Group Blog
 
All Blogs
 

สลากภัต- สลากย้อม : การถวายทานเพื่อเป็นพุทธบูชาของ "หญิงสาว"[ กันยา- ตุลา]


เรียบเรียงจากผู้จัดการออนไลน์


งานประเพณี“สลากภัต สลากย้อม” อันเก่าแก่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำพูน ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ของทุกปี



ต้นสลากย้อม


สลากภัต



       ประเพณี“สลากภัต” เป็นการถวายทานโดยไม่เจาะจงผู้รับ เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลและยังปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้




ก๋วยหรือชะลอมใส่ข้าวของสำหรับถวายทาน


ประเพณีสลากภัต หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “ตานก๋วยสลาก” หรือมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันไป อาทิ กิ๋นก๋วยสลาก กิ๋นสลาก ตานสลาก ตานข้าวสลาก ประเพณีนี้นิยมปฏิบัติกันในช่วงช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมตามเดือนสากลของทุกปี


       โดย 1 วัน ก่อนงานพิธีสลากภัตจะเป็น“วันดา” หรือ “วันสุกดิบ” ชาวบ้านจะจัดเตรียมข้าวของต่างๆทั้งของกินของใช้มาสำหรับจัดใส่ในก๋วยสลาก


       ครั้นพอถึงวันงานสลากภัต จะมีการนำ“ก๋วย” ที่หมายถึง “ตะกร้า” หรือ “ชะลอม” ใส่ข้าวของต่างๆมาทำทานถวาย ร่วมด้วย สลากอื่นๆ เช่น สลากวัว สลากควาย สลากเทวดา รวมไปถึง “สลากโชค” ที่เป็นการนำเงินและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เช่น เสื้อผ้า หมอน เสื่อ บุหรี่ เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้งต่างๆ ฯลฯ มาผูกมัดติดกับต้นสลากขนาดย่อมที่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม สูงราว 5-6 เมตร



    ศรัทธาจากชาวลำพูนที่ทำต้นสลากย้อมจำนวนมากมาถวายเป็นพุทธบูชา



 นอกจากก๋วยและสลากต่างๆแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในประเพณีนี้ก็คือ “เส้นสลาก”จะต้องมีการเขียนเส้นสลากอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับ หรือถวายแก่เทวดา เทวบุตร เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งในอดีตจะเขียนลงบนใบลาน ส่วนปัจจุบันจะเขียนลงในกระดาษที่มีทั้งนำมาเอง หรือกระดาษที่ทางวัดจัดไว้ให้ โดยบางคนจะมีการห่อด้วยม้วนใบตองอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำไปถวายรวมกันในวิหารหน้าพระประธานที่รวมแล้วมีมากมายนับหมื่นๆเส้น

 

เส้นสลากจำนวนมากที่นำมาถวายในวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัย


       

เส้นสลากเหล่านี้จะถูกนำมาจัดสรรปันส่วนกันในหมู่พระภิกษุ-สามเณรมากกว่า 2,000 รูป ที่นิมนต์มาจากวัดต่างๆทั่วทั้งจังหวัดลำพูนกว่า 450 วัด จากนั้นพอใกล้จะถึงเวลาเพลจะมีการเปิดอ่านเส้นสลาก แล้วพระ-เณรจะเรียกขานชื่อเดินหาเจ้าของเพื่อให้ศีลให้พร ถือเป็นอันเสร็จพิธี



สลากย้อม

 

       สำหรับที่จังหวัดลำพูนงานสลากภัตประจำจังหวัดของที่นี่นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา ได้มีการนำประเพณี“สลากย้อม”ที่เริ่มสูญหายมาผนวกรวม เป็นประเพณี“สลากภัตและสลากย้อม”ที่ดำเนินการจัดควบคู่กันไป



       สีสันสลากย้อมยามราตรี



 ประเพณีนี้นอกจากเป็นการถวายทานตามคติความเชื่อของงานสลากภัตแล้ว ยังเป็นการรวมต้นสลากย้อมจากหลากหลายชุมชนมาถวายและจัดงานที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ศูนย์รวมจิตใจของชาวลำพูนก่อนเป็นลำดับแรกของทุกๆปี(นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา)

 

หลังจากนั้นจึงจะมีการจัดงานของสลากวัดอื่นๆเรื่อยไปตามการตกลงกันในแต่ละปีว่าวัดใดจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน จนถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 11 (เดือนเกี๋ยงเหนือ แรม 14 ค่ำ หรือ เดือนเกี๋ยงดับ)



       เดิมสลากย้อมเป็นการถวายทานเพื่อเป็นพุทธบูชาของหญิงสาว บางพื้นที่จำเพาะเจาะจงว่าต้องมีอายุ 20 ปีเท่านั้น ขณะที่บางพื้นที่ไม่จำเป็น ขอให้เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับอายุ 20 ปี (บวกลบ 2-3 ปี) แต่สิ่งที่เชื่อเหมือนกันก็คือ ต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่แต่งงาน โดยเชื่อว่าการถวายสลากย้อมของหญิงสาวจะได้รับอานิสงส์ผลบุญอย่างสูงยิ่งเทียบเท่ากับการบวชของผู้ชาย



ต้นสลากย้อมกับองค์ประกอบต่างๆ

       สลากย้อมมีของถวายทานสำคัญอยู่ที่ต้นสลากย้อมซึ่งทำเป็นต้นสูงใหญ่ เกิน 8 เมตรขึ้นไป ต้นสลากย้อม มีองค์ประกอบหลักๆ คือ


       -“ก้างสลาก” หรือลำต้น ซึ่งเดิมทำจากไม้ไผ่สีสุกลำต้นใหญ่ เหยียดตรง สูงยาว ส่วนปัจจุบันอาจมีปรับเปลี่ยนมาทำด้วยเสาเหล็กหรือท่อพีวีซีแทน ลำต้นสลากย้อมจะหุ้มด้วยฟางอีกที เพื่อใช้สำหรับปักไม้แขวนของถวายทาน และวัสดุสำหรับการตกแต่งเพื่อความสวยงาม


       -“ก้างฐาน” เป็นส่วนฐาน เดิมเป็นฐานโครงสร้างไม้ไผ่ มีการเจาะเข้าสลักปิดบังด้วยผ้าสี ปัจจุบันหันมาเป็นฐานโครงสร้างเหล็กหรือฐานไม้จริง กรุไม้อัด เพื่อความแข็งแรงและมีการประกับตกแต่งฐานอย่างสวยงาม


ไม้เฮียวย้อมสี


ไม้เฮียว”(ไม้เฮวหรือไม้เรียว) เป็นไม้ไผ่เหลาจนเล็กเรียวปักไปบนก้างสลาก มีไว้สำหรับแขวนเครื่องถวายทานต่างๆ ที่ปลายยอดไม้เฮียวขูดเป็นเส้นฝอยทำคล้ายดอกไม้ และนิยมย้อมสีตรงส่วนเส้นดอกฝอยนี้เพื่อความสวยงาม ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าชื่อ“สลากย้อม”น่าจะมาจาก กระบวนในส่วนนี้นี่เอง



ขะจา เครื่องประดับตรงส่วนยอด


 -“จ้อง”หรือร่ม ทำประดับตรงส่วนยอด โดยจะมีการทำ “ขะจา” ที่ดั้งเดิมเป็นเหรียญถักขอบด้วยเข้าเปลือกห้อยประดับไว้ ส่วนปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวัสดุไปตามยุคสมัย


       นอกจากส่วนประกอบหลักแล้ว ต้นสลากย้อมในปัจจุบันยังมีกระดาษแก้วหลากสีสันเป็นสิ่งประดับตกแต่งสำคัญ และมีของถวายทานสารพัดสารพัน รวมไปถึงทุกต้นจะต้องมี “กำฮ่ำ” หรือ “กะโลง”(ครรโลง) ประจำต้นสลากของตน


       กะโลง เป็นโคลงกลอนของชาวล้านนา เดิมเขียนเล่าประวัติของหญิงสาวเจ้าของต้นสลาก และรายละเอียดกระบวนการทำสลากย้อม ปัจจุบันมีการเพิ่มเติมในส่วนการเขียนเพื่ออุทิศให้ผู้ล่วงลับ เขียนคติธรรมคำสอน รวมถึงมีบทตลกขบขันสอดแทรกเข้าไปสร้างสีสัน ยามที่นำกะโลงไปขับประกวดประชันกัน


       ต้นสลากย้อมที่ทำถวายเป็นพุทธบูชา


ความที่ต้นสลากย้อมมีความสูงใหญ่ มากไปด้วยข้าวของถวายทานและสิ่งของตกแต่ง ในอดีตหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของต้นสลากจำเป็นต้องเก็บหอมรอมริบทรัพย์จำนวนหนึ่งมาทำ และ ต้องใช้เวลาทำนานร่วม 3-4 เดือน โดยในส่วนที่เป็นแรงงานหนักอย่างงานตัดไม้ ทำโครงสร้าง ปีนขึ้นไปทำยอด ก็จะได้ชายหนุ่มในชุมชนมาช่วย ซึ่งเดิมบ้านไหนมีฐานะดีก็มีเกณฑ์คนมาช่วยได้เยอะ หรือไม่บ้านไหนที่หญิงสาวเจ้าของต้นสลากเป็นคนสวย คนน่ารัก ก็จะมีชายหนุ่มมาช่วยทำต้นสลากเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เป็นที่เข้าตาของสาวเจ้าของต้นสลาก


ดังนั้นการทำสลากย้อมของหญิงสาวในสมัยโบราณ จึงเป็นกุศโลบายให้หญิงสาว รู้จักมัธยัสถ์ เก็บหอมรอมริบ รู้จักทำงานการฝีมือ เย็บปักถักร้อย รวมไปถึงการเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนที่ดี


       สำหรับการทำต้นสลากย้อม จากเดิมที่เป็นการทำเฉพาะส่วนบุคคลสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่ว่าต่อมาในภายหลัง(ถึงปัจจุบัน) การทำสลากย้อมได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการทำสำหรับชุมชน หรือสำหรับหน่วยงาน องค์กรต่างๆ เพื่อถวายอุทิศให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรือทำเพื่อถวายให้กับตัวเองในภพหน้า อีกทั้งยังเป็นการทำทานเพื่อถวายให้กับคนยากคนจนอีกด้วย





 

Create Date : 13 สิงหาคม 2555    
Last Update : 14 สิงหาคม 2555 9:58:44 น.
Counter : 5156 Pageviews.  

พบองค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป จ.อุตรดิตถ์ ..ชาวบ้านแห่กราบ

Smiley
พบองค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป

        ชาวบ้านแก่ง อุตรดิตถ์ แตกตื่นแห่กราบไหว้ "พระประธาน" พบตรงกลางท้องมีองค์พระสร้างด้วยหินศิลาแลงปรากฏอยู่


องค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป



          เมื่อ เวลา 16.30 น. วันที่ 6 ส.ค. 2555 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายวีระกิตติ์ อินทรประสิทธิ นายอำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์ ว่า มีชาวบ้านจำนวนมากแห่ไปดูและกราบไหว้พระประธานที่มีองค์พระอยู่ในกลางท้อง ที่บริเวณวัดบ้านแก่งใต้ ซึ่งข้างในท้องพระประธานที่แตกออก กลับพบว่ามีเศียรพระผุดอยู่ตรงกลาง หลังจากรับแจ้งผู้สื่อข่าวจึงรีบเดินทางไปยังที่วัดบ้านแก่งใต้ หมู่ 3 ต.บ้านแก่ง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ พบว่ามีชาวบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลตำบลบ้านแก่งและใกล้เคียงหลายสิบคน กำลังเดินนำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปในอุโบสถที่กำลังก่อสร้างและปรับปรุงอยู่


องค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป


         เมื่อเข้าไปภายในอุโบสถพบว่า บริเวณด้านในมีพระประธาน ตั้งสูงสง่าอยู่ ชื่อ พระหลวงพ่อเพชรปางขัดสมาธิ(Meditation)เพชร หน้าตักกว้าง 5 เมตร สูง 6 เมตร และมีชาวบ้านพากันกราบไหว้ แถมบางคนยังใช้โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพพระประธานดังกล่าว ด้วย จากการสังเกตของผู้สื่อข่าวพบว่า เป็นพระประธานที่ใช้ปูนปั้นทั้งองค์ มีการทาสีเหลืองเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงามเฉพาะที่บริเวณหน้าท้องพระประธาน ยังพบร่องรอยของการกระเทาะปูนหลุดแตกออกจากกัน จนทำให้มองเห็นเป็นใบหน้าของพระพุทธรูปศิลาแลงทรงเครื่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยโผล่อยู่กลางท้องของพระประธาน


           จาก การเปิดเผยของ พระครูปัญญา วัชระกิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่งใต้ ทราบว่า เดิมทีอุโบสถวัดแห่งนี้ สร้างครั้งแรกประมาณ 60 ปีมาแล้ว เป็นทรงครึ่งไม้ครึ่งปูน แต่เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ทางวัดจึงได้ว่าจ้างให้คณะช่างจาก จ.พิจิตร เข้ามาก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทนหลังเดิมที่ชำรุด และยังทำการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระประธานหลวงพ่อเพชร ที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถพร้อมๆ กัน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างมาถึง 4 ปี แต่ก็ยังไม่เสร็จดี วันนี้ คณะช่างจาก จ.พิจิตร ได้เข้ามาทำงานตามปกติขณะที่กำลังทำการซ่อมแซมองค์พระประธานอยู่ ก็พบว่ามีปูนจำนวนมากหลุดร่วงออกจากบริเวณท้องของพระประธาน ช่างจึงสังเกตเห็นว่า บริเวณที่ปูนหลุดออกมานั้นมีเศียรพระซ่อนอยู่ข้างใน จึงรีบวิ่งมาบอก ตนจึงได้รีบไปดู และบอกคณะกรรมการวัด จากนั้นชาวบ้านที่ทราบข่าวจึงมาดู กราบไหว้ และบอกเล่าต่อๆ กันไป


องค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป


            ด้านนายพิเชษฐ์ จันทร์บุญศรี กรรมการวัดบ้านแก่งใต้ เล่าว่า วัดบ้านแก่งใต้ สร้างเมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏ ทราบเพียงแต่ว่าเมื่อปี พ.ศ.2494-2499 พระยาพิชัยดาบหักเคยมาฝึกมวยกับครูเที่ยงที่วัดบ้านแก่งใต้แห่งนี้ ที่ผ่านมาตนเคยได้รับยิน ได้รับฟังมาจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ในองค์พระประธานดังกล่าว จะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ สร้างด้วยหินศิลาแลง ซ่อนไว้อยู่ภายใน มีการบรรจุของมีค่าเอาไว้ ที่เห็นปัจจุบันนี้คนเฒ่าคนแก่ใช้ปูนสร้างปิดทับองค์จริงเอาไว้ คาดว่าสร้างสมัยช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่พม่ายกทัพเข้ามาตีและยึดเมือง ชาวบ้านสมัยก่อนจึงช่วยกันสร้างพระปูนองค์ใหม่ที่มีรูปโฉมลักษณไม่สวยงามปิด บังไว้ ไม่ให้พม่าเห็นองค์จริง เพื่อป้องกันการลักขโมย หรือทำลายทิ้ง


           ทั้ง นี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ยินแต่คำบอกเล่า เกิดความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และเมื่อมาพบเห็นของจริงวันนี้ จึงเชื่อว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่พูดสืบทอดต่อกันมากว่า 200 ปีนั้น เป็นเรื่องจริง ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อกันว่าพระท่านสร้างปาฏิหาริย์ ให้ชาวบ้านทั่วไปได้เห็นว่ามีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ศิลาแลงทรงเครื่องอยู่ ด้านในจริงๆ


            พระครูปัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า เดิมทีจะเปิดโอกาสให้ญาติโยมได้สักการะกราบไหว้บูชาตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวัน ที่ 9 ส.ค.นี้ จากนั้นจะให้ช่างที่บูรณะ โบกปูนปิดทับองค์พระศิลาแลงทรงเครื่องไว้เหมือนเดิม สำหรับในวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) อาตมากับนายอำเภอตรอน จะได้พูดคุยกันและจะได้เชิญคณะกรรมการวัดอีกหลายๆ คน มาปรึกษากันว่าจะทำแบบไหน นอกจากนั้น ได้เตรียมทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าคณะตำบลบ้านแก่ง และเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ให้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป


องค์พระอยู่ในกลางท้องพระพุทธรูป




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2555    
Last Update : 8 สิงหาคม 2555 18:38:08 น.
Counter : 1840 Pageviews.  

"สูตรรักษาสิว".............บรรณาการ แด่ผู้มีบุญ [พิมพ์ครั้งที่ 2]


" ไม่อยากให้คนเป็นสิว  ขออนุญาตเผยแพร่สูตรนี้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีกำหนดค่ะ"


-อุ่นอาวรณ์-



ที่ว่ามีบุญ ก็เพราะ ถ้าเข้ามาเจอบทความนี้ ก็คงไม่เป็นสิวง่ายๆแล้วล่ะค่ะ


ต่อไปนี้ คือ สูตรรักษาสิวส่วนตัวที่นำมาเป็นบรรณาการแด่ท่าน ที่ผ่านเข้ามาอ่าน ใช้งบน้อย ปลอดภัยและให้ผลดียิ่ง กรุณาอ่านกรณีศึกษาอย่างละเอียด ศึกษาวิธีปฏิบัติให้เข้าใจดี ก่อนตัดสินใจนำสูตรไปใช้นะคะ

สูตรนี้ใช้เวลานานกว่าการรักษาด้วยสารเคมี และการทำทรีทเม้นต์ตามคลีนิคมาก แต่ผลปรากฏว่าสภาพหน้าแข็งแรงขึ้น ดีขึ้น สิวแทบไม่กลับมาอีกเลย เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งหายเร็วแต่ไม่หายขาด


งบที่ใช้  500-1000 บาท
ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาสิว : 4 เดือน (กรณีเป็นสิวมาก หรือเป็นทั่วหน้า)
ระยะเวลาโดยรวมเพื่อให้หน้าขาว-ใส เนียนเรียบ ไร้รอยสิว : 6-8 เดือน





ผู้หญิงกับเรื่องผิวพรรณ

เรื่องผิวเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิง เราจะไม่มั่นใจ และไม่ค่อยมีความสุข ถ้ารู้สึกว่าผิวของเรามีผดผื่น กระ หรือมีสิวเม็ดใหญ่ปรากฏอยู่บนใบหน้า แต่ ผู้หญิงส่วนใหญ่เคยมีปัญหาเรื่องผิวพรรณทั้งนั้น ไม่ว่าผิวหน้าจะดีขนาดไหน บางทีก็เคยมีปัญหา แพ้เครื่องสำอางค์ น้ำ แดด ฝุ่นละออง หรือแม้แต่ความร้อน เรามีผิวต่างกัน เพราะกรรม และพันธุกรรม ที่แตกต่างกัน




กรรมมีผลทำให้คนเรามีผิวพรรณที่ทรามและปราณีตต่างกัน

หากเป็นคนที่ศึกษาเรื่องธรรมะ ก็คงพอจะเชื่อว่า กรรมมีส่วนไม่น้อย ที่จะทำให้คนเราผิวพรรณที่หยาบ หรือปราณีตต่างกัน

คนที่มีนิสัยรักสะอาด ไม่ทิ้งข้าวของเลอะเทอะ ปรกติเป็นคนใจเย็นไม่โกรธง่าย ถวาย ผ้าไตรจีวร ดอกไม้ของหอมแด่ผู้ทรงศีล บำเพ็ญสาธารณประโชน์ ช่วยกวาดเสนาสนะ วัดวาอารามชุมชน ผลบุญมักจะส่งผลให้มีผิวพรรณวรรณะ งามสะอาดเรียบร้อยดี

และถึงแม้ว่าหน้าตาจะสะสวยอยู่แล้ว ก็ควรประพฤติตนให้ดี เนื่องจาก คุณค่าที่แท้จริงของผู้หญิงทุกคนอยู่ที่ความงามภายใน คือ จิตใจ มากกว่าความงามภายนอก เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ก็ ไม่สามารถยั้งยุดความงามไว้ได้อีก




นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นอาหารที่รับประทาน อากาศ น้ำดิ่มน้ำใช้ เครื่องประทินผิวส่วนตัว ก็มีผลต่อสภาพผิวพรรณในปัจจุบัน เช่นกันค่ะ

ผิวอย่างเราก็สวยได้

ผิวของเรา อาจจะไม่เฟอร์เฟค แต่เราสามารถเลี้ยงผิวให้ดีที่สุด ตามที่ผิวแบบเราสามารถจะดีขั้นสูงสุดได้



ประวัติผิวหน้าของผู้เขียน

โดยส่วนตัว เป็นคนเป็นคนผิวมันระดับเล็กน้อย ผิวแพ้ง่ายขั้นปานกลาง คือตอนวัยรุ่นต้นๆ เมื่อเจออากาศร้อน ก็มักมีผดเม็ดเล็กๆ ตามหน้าผาก

 นอกจากนี้ แพ้น้ำที่ไม่สะอาด  ถึงสิวเม็ดใหญ่ไม่ค่อยมี แต่ก็สร้างความรำคาญให้ตัวอยู่ไม่น้อย…ขยันพบแพทย์ตามคลีนิคช่วงวัยรุ่นตอนปลายเพราะรักสวยรักงาม แต่ก็มักพบว่า พอห่างจากแพทย์ระยะหนึ่งก็กลับไปเป็นสิวอีก ต่อมาสิวกับผด ก็น้อยลงเรื่อยๆ ตอนอายุเข้า 25 ปี

จนเมื่อประมาณ ปลายพ.ศ 2552 – ต้นปี 2553 อยู่ๆก็เกิดเป็นสิวอย่างรุนแรง กระจายเต็มหน้าเริ่มตั้งแต่ คางถึงหน้าผาก ซึ่งอุดตันเป็นตุ่มนูน และไม่มีหัว จึงรักษายาก และทำให้ผิวไม่เรียบ ไม่ได้ไปพบแพทย์ เพราะภาวะเศรษฐกิจส่วนตัวตอนนั้นไม่ดี และเข้าใจดีว่า การเข้าคลีนิคเดือนหนึ่ง ต้องใช้เงินอยู่ไม่น้อยเลย เพื่อการทำทรีทเม้นต์ และเป็นค่ายาต่างๆ





ยารักษาที่ถูกกับผิว

การพบที่ถูกกับโรค ถือว่าเป็นโชคอย่างดีที่สุด...ได้รับแรงบันดาลใจให้หันมารักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน จากพระรูปหนึ่งซึ่งท่านเคยศึกษาเรื่องการแพทย์แผนโบราณเมื่อสมัยตั้งแต่ก่อนออกบวช อาจด้วยความเมตตาของท่าน ที่เห็นว่าเราควรได้ยารักษาที่ถูกต้องจริงๆ จึงสั่งให้อุปัฏกฐากในวัดคนหนึ่ง นำยาถุงหนึ่งมามอบให้ มันเป็นผงสีเหลืองอ่อน คล้ายกับผงขมิ้นหรือ ไพล โดยท่านสั่งให้นำยานั้น ทาใบหน้าทุกๆวัน

ผลจากการใช้สมุนไพรพื้นบ้าน

หลังจากนั้นใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ หน้าก็ดีขึ้น ที่ชัดมาก คือนวลผ่องขึ้น รู้สึกสบายหน้ามากขึ้น ผู้เขียนจึงเกิดแรงบันดาลใจไปหาเครื่องสำอางค์ประเภทสมุนไพร มาใช้เพิ่มเติม และตัดใจหยุด ใช้เครื่องสำอางค์เก่าๆ ถูกและแพงทั้งหมดที่มีทั้งหมด




ความรู้เรื่องเครื่องสำอางค์พื้นฐานของผู้หญิง

เครื่องสำอางค์พื้นฐานหลักๆ ของผู้หญิง มี 2 ชุด คือชุดดูแลผิวพื้นฐาน และชุดเสริมบำรุง

1. ชุดดูแลผิวพื้นฐาน (ผู้หญิงควรใช้)

1.) Cleanser –ตัวทำความสะอาดหน้า (โฟม สบู่ สบู่เหลว)
2.)Toner – โลชั่นสูตรน้ำกระชับผิวหลังล้างหน้า
3.) Moisturizer-โลชั่นบำรุงผิวสำหรับผิวหน้าธรรมดา-มัน, ครีมบำรุงผิวสำหรับผิวหน้าแห้ง

2.ชุดเสริมบำรุง

หมายถึงเครื่องสำอางค์ เสริมความงามนอกเหนือไปจากชุดพื้นฐานขั้นต้น เช่น ครีมกันแดด, AHA (ปรับผิวหน้าขาวใส) เซรั่มเข้มข้นกระชับรูขุมขน ครีมลดรอยดำใต้ตา ฯลฯ เป็นชุดที่ทุกคนสามารถใช้ได้ตามความต้องการ เมื่อสภาพผิวดีขึ้นจากสิว




เครื่องสำอางค์สมุนไพร ที่ผู้เขียนหามาใช้เพิ่มเองระหว่างการบำบัดด้วยสมุนไพร ทั้งมีผลการรักษาสิวยอดเยี่ยม มีดังต่อไปนี้

1.สบู่มาดามเฮง รุ่นออสซี่ แอคเน่โซฟเคลียร์ 50 ก.ก้อนละ 100 บาท

2.โลชั่นแต้มสิวออสซี่ เคลียร์อัพโซลูชั่น 14 มล.l ของมาดามเฮง ขวดละ 180 บาท

3.ผงทานาคาอัดแข็ง ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม ยี่ห้อตามภาพข้างล่าง 50 ก. กระปุกละ 25-60 บาท (ขึ้นกับว่าซื้อที่ไหน)

4.ครีมมะขามของกลุ่มแม่บ้านจังหวัด พะเยา (ช่วยให้หน้าขาว รอยสิวจางหายเร็ว- ทำงานเป็น AHA ) 70 ก. ราคากระปุกละ 35 บาท พอกหน้าก็ดี ขัดตัวก็ขาวใสขึ้น

5.เวอร์จิ้นโอลิเอะ โลชั่น (น้ำมันมะกอกผสมสมุนไพร) ทำหน้าที่เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ 30 มล. ราคา 150 บาท

*** เครื่องสำอางค์ทุกตัว ทดสอบการแพ้เบื้องต้นโดยทาใต้ท้องแขนทิ้งไว้ เพื่อสังเกตอาการก่อนนะคะ





สูตร/วิธีรักษา

ระยะเริ่มต้น (1 เดือนแรกของการรักษา)

1.เลิกใช้เครื่องสำอางค์ทุกประเภท
2.ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น ด้วยสบู่มาดามเฮง (ใช้ครั้งแรกจะได้กลิ่นสมุนไพร เข้มข้นมาก) ล้างหน้าแล้วจะรู้สึกทันที ว่าหน้าสะอาดและ Deep มาก (แถมไม่ตึง)
3.ต่อจากนี้แต้มบริเวณหัวสิวด้วยโลชั่นแต้มสิวออสซี่ (อย่าทาเป็นวงกว้าง เพราะจะรู้สึกเย็น-แสบหน้าเกินไป)

ระหว่างนี้ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ทานผักผลไม้ และ วิตามิน พวก ACE เพิ่มเติม ตอนรักษาใหม่ๆผู้เขียน ทำการ Detox ร่างกายด้วยน้ำกาแฟ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง




ระยะ 2- 4 เดือนของการรักษา
สมุนไพรมหัศจรรย์ !!!

ล้างหน้าด้วยสบู่ออสซี่ ทาโลชั่นออสซี่เหมือนเดือนแรก ทานวิตามิน ผักผลไม้ นอนหลับให้เพียงพอ Detox บ้างเป็นระยะๆ และพอกหน้าด้วยสมุนไพรพม่าคือ ทานาคา (ตัวนี้ขาดไม่ได้เลย) ทดลองใหม่ๆ ก็ 2 วันครั้ง และค่อยๆเพิ่มมาเป็นวันละครั้ง

วิธีใช้

นำเนื้อแป้งขนาด 1-2 กรัมใส่บนฝ่ามือ หยดน้ำลงไปเล็กน้อย ใช้นิ้วเกลียให้เนื้อแป้งกลายเป็นของเหลวคล้ายเนื้อครีม นำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาที หรือพอกทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้ค่ะ ถ้าใช้จนชอบและชินแล้ว พอกทิ้งไว้ทั้งคืน ตื่นมาจะรู้สึกว่าหน้านวล ใสมาก โดยไม่ตึงเลย ทานาคาชนิดนี้เนื้อแป้งไม่เลอะติดเสื้อผ้า และปลอกหมอนด้วยนะคะ


ทานาคา มีหลายประเภท หลายยี่ห้อ ลองใช้ยี่ห้อที่ผ่านมาตรฐานของอุตสากรรม ตามภาพข้างล่างนี้ก่อนค่ะ ยี่ห้อนี้มีหลายกลิ่น เลือกเอาตามใจชอบ (ส่วนตัวชอบกลิ่นกุหลาบ) ถึงแม้ทานาคาที่ผ่านโรงงานอาจมี่ส่วนประกอบของทานาคาน้อยกว่าทานาคาบดเอง แต่จะให้ความชุ่มชื่นแก่ใบหน้ามากกว่า ใช้แล้วหน้าไม่ตึง
รวมถึงมั่นใจได้ว่า มีความสะอาด ทั้งยังสะดวกในใช้และพกพาค่ะ



ทานาคา เป็นสมุนไพรพม่า ซึ่งสาวๆและหนุ่มๆพม่าใช้กันตั้งแต่เป็นเด็ก ปลอดภัยไม่มีอันตราย ผู้เขียนเข้าใจว่า สมุนไพรที่พระท่านให้ครั้งแรก ก็น่าจะมีส่วนผสมนี้ด้วย ที่ยอมใช้เพราะเดินทางไปแถบประเทศพม่าหลายครั้ง สังเกตว่าคนพม่า100% ที่เคยพบ ผิวดี ....และปรากฏว่า ไม่มีพม่าคนไหน ที่หน้าปุเลย เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ….

บนหน้าพวกเขามีผงสีเหลืองทาหน้าแทบตลอดเวลา ซึ่งต่อมาก็ทราบว่าคือทานาคานี่เอง

มีคำเปรียบเปรยว่า” ผิวพม่า นัยน์ตาแขก” ตอนนี้ยิ่งเขื่อ 100 % ว่าของพม่าเขาดีจริง บางคนใช้ทานาคาผิวอาจจะแห้งขึ้นบ้าง ช่วงนี้สามารถทาโลชั่นบำรุงผิว พวกน้ำมันมะกอกได้ ของมาดามเฮง ซึมเร็วและไม่มันเลยค่ะ


5-8 เดือนหลัง สวยใส ไร้รอย เนียนนุ่ม

ทำข้อ 2 มาประมาณ 4-5 เดือนหน้าก็ไม่มีสิวแล้วค่ะ ทีนี้จะเหลือรอยสิวนิดหน่อย (แค่นิดหน่อย เพราะเครื่องสำอางค์สมุนไพรข้างต้น ก็มีส่วนผสมช่วยรักษารอยสิวอยู่แล้ว)

ทีนี้มาทำให้หน้าเนียน ขาวแบบธรรมชาติ มากขึ้น
โดยการใช้ AHA จากสมุนไพรธรรมชาติในบ้านเรา คือมะขามค่ะ ซึ่งเป็นเครื่องสำอางค์แบบโบราณ...ขนาดนางทาสใช้ยังกลายเป็นเมียเจ้าคุณได้เลย ^^ ( ขำๆ)

หลังล้างหน้าแล้ว พอกมะขามทิ้งไว้สัก 3- 5 นาที ครั้งแรกๆ ถ้าแสบมาก็ล้างออกก่อนเวลาที่กำหนดได้

ระหว่างพอกหน้า ก็เอาครีมมะขามมาขัดดถูตัวด้วย ทำให้ผิวนุ่ม ใสขึ้นค่ะ ครีมมะขามนี้ พอกอาทิตย์ ละครั้ง หรือ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

กระซิบนิดหนึ่งว่พอหน้าดีขึ้นสุดๆแล้ว อยากจะให้เปล่งปลั่ง รวมทั้งพอจะมีงบอยู่บ้าง แนะนำให้ซื้อเวชสำอางของ ยูเซอรีน Eucerin Dermo Purifyer Active Concentrate Serum (ซึ่งเป็นเซรั่มสำหรับกระชัมรูขุมขน และลดปัญหาสิว ราคา 900บาท)มาใช้ร่วม ผิวหน้าจะละเอียดเนีนนเรียบเหมือนเปลี่ยนผิวหน้ากันไปเลยทีเดียว นอกจากนี้ป้องกันหน้าก่อนออกจากบ้านด้วยครีมกันแดด จะทำให้เกิดผลที่ดียิ่งขึ้น

และทีนี้อยากบำรุงเสริมด้วยเครื่องสำอางค์ชนิดไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบ เพราะหน้าเราแข็งแรงแล้ว แต่พยายามเลือกสมุนไพรเป็นหลัก ส่วนตัวชอบโลชั่นบำรุงผิวสมุนไพรจากน้ำมันลิลลี่และกุหลาบ ตัวนี้ทาไปตอนเช้า เพื่อนๆมักจะทัก


สูตรข้างบนผู้เขียน ทดลองใช้เอง และประทับใจมาจนทุกวันนี้ เนื่องจากพบว่า สิวแทบไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนบนหน้าอีก ผดเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่เคยมี ก็ไม่มีเลยเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว เทียบกับเพื่อนหลายคนที่เข้ารับการักษาในคลีนิค ซึ่งหายจากอาการสิวเร็วมาก แต่ก็ไม่หายขาด ต้องกลับไปรักษาบ่อยๆ แถมมีค่าใช้จ่ายสูง


สูตรนี้เป็นสูตรที่ประทับใจมากค่ะ ตอนนี้ถึงอายุมากขึ้น แต่ยังพอใจกับสภาพผิวหน้าในปัจจุบัน มากกว่าตอนเป็นวัยรุ่นตอนต้นเสียอีก ยังคงแจกจ่ายให้เพื่อนๆ ที่สงสัยและสอบถามอยู่เสมอ ว่า “ทำไม เดี๋ยวนี้ หน้าใสจัง ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ใช้อะไรเหรอ? “



นำมาเป็นบรรณาการผู้มีบุญ ถ้าได้ผลดี อย่าลืมบอกต่อบ้างนะคะ




-อุ่นอาวรณ์-




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2555 18:19:04 น.
Counter : 2746 Pageviews.  

"หลวงพ่อดวงดี"- พระพุทธมงคลบรมบรรพต วัดสระเกศ (เปิดให้สักการะแล้ว)


เที่ยววัดทำบุญวันนี้ พาท่านไปกราบนมัสการ "หลวงพ่อดวงดี" พระพุทธมงคลบรมบรรพต ซึ่งเปิดให้ประชาชนสักการะแล้ว ในอาคารสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ กรุงเทพ ฯ ซึ่งเพิ่งสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้เข้าชมเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ 2555


อาคารดังกล่าวอยู่ติดทางประตูทางเข้า ในซอยโรงไม้ ซึ่งห่างจากท่าเรือผ่านฟ้า ไม่กี่ร้อยเมตร ตัวอาคารเปิดเครื่องปรับอากาศ มีเครื่องบูชาเช่นพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้ประดิษฐ์ พานพุ่มที่จัดอย่างสวยงามใ้ห้ประชาชนได้เลือกทำบุญได้โตามความศรัทธา สถานที่สงบ และสามารถนั่งทำสมาธิได้ตามอัธยาศัย


นับว่าเป็นปูชนียสถานแห่งใหม่ของวัดสระเกศอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งวัดสระเกศได้จัดสถานที่ไว้อย่างเป็นสัดส่วนอย่างสะอาดเรียบร้อยและสวยงาม ไม่แพ้ปูชนียสถาน ณ จุดอื่นของวัด ไม่ว่าจะเป็นพระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ที่ประดิษฐานอยู่ด้านยอดบรรพต, หลวงพ่อโต (ซึ่งเร็วๆนี้เพิ่งขุดพบ ลูกนิมิตโบราณใต้ฐาน อีก 4 ลูก)  และธรรมเจดีย์ คัมภีร์โบราณเก่าแก่ที่สุดของพระพุทธศาสนา อายุ 2,000 ปีจากหุบเขาบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน


สามารถเข้ากราบสัำกการะหลวงพ่อดวงดีได้ทุกวันตั้งแต่เช้า ท่านใดที่แข็งแรงสามารถเดินไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ด้านบนบรรพต และชื่นชมทัศนียภาพของกรุงเทพในมุมกว้างได้อีกด้วย


ถ่ายภาพและบรรยายเรื่องโดย อุ่นอาวรณ์


Smiley

ภาพชุดหลวงพ่อดวงดี วัดสระเกศ วันที่ 2 กรกฎาคม 2555















 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2555 18:45:44 น.
Counter : 3817 Pageviews.  

เที่ยววัดทำบุญรอบโลก : พระพุทธรูปหินสลักหน้าผาใหญ่ที่สุดในโลก ณ มณฑลเสฉวน ประเทศจีน

 

เที่ยววัดทำบุญรอบโลกวันนี้ พาท่านไปชม พระพุทธรูปหินที่แกะสลักบนหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองเล่อซาน มณฑลเสฉวน ประเทศจีนค่ะ พระพุทธรูปองค์นี้ สูงกว่าพระพุทธรูปสลักหน้าผาอันโด่งดังที่อัฟกานิสถาน ถึง 18เมตร ทัศนียภาพโดยรอบองค์พระมีความสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบทางสถาปัตยกรรมในอดีตที่น่าชื่นชมจึงทำให้พระพุทธรูปมีอายุยืนยาว มาล่วงกว่า 1,200 ปีแล้ว ค่ะ





Giant Buddha of Leshan, Leshan


พระพุทธรูปหินนี้ประดิษฐานที่เขาเอ๋อเหมยซานหรือที่ทุกคนคุ้นชื่อกันในนามของเขาง้อไบ๊ มีพระพักตร์หันหน้าออกสู่แม่น้ำ Qingyi เป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักบนหน้าผา สูง 71 เมตร พระอังสา (ไหล่) กว้าง 28 เมตร ซึ่งสูงกว่าพระพุทธรูปสลักหน้าผาที่อัฟกานิสถานถึง 18 เมตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช1256 โดยมีผู้นำในการสร้างได้แก่หลวงจีนไฮ่ถังซึ่งใช้เวลารวมทั้งสิ้นถึง 90 ปี จึงแล้วเสร็จ

เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่จึงมีความเสียหายลงไปตามกาลเวลา เช่นบริเวณพระนาสิก(จมูก) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกกัดเซาะ จากสภาพอากาศและน้ำฝนซึ่งไหลลงมาตามหน้าผา อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นความเสียหายที่น้อยมาก เพราะมี โครงสร้างที่ดีเลิศ ทางสถาปัตยกรรมที่ออกแบบไว้ในอดีต ได้แก่ ระบบระบายน้ำภายในองค์พระ รวมถึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่จากในอดีตถึงปัจจุบันอีกรวม 6 ครั้ง ทำให้พระพุทธรูปนี้ ยังคงประดิษฐานงามสง่า เป็นที่เคารพรักแก่พุทธศาสนิกชนมาจนทุกวันนี้

หากท่านต้องการชมองค์พระใกล้ๆ สามารถทำได้โดยเดินลัดเลาะขึ้นบันไดไปตามหน้าผาซึ่งอยู่ทางด้านขวาขององค์พระซึ่งมีประมาณ 250 ขั้น ซึ่งมากพอที่เดียวที่จะทำให้หลายท่านรู้สึกเวียนศีรษะได้แต่ก็คงจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทั้ง เมื่อขึ้นมา ณ จุดสูงสุด ซึ่งเป็นที่พักบริเวณโดยรอบมีพระเจดีย์และรูปปั้นเคารพต่างๆ ซึ่งสร้างในศิลปะของราชวงศ์ถัง

สำหรับท่านที่ไม่สามารถเดินขึ้นไป ณ ยอดขององค์พระได้นั้น ก็สามารถชื่นชมทัศนียภาพบริเวณเบื้องพระบาทขององค์พระ ซึ่งจะทำให้ได้เห็นองค์พระในมุมเงยและวิวพาโนรามา ของแม่น้ำ Qingyi ซึ่งน่าตื่นตาและน่าปิติเช่นเดียวกันค่ะ

การเดินขึ้นบันไดไปยังจุดสูงสุด และลงมาชมวิวบริเวณพระบาทในหมู่คนปรกติที่แข็งแรงพอประมาณ ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้น

นับว่าเป็นทริปเที่ยววัดทำบุญต่างประเทศ ที่มีคุณค่า และน่าสนใจอย่างยิ่งเลย จริงไหมคะ เชิญติดตามชมภาพจาก เหล่านักเที่ยววัดทำบุญรอบโลก กันได้เลยค่ะ


นำเที่ยวผ่านตัวอักษรโดย : อุ่นอาวรณ์






















 

Create Date : 27 มิถุนายน 2555    
Last Update : 27 มิถุนายน 2555 22:16:10 น.
Counter : 7946 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.