Group Blog
 
All Blogs
 

กิน "ขมิ้น" แก้โรคกระดูกพรุน

ทราบหรือไม่ว่าการรับประทานขมิ้นก็สามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก..

การรับประทานแกงที่มี "ขมิ้น" เป็น ส่วนประกอบ เช่น แกงกะหรี่ มีส่วนช่วยป้องกันโรคกระดูก ข้ออักเสบ และโรคกระดูกได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐ จากมหาวิทยาลัยอริโซนา ระบุว่า ขมิ้นซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมในอาหารประเภท แกงเผ็ด หรือแกงสีเหลืองทั้งหลาย มีสรรพคุณช่วยบำบัดโรคได้

ในวงการแพทย์เอเชียใช้ขมิ้นในการรักษาโรคต่าง ๆ มานานหลายร้อยปี เช่น อาการอักเสบ และพบว่า สารเคอร์คูมิน ที่อยู่ในขมิ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคข้อต่ออักเสบได้ และช่วยรักษาอาการอักเสบ พอง หรือบวมของโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคหืด ลำไส้อักเสบ และโรคกระดูก

รู้อย่างนี้แล้ว ใครไม่อยากเป็นโรคกระดูกพรุน ลองหาขมิ้นมารับประทานกันดูได้

ที่มา : นสพ.เดลินิวส์




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 22:47:03 น.
Counter : 516 Pageviews.  

“ดื่มนม” ห่างไกล “โรคกระดูกพรุน“

เพราะอยากเห็นคนไทยหันมา “ดื่มนม” กันเยอะๆ ผลิตภัณฑ์โฟร์โมสต์โดย มร.ฮ้านส์ เฮ้าสตร้า แม่ทัพคนใหม่ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยส่งเสริมการบริโภคนมของคนไทยให้มากขึ้น และหวังมีส่วนร่วมสำคัญในการลดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด โดยประเดิมเปิดแคมเปญตัวแรก “โฟร์โมสต์ ดื่มได้ตลอด ดื่มเลย”

พร้อมกันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ อ.สง่า ดามาพงศ์ และ น.พ.ธนา ธุระเจน เลขาธิการและกรรมการ มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ได้มาร่วมตอกย้ำถึงความสำคัญของการดื่มนมเพื่อสุขภาพ โดยได้ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคนไทยยังดื่มนมกันน้อยมากโดยอัตราเฉลี่ยเพียง 12 ลิตรต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับอเมริกาซึ่งมีอัตราการบริโภคสูงถึง 92 ลิตรต่อคนต่อปี

เนื่องจาก ชาวอเมริกัน ดื่มนมกันเป็นประจำไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ จริงๆ แล้วนมเป็นแหล่งรวมของโภชนาการและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งนอกจากแคลเซียมแล้วในนมยังมีโปรตีน และเกลือแร่ที่สำคัญต่อสุขภาพหลากหลายอีกด้วย การหยุดดื่มนมเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น หรือเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ประสบกับปัญหาขาดแคลเซียม และส่งผลให้ต้องเผชิญกับภาวะ “โรคกระดูกพรุน” โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานและผู้สูงอายุ

โดยโรคกระดูกพรุนเป็นความผิดปกติของกระดูกที่ทำให้ความแข็ง แรงของกระดูกลดลงและเสี่ยงต่อกระดูกหักเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 ท่านก็แนะนำให้คนไทยเริ่มต้นสะสมแคลเซียมกันอย่างต่อเนื่องด้วยการดื่มนมรวม ทั้งการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงกับการเกิดโรคกระดูกพรุน สำหรับท่านที่หยุดดื่มนมไปแล้วและจะเริ่ม กลับมาดื่มใหม่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะท้องเสีย ค่อยๆ เริ่มจากการดื่มนมอุ่นพร้อมมื้ออาหารจนร่างกายเคยชิน ก็จะสามารถดื่มนมเพื่อสุขภาพกันได้เป็น ประจำ สำหรับผู้สูงอายุซึ่งมีปัญหาเรื่องไขมันและน้ำหนัก ก็มีนมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนยให้ดื่มกัน นอกเหนือจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้วก็ยังมีส่วนช่วยเกษตรกรในภาวะน้ำนม ดิบล้นตลาดด้วย

นอกจากนี้ “แอนดี้ เขมพิมุก” และ “ครีม-เปรมสินี รัตนโสภา” ตัวแทนวัยทำงาน ได้ผลัดกันเล่าถึงประสบการณ์และเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ เริ่มจากแอนดี้ที่เล่าว่า “ช่วงเด็กๆ จะไม่ค่อยชอบดื่มนมก็เลยรู้สึกว่ากระดูกจะหักง่าย แต่เมื่อโตขึ้นก็จะหันกลับมาดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายและดื่มนมตลอด ซึ่งที่บ้านก็จะมีนมโฟร์โมสต์ติดตู้เย็นไว้ประจำ เวลาเข้าฟิตเนสก็จะพกนมติดตัว ด้านครีมก็จะพูดถึงว่า “พยายามดื่มนมมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ รวมทั้งออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กันไป เท่านี้ก็ทำให้ครีมมีสุขภาพดีและแข็งแรงได้แล้วล่ะค่ะ”

ว่าแต่วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง?

ที่มา : นสพ.บ้านเมือง




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 22:36:04 น.
Counter : 361 Pageviews.  

ใช้มือถือเสี่ยงเป็น "มะเร็งในดวงตา"


มีบางคนกล่าวไว้ว่า อนุภาครังสีจากโทรศัพท์มือถืออาจส่งผลให้เกิดมะเร็งนัยน์ตาหรือเมลาโนมา

แต่ล่าสุดทีมแพทย์ชาวเยอรมัน ออกมาปฏิเสธความเชื่อนี้

เมลาโนมา (Melanoma) คือมะเร็งชนิดหนึ่งที่ขยายตัวได้รวดเร็ว เกิดจากกระบวนการสร้างเม็ดสีหรือเมลานินที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่พบในเซลล์ผิวหนังและไม่บ่อยนักที่จะพบในดวงตา จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 1,600 คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือนานกว่า 10 ปี พบว่า การเกิดมะเร็งในดวงตานั้นไม่เกี่ยวข้องกับคลื่นรังสีของโทรศัพท์มือถือแต่ อย่างใด รวมทั้งมะเร็งสมองที่เชื่อกันว่าเกิดจากโทรศัพท์มือถือด้วย ได้ยินอย่างนี้ คนที่ใช้มือถือเป็นประจำคงจะหายห่วงไปได้ระดับหนึ่ง

ที่มา : health & cuisine




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 19:07:01 น.
Counter : 501 Pageviews.  

เตือน! สวม contact lens ใกล้ความร้อนเสี่ยงตาบอด


ไม่ทราบว่าชาวที่นี่มีใครที่ได้รับ ฟอร์เวิดเมล์ เกี่ยวกับการสวมคอนแทกต์เลนส์ในขณะที่กำลังทำกิจกรรมปิ้งๆ ย่างๆ แล้วทำให้ตาบอดกันบ้างหรือเปล่า

ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นก็คือ คอนแทกต์เลนส์ที่ทำจากพลาสติกนั้นเมื่อโดนความร้อนสามารถ ละลายได้ แต่ในกรณีผู้ที่สวมคอน แทกต์เลนส์แล้วไปรับประทานหมูกะทะที่ต้องนั่งหน้าเตาปิ้งย่างด้วยตัวเอง ไหน จะควันที่ลอยคลุ้งขึ้นมาอีกก็ตามนั้น ไม่อาจจะส่งผลให้คอนแทกต์เลนส์ที่คุณสวมใส่ละลายได้แต่อย่างใด

เพราะเป็นการสัมผัสกับ ความร้อนไม่นานเพียงพอที่จะละลายคอนแทกต์เลนส์ได้ แต่อาจจะส่งผลให้ตาเกิดความระคายเคือง หรือตาแห้งเนื่องจากควันที่ลอยเข้าหน้าได้ ในขณะเดียวกัน หากเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับความร้อนนาน ๆ อาจจะส่งผลให้คอนแทกต์เลนส์เสื่อมได้

ทั้งนี้ทางจักษุแพทย์ได้เตือนว่า การสวมคอนแทกต์เลนส์ที่เสื่อมคุณภาพ จนถึงขั้นแห้งนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อดวงตาได้มากกว่า เพราะคอนแทกต์เลนส์จะดูดน้ำหล่อ เลี้ยงดวงตา และ หากตาแห้งมาก ๆ คอนแทกต์เลนส์ก็จะยิ่งดูดน้ำจากดวงตา และทำให้น้ำหล่อเลี้ยงตามีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึง ขั้นเป็นอันตรายกับดวงตาได้

นอกจากนี้ อาชีพที่ทำงานอยู่ใกล้กับความร้อน เช่น อาชีพที่ทำอาหาร ก่อสร้าง หรืออาชีพใด ที่ต้องอยู่กับความร้อนและฝุ่น แสงแดด ควร จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหากใส่คอนแทกต์เลนส์ โดยพยายามหลีกเลี่ยงจากแสงแดด ความร้อน และฝุ่น ควันไม่ได้ก็ควรใส่แว่นตากันแดดหากต้องออกแดด หรือว่าสวมแว่นสายตาธรรมดา เพื่อป้องกันความร้อนขณะที่ปิ้งย่างอาหาร รวมถึงในบางรายก็อาจมีการ หยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นของดวงตากับคอนแทกต์เลนส์ด้วย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่สวมคอนแทกต์เลนส์ก็สามารถทานอาหารปิงย่าง ได้ตามปกติ เพียงแต่ระวังให้มากเป็นพิเศษ และอย่าสวมใส่คอนแทกต์เลนส์ที่เสื่อมคุณภาพนะคะ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีของคุณค่ะ

ที่มา : ที่นี่ดอทคอม




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 18:53:00 น.
Counter : 413 Pageviews.  

แก้อาการซึมเศร้าด้วยการเติมเกลือลงในอาหาร


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ไอโอวา สหรัฐ แนะนำให้เติมเกลือลงในอาหารเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพราะมีคุณสมบัติกระตุ้นอารมณ์ให้ดีขึ้น ช่วยแก้ซึมเศร้าได้

ผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า หนูตัวที่ได้รับเกลือไม่เพียงพอจะเลิกทำกิจกรรมที่มันเคยชื่นชอบ เช่น กินน้ำหวาน หรือวิ่งเล่นตามสิ่งกีดขวางต่างๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ให้รู้ถึงอาการซึมเศร้า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าถ้าร่างกายได้รับเกลือไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้อารมณ์ พลอยหดหู่ซึมเศร้าไม่แจ่มใส

ผลการวิจัยยังพบว่า เกลือเป็นเหมือนสารเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะถ้าได้ลองเติมเกลือลงในอาหารอยู่เป็นประจำจะมีแนวโน้มต้องเติมเกลือ เช่นนั้นตลอดไป แม้จะรู้ดีว่าการกินเกลือมาก เกินไปไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ถ้าไม่ได้เติมเกลือ หรือใส่เกลือน้อยไปจะรู้สึกว่าอาหารจานนั้นไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ จึงต้องใส่เกลือลงไปเพิ่มอีก

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนให้ระวังการรับประทานเกลือมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ความดันเลือดพุ่งสูง จนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดอุดตันในสมองและอาการหัวใจวาย สำนักงานมาตรฐานอาหารในอังกฤษระบุว่า ผู้ใหญ่ควรรับประทานเกลือไม่เกิน 6 กรัม/วัน


ที่มา : นสพ.ข่าวสด




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 18:42:40 น.
Counter : 375 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  

quosego
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add quosego's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.