื่อโตขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ปลาและกุ้งก็มักจะไม่หาย ในขณะที่ผู้ใหญ่เมื่อแพ้อะไรแล้วมักจะไม่หาย

การแพ้อาหารในทารกและเด็ก
การแพ้นมวัวและถั่วเหลืองพบได้บ่อยในทารก และเด็ก ส่วนมากจะไม่มีอาการหอบหืด แต่มักมีอาการปวดท้อง นอนไม่หลับ มีเลือดออกมากับอุจจาระ ดูเด็กไม่มีความสุข หรือเลี้ยงไม่โต เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้เด็กแพ้อาหารเชื่อว่าเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของระบบภูมิต้าน ทานและระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้นมหรือถั่วเหลืองนี้เริ่มแสดงอาการได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด หรือมีอายุเพียงไม่กี่เดือนนับตั้งแต่คลอด เด็กที่มีอาการแพ้อาจพบว่ามีประวัติคนเป็นภูมิแพ้ในครอบครัวด้วย

หากทารกแพ้นมวัวแพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองแทนหรือให้ดื่มนมแม่ เพียงอย่างเดียว หากมีการแพ้นมถั่วเหลืองด้วย ก็อาจต้องใช้นมสูตรพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนแบบสมบูรณ์ ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้รุนแรงคุณหมออาจจะให้ยา เช่น สเตียรอยด์ แต่ก็ยังโชคดีที่อาการแพ้ในเด็กนั้นมักจะหายไปได้เองในช่วงปี สองปีหลังเกิดอาการ

การให้นมแม่อย่างเดียวโดยไม่ให้อาหารอื่น เลยแก่ทารกในช่วง 6-12 เดือนนั้น จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองได้ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ แต่คุณแม่เองก็ต้องตระหนักด้วยว่าอาหารที่รับประทานนั้นอาจทำให้ลูกเกิด อาการแพ้ได้ ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมลูกควรต้องระมัดระวังเลือกอาหารให้ดีด้วยเพื่อหลีก เลี่ยงอาหารที่ทำให้ลูกแพ้

แม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าการให้ นมแม่นั้นสามารถป้องกันการแพ้ในวัยที่โตขึ้นได้ แต่อย่างน้อยการให้นมแม่ก็ช่วยเลื่อนเวลาการเกิดการแพ้อาหารออกไปได้ และหากเลื่อนการให้อาหารเสริมเป็นหลังอายุ 6 เดือน ก็จะช่วยเลื่อนระยะเวลาการเกิดอาการแพ้ได้ด้วยเช่นกัน

การแพ้อาหาร - การรับอาหารบางชนิดไม่ได้ ต่างกันอย่างไร?
บางคนเมื่อมีอาการหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด แล้วไปบอกคุณหมอว่า ฉันคิดว่าฉันแพ้อาหาร แพทย์จะต้องแยกแยะวินิจฉัยอาการต่างๆ ก่อนเพื่อไม่ให้สับสนว่าจริงๆ แล้วคุณคนนั้นเขาแพ้อาหาร รับอาหารบางชนิดไม่ได้ หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารกัน แน่ ซึ่งทั้งหมดอาการคล้ายกันแต่ต่างกันที่สาเหตุ จึงต้องจำแนกแยกแยะให้ออกก่อนว่าเป็นอะไรกันแน่

บางครั้งสารเคมีตามธรรมชาติ เช่น สารฮีสตามีนที่มีอยู่ในอาหารก็ทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้อาหารได้ เช่น สารฮีสตามีนที่มีมากในเนยแข็ง ไวน์บางชนิด ปลาบางชนิดโดยเฉพาะปลาทูน่าและปลาแมคเคอเรล (คล้ายปลาทู) ซึ่งสารฮีสตามีนในปลานั้นเชื่อว่าเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะปลาที่ไม่ได้แช่แข็งอย่างดี หากใครรับประทานอาหารที่มีสารฮีสตามีนนี้มากก็จะเกิดอาการเหมือนแพ้อาหารได้ เรียกว่าเกิดพิษจากสารฮีสตามีน (histamine toxicity)

การแพ้อาหาร จะเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ อาจเกิดจากความบกพร่องของสารบางชนิดในร่างกาย หรือการไม่ถูกกันระหว่างสารในร่างกายกับสารบางชนิดที่มีอยู่ในอาหาร ทั้งสองกรณีต่างจากอาหารเป็นพิษ ที่มีสาเหตุจากเชื้อโรคปนเปื้อนดังที่กล่าวแล้ว

การรับอาหารบางชนิด ไม่ได้ที่มักจะพบบ่อยคือ ภาวะพร่องน้ำย่อยน้ำตาลนม (lactase deficiency) ซึ่งพบได้ถึง 1 ใน 10 คน น้ำย่อยนี้สร้างจากผิวของลำไส้ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลนม หากคนที่มีน้ำย่อยน้ำตาลนมไม่พอ เมื่อดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมเข้าไป น้ำตาลนมที่ไม่สามารถถูกย่อยก็จะถูกแบคทีเรียนำไปใช้ แล้วสร้างก๊าซขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวดท้อง และอุจจาระร่วงได้ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยได้โดยการให้รับประทานน้ำตาลนม และวัดผลจากเลือด

การรับอาหารบางชนิดไม่ได้อีกแบบหนึ่งที่เจอคือการมีปฏิกิริยาต่อสารที่ใส่ใน อาหารเพื่อปรับแต่งรส กลิ่น หรือป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น สีผสมอาหารเบอร์ 5 ทำให้เกิดอาการหอบ หรือผงชูรส ที่ทำให้เกิดอาการร้อนซู่ซ่า ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก อ่อนแรง หรือหงุดหงิดได้ในบางคน ซึ่งเกิดจากการรับประทานผงชูรสในปริมาณมาก

สารซัลไฟต์ เป็นสารที่พบได้ในอาหารหรือได้ถูกใส่เข้าไปในอาหารเพื่อทำให้กรอบหรือ ป้องกันเชื้อรา หากมีปริมาณมากอาจทำให้บางคนมีอาการหอบหืดได้ เนื่องจากสารนี้ทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งคนที่เป็นหอบหืดสูดดม เข้าไประหว่างรับประทานอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองปอดและเกิดการหดตัวของหลอดลมจึงหอบได้

บางคนมีอาการรับอาหารบางชนิดไม่ได้ด้วยสาเหตุทางจิต เช่น ในช่วงวัยเด็กเกิดความรู้สึกไม่ชอบหรือต่อต้านอาหารบางชนิดจนฝังใจ เมื่อกินเข้าไปก็จะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกับการแพ้อาหาร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการประเมินและบำบัดทางจิตเวชถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ ผ่านมา

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่มีอาการแบบเดียวกับการแพ้อาหาร เช่น แผลและมะเร็งในทางเดินอาหาร ทำให้อาเจียน อุจจาระร่วง หรือปวดท้องเมื่อรับประทานอาหาร หรือบางคนมีการแพ้อาหารเพราะถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย คือ คนที่แพ้มักจะรับประทานอาหารมาก่อนที่จะออกกำลังกาย เมื่อออกกำลังกายจนความร้อนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการคัน รู้สึกเบาศีรษะ แล้วเกิดอาการแพ้ เช่น หอบ และอาจรุนแรงได้ถึงแก่ความตายได้ วิธีแก้ง่ายๆ ก็คืออย่ารับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย

การรักษาการแพ้อาหาร
การรักษาการแพ้อาหารเมื่อวินิจฉัยได้ว่าแพ้ อาหารชนิดใด ก็ควรงดอาหารที่แพ้ชนิดนั้น และก่อนที่จะเลือกซื้ออาหารควรอ่านรายละเอียดส่วนผสมที่ฉลากอาหารก่อนว่ามี สิ่งที่ตัวเองแพ้ผสมอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าแพ้นมต้องดูว่าในส่วนผสมมีผลิตภัณฑ์นมผสมอยู่ด้วยไหม หรือถ้าแพ้ไข่ ต้องดูว่าน้ำสลัดที่เลือกมานั้นมีส่วนผสมของไข่หรือไม่ หรือถ้าแพ้ผงชูรสก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ใส่ผงชูรส เป็นต้น

ในคนที่มีอาการแพ้มากแม้ว่าได้รับสารอาหารที่แพ้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้ แต่คนที่มีอาการแพ้น้อย อาจทนทานต่อสารอาหารได้หากได้รับในจำนวนน้อยๆ

คนที่มีอาการแพ้ อย่างรุนแรง ควรมีการเตรียมพร้อมเมื่ออาการแพ้เสมอ เพราะแม้ว่าจะคอยระวังเรื่องอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็อาจเกิดความผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันในคนที่มีอาการแพ้รุนแรงนี้ ก็ควรพกพายาแก้แพ้ติดตัว หรือห้อยเป็นสายสร้อยเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรืออาจพกยาอะดรินาลีน ไว้ฉีดยามฉุกเฉิน และควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะในคนที่แพ้รุนแรงอาการช็อคอาจเกิดได้แม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยอาการเพียง เล็กน้อย เช่น แค่คันที่ปากและคอ หรือไม่สบายท้องเท่านั้น

ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อเราทราบแล้วว่าแพ้อาหารชนิดใด ก็คงต้องระมัดระวังการเลือกอาหารให้ดี ควรเลี่ยงและงดสิ่งที่แพ้คือเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ที่มา: นิตยสาร Health Today




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 22:11:03 น.
Counter : 491 Pageviews.  

รู้จักภาษากาย ในวันสีแดง!




ในวันนั้นของเดือน มีสารพัดอาการที่สำแดงเดชในช่วงฮอร์โมนแปรปรวน เขยิบเข้ามาอีกนิด เพราะวันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่จะเกิด ขึ้นให้ช่วงวันแดงเดือด อ่านแล้วคุณสาวๆจะได้ตั้งรับและหาวิธีป้องกันแก้ไขได้ทันใจ ไร้กังวล...

เรื่องเบสิกที่คุณผู้หญิงควรปฏิบัติก็คือ รักษาสุขภาพกายให้แข็งแรงเมื่อใกล้ถึงกำหนดวันมีประจำเดือน รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่และหมั่นออกกำลังกาย เพราะในช่วงวันนั้น ฮอร์โมนและแร่ธาตุต่างๆมักจะแปรปรวน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ทั้งสุขภาพกายและใจไม่สดใสเต็มร้อยอย่างเคย ดังนั้นจึงควรเติมแมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี และวิตามินซีคืนให้กับร่างกายเพื่อปรับสมดุล

ปวดท้องเมื่อไหร่... มองหาวิตามิน บี 6

อาการที่พบ บ่อยๆในสาวๆที่เผชิญภาวะวันแดงเดือด คือการปวดเกร็งที่ท้องน้อย ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน(Prostaglandin) ที่กระตุ้นให้ผนังมดลูกบีบตัวเพื่อขับเลือดประจำเดือนออกจากร่างกาย เมื่อมีอาการปวดเกร็งอย่างนี้ คุณสาวๆก็มักจะหันไปพึ่งยาแก้ปวดหรือกระเป๋าน้ำร้อน แต่จริงๆ เพียงบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ก็จะสามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้แล้วล่ะ

นอกจากการเติมสารอาหารให้กับร่างกายแล้ว การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รับประทานอาหารให้พอเหมาะไม่มากจนเกินไป และออกกำลังกายอย่างส่ำเสมอก็จะสามารถลดการปวดท้องผู้หญิงแบบนี้ได้ด้วยเช่น กัน... เห็นไหมว่ามันไม่ยากอยากที่คิด

ปวดท้องสุดๆ หนำซ้ำยังมามาก... ยังงี้หาหมอดีกว่า

สาวๆควรจดจำและรู้ลิมิ ตการปวดประจำเดือนของตัวเอง หากบางเดือนมีอาการปวดมากกว่าที่เคย ก็เป็นไปได้ว่าคุณกำลังประสบภาวะ อันโอวูลาทอรี ไซเคิล (Unovulatory Cycle) หรือการมีประจำเดือนโดยไร้การตกไข่ อาการแบบนี้ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการผิดปกติของร่างกายที่ไม่ร้ายแรง แค่พึ่งยาแก้ปวดและดูแลร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ก็โอเคแล้ว

แต่อย่าพึ่งนิ่งนอนใจไป เพราะยังมีสาเหตุอื่นๆอีกที่ทำให้ปวดประจำเดือนจนทนไม่ไหว อาทิ โรคเชิงกรานอักเสบ หรือ ภาวะเอนโดเมทริโอซิส(Endometriosis) ที่เกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวผิดที่ รวมทั้งการมีปัญหาต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้นอกจากจะทำให้ปวดท้องมากแล้ว ยังทำให้มีประจำเดือนมามากกว่าปกติด้วย หากเจอเหตุการณ์แบบนี้ ขอแนะนำว่าหาหมอค่ะ

วันมาน้อย แถมไม่ตรงเวลา.. ก็อันตรายนะ

สาวๆบางคนอาจมีอาการเลือดออกมากระปริดประปรอยก่อน การมีประจำเดือนจริงประมาณ 1 สัปดาห์ เป็นอย่างนี้ทุกเดือนเหมือนเป็นสัญญาณเตือนเพื่อให้ทันตั้งรับเทศกาลวันแดง เดือด ยังถือว่าปกติ แต่หากจู่ๆ ประจำเดือนเจ้ากรรมกลับโผล่มากะจิ๊ดริดแถมไม่ตรงต่อเวลา แบบนั้นอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ร้ายแรง อย่างเนื้องอก ผังพืด หรือถึงขั้นมะเร็งมดลูก ทางที่ดีปรึกษาหมอให้ช่วยวินิจฉัยจะดีกว่า

หงุดหงิ๊ดหงุดหงิด เพราะเจ็บคัดเต้านม

การเจ็บคัดเต้านมในช่วงมีรอบ เดือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยมีเจ้าฮอร์โมนเอสโตรเจนตัวดีเป็นสาเหตุ แม้จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงที่ประจำเดือนและสามารถหายได้เอง แต่ก็ทำให้สาวๆหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย หากอยากลดอาการเจ็บคัดเต้านม แนะนำให้งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยเด็ดขาด หันหลังให้ชา กาแฟ และน้ำอัดลมที่มีคาเฟอีน แล้วหันมาพึ่งวิตามินอี เพราะวิตามินอีนี่แหละที่มีฤทธิ์พอจะต่อต้านเจ้าเอสโตรเจนได้ดี

อันนี้พูดถึงเฉพาะกรณีเจ็บคัดเต้านมขณะมีประจำเดือนเท่านั้นนะ เพราะยังมีอาการเจ็บเต้านมจากสาเหตุอื่นๆ อีก อย่าง เป็นซีสต์ เนื้องอก เนื้อร้าย หรือกระดูกซี่โครงอักเสบ ซึ่งควรได้รับการดูแลและรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ที่มา: Health Today




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 22:02:05 น.
Counter : 445 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.