Group Blog
 
All Blogs
 

นั่ง & ยืน แบบไหน? ลดปวดเมื่อย


การมองข้ามความสำคัญของท่า นั่ง ท่ายืนที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา อาทิ อาการปวดเมื่อยหลัง หรือปวดศีรษะ

สำหรับท่านั่งที่ถูกต้อง คือ...

  • นั่งหลังตรง โดยไม่ทิ้งน้ำหนักกดสันหลังช่วงล่าง


  • ไม่งอหรือห่อไหล่ และนั่งให้เต็มเก้าอี้


  • พิงหลังชิดพนัก หาหมอนหรือผ้าหนุนบริเวณส่วนเว้าของพนักพิง


  • วางปลายเท้าทั้งสองข้างให้ถึงพื้น และกระจายน้ำหนักให้เท่ากัน


  • พับเข่าทำมุม 90 องศา ในระดับเดียวกับสะโพก


  • ส่วนแขนปล่อยวางข้างลำตัว พร้อมนั่งแขม่วหน้าท้องเล็กน้อย หายใจให้เป็นธรรมชาติ


  • ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง เพราะเป็นการบิดตำแหน่งเชิงกรานให้ผิดลักษณะ ส่งผลให้น้ำหนักขาตกอยู่ที่เส้นเอ็นและกระดูกอ่อน


  • ขณะนั่ง หมั่นยืดหลังให้บริเวณอกแอ่นไปด้านหน้า ค้างไว้ครั้งละ 20 วินาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องและผ่อนน้ำหนักจากข้อต่อสันหลัง


  • เมื่อต้องการเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็นยืน ให้ขยับตัวไปด้านหน้าของเก้าอี้ ก่อนทิ้งน้ำหนักที่ขา ยืดขาช้าๆ พยายามอย่ายืนขึ้นในลักษณะสันหลังช่วงเอวโก่งงอ


  • สำหรับท่ายืนที่ถูกต้อง คือ...

  • ศีรษะและคอตั้งตรง


  • ไม่เกร็งช่วงไหล่ และกระดูกไหปลาร้า ให้อยู่ในลักษณะผายออกอย่างผ่อนคลาย


  • สะโพกทั้งสองข้างให้อยู่ในระดับเสมอกัน


  • งอเข่าเล็กน้อย ไม่ควรเหยียดยืดให้ตรงเกินไป


  • ข้อเท้าทั้งสองข้าง ควรทิ้งน้ำหนักตัวเฉลี่ยเท่าๆ กัน


  • การนั่งและยืนอย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้ดูสง่าผ่าเผยแล้วยังช่วยลดการเสื่อมของข้อต่อ ลดความตึงของเส้นเอ็น กล้ามเนื้อไม่เกิดอาการอ่อนล้า ป้องกันอาการปวดหลัง-ปวดศีรษะ ลดความเสี่ยงจากการเจ็บกล้ามเนื้อฉับพลันได้

    ที่มา : นสพ. เดลินิวส์




     

    Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
    Last Update : 3 มิถุนายน 2553 12:13:06 น.
    Counter : 394 Pageviews.  

    ทำยังไงดี? อยากนอน แต่นอนไม่หลับ


    ถ้านอนไม่หลับติดต่อกันหลายๆ คืนต้องถือว่ามีปัญหา เพราะการนอนไม่หลับมีผลต่อสุขภาพ เช่น เกิดอารมณ์เสียกับลูกค้า สมองไม่แจ่มใส ความคิดอ่านไม่ว่องไว ทำงานได้ไม่มาก หรือร้ายกว่านั้นอาจจะหลับในขับรถชนเสาไฟฟ้าพาให้ตัวเองและผู้อื่นบาดเจ็บ เสียชีวิตไปด้วย

    การนอนไม่หลับของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความลำบากตอนเริ่มต้น แต่พอนอนหลับแล้วก็จะหลับไปทั้งคืน แต่บางคนหลับๆ ตื่นๆ หลับตื่นๆ ตลอดคืน นอนอยู่ในความมืดสงบเงียบมีเวลาคิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ คิดถึงความพลั้งพลาดในอดีตที่กลับมาหลอกหลอน คิดถึงปัญหาในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำให้เกิดความกังวลใจเป็นอันมาก ซึ่งทำให้นอนไม่หลับมากขึ้น

    การนอนไม่หลับจากความเครียดในชีวิตประจำ วันส่วนมากอาจจะเกิดเป็นระยะสั้นๆ เช่น หลายวันจนถึงอาทิตย์ แต่มักจะหายไปในไม่เกินหนึ่งเดือน ถ้านานกว่านั้นการนอนไม่หลับกลายเป็นเรื่องเรื้อรัง ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคต่างๆ และการนอนไม่หลับเรื้อรังอย่างนี้ มักเกิดน้อยกว่าแบบชั่วครู่ชั่วยาม เกิดขึ้นประมาณ 10% ถึง 15%

    สาเหตุของการนอนไม่หลับก็อย่างเช่น

    ความเครียด อาจจะเป็นความเครียดที่เกิดจากการทำงาน การเรียน การเงิน การค้าขาย

    อาการของโรคทางจิตหลายอย่างมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า ภาวะตึงเครียด

    นิสัยการนอนที่ไม่ดีมีผลต่อการนอนหลับ เช่น ชอบนอนดูทีวีในห้องนอน ดูละครติดลมจนดึกดื่น ดูหนังบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน ดูหนังผีน่ากลัว ทำให้ประสาทเครียด หรือดูกีฬามวยทำให้ตื่นเต้นเร้าใจความดันเลือดพุ่งขึ้น หัวใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับ การนอนไม่เป็นเวลาตื่นไม่เป็นเวลาก็ทำให้วัฏจักรการนอนผิดปกติ การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายใกล้เวลานอน (น้อยกว่า 3 ชั่วโมง) ทำให้ร่างกายตื่นตัวนอนหลับไม่ลงได้เช่นกัน การนอนงีบตอนกลางวันถ้ามากเกิน (30 นาที) ไปจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้

    การเปลี่ยนที่นอนไม่คุ้นเคยกับสถานที่เป็นเหตุให้นอนไม่หลับได้เช่นกัน เช่น สาวๆ ไปเข้าค่ายอาจจะนอนไม่หลับเพราะกริ่งเกรงอันตรายจากชายหนุ่มนอกสเป๊ก การเปลี่ยนจากนอนมุ้งลวดไปนอนมุ้งสายบัวก็ทำให้ นปก. หลายคนนอนไม่หลับ สภาพแวดล้อมของที่นอน เช่น แสง เสียง ความร้อน รบกวนทำให้นอนไม่หลับ บางคนเปลี่ยนจากนอนเบาะไปนอนเสื่อก็ทำให้นอนหลับยาก คนไข้หลายคนเวลาอยู่โรงพยาบาลแล้วจะมีปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากไม่คุ้นกับ สถานที่ และที่สำคัญคือตอนกลางวันมีเวลาเผลองีบมาก พอตกดึกจึงนอนหลับไม่ลึก (ทั้งๆ ที่มีเสียงกรนทั้งคืน) จึงมีความกังวล คิดฟุ้งซ่านเรื่องโรค เรื่องงาน เรื่องเงิน คนไข้ในโรงพยาบาลจึงชอบขอยานอนหลับกิน

    โรคหลายอย่างทำให้นอนไม่หลับ เช่น โรคที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดทั้งหลาย การหายใจผิดปกติ มีเนื้อเยื่ออ่อนในคอไปปิดกั้นทางเดินหายใจในคนอ้วนทำให้หายใจลำบาก มีเสียงกรนมากเวลาหลับ ซึ่งนอกจากทำให้ตัวเองขาดออกซิเจนหลับๆ ตื่นๆ แบบไม่รู้ตัวแล้วยังทำให้คู่เคียงหมอนนอนไม่หลับไปด้วย โรคกลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุขหรือขากระดิก (restless leg syndrome) ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่ทำให้นอนไม่หลับได้

    สารหลายอย่างที่ ร่างกายได้รับเข้าไปอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เช่น ยาบางอย่างทำให้ตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ยาต้านฮีสตามีน (แก้ หวัด) มักมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงก็จริงแต่ก็ยังทำให้ฉี่ไม่ค่อยออกด้วย โดยเฉพาะในชายสูงอายุที่มีปัญหาต่อมลูกหมากทำให้มีปัสสาวะคั่งปวดฉี่นอนไม่ หลับ สารคาเฟอีนในเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ โคคาโคลา ช็อกโกแลต ทำให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่ลึก คนเราประมาณ 50% ดื่มกาแฟแล้วไม่มีผลดังกล่าว แต่ที่เหลืออีก 50% ดื่มแล้วตาสว่าง ใจเต้นแรง อย่าลืมว่าคาเฟอีนที่เรารับเข้าไปในร่างกายกว่าจะถูกสลายหมดไปจากเลือดต้อง ใช้เวลาหลายชั่วโมง อาจนานจนถึงเวลาค่ำคืนดึกดื่น การดื่มกาแฟตอนบ่ายจึงอาจมีผลให้นอนไม่หลับได้มากกว่า ดื่มตอนเช้า เพราะเหตุนี้ใครที่ไปประชุมวิชาการตามโรงแรมต้องระวังเพราะกาแฟโรงแรมมักจะ มีฤทธิ์แรงกว่ากาแฟตามบ้านเรา การดื่มสุราเมรัยก็เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของการนอนไม่หลับ เหล้าอาจจะทำให้ง่วงนอนก็จริงแต่หลับไม่ลึก ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อยาก

    การขาดการออกกำลังกาย (ทำงานหรือเล่น) ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ ทั้งนี้เพราะคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ได้พักผ่อนมากในเวลากลางวัน ร่างกายจึงไม่เหนื่อยไม่เพลียจึงนอนไม่ค่อยหลับไม่เหมือนคนที่ออกกำลัง เหนื่อย

    การวินัยฉัยเรื่องการนอนไม่หลับ โดยทั่วๆ ไปไม่ใช่เรื่องยาก คนที่มาปรึกษาแพทย์จะบอกอาการต่างๆ โรคประจำตัวที่มีอยู่

    ยาที่กิน ไม่ต้องเจาะเลือด เอกซเรย์ ไม่ต้องตรวจพิเศษอะไรมากมาย แต่การนอนไม่หลับบางอย่างอาจจะต้องใช้ห้องทดลองในการ วินิจฉัย เช่น โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnoea Syndrome) โรค นี้คนที่เป็นมักอ้วน มีปัญหาทางเดินหายใจมีเนื้อเยื่ออ่อนไป อุดกั้นทำให้หายใจไม่สะดวก ขาดออกซิเจน หลับๆ ตื่นๆ แบบไม่รู้ตัวทั้งคืน ต้องใช้ห้องทดลองในการเฝ้าติดตามดูการนอนจึงจะวินิจฉัยถูกและให้การรักษาที่ ถูกต้องได้

    อาการนอนไม่หลับพบมากในทุกอายุ ในการศึกษาหนึ่งพบว่าแม้แต่เด็กก็พบปัญหานอนไม่หลับเหมือนกัน คือพบราว ๒๐% แต่ส่วนมากพบในหญิงและคนสูงอายุมากกว่า ประมาณ ๕๐% ของผู้สูงอายุจะมีปัญหานอนไม่หลับ และจากการศึกษาหนึ่งพบว่าประมาณ ๑๔%

    ผู้สูงอายุใช้ยานอนหลับช่วย ในคนสูงอายุลักษณะการหลับเปลี่ยนไปจากคนหนุ่มสาว คนสูงอายุจะนอนหลับน้อยชั่วโมงกว่าหนุ่มสาว และหลับตื้นกว่า แต่ไม่ว่าจะอายุเท่าใดการนอนไม่หลับเรื้อรังเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

    การรักษาอาการนอนไม่หลับโดยทั่วไปอาศัยการปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ก็ สามารถแก้ไขได้แล้ว เช่น เข้านอนให้ตรงเวลาทุกคืน ตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกเช้า การทำอย่างนี้จะทำให้สมองส่วนที่ควบคุมวัฏจักรการนอนทำงานปกติ งดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนและแอลกอฮอล์หลายๆ ชั่วโมงก่อนนอน ควรงดเว้นการงีบหลับกลางวัน ออกกำลังกาย (ทำงานหรือเล่นกีฬา) สม่ำเสมอ ไม่ควรทำอะไรที่ตื่นเต้นหรือดูมหรสพที่ระทึกใจก่อนนอน

    ฝรั่งเคยสอนกันต่อๆ มาว่าเวลานอนไม่หลับให้ "นับแกะ" คือ นอนหลับตานึกเห็นภาพฝูงแกะที่กำลังกระโดดข้ามรั้วทีละตัวๆ จนผล็อยหลับไป เทคนิคนี้ก็คล้ายกับการเข้าสมาธิหรือกรรมฐาน สำหรับนักวิปัสสนา การนอนไม่หลับจะไม่เป็นปัญหามาก เนื่องจากเขาสามารถใช้ทักษะทางการเข้าสมาธิกำหนดจิตใจ เช่น การกำหนดลมหายใจเข้าออก ตอนแรกอาจจะนับการหายใจ เช่น หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1 แล้วหายใจเข้านับ 2 หายใจออกนับ 2 ฯลฯ ทำอย่างนี้ไปสักพัก แล้วเปลี่ยนไปสังเกตลมหายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเข้า หายใจออกก็ให้รู้ว่าออก ทำอย่างนี้หลายครั้งแล้วเปลี่ยนไปสังเกตลักษณะอย่างอื่นของลมหายใจ เช่น หายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว ลมหายใจเข้าเย็นกว่า ลมหายใจออกอุ่นกว่า ฯลฯ การทำสมาธิแบบนี้ถึงแม้จะนอนไม่หลับ (แต่ส่วนมากจะหลับได้) ก็ได้พักผ่อน มีจิตใจอยู่กับปัจจุบัน ลืมโลกไร้กังวล ตื่นขึ้นมาก็สดชื่น (เกือบ) เท่ากับการนอนหลับ

    การใช้สมาธิกับลมหายใจดีกว่าการนับแกะเพราะเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยจินตนาการ ไม่ต้องนึกเห็นภาพแกะซึ่งอาจจะทำให้สมาธิหลุดได้ง่าย เช่น ขณะที่กำลังนับแกะอยู่พอมาถึงตัวสุดท้ายมันดันดื้อยืนเฉยไม่ยอมกระโดด แบบนี้คนนับก็คงต้องลุกขึ้นไปไล่ทำให้นอนหลับยากต่อไป

    สำหรับคนที่ทำ อย่างว่าข้างต้นนี้ไม่ได้ผล ก็อาจจะต้องใช้ยานอนหลับอย่างอ่อนช่วยบ้าง ถ้าทำอย่างนั้นแล้วยังมีอาการก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาสมุฏฐานของโรคที่ทำ ให้นอนไม่หลับ การนอนไม่หลับโดยตัวมันเองไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการของโรคหลายอย่าง

    โรคบางอย่างที่มีอาการนอนไม่หลับอาจจะมีความสำคัญมากถ้าไม่รักษาให้ถูกต้องอาจ จะถึงตายได้ เช่น โรคซึมเศร้าซึ่งจบลงด้วยการ ฆ่าตัวตาย เป็นต้น อย่าปล่อยตัวเองให้นอนไม่หลับเรื้อรัง

    ที่มา : vcharkarn.com




     

    Create Date : 02 มิถุนายน 2553    
    Last Update : 2 มิถุนายน 2553 23:25:24 น.
    Counter : 422 Pageviews.  

    Color Therapy ศาสตร์แห่งสี เพื่อการบำบัดโรค




    สีต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราสามารถรับรู้ และมองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่พลังของสี ยังส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และการตัดสินใจของเราอีกด้วย พญ. เรขา กลลดาเรืองไกร จิตแพทย์ ได้เล่าถึงหลักการทำงานของสีไว้ว่า สีแต่ละสีมีความยาวคลื่น (Wave length) และความถี่ (Frequency) ที่แตกต่างกัน เมื่อจอประสาทตาของเรารับแสงสีต่างๆผ่านเข้าไปสู่ต่อมไพเนียลในสมอง (ต่อมไพเนียลทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเรา เช่น การกิน การนอน การขับถ่าย เป็นต้น) ต่อมไพเนียลจะมีปฎิกิริยาในการตอบสนองต่อสีแต่ละสีแตกต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลให้ความรู้สึก จิตใจ ฮอร์โมน และอารมณ์ในร่างกายของเราในขณะนั้น รู้สึกแตกต่างกันออกไป เช่น เมื่อจอประสาทตารับแสงสีแดงจะทำให้เกิดความรู้สึกตื่นตัว รับแสงสีม่วงจะทำให้รู้สึกสงบ เป็นต้น

    ด้วยความหลากหลายของสี นี่เอง นักจิตวิทยาจึงสามารถนำพลังของแต่ละสีมาปรับใช้เพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วย ต่างๆของร่างกายและจิตใจให้กับผู้ป่วยมากมายในปัจจุบัน โดยเรียกศาสตร์แห่งการรักษานี้ว่า สีบำบำบัด หรือ Color Therapy

    พลังแห่งสีกับการบำบัดโรค

    การใช้สีบำบัดสามารถแบ่งชนิดหรือโทนของสีออก เป็นสองแบบคือ สีโทนร้อน และสีโทนเย็น

    กลุ่มสีโทนร้อน เช่น สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีม่วง จะเป็นกลุ่มสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีพลัง เร่าร้อน กระตือรือร้น และกระฉับกระเฉง ในทางจิตวิทยาความแรงของสีโทนร้อนจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเจริญอาหาร ทำให้เกิดความรู้สึกหิว และกระตุ้นให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ

    * สีเหลือง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
    สีเหลืองเป็นสีแห่งความสนุกสนาน ความฉลาดรอบรู้ สดใสร่าเริง และทำให้มีอารมณ์ขัน ทั้งนี้ผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองมักอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันหวัดและช่วยเสริมสร้างความเจริญเติบโตในร่างกาย พลังของสีเหลือง ช่วยให้ระบบการทำงานของน้ำดีและลำไส้เป็นไปตามปกติ ช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น ทั้งยังสามารถใช้เยียวยาอาการท้อแท้หดหู่และหมดกำลังใจของผู้ป่วยบางประเภท ได้อีกด้วย

    * สีส้ม รักษาโรคหอบหืด
    สีส้มเป็นสีแห่งความสร้าง สรรค์ อบอุ่น สดใส มีสติปัญญา ความทะเยอทะยานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และในขณะเดียวกันก็มีความระมัดระวังไปในตัว ผลไม้และผักที่มีสีส้มอุดมด้วยวิตามินบี ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด เผาผลาญแป้งและน้ำตาล บำรุงระบบประสาท พลังของสีส้ม ช่วยคลายอาการหอบหืด และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ช่วยรักษาความผิดปกติของม้าม ตับอ่อน ลำไส้ ทั้งยังช่วยในการดูดซึมอาหารของกระเพาะและลำไส้ได้เป็นอย่างดี

    ในทางจิตวิทยา พลังของสีส้มมีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการซึมเศร้า หากคุณต้องการเรียกพลังความกระตือรือร้นในชีวิตให้กลับคืนมา สีส้มเป็นสีที่คุณควรมองหาและนำมาประยุกต์ใช้ให้มากที่สุด
    * สีแดง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
    สีแดง เป็นสีที่กระตุ้นระบบประสาทของเราได้รุนแรงที่สุด ให้ความรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น ท้าทาย ตื่นตัว ผักและผลไม้สีแดงเป็นแหล่งของวิตามินบี 12 ทองแดงและเหล็ก ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาท พลังของสีแดงกระตุ้นพลังชีวิตให้มีความเข้มแข็ง กระตือรือล้นและมีชีวิตชีวา ในแง่ของการรักษา สีแดงมีอิทธิพลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย เพิ่มพลังในระบบการไหลเวียนของเลือด และรักษาอาการหวัด

    เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ ควรรีบหาสีแดงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันโดยเร็ว ทั้งนี้เพราะพลังแห่งความมั่นใจ กล้าแสดงออก และความรักที่มีอยู่ในสีโทนร้อนเช่นสีแดงนั้นจะสามารถสร้างความรู้สึกเชื่อ มั่นในตัวเองให้กับคุณได้เป็นอย่างดี

    * สีม่วง ปรับสมดุลในร่างกาย
    สีม่วง เป็นสีแห่งผู้รู้ ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ และสร้างความสงบในจิตใจได้เป็นอย่างดี ผักและผลไม้ที่มีสีม่วงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินดี ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงาน ช่วยในการย่อยอาหาร พลังของสีม่วงช่วยปรับสมดุลในร่างกายของเราให้กลับมาเป็นปกติ ใช้บำบัดโรคไต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคผิวหนังบางชนิด อีกทั้งยังช่วยในการบำบัดโรคไขข้อได้อีกด้วย

    จากการวิจัยพบว่าพลัง ของสีม่วง ยังช่วยให้สมองของเราสงบ และสามารถสร้างแรงบันดาลใจในด้านต่างๆ ทั้งยังก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในตัวเราไปในคราวเดียวกัน เมื่อคุณต้องขบคิดกับปัญหาที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ การนำสีม่วงเข้ามาประยุกต์ใช้กับข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่รอบตัวคุณ จะทำให้คุณสามารถตัดสินใจกับเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น

    กลุ่มสีโทนเย็น เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า เป็นต้น เป็นกลุ่มสีที่ให้ความรู้สึกสดชื่น สงบ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และไม่ทำให้เครียด สีโทนเย็นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องทำงานหนักและใช้ความคิดเป็นอย่าง มาก

    * สีเขียว บรรเทาอาการเครียด
    สีเขียวเป็นสีที่เด่นที่สุดบน โลก ให้ความรู้สึกร่มรื่น สบายตา ผ่อนคลาย ปลอดภัย ทำให้เกิดความหวังและความสมดุล นอกจากนี้ผักผลไม้สีเขียวก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญมากมายโดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งช่วยในการสมานแผล ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เล็บสวย ฟันสวย เพิ่มความต้านทานโรค ในด้านการรักษา ใช้เมื่อต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด เพราะพลังของสีเขียวสามารถทำให้ประสาทตาผ่อนคลาย และความดันโลหิตของเราลดลงได้ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายระบบประสาท ป้องกันการจับตัวของก้อนเลือด ต่อต้านเชื้อโรค รักษาอาการของคนเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เยื่อบุอักเสบ เป็นต้น
    * สีน้ำเงิน บรรเทาความดันสูง
    สีน้ำเงิน เป็นสีที่มีความสุขุม เยือกเย็น หนักแน่น และละเอียดรอบคอบ พลังของสีน้ำเงิน ทำให้ระบบหายใจของเราเกิดความสมดุลและแข็งแรงขึ้น ใช้ในการรักษาโรคความดันสูง และคลายความเหงา อีกทั้งยังเป็นสีที่ใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจและการแสดงออกทางศิลปะได้ดีอีก ด้วย
    * สีฟ้า บรรเทาโรคปอด
    สีฟ้า เป็นแม่สีที่ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น เป็นอิสระ ปลอดโปร่ง สบาย ปลอดภัย ใจเย็น และระงับความกระวนกระวายในใจได้ดี พลังของสีฟ้ามีคุณสมบัติในการรักษาอาการของโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอ และทำให้ชีพจรของเราเต้นเป็นปกติ

    เมื่อรู้จักประโยชน์ของสีแต่ละสีกันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูกันต่อดีกว่า ว่าจะสามารถนำสีสันทั้งหลายเหล่านี้มาปรับและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของ เราได้อย่างไรบ้าง

    สีบำบัดกับการปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

    แม้ผลการรักษาอาการผิดปกติของร่างกายโดยการใช้ สีบำบัดจะไม่เห็นผลชัดเจนเท่ากับการกินยา แต่การนำความรู้เรื่องประโยชน์ของสีมาบำบัดอาการต่างๆนั้นก็ทำให้อาการต่างๆ ของโรคที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถทำได้ในทันที เพียงแค่นำของที่มีและใช้อยู่เดิมในชีวิตประจำวันมาปรับใช้ให้เข้ากับอาการ ที่เป็นอยู่ เช่น ทาห้องครัวเป็นสีส้ม ใช้จานใส่อาหาร หรือแก้วน้ำเป็นสีแดง เพื่อกระตุ้นการเจริญอาหาร หรือสำหรับคนทำงานที่ต้องใช้ความคิดเป็นประจำ ก็ควรนำความรู้เรื่องสีมาปรับใช้ เช่น หาต้นไม้สีเขียวต้นเล็กๆมาไว้ที่โต๊ะทำงาน นำดอกไม้โทนสีร้อนเช่น ดอกกุหลาบ ดอกลาเวนเดอร์มาปักแจกัน เพื่อลดความเครียด และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

    อย่าง บางคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรเลือกใช้เครื่องนอนที่มีสีเข้ม เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้ยิ่งเครียดและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ผนังห้องนอนก็ควรทาสีโทนเย็น เช่น สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อน ชมพูอ่อน เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับง่าย เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกใส่แต่เสื้อผ้าสีเดียวอยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดอาการไม่สมดุล และในขณะเดียวกันก็ไม่ควรวิตกกังวลกับการเลือกใช้สีมากเกินไป แค่ประยุกต์สีสันบนข้าวของเครื่องใช้ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันให้เข้ากับตัว เองมากที่สุดก็เพียงพอแล้ว

    ที่มา : นิตยสารชีวจิต




     

    Create Date : 02 มิถุนายน 2553    
    Last Update : 2 มิถุนายน 2553 23:16:15 น.
    Counter : 572 Pageviews.  

    ระวัง! เชื้อโรคในห้องน้ำ


    ห้องน้ำ...มุมที่เราหลายคนระวังตัวน้อยที่สุดในบ้าน แต่รู้ไหมคะว่าถ้าดูแลไม่ดีพอ ในห้องน้ำจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของเชื้อโรคขนาดเล็ก ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากมายเชียวล่ะ

    1. ผ้าม่านพลาสติก

    มีคำยืนยันจากนักจุลชีววิทยาแล้วค่ะว่า คราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำนั้น ก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโตได้ดีก็คือ ละอองจากการเรอ จาม และไอของคนค่ะ

    Safety Tip ควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง

    2. ฟองน้ำถูตัว

    ฟองน้ำที่ใช้ถูตัวที่เป็นสิ่งชำระความสกปรกตามซอกต่าง ๆ ของร่างกาย แถมยังต้องเปียกชื้นอยู่เกือบตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างดี

    Safety Tip คุณแม่ควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังใช้ และควรแขวนตากให้แห้งด้วย

    3. แปรงสีฟัน

    ห้องน้ำมีเชื้อโรคหลายชนิด หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือ โรตาไวรัสและเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ติดโดยการสัมผัสผ่านทางจมูกและปาก เพราะฉะนั้นต้องระวังของใช้ส่วนตัว (ชิ้นเดียว) ที่มักวางอยู่ในห้องน้ำและต้องเอาเข้าปากอย่างแปรงสีฟันเป็นพิเศษ

    Safety Tip หากล่องเก็บแปรงสีฟันโดยเฉพาะที่มีรูระบายอากาศ เพื่อป้องกันความเปียกชื้น และล้างแปรงสีฟันทุกครั้งก่อนแปรงฟัน

    4. อ่างล้างหน้า

    เป็นที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชอบความเปียกชื้นเป็นพิเศษ ในบางบ้านอาจมีเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาศัยอยู่ด้วย

    Safety Tip ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรทำความสะอาดทุกวัน

    5. ชักโครก

    เครื่องใช้ที่รองรับของเสียทั้งหลายจากร่างกาย ไม่ต้องบอกก็พอเดากันได้ว่า การทำธุระส่วนตัวแต่ละครั้งจะมีเชื้อโรคแพร่กระจายมากมายแค่ไหน แถมใต้ฝารองนั่งก็ยังมีเชื้อโรคต่าง ๆ แฝงอยู่ไม่น้อย

    Safety Tip ล้างชักโครกด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกอาทิตย์ และอย่าลืมยกฝาชักโครกขึ้นขัดทำความสะอาดด้วยนะคะ

    6. ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้า

    เพราะเปียกชื้นอยู่แทบตลอดเวลา หากคุณแม่มีแต่เช็ด เช็ด เช็ด แล้วก็เช็ด แต่ไม่เปลี่ยนผืนบ้าง ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้าจะกลายเป็นที่อาศัยของเชื้อราไปโดยปริยาย

    Safety Tip ควรแขวนผ้าเช็ดมือหรือวางผ้าเช็ดเท้าในที่ลมผ่าน หรือเอาออกมาตากให้แห้งหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคที่รักความอับชื้นทั้งหลาย

    ห้องน้ำอากาศไม่ถ่ายเทและชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอดทีเดียว กิจวัตรประจำวันทุกวันของเราในห้องน้ำ ก็มีส่วนทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้อย่างดี ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องรู้เท่าทันจุดที่มีเชื้อโรคหมักหมมหรือก่อตัวได้ง่าย และหมั่นทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อโรคนั้นเป็นประจำค่ะ

    ที่มา : momypedia




     

    Create Date : 01 มิถุนายน 2553    
    Last Update : 1 มิถุนายน 2553 22:47:04 น.
    Counter : 453 Pageviews.  

    น้ำหนักเกิน ทำร้ายสเปิร์มได้

          คุณผู้ชายที่ปล่อยให้น้ำหนักตัว พุ่งพรวด ๆ เกินพิกัด นอกจากหุ่นอันแสนจ้ำม่ำจะทำลายใจสาวแล้ว ยังส่งผลเสียต่อคุณภาพสเปิร์มของคุณอีกด้วยค่ะ

          รายงานข่าวแจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์สหรัฐ พบความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับคุณภาพของสเปิร์ม โดยชี้ว่าการมีน้ำหนักเกินอาจส่งผลให้ความแข็งแรงของสเปิร์มลดลง จนอาจไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้

          ทีมวิจัยจากศูนย์ให้คำ ปรึกษาแก่ผู้มีบุตรยาก ในเมืองแอตแลนตารายงานผลว่า ดัชนีมวลร่างกายมีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพและปริมาณของสเปิร์ม โดยภาวะ น้ำหนักเกินอาจส่งผลให้จำนวนสเปิร์มลดต่ำลง จนไม่เพียงต่อการปฏิสนธิ และอาจเป็นผลให้เกิดการแท้งภายหลังเนื่องจากตัวอ่อนไม่แข็งแรงพอ พร้อมกันนี้ ยังได้ชี้ว่า พบความสัมพันธ์ดังกล่าวแม้ในชายที่น้ำหนักเกินเล็กน้อยด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งผลการศึกษาครั้งนี้อาจจะเป็นคำตอบว่า เหตุใดอัตราชายที่มีบุตรยากจึงสูงขึ้น ตามอัตราส่วนผู้มีน้ำหนักเกินในประเทศทางซีกตะวันตกค่ะ

          เรื่องแบบนี้ไม่กล้านำมาล้อเล่นค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้โรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินเริ่มระบาดมาทางเอเชีย เนื่องจากเราหันมาเลียนแบบพฤติกรรมการบริโภคตามอย่างชาติตะวันตกมากขึ้น ดังนั้น คุณผู้ชายท่านใดที่ปล่อยให้พุงล้ำหน้า เห็นทีคงต้องรีดน้ำหนักเป็นการด่วนแล้วค่ะ

    ที่มา : สวยด้วยแพทย์




     

    Create Date : 01 มิถุนายน 2553    
    Last Update : 1 มิถุนายน 2553 22:12:20 น.
    Counter : 560 Pageviews.  

    1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

    quosego
    Location :


    [Profile ทั้งหมด]

    ฝากข้อความหลังไมค์
    Rss Feed
    Smember
    ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    Friends' blogs
    [Add quosego's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.