|
วิธีล้างจมูกลูก (เบบี๋)
เวลาที่เจ้าตัวเล็กเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกมักจะยืดย้อย หรือไม่ก็มีขี้มูกเกรอะอยู่ที่รูจมูก เราสามารถช่วยเจ้าตัวเล็กได้ค่ะ โดยการล้างจมูก ส่วนใหญ่แม่ๆ ก็จะล้างจมูกให้ลูกกันได้ค่ะ แต่พอดีได้วิธีนี้มาจาก รพ. ค่ะ เอามาให้คุณแม่ๆ ศึกษากันนะคะ เราจะได้ล้างจมูกคุณลูกได้อย่างถูกต้อง ถูกสุขอนามัยกันหน่อย
Let's go...babe วิธีล้างจมูก 1. ล้างมือให้สะอาด 2.เทน้ำเกลือใส่ถ้วยหรือแก้วยาที่เตรียมไว้ 5-10 ซีซี 3.ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือขึ้นมาประมาณ 1-5 ซีซี 4.ให้เด็กนั่งหรือนอนศีรษะสูง แหงนหน้าเล็กน้อย 5.จับหน้าให้นิ่งแล้วสอดปลายกระบอกฉีดยาให้ชิดรูจมูกด้านบน 6.ค่อยๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าในรูจมูกครั้งละประมาณ 0.5-1 ซีซี 6.1 กรณีที่เด็กสามารถสั่งน้ำมูกได้ ให้สั่งน้ำมูกเบาๆ พร้อมกันทั้งสองข้างโดยไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง 6.2กรณีที่เด็กไม่สามารถสั่งน้ำมูกเองได้ ให้ใช้ลูกยางแดงดูดออก 6.3 กรณีเด็กเล็กมาก อาจใช้ขวดยาพลาสติกเล็ก บรรจุน้ำเกลือ หยดเข้ารูจมูก 2-3 หยด และใช้ไม้พันสำลีค่อยๆ ซับน้ำเกลือที่ค้าง ในรูจมูกเบาๆ
ข้อควรระวัง - ควรล้างจมูกก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชม. ขึ้นไป เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก - น้ำเกลือที่ใช้ต้องสะอาดปราศจากเชื้อ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ต้องสะอาด หรือผ่านการฆ่าเชื้อโรค เช่น การต้ม นึ่ง - ไม่ควรใช้น้ำเกลือขวดใหญ่ เพราะการเปิดใช้ต่อเนื่องนานจนกว่าน้ำเกลือจะหมดอาจมีเชื้อโรคสะสมได้ (ควรใช้ขวดละ 100-250 ซีซี) - หลังล้างจมูกควรปล่อยให้จมูกแห้งโดยไม่ต้องใช้ไม้พันสำลี หรือกระดาษเข้าไปเช็ด กรณีล้างจมูกก่อนพ่นยาก็เช่นกันควรรอให้กน้ำเกลือที่ ล้างจมูกแห้งก่อน จึงพ่นยา
การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก - กระบอดฉีดยา ภาชนะที่ใส่น้ำเกลือ ให้ล้างด้วยน้ำยาล้างจาน และล้างตามด้วยน้ำประปาจนสะอาด ผึ่งให้แห้ง - ลูกยางแดง ล้างด้วยน้ำยาล้างจานทั้งภายในและภายนอก และล้างตามด้วยน้ำประปาจนสะอาด บีบน้ำที่อยู่ในลูกสูบยางออกจนหมด ควรต้มเดือดวันละครั้ง โดยดูดน้ำเดือดเข้ามาในลูกยางและต้มต่อประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วบีบน้ำค้างออกจนหมด คว่ำปลายลง ใน ภาชนะที่สะอาด
Create Date : 23 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 24 มกราคม 2551 9:34:48 น. |
Counter : 1270 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สนุกกับการทำอาหารเสริมด้วยผัก Veggies
ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้องอันนาเริ่มทานอาหารเสริม ทำให้แม่ต้องขวนขวายศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริม หรือ Solid Food เสียหน่อย จริงๆ แล้วให้ทานได้ตั้งแต่ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ แต่ว่าควรจะเริ่มอะไรก่อนดีหล่ะ
วันนี้ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับผัก เพราะแม่ชอบกินผัก แล้วผักก็ดีมีประโยชน์ มีวิตามิน เกลือแร่สูง แถมยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ถ่ายดีเสียด้วย
เรามาดูว่ามีผักอะไรที่พอจะหาทานได้ในเมืองไทย มาทำให้ลูกน้อยทานได้ดีกว่าค่ะ
1.Broccoli - บรอคโคลี่ อายุ 8-10 เดือน ขึ้นไปทานได้ค่ะ วิตามินที่ได้ C A E K B1 B6 Fiber โปแตสเซีม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส เหล็ก ให้ทานได้เมื่อเด็กอายุ 8-10 เดือนแล้ว เนื่องจากมีแก๊สมาก ใช้วิธีต้ม สับก้านและดอกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้เฉพาะดอก ต้มจนนิ่ม และบด ผสมกับข้าว หรือซุป
2.แครอต อายุ 7-8 เดือน วิตามินที่ได้ A C แคลเซียม ให้เด็กทานได้ดี ใช้วิธีการต้ม โดยปอกเปลือกออกก่อน ขัดที่เปลือกด้วยน้ำเย็นผ่านก๊อกน้ำไหลผ่าน ตัด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มจนนิ่ม (ไม่เอาน้ำที่ต้ม) และบดให้ละเอียดผสมกับข้าว
3.แอสพารากัส Asparagus อายุ 8-10 เดือน วิตามินที่ได้รับ C Fiber B โฟลิค เอซิด ไม่ควรให้กับเด็กที่ต่ำกว่า 8 เดือน เพราะมีแก๊สมากเหมือนบรอคโคลี่ ต้องปอกเอาเปลือกด้านนอกออกก่อน ค่อยต้ม
4.ผักขม spinach อายุ 10-12 เดือน วิธีการปรุง ใช้การต้ม โดยวางบนตะแกรงหรือตะกร้าให้น้ำผ่านตระกร้าได้ จนใบหด แสดงว่าสุกแล้วบดให้ละเอียด ผสมข้าว หรือเติมน้ำซุปนิดหน่อย ผสมกับไก่ก็ได้
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2550 10:32:12 น. |
Counter : 393 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทำอย่างไรเมื่อลูกดูดนิ้ว ...
การดูดนิ้วมือ
การดูดนิ้วมือพบบ่อยในเด็กเล็ก มักจะหยุดดูดไปเองเมื่ออายุ 6-7 เดือน แต่ถ้าอายุ 6-8 ปี แล้วยังดูดนิ้วมืออยู่ หรือการดูดนิ้วมีผลต่อการขึ้นของฟันหรือรูปร่างของปาก ควรปรึกษากุมารแพทย์ หรือทันตแพทย์เด็ก
หัวนมปลอม
พ่อแม่หลายท่านเข้าใจผิดว่า การใช้หัวนมปลอมอาจเกิดอันตรายต่อเด็กได้ แต่ความเป็นจริงหัวนมปลอมมีประโยชน์ในกรณีที่เด็กต้องการดูดอย่างอื่นนอกเหนือไปจากขวดนม แต่ไม่ควรใช้ในช่วงที่เด็กหิว หรือขณะรออาหาร เพราะอาจทำให้เด็กเกิดอาการกังวลได้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ให้เด็กเลือกเองว่าจะใช้เมื่อไร เด็กบางคนใช้หัวนมปลอมช่วยให้หลับ ปัญหาคือ เด็กมักจะตื่นขึ้นเมื่อหัวนมปลอมหลุดจากปาก และจะร้องจนกว่าคุณพ่อคุณแม่จะหาเจอและใส่ปากเด็กอีก อย่าแก้ปัญหานี้โดยการผูกหัวนมปลอมกับเตียงเด็ก รอบคอเด็ก หรือรอบมือเด็ก เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เด็กที่ชอบดูดนิ้วมือจะได้เปรียบกว่าในแง่นี้ เพราะนิ้วมือจะอยู่กับตัวเด็กตลอด
การเลือกหัวนมปลอมและการปฏิบัติ
ลักษณะนิ่ม ขนาดความกว้างอย่างน้อย 1 นิ้ว เพื่อว่าเวลาดูดเด็กจะได้ไม่สามารถกลืนเข้าปากได้ สามารถทำความสะอาดได้โดยการนึ่ง ควรมีสำรองไว้ เผื่อเวลาอันที่ใช้อยู่ตกพื้นหรือหาย ห้ามผูกหัวนมปลอมรอบคอ/รอบมือหรือเตียงเด็กเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ไม่ควรใช้หัวนมจากขวดนมแทนหัวนมปลอม เพราะถ้าเด็กดูดแรง หัวนมยางจะหลุดติดคอ ควรตรวจดูสีของยาง หรือรอยฉีกขาดเป็นระยะ ขั้นตอนแรกสำหรับเด็กที่ชอบดูดนิ้วมือ หรือหัวนมปลอม ให้ละเลยความสนใจ เด็กจะเลิกทำไปเอง การใช้คำรุนแรง ล้อเลียน หรือการลงโทษจะทำให้เด็กเครียดและอาการเป็นมากขึ้น ในเด็กโตที่อายุมากกว่า 3 ปี มักจะ ดูดนิ้วมือยามว่าง ควรเบี่ยงเบนความสนใจให้เด็กมี กิจกรรมอื่นทำ และให้รางวัลเมื่อเด็กประพฤติตัวดี ไม่ดูดนิ้วมือ โดยการให้คำชมเชย การใช้ปฏิทินติดดาว
ถ้ายังไม่ได้ผล และตัวเด็กเองต้องการเลิกเช่นกัน ให้ใช้วิธีเตือนโดยพันรอบนิ้วด้วยเทปพลาสติก ถ้าการดูดนิ้วมือมีผลต่อการขึ้นของฟัน และถ้าไม่สามารถเลิกพฤติกรรมนี้ได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์ โดยทันตแพทย์จะใส่อุปกรณ์เข้าไปในปากเพื่อป้องกันไม่ให้ นิ้วมือไปกดที่เพดานปากและฟัน และอุปกรณ์นี้จะทำให้เด็กรำคาญเวลาดูดนิ้ว และเลิกดูดไปเอง โดยทั่วไปภาวะเครียดจะทำให้เด็กดูดนิ้วมือหรือหัวนมปลอม แต่เมื่อถึงวัยเข้าเรียน เด็กจะเลิกได้เอง เพราะเพื่อนล้อเลียน แต่บางคนอาจดูดเวลานอนซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสีย แต่การบังคับเด็กให้เลิกจะมีผลเสียมากกว่า
ที่มา : ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
Create Date : 13 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 13 ตุลาคม 2550 11:44:09 น. |
Counter : 1356 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อาหารเสริมสำหรับลูกรัก
ความสำคัญของอาหารเสริม
อาหารเสริม หมายถึง อาหารสำหรับเด็กวัยหย่านม อาหารที่วิเศษที่สุดสำหรับทารก คือ "น้ำนมแม่" คุณแม่ที่มีสุขภาพดี ได้รับอาหารที่เหมาะสม พักผ่อนเพียงพอ จะมีปริมาณน้ำนมมากพอต่อความต้องการของทารกแรกเกิด จนถึง 4-6 เดือน หลังอายุครบ 4 เดือน ทารกควรได้รับอาหารเสริมเพื่อให้การเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสติปัญญาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงให้อาหารเสริมนี้ น้ำนมแม่ยังต้องให้อยู่ โดยอาหารเสริมจะค่อยๆ เพิ่มทั้งชนิดและปริมาณ เมื่อลูกอายุเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันน้ำนมแม่จะค่อยๆ ลดปริมาณลงจนเอาหารเสริมกลายเป็นอาหารหลัก เมื่ออายุครบ 1 ปี
หลักการให้อาหารเสริม
1. เมื่อเริ่มให้อาหารเสริมควรเริ่มทีละชนิด และเว้นระยะประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงเริ่มให้อาหารชนิดใหม่ จะทำให้เราทราบว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดหรือไม่ อาการแพ้ที่เกิดอาจมีผื่นตามผิวหนัง ไอ หอบ ร้องกวนมากกว่าปกติ
2. ควรเริ่มให้อาหารแต่ละชนิดทีละน้อย เช่น 1 ช้อนชาในครั้งแรกๆ แล้วค่อยเพิ่มเป็น 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับข้าวบดอาจเพิ่มจนได้ครึ่งถ้วย
3.การเริ่มมื้ออาหารเสริม ถ้าเริ่มมื้อใดก็ควรให้มื้อนั้นทุกวัน จนกว่าจะได้ 1 มื้อ แล้วจึงเปลี่ยนไปให้มื้อต่อไป
4.ไม่ควรให้อาหารเสริมก่อนอายุ 3 เดือน เพราะระบบการย่อยอาหารของลูกยังไม่พร้อม
5.อาหารที่เตรียมให้ลูก ควรเน้นความสะอาด ผู้เตรียมต้องล้างมือให้สะอาด ภาชนะและบริเวณที่เตรียมต้องสะอาด ควรให้ลูกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ นอกจากนี้ควรใช้ภาชนะแยกไม่ปะปนกับผู้อื่น
6.ควรทำอาหารรสอ่อนให้ลูก อาจใช้น้ำซุปเพิ่มในการปรุงอาหารให้ลูก
7.ไม่ควรให้น้ำอัดลม ขนมหวานต่างๆ ลูกอม แก่ลูก เพราะลูกจะติดใจรสหวาน อาหารหวานจะทำให้ลูกอิ่มง่าย และลูกจะปฏิเสธอาหารมื้อนั้นๆ อาจทำให้ลูกได้รับสารอาหารไม่ครบ
8. ลูกอาจปฏิเสธอาหารเสริมในครั้งแรกๆ ไม่ควรพยายามบังคับลูกรับประทาน เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกไม่ค่อยดีต่อการรับประทานอาหาร ควรให้เวลาลูก เว้นระยะไว้อีก 2-3 วัน จึงเริ่มให้รับประทานใหม่ และไม่ควรละเลยที่จะลองเริ่มใหม่ จนลูกไม่ยอมรับประทานอาหาร ซึ่งจะทำให้ลูกมีบริโภคนิสัยที่ไม่เหมาะสม และอาจขาดสารอาหารที่จำเป็นได้
9.เตรียมอาหารที่เหมาะสมกับวัยของลูก เช่น อายุ 4 เดือน อาหารควรบดละเอียด อายุ 5-6 เดือน ละเอียดปานกลาง อายุ 6-7 เดือน มีลักษณะหยาบขึ้น เพราะลูกเริ่มมีฟันบดเคี้ยว อายุ 9-10 เดือน อาจให้อาหารอ่อนนิ่มธรรมดา เป็นต้น
ที่มา : สาระน่ารู้จาก รพ.นนทเวช
Create Date : 03 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 13:11:51 น. |
Counter : 754 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
พัฒนาการด้านความรัก ความผูกพัน ของพ่อแม่ ลูก
เด็กเกิดใหม่ยังไม่สามารถเข้าใจ หรือสื่อสารบอกความต้องการของตนเองได้ พ่อแม่จึงต้องสังเกตและเดาเอาว่า การที่ลูกร้องให้ตอนนี้ เป็นเพราะลูกต้องการอะไร การตอบสนองการร้องไห้ของลูกด้วยการไปอุ้ม มองสบตาลูก และคุยกับลูกจะช่วยให้ลูกได้มองเห็น ได้ยินเสียง และได้รับสัมผัสจากอ้อมกอดของคุณแม่ รวมทั้งหากได้ดูดนมจากอกแม่ ก็จะทำให้ลูกได้รับรู้ถึงความรัก และตระหนักว่า เขามีแม่ที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอ ซึ่งจะก่อให้เกิดความไว้วางใจ และก่อให้เกิดความมั่นใจในความรักของแม่ จนส่งเสริมให้เกิดความรักความผูกพันระหว่างแม่ลูก และสามารถพัฒนาความรักความผูกพันไปถึงพ่อ และคนอื่นๆ ต่อไป
เด็กที่มีความผูกพันกับพ่อแม่ดี จะเริ่มจำหน้าแม่ได้เมื่ออายุ 4-5 เดือน เริ่มกลัวคนแปลกหน้าเมื่ออายุ 8-9 เดือน ร้องไห้อ้อนแม่ เกาะติดแม่แจ และจะเลือกติดพ่อ หรือคนคุ้นเคยในครอบครัวถัดจากแม่
ที่มา : ดูแลลูกน้อยในช่วงสำคัญของชีวิต
Create Date : 03 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 9:02:53 น. |
Counter : 935 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
บล๊อกนี้ไม่มีอะไร วันๆ ลงแต่รูปลูก และ update ความแสบซ่าส์ของลูก ชื่อน้องอันนาค่ะ นับวันยิ่งซน ช่วงนี้เอาแต่ใจตัวเองชะมัด ทั้งแม่ และลูก จนป๊าเวียนหัว ไม่รู้จะเอาใจใครดี!!!!
|
|
|
|
|
|
|