Group Blog
 
All Blogs
 
กรรมลิขิต

ผมก้มลงมองกระดาษโน้ตยับย่นที่อยู่ในกำมือ มันมีสีเหลืองอ่อนตัดกับตัวอักษรที่เขียนไว้โดยหมึกสีดำตัวโตบรรทัดเดียว นี่เป็นลายมือของผมเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่น่าประหลาดใจคือผมไม่รู้ว่าตัวเองเขียนมันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ต่างหาก

ด้วยการใช้ความคิดอย่างหนักสิ่งที่ผมได้เพิ่มขึ้นมาและคิดว่ามันคงจะเชื่อมโยงกับข้อความนี้ได้ก็คือ ฝันที่ร้ายอย่างถึงที่สุดเมื่อตอนใกล้รุ่งนั่นเอง แต่มันก็เหมือนกับฝันอีกหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งหลาย ๆ คนก็คงเคยเป็น ในยามที่ฝันร้ายจนถึงกลับผวาตื่นขึ้นมาในความมืด ยามนั้นเหงื่อคุณจะท่วมร่าง หัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกมาจากอก คุณคิดว่าจะไม่มีทางลืมฝันนี้แน่ ๆ หน้าตาของปีศาจร้ายที่ไล่ล่าคุณจำมันได้อย่างแม่นยำ สถานที่เกิดเหตุคุณหลับตาเดินได้ แต่เมื่อกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งและอรุณรุ่งมาถึง สิ่งเหล่านั้นกลับเหลือเพียงเศษเสี้ยว แทบไม่สามารถนำมาปะกอบเป็นเรื่องราวได้

และมันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งกับผม สิ่งที่จำได้ในตอนนี้ก็คือภาพที่ไม่ประติดประต่อกันสามสี่ภาพ ภาพแรกนั้นดูเหมือนผมกำลังติดอยู่ในกองเพลิงซึ่งด้านหน้ามีกระจกกั้น ด้านหลังมีควันไฟล้อมรอบ ภาพที่สองเป็นภาพภายในของพื้นที่แคบ ๆ ที่หมุนวนไปมารอบแล้วรอบเล่า และภาพที่สามที่ดูจะชัดเจนที่สุดคือภาพแขนเสื้อสีดำซึ่งมีปืนอยู่ในมือ ทั้งหมดเป็นภาพในมุมมองของสายตา ซึ่งก็หมายความว่าผมคงจะได้เห็นอีกไม่นาน ถ้าฝันนี้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา

อย่างไรก็ตามข้อความบนกระดาษโน้ตในมืออาจจะนำไปสู่การแก้เงื่อนงำทั้งหมดนี้ได้ ผมก้มลงอ่านมันอีกครั้ง แล้วรำพันออกมาเบา ๆ

“ระวังชุดดำ...”

...................................................

เบื้องหน้าเป็นแถวของรถที่ยาวเหยียด ฉันนั่งอยู่ในรถที่เปิดแอร์เบอร์สูงสุด กายเย็นเฉียบแต่ในใจกลับมีแต่เพลิงโกรธเผาพลาญ ในกระจกหลังฉันยังเห็นพวกมันนั่งกันแออัดอยู่ในรถเก๋งผุ ๆ ที่อยู่ถัดไปเบื้องหลังเพียงแค่รถคันหนึ่งกั้น

ทั้ง ๆ ที่คดีนี้ฉันเป็นผู้เสียหาย ครอบครัวโดนทำลาย แทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ฉันเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและกฏแห่งกรรม แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี่สิ ฉันกลายเป็นผู้ถูกข่มขู่ ต้องเป็นกังวล แม้จะรู้ว่ามันคงไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในยามนี้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันประสาทเสีย แค่นี้ก็พอแล้ว...

ฉันเอื้อมมือไปหยิบแว่นกันแดดขึ้นมา สวมมันเพื่อปิดบังความอ่อนแอซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นที่หัวตาอันร้อนผ่าว ในเวลานั้นเองตึกสูงแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา ฉันหักพวงมาลัยเลี้ยวอย่างกระทันหันพารถผ่านเข้าไปในที่จอดรถชั้นใต้ดินของตึกสูงแห่งนั้น มันไม่ใช่ที่ทำงานและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับตัวของฉัน แต่ตอนนี้ฉันกลับเลือกมันเป็นที่พึ่งพา หลังจากรับบัตรจากพนักงานรักษาความปลอดภัยโดยรู้ว่าพวกมันคงไม่กล้าเข้ามาแน่ ๆ เพราะทั้งสภาพรถและสภาพคนคงไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างแน่นอน

ในมุมมืดที่สุดของลานจอดรถ ฉันร้องไห้ออกมา ร้องให้กับความยุติธรรม ร้องไห้ให้กับสังคม และให้กับตัวเอง...

...................................................

“พี่จะมอบตัวจริง ๆ หรือ ผมว่าคราวนี้มีศึกหลายด้านนะ รัฐบาลบอกเอาจริง สื่อออกข่าวกันอย่างครึกโครม ประชาชนก็กดดันอย่างหนัก ไม่รอไปอีกสักหน่อยให้กระแสจางลงอีกนิดเหรอครับ” สมนึกลูกน้องคนสนิทของผมถามขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ เอ็งทำหน้าที่ของเอ็งไป พวกพยานที่ให้จัดการน่ะไปถึงไหนแล้ว”
“ก็เกือบหมดแล้วหล่ะ ไม่มีใครกล้าออกปากหรอก ตอนนี้คิดว่าที่น่ากลัวก็มีแต่พวกที่อยู่กับชุดคุ้มครองน่ะล่ะ ผมให้ไอ้มนมันไปซุ่มรอจังหวะอยู่ เห็นมันบอกว่าไม่ได้หนาแน่นเท่าไหร่ แต่อยากให้ชัวร์ก่อน คิดว่าคงอีกไม่นาน แต่ถ้าพี่จะเอาแบบเร่งหน่อยก็บอกผมได้”
“ไม่ต้องเร่ง อย่างไรก็ได้ประกันอยู่แล้ว”
“แล้วชาวบ้านที่ให้ไปเกณฑ์ น่ะพร้อมรึเปล่า”
“ได้มาแล้ว แต่ก็เอาคนที่อื่นผสมบ้าง”
“ไม่เป็นไร อย่าลืมดอกไม้ ป้ายผ้าใบและช่างภาพล่ะกัน” ผมพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วพอมองเห็นสีของเสื้อของมัน เพราะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ ก่อนที่จะกล่าวต่อไป
“เออ เอ็งไปเปลี่ยนชุดด้วย วันนี้ห้ามใส่สีดำ เอาสีอื่น สีฟ้าหรือสีขาวก็ได้ แล้วตามข้าไป”

รถเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสถ์ ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและเลือดเนื้อ นักข่าวหลายคนยังยืนอยู่ข้างประตูรั้ว บ้างกำลังจดข้อความ บ้างก็ยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพ ผมหันหลังไปยิ้มและโบกมือให้กับพวกเขา แต่ก็เกิดลางสังหรณ์แปลก ๆ ขึ้น มันเหมือนผมกำลังโบกมือให้กับบ้านของตัวเอง เพราะเบื้องหลังกลุ่มนักข่าวก็คือคฤหาสถ์หลังงามที่ตั้งตะหง่านนั่นเอง

ผมเอียงตัวกลับมานั่งลงในท่าปกติ มือทั้งสองสอดประสานเหมือนกำลังนั่งสมาธิ แต่หัวแม่มือทั้งซ้ายขวาเคลื่อนสลับกันไปมา ในใจนั้นกำลังคิดว่า ผมตายไปกี่ครั้งแล้วในความคิดหลังจากที่ฆ่าคนเป็นครั้งแรก

ผมยิ้มออกมา ยิ้มให้กับความคิดเช่นนั้น...

...................................................

ฉันถอดแว่นออกปาดหยาดน้ำตาด้วยปลายนิ้วแล้วสวมมันกลับไปที่เดิม จากนั้นจึงสตาร์ทรถขับออกมาก่อนที่จะหยุดลงที่ป้อมยาม ส่งบัตรจอดรถให้แก่ผู้รักษาความปลอดภัย ชายหนุ่มทำหน้าฉงน ลอบมองเข้ามาในรถ ก่อนที่จะขอตรวจกระโปรงหลัง คงจะคิดว่าฉันเข้ามาทำอะไรเพราะทางเดินขึ้นตึกนั้นอยู่กลางลานกว้างและฉันก็ไม่ได้เดินไปทางนั้นเลย เขาตรวจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะกลับด้านหน้ายังพยายามมองสำรวจเบาะส่วนหลังอีกครั้ง ใบหน้าแสดงความสงสัยอย่างชัดเจน จนฉันใช้นิ้วชี้ดันแว่นขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่ยังแดงก่ำนั่นล่ะเขาถึงได้เข้าใจและปล่อยให้ออกมา

รถของพวกมันจอดอยู่ไม่ไกล แต่ไม่เห็นมีใครอยู่บนรถแม้แต่คนเดียว ฉันไม่คิดว่ามันจะละทิ้งไปง่าย ๆ อย่างน้อยก็จนกว่านายของพวกมันจะหลุดพ้นนั่นล่ะ แล้วเมื่อไหร่ล่ะ นี่ขนาดฉันภาวนาให้เขาทุกวัน ภาวนาให้เขาหลุดพ้นไปสักที ประชาชนคนธรรมดาจะได้อยู่อย่างเป็นสุข-สงบบ้าง แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น ไม่มีวี่แววเลย

ฉันไปถึงสถานีตำรวจในตอนเที่ยงพอดี ข่าวในวิทยุแจ้งว่าผู้ต้องหารายงานตัวตั้งแต่เวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว ระหว่างนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ ทางด้านซ้ายของลานจอดรถมีรถบัสคันใหญ่จอดอยู่ 3 คัน ป้ายผ้าขาวบางสีขาวถูกวาดเป็นรูปช่อดอกไม้สีสันสวยงามทั้งเขียวทั้งแดง ต่อด้วยข้อความ ให้กำลังใจยาวเหยียด

ด้านหน้าของตึกใหญ่ชาวบ้านหลายคนนั่งรออย่างอดทน แดดยามเที่ยงสาดลงมาจนเหงื่อไหลไคลย้อยไปตาม ๆ กัน แต่สายตาของพวกเขานั้นยังแสดงถึงความมุ่งมั่นและคาดหวัง ทุกคนรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองต้องทำอะไรและผลที่จะได้คืออะไร ฉันไม่โทษพวกเขาหรอก ถ้าจะโทษสิ่งที่ควรจะโทษก็คือสังคมทุนนิยมมากกว่า

เสียงอื้ออึงดังออกมาจากด้านในตึก ไม่นานนักร่างของเขาก็ปรากฏตัวนำหน้า เดินออกมาท่ามกลางนายตำรวจใหญ่และส.ส. หลายคน สีหน้ายิ้มแย้มโบกมือให้กับขบวนชาวบ้านที่มาให้กำลังใจ ตัวแทนชาวบ้านออกไปมอบดอกไม้นำเข้าช่อโตขนาดที่ว่ารายได้สองสามเดือนของพวกเขาก็คงซื้อไม่ได้ ก่อนที่จะให้กำลังใจด้วยถ้อยคำสละสลวยซึ่งเตรียมมาอย่างดี จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของช่างภาพซึ่งระดมกดชัทเตอร์ถ่ายรูปจนแสงแฟลชสว่างวูบวาบไปทั่ว ภาพน่าประทับใจเหล่านี้คงกระจายไปตามสื่อต่าง ๆ ในไม่ช้า

ฉันนั่งรอในรถจนทุกสิ่งสงบลง ทุกอย่างถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหา นายตำรวจ นักการเมือง ชาวบ้าน ดูเขาจะมีพรรคพวกมากมายในขณะที่ฉันโดดเดี่ยว มีเพียงความเชื่อในกฏหมายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แม้มันจะเป็นเส้นบาง ๆ ที่เล็กกว่าเส้นยาแดงก็ตาม ฉันกำลังลังเลว่าจะตามไปที่วิกการแสดงวิกสุดท้ายของวันนี้ ณ ศาลยุติธรรมดีหรือเปล่า ฉันจะทนฟังคำตัดสินนั้นได้ฤา แม้มันจะเป็นเพียงการตัดสินว่าให้ประกันตัวได้หรือไม่ก็ตาม

...................................................

ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้กับผม ท้องฟ้าวันนี้ดูจะสดใสเหลือเกิน มันปลอดโปร่งเสียจนเมฆดำสักก้อนก็ไม่มีมาให้เห็น ตำรวจหลายนายเป็นกันเองจนผมต้องจำชื่อไว้สมนาคุณในภายภาคหน้า นี่ยังไม่รวมชาวบ้านทั้งแท้ทั้งเทียมที่ดูจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์อีก ผมนึกชมเจ้านึกมันอยู่ในใจที่จัดเตรียมทุกอย่างได้เรียบร้อยจนแทบไม่มีที่ติ

เรามาถึงศาลในเวลาบ่ายโมงครึ่ง แวะทานข้าวในระหว่างที่ตำรวจส่งสำนวน แม้รสชาติของอาหารจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่แต่ก็ยังพอกล้ำกลืนลงไปได้ ผมตกลงให้ทนายยื่นขอประกันตัวด้วยโฉนดที่ดินทำเลดีซึ่งสามารถตีราคาได้กว่าร้อยล้าน มันมีเขตกินเข้าไปในป่าสงวนพอประมาณตามวิธีซิกแซกที่พรรคพวกสอนมา

เรื่องทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมผมได้รับการประกันตัวออกมาท่ามกลางเสียงโห่ร้องของชาวบ้าน นายตำรวจและเหล่าเพื่อนส.ส. ผู้ทรงเกียรติ ดอกไม้และคำพูดให้กำลังใจของชาวบ้านรอบที่สองประเดประดังเข้ามาจนผมรับไม่ทัน คำขอบคุณขอบใจออกจากปากผมนับสิบ ๆ ครั้ง แต่การขอบคุณคงจะออกจากกระเป๋ามากกว่านี้แน่นอน

หลังเสร็จศึกกับสื่อมวลชนก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว ผมก้าวลงมาจากอาคารที่ใช้เป็นที่แถลงข่าว เจ้าสมนึกยังนั่งรออย่างภักดี บุญมาคนขับรถก็ติดรถเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ผมขยับสูทให้เข้าที่ก่อนที่จะก้มตัวมุดเข้ารถไป แต่แล้วความรู้สึกผิดปกติก็พุ่งเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง ใจคิดว่านี่อาจจะเป็นสัญชาติญาณของการเอาตัวรอดก็เป็นได้ จึงเรียกสมนึกมาถอดสูทสีเทาที่ใส่อยู่ส่งให้ กำชับให้ปลอมตัวเป็นผมใช้เส้นทางประจำกลับบ้าน ส่วนตัวผมเองนั้นจะขับรถของเขาออกนอกเส้นทางอ้อมกลับไปอีกทางหนึ่ง สุดท้ายจึงบอกให้เขาระวังตัวและเตรียมพร้อมให้ดี เจ้าสมนึกรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ

ผมยืนมองรถคันโตเคลื่อนตัวออกไป ความจริงผมน่าจะอยู่ในรถคันนั้นเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นรถหุ้มเกราะกันกระสุน แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาไม้ไหน รถของผมแม้จะหุ้มเกราะ แต่ก็ไม่มีใครประกันได้ว่าเมื่อถูกจรวดอาร์พีจีหรือระเบิดเอ็มหกมันจะปกป้องชีวิตได้ ผมโทรศัพท์หาหัวคะแนนเพื่อนัดพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดูเขาจะงงเล็กน้อยเพราะผมไม่ได้บอกว่าเรียกมาทำไม แต่ก็รับคำว่าจะรีบมาในทันที

...เราเปลี่ยนรถกันในร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดัง ผมขับรถกลับบ้านด้วยความสบายใจและพอใจกับแผนการแยบยลของตัวเอง แม้รถกระป๋องของญี่ปุ่นจะนั่งไม่นุ่มสบายเท่ารถยุโรปคันใหญ่ที่บ้านก็ตามที...

...................................................

ศาลให้เหตุผลว่าเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงและไม่มีท่าทีว่าจะข่มขู่พยาน อีกทั้งยังมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่แน่นอนตามกฏหมายแสดงว่าจะไม่หนีคดีไปไหนแน่ ๆ ฉันขอถามหน่อยเถอะ ผู้มีอิทธิพลคนไหนไม่มีชื่อเสียงบ้าง? ส่วนเรื่องข่มขู่น่ะหรือที่ฉันพบอยู่ทุกวันนี้คืออะไร? ตำรวจมามันไปตำรวจไปมันมา คนหนึ่งเปิดเผยคนหนึ่งหลบซ่อนใครได้เปรียบกัน? แม้จะรู้อยู่แก่ใจก่อนแล้วว่ามันจะต้องลงเอยเช่นนี้ แต่คำประกาศกร้าวของรัฐบาลกับกระแสสังคมก็พาให้ฉันเพ้อฝันมาถึงวันนี้จนได้สิ

เมื่อไหร่หนอกรรมที่คนพวกนี้ก่อจะส่งผลเสียที ฉันรอมาเนิ่นนานแล้วนะ ...รอมานานแล้ว ...หรือจะไม่รอดี มือขวาของฉันเอื้อมไปสัมผัสกับดุ้นเหล็กอันเย็นเยียบที่อยู่ในคอนโซลลับใต้พวงมาลัยทางด้านขวามือซึ่งสั่งทำเพิ่มขึ้นมาโดยเฉพาะ

“ใครจะมาสนใจผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ คนที่กำลังถูกข่มขู่เล่า?”

ฉันละมือจากมันแล้วหันหัวรถกลับ เพลิงพิโรธลุกโชนขึ้นอีกครา ก็ในเมื่อไม่มีใครให้ความยุติธรรมได้ ถ้าฉันคิดจะสร้างมันขึ้นมาก็คงไม่แปลกแต่อย่างไร ใช่ไหม?

รถรายามดึกวิ่งกันเต็มความเร็ว ดูแล้วก้อน่าเสียวสำหรับถนนสองเลนที่ไม่มีเกาะกั้นกลาง ฉันบังคับรถไปจอรอใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่เป็นทางผ่านไปสู่แหล่งพำนักของเขา ถ้ารถหรูคันนั้นผ่านมาเมื่อไหร่ก็จะสังเกตเห็นได้ทันที พวกผู้ติดตามที่ไม่ได้รับเชิญของฉันหายไปตั้งแต่ตอนเที่ยงหรือฉันสังเกตไม่เห็นพวกมันก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้จะมีหรือไม่มีพวกมันก็คงไม่ต่างอะไรสักนิด ฉันมองดูมัจจุราชสีดำในมือมันดูกลืนไปกับสีของชุดสูทเข้ารูปที่ฉันสวมอยู่ ในใจคิดแผนการฆ่าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาตายไปในความคิดของแล้วฉันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

...................................................

สัญชาติญาณของผมถูกต้อง สมนึกรายงานมาว่ารถถูกดักยิงจริง ๆ แต่ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เรียบร้อยแล้ว ผู้ร้ายเป็นชายชุดดำที่ทราบแล้วตอนนี้ว่าเป็นแก๊งค์ของผู้การใหญ่ ที่ขัดแย้งกับผมเรื่องบ่อนพนันขนาดใหญ่ที่กำลังจะก่อตั้ง ทั้ง ๆ ที่ไอ้ใหญ่และผมก็เคยบวชเณรเรียนเล่นกินข้าววัดมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

สองชั่วโมงผ่านไปตะกอนความคิดที่ฟุ้งตลบเริ่มสงบลง ฉันรู้ว่าตัวเองคิดไม่ถูกต้อง การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่มีปืนก็เหนี่ยวไกยิง อีกทั้งเรื่องของบาปบุญที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็เริ่มผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องหิริโอตัปะ ฉันละอายจริง ๆ กับสิ่งที่ตัวเองคิดกระทำ สุดท้ายจึงวางปืนลงที่เบาะว่างด้านข้าง แล้วติดเครื่องขับออกมาจากที่ตรงนั้น

ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน นั่นทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เหลือแค่เชิ้ตสีขาวบาง ๆ แค่ชั้นเดียวเพราะถอดสูทของตัวเองให้สมนึกใส่ไปแล้ว จึงควานมือไปทางเบื้องหลังหยิบสูทของเจ้าของรถที่แขวนไว้มาสวม จากนั้นจึงกดปุ่มปิดกระจกอัติโนมัติ กระจกค่อย ๆ เลื่อนขึ้น ผมดีดบุหรี่มวนสุดท้ายออกไปนอกรถ ก่อนที่จะเปิดแอร์ ไม่นานนักความเย็นเยียบก็เข้าครอบครองทั่วทั้งบริเวณ

ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก จึงถอดสูทเข้ารูปสีดำที่แสนอึดอัดนั้นออกโยนมันไปที่เบาะหลัง สูทสีดำกลืนไปกลับความมืดเบื้องหลัง ในเวลานี้ฉันเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ๆ เท่านี้ก็ดูจะมากพอแล้ว ฉันเอื้อมมือไปปิดแอร์ กดปุ่มเปิดกระจกอัติโนมัติ กระจกค่อย ๆ เลื่อนลง สายลมธรรมชาติเริ่มพัดโบกเข้ามาจนในที่สุดก็ครอบครองบริเวณทั่วทั้งคัน

ไม่รู้อะไรกระตุ้นให้ผมเปิดคอนโซลทางด้านขวามือขึ้น ไม่ยากเลยที่จะเห็นและหยิบมันขึ้นมา แล้วมันก็ทำให้ผมกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะในเวลานี้ผมเห็นภาพ ๆ เดียวกับในฝัน ภาพแขนเสื้อสีดำซึ่งมีปืนอยู่ในมือนั้นคือมือและแขนของผมเองที่อยู่ในสูทสีดำสนิทของเจ้าของรถนั่นเอง !!!

ฉันคุมพวงมาลัยด้วยมือซ้าย มือขวาหยิบปืนที่นอนสงบนิ่งอยู่ข้างกายขึ้นมา ค้อมตัวลงนำมันไปเก็บมันไว้ในที่เดิม ในระหว่างนั้นก็เสียหลักจนพวงมาลัยหักไปทางขวาพอสมควรก่อนที่จะรีบหมุนกลับมาด้วยความตกใจ ซึ่งก็ดูท่าว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงแตรสัญญาณใด ๆ ดังเตือน ฉันจึงประคองรถไปเบื้องหน้าสู่จุดหมายต่อไป

ผมสะบัดมือเหวี่ยงปืนออกไปจนมันตกลงไปกองกับพื้นรถ พยายามจะถอดสูทออกจากตัว แต่เมื่อหันหน้ากลับมาดูถนนเบื้องหน้าอีกที ก็พบว่ามีรถคันหนึ่งกำลังวิ่งตรงดิ่งข้ามเลนเข้ามาหา ด้วยความตกใจผมหักพวงมาลัยไปทางซ้ายเพื่อหลบโดยสัญชาติญาณ รถพุ่งทะยานเสยเข้ากับกองวัสดุก่อสร้าง จากนั้นจึงพลิกคว่ำหลายตลบ ถังน้ำมันถูกสะเก็ดไฟที่เกิดจากการครูดของโลหะจุดระเบิดจนไฟลุกท่วมทั้งคันรถ ก่อนที่จะไปจบลงตรงเสาคอนกรีตขนาดใหญ่ ภาพในฝันร้ายของผมกลับมาปรากฏอย่างครบถ้วน ผมรับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นและอยากจะรู้เมื่อเช้านี้ ก่อนที่ชีวิตจะหลุดลอย ทิ้งทรัพย์สมบัติและอำนาจมหาศาลไว้เบื้องหลัง

เสียงระเบิดดังขึ้นเบื้องหลังไม่ไกลนัก ฉันเลื่อนสายตาขึ้นไปที่กระจกมองหลัง เปลวเพลิงและควันไฟลุกโชนขึ้นมา จนความมืดถูกทำลายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ใจหนึ่งก็อยากจะย้อนกลับไปดูเผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่ร่างกายกลับดูเหมือนไม่ยอมทำตาม ในวูบหนึ่งของความคิดฉันนึกไปว่ากรรมคงจะตามทันคนบาปหนาสักคน แต่แล้วก็ยิ้มออกมาให้กับความคิดนั้น ในสมัยนี้ยังมีอีกหรือเรื่องของคนชั่วที่กรรมตามทัน ดูจากเรื่องที่ฉันประสบอยู่นี้ก็ได้ จริงไหม?
.................................................................



Create Date : 12 กรกฎาคม 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2548 18:44:17 น. 4 comments
Counter : 338 Pageviews.

 
สุดยอดดดดดดด....


โดย: P a s t e l T o n e วันที่: 12 กรกฎาคม 2548 เวลา:22:36:14 น.  

 
so confuse...


โดย: TuL IP: 133.254.5.52 วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:13:18:14 น.  

 
ทำไมผมไม่เคยวมหวังในความรักเสียที
มีแต่ล้มเหลว ใครสามารถไห้คำปรึกษากับผม
ผมจะซาบซึ้ง มักๆ


โดย: ต่อ IP: 125.26.179.220 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:22:01:54 น.  

 
ลองเข้าไปที่ //www.raksa-dhamma.com ซิให้คำปรึกษาดีมากๆๆๆ


โดย: ถึงต่อ IP: 118.174.226.212 วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:12:11:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biblio
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add biblio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.