พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์
ฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกานักการเมืองใน 2 ประเด็นเพื่อต่อสู้คดียึดทรัพย์
โดยเตรียมแนวทางต่อสู้ในการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์ ซึ่งอาจจะนำประเด็นที่ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยคดียึดทรัพย์สมัยคณะรักษาความสงบ เรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.ที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือ คตส. ขึ้นมาสอบสวนและสั่งอายัดทรัพย์นักการเมืองในขณะนั้น ซึ่งศาลชี้ว่าขัดต่อประเพณีการปกครองของไทยในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการตั้งคณะบุคคลที่มิใช่ศาลมาทำการเช่นเดียวกับศาล นอกจากนี้ทรัพย์สินนักการเมืองที่สั่งอายัดไว้เป็นทรัพย์ที่นักการเมืองได้ มาก่อนประกาศ รสช. จะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นการออกและใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาให้มีผลย้อนหลัง จึงขัดธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2534 และใช้บังคับมิได้ ดังนั้นทีมที่ปรึกษากฎหมายจะนำประเด็นประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 เข้าข่ายออกกฎหมายให้มีโทษย้อนหลังหรือไม่ และเมื่อ คตส.หมดวาระลงก่อนทำงานเสร็จสิ้น การส่งคดีไปให้ ป.ป.ช.พิจารณาต่อนั้น อำนาจของ ป.ป.ช.มีหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ฝ่ายกฎหมายอาจใช้วิธีการยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษา โดยอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 14/2546 และ 32/2548 ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านขณะนั้น และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัย พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิต ซึ่งผลปรากฏว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากวินิจฉัย พ.ร.ก.ดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2540 และสามารถออกเป็นกฏหมายประกาศบังคับใช้ได้ จึงเห็นว่าการที่องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณในประเด็นดังกล่าว ถือว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรค 5 ที่ระบุว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
สำหรับคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 มีดังนี้
องค์คณะผู้พิพากษาใช้เวลาอ่านคำฟ้องของอัยการ 1 ช.ม.อ่านคำคัดค้านการยึดทรัพย์ของผู้ถูกร้อง (จำเลย) 1.30 ช.ม.เริ่มเข้าสู่การพิจารณาในแต่ละประเด็น 16.00 น.1. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดทางละเมิดของศาลปกครอง หรือ คดีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เป็นส่วนที่ฝ่ายทนายกล่าวหา 2. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ร้อง ทั้งอัยการ , ป.ป.ช. , คตส. มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์ 7.66 หมื่นล้าน ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะ 2.1 พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 42 ไม่ได้สิ้นสุดลงตาม รธน.40 จากการยึดอำนาจ 19 ก.ย.492.2 คตส.จึงสามารถใช้อำนาจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบการทุจริต ตามประกาศ คปค.ได้ 2.3 การที่ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.กำหนดให้การฟ้องคดีร่ำรวยผิดปกติ ต้องทำในสมัยที่นักการเมืองคนนั้น อยู่ในตำแหน่ง ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับการตรวจสอบของ คตส.ที่มีการบัญญัติไว้เป็น กม.เฉพาะได้2.4 การตั้งนายกล้าณรงค์ จันทิก , นายบรรเจิด สิงคเนติ , นายแก้วสรร อติโพธิ เป็นอนุกรรมการตรวจสอบชอบด้วย กม.ไม่ได้มีอคติ หรือ เป็นปรปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหา เพราะการไปฟังกลุ่มพันธมิตรฯปราศรัย , การแสดงความเห็นตรงข้ามกับผู้ถูกกล่าวหา เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในฐานะประชาชนทั่วไป , นักวิชาการ และ ส.ว. ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวกับผู้ถูกกล่าวหา 2.5 ป.ป.ช.ชุดนี้ตั้งตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 19 ซึ่งชอบด้วย กม.แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ ปธ.วุฒิสภา รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง2.6 คดีนี้เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีแพ่งประกอบคดีอาญา ที่ต้องรอผลทางอาญาก่อน ตาม ป.วิ อาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงสามารถดำเนินกระบวน พิจารณาได้ โดยไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษาในส่วนที่เป็นคดีอาญาก่อน 3. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คำร้องขอให้ยึดทรัพย์ 7.66 หมื่นล้าน มีความชัดเจนไม่คลุมเครือ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือหุ้นชินคอร์ปผ่านเครือญาติ และนิติบุคคลที่ตัวเองตั้งขึ้น 4. ในประเด็นเรื่องการปกปิดและทำนิติกรรมอำพรางในการถือครองหุ้นนั้น องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ยังคงถือครองหุ้นชินคอร์ป 1,449 ล้านหุ้น ระหว่างเป็นนายกฯ 4.1 ข้ออ้างที่ว่า นายพานทองแท้ ยืมเงินคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยไม่มีดอกเบี้ยนั้นมีพิรุธ โดยนายพานทองแท้ได้โอนเงินเข้าบัญชีคุณหญิงพจมานทุกครั้งที่มีการขายหุ้น เพิ่มทุน 4.2 การถือครองหุ้นชินคอร์ป จำนวน 48.75% ผ่านเครือญาติ , บ.แอมเพิลริช , บ.วินมาร์ค นั้น มากพอที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน มีอำนาจตั้งบอร์ด และใช้อำนาจกำหนดนโยบาย และบริหารงานธุรกิจในเครือชินคอร์ปผ่านบอร์ดที่ตัวเองตั้งขึ้น 5. มีมติเสียงข้างมากว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งตรา พ.ร.ก.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตร , พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต , ออกมติ ครม. และประกาศ ก.คลัง ให้บริษัทมือถือจ่ายภาษีสรรพสามิต และนำภาษีไปหักค่าสัมปทานได้นั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ AIS กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ และทำให้รัฐได้รับความเสียหาย สูญเสียรายได้ไปกว่า 6 หมื่นล้านบาท 6. มีมติเสียงข้างมากว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แก้ไขสัญญาให้ AIS ลดการจ่ายส่วนแบ่งรายได้การให้บริการระบบเติมเงินให้แก่ ทศท. จากเดิมต้องจ่ายในอัตราก้าวหน้า 25-30% เหลืออัตราคงที่ 20% ทำให้ต้นทุนของ AIS ลดลง และมีผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ AIS 7. มีมติเสียงข้างมากว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ประโยชน์จากการที่ AIS เสนอขอแก้ไขสัญญาลดการจ่ายค่าใช้เครือข่ายร่วมให้แก่ กสท. และ ทศท. เนื่องจากได้มีการดำเนินการภายหลังการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กแล้ว ผู้ได้รับประโยชน์จึงเป็นเทมาเส็กที่ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970 ล้านบาท ไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ 8. มีมติเสียงข้างมากว่า การอนุญาติให้ใช้ดาวเทียมไอพีสตาร์ แทนไทคม 4 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ป และไทคม ซึ่งศาลมองว่าดาวเทียวไอพีสตาร์เป็นการสื่อสารระหว่างประเทศมากกว่าในประเทศ ซึ่งผิดไปจากข้อตกลงที่ทำไว้กับกระทรวงคมนาคม และไม่มีการเปิดประมูล 9. มีมติเสียงข้างมากว่าการแก้ไขสัญญาให้บริษัทชินคอร์ป ลดภาระการลงทุนในบริษัทไทคม เป็นการเอื้อประโยชน์บริษัทไทคม 10. มีมติเสียงข้างมากว่า การปล่อยเงินกู้จำนวน 4 พันล้านบาท ให้รัฐบาลพม่านำไปใช้ในการระบบโครงข่ายโทรคมนาคม เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทไทคม และบริษัทชินคอร์ป
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ทั่งหมด ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พันตำรวจโททักษิณ มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ , การสั่งการ ครม. และหน่วยงานต่างๆ แต่มีส่วนที่พันตำรวจโททักษิณเกี่ยวข้องในการสั่งการโดยตรงชัดแจ้งอยู่ 2 กรณี คือการแปรค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ เป็นภาษีสรรพามิต ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ เอไอเอส. และการปล่อยเงินกู้ 4 พันล้านบาท ให้รัฐบาลพม่า ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ป ส่วนกรณีอื่นๆ พันตำรวจโททักษิณเป็นแค่ผู้กำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
จึงมีมติเสียงข้างมากว่าพันตำรวจโททักษิณ ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจในเครือชินคอร์ปจริง และให้ทรัพย์สินในส่วนของเงินปันผลค่าหุ้น จำนวน 6,898 ล้านบาท และเงินที่ได้จากการขายหุ้น 39,474 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 46,373 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากในบัญชีทั้งหมด 35 บัญชี ของพันตำรวจโททักษิณ , คุณหญิงพจมาน , นายพานทองแท้ , นางสาวพิณทองทา , นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่ครบตามจำนวนก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นที่อายัติไว้ จนกว่าจะครบตามคำพิพากษา
ซึ่งในส่วนของทีมทนายความนั้น ทันทีที่รับทราบคำพิพากษาก็ลงมาขึ้นรถเดินทางกลับทันที โดยบอกเพียงสั้นๆว่า ขอเวลาพิจารณาคำพิพากษา และพยานหลักฐานอื่นก่อน ว่าจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ส่วนอัยการผู้ฟ้องคดีก็ตอบผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
ขณะที่กำลังตำรวจที่รักษาความปลอดภัยบริเวณศาลฎีกา ก็ได้ถอนกำลังส่วนหนึ่งกลับไปแล้ว เหลือไว้บางส่วนให้ดูแลความปลอดภัยไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้
Create Date : 01 มีนาคม 2553 |
Last Update : 1 มีนาคม 2553 19:46:20 น. |
|
0 comments
|
Counter : 319 Pageviews. |
|
|
|
| |