|
ให้เหล้าเป็นของขวัญปีใหม่ = บาป เลี้ยงเหล้าปีใหม่= บาป. = แช่งกันนี่หว่า!!
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ไวน์ ทั้งหมดนั้น ล้วนมีผลต่อผู้ดื่มทั้งสิ้น ถ้าหากดื่มแล้วขาดสติมาก เมามาก ก็มีวิบากกรรมมาก ถ้าดื่มแล้วขาดสติน้อย เมาน้อย ก็มีวิบากกรรมน้อย ไม่ว่าดีกรีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมากหรือน้อยก็ตาม ล้วนมีผลให้ไปอบายทั้งสิ้น และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ก็จะเป็นคนบ้า ใบ้ ปัญญาอ่อน ไอคิวต่ำ ตามกำลังแห่งบาป เป็นต้น
โทษของสุรา ทำลายชีวิตผู้อื่น
โทษข้อที่ ๑ เหล้าทำให้เสียทรัพย์ โทษข้อที่ ๒ เหล้าเป็นเหตุก่อวิวาท โทษข้อที่ ๓ เหล้านำโรคมาให้ โทษข้อที่ ๔ เหล้าทำให้เสียชื่อเสียง โทษข้อที่ ๕ เหล้าเป็นเหตุให้ทำน่าอดสู โทษข้อที่ ๖ เหล้าบั่นทอนกำลังปัญญา
วิธีเลิกเหล้าให้ได้เด็ดขาด
๑.ตรองให้เห็นโทษ ว่าสุรามีโทษมหันต์ดังได้กล่าวมางใจอย่างแ น่วแน่ว่าจะเลิกโดยเด็ดขาด ให้สัจจะกับผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ หรือกับพระ ๒ .สิ่งใดที่จะเป็นสื่อให้คิดถึงเหล้า เช่น ภาพโฆษณา เหล้วตัวอย่างขนไปทิ้งให้หมด ถือเป็นของเสนียด นำอัปรีย์จัญไรมาให้บ้าน ๓. นึกถึงศักดิ์ศรีตัวเองให้มากว่า เราเป็นชาวพุทธ เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นศิษย์มีครู เป็นคนมีเกียรติยศ เป็นทายาทมีตระกูล นึกถึงศักดิ์ศรีตัวเองอย่างนี้แล้วจะได้เลิกเหล้าได้ ๔.เพื่อนขี้ เหล้าขี้ยาทั้งหลาย เลิกคบให้หมด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็มาชวนเราไปดื่มเหล ้าอีก ข้อนี้สำคัญที่สุด ตราบใดยังเลิกคบเพื่อนขี้เหล้าไม่ได้ จะไม่มีทางเลิกเหล้าได้เลย
อานิสงส์การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา
๑.ทำให้เป็นคนมีสติดี ๒.ทำให้ไม่ลุ่มหลง ไม่มัวเมา ๓.ทำให้ไม่มีความรำคาญ ไม่มีใครริษยา ๔.ทำให้รู้กิจการทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้รวดเร็ว ๕.ทำให้ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นใบ้ ไม่เป็นคนปัญญาอ่อน ๖.ทำให้มีแต่ความสุข มีแต่คนนับถือยำเกรง ๗.ทำให้มีชื่อเสียง เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป ๘.ทำให้มีความกตัญญูกตเวที ๙.ทำให้ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ๑๐.ทำให้ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ๑๑.ทำให้มีหิริโอตตัปปะ ๑๒.ทำให้มีความเห็นถูก มีปัญญามาก ๑๓.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
เรียบเรียงจาก //www.dmc.tv
Create Date : 26 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 26 ธันวาคม 2554 15:30:43 น. |
Counter : 4345 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ปลอดภัยเพราะอาศัยผู้รู้....เรื่องของมนุษย์ชายที่รอดจากนางยักษิณี
.....พ่อค้าเรืออับปาง ๕๐๐ คน พากันเข้าไปใกล้เมืองของยักษิณี พวกยักษิณีจึงไปหาพวกพ่อค้า ดำเนินตามกลอุบายที่เคยทำมาตามปกติ ที่ผ่านมาไม่เคยมีพ่อค้ากลุ่มไหนรอดพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษ์เหล่านี้ไปได้ ทุกครั้งที่ได้พวกมนุษย์ใหม่มา ยักษิณีเหล่านั้นจะเอาโซ่กายสิทธิ์ล่ามพวกมนุษย์ที่จับไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนๆ ขังไว้ในห้องคุมขัง แล้วกระทำมนุษย์ที่จับได้ภายหลังให้เป็นสามี ครั้งนี้ก็เช่นกันหัวหน้ายักษิณีให้หัวหน้าพ่อค้าเป็นสามี ส่วนบริวารได้พ่อค้าที่เหลือเป็นสามีของตน
ในเวลากลางคืน เมื่อพ่อค้าหลับ นางยักษิณีหัวหน้าจะลุกขึ้นไปฆ่ามนุษย์ในเรือนคุมขัง กัดฉีกกินเนื้อด้วยความเอร็ดอร่อย แล้วกลับมานอนกับหัวหน้าพ่อค้าเหมือนเดิม ส่วนยักษิณีที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ไปได้ไม่กี่วัน หัวหน้าพ่อค้าเป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณ คอยสังเกตว่า ยักษิณีออกไปข้างนอกทำไม และแปลกใจว่า เมื่อกลับเข้ามานอนอีกครั้ง ร่างกายของยักษิณีจะมีความเย็นกว่าปกติ ครั้นรู้ว่าหญิงงามนี้เป็นยักษิณีจำแลง จึงคิดต่อไปว่า หญิงอีก ๕๐๐ คนที่เหลือคงเป็นยักษิณีเช่นเดียวกัน เฝ้าสังเกตอยู่ ๒ - ๓ วัน เมื่อรู้แน่ชัดว่า ตนเองอยู่ในอันตราย โดยที่พวกพ่อค้าทั้งหลายไม่รู้ว่ามัจจุราชอยู่ข้างตัว จึงคิดหาทางที่จะหลบหนีทันที
รุ่งเช้าหัวหน้าพ่อค้าได้เดินไปอาบน้ำล้างหน้ากับพวกบริวาร และบอกให้บริวารของตนรู้ว่า "หญิงเหล่านี้เป็นยักษิณี มิใช่หญิงมนุษย์ พวกมันกำลังจะหักคอพวกเราเคี้ยวกินเป็นอาหาร พวกเราควรพากันหาทางหลบหนีไปเถิด" พวกพ่อค้าครึ่งหนึ่งเชื่อถ้อยคำของหัวหน้า แต่อีกครึ่งหนึ่ง หลงใหลในภรรยาคนใหม่ ไม่เชื่อว่าพวกนางจะเป็นยักษิณี จึงไม่ยอมไปกับหัวหน้า
ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเราบังเกิดเป็นม้าวลาหก เป็นม้าสีขาวปลอด มีศีรษะเหมือนกา ผมเป็นปอย มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ ม้าวลาหกเหาะจากป่าหิมพานต์มาที่เกาะตัมพปัณณิ เพื่อบริโภคข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในเปือกตม จากนั้นจึงเหาะกลับป่าหิมพานต์ตามเดิม โดยก่อนจะกลับม้าจะร้องขึ้น ๓ ครั้ง พูดเป็นภาษามนุษย์ว่า "มีผู้ประสงค์จะไปชนบทไหมๆๆ" พวกพ่อค้าได้ยินเสียงม้าพูดภาษามนุษย์ได้ มีความยินดีจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือโดยกล่าวว่า "พวกเราจะกลับไปชมพูทวีป ขอพญาม้าได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด"
ด้วยความกรุณาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงให้พ่อค้าบางพวกขึ้นขี่หลัง บางพวกให้จับหาง บางพวกยืนประคอง อัญชลี แล้วเหาะข้ามมหาสมุทรกลับไปสู่บ้านเกิดของตน ด้วยอานุภาพของม้าโพธิสัตว์ ทำให้พ่อค้าทั้ง ๒๕๐ คน สามารถรอดพ้นจากการถูกจับกินเป็นอาหาร ส่วนพ่อค้าที่เหลือซึ่งไม่เชื่อ คำแนะนำของหัวหน้า เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ถูกนางยักษิณี จับฆ่าเคี้ยวกินจนหมดสิ้น
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเล่าเรื่องนางยักษิณีจบแล้ว ทรงสรุปว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ตกอยู่ในอำนาจของยักษิณีต่างสิ้นชีวิตลงหมด พวกที่เชื่อคำของพญาม้าวลาหก ได้กลับไปอยู่ในที่อยู่ของตนอย่างปลอดภัยฉันใด พุทธบริษัทผู้ไม่ทำตามโอวาทของพระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ ในอบายภูมิ ๔ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังโอวาท ย่อมได้รับสมบัติทั้งสาม คือ มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ" จากนั้นทรงแสดงอริยสัจ ๔ ในท่ามกลางมหาสังฆสมาคม เมื่อสิ้นสุดพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้กระสันอยากสึกก็สามารถตัดใจจากหญิงที่ตนเองหลงรัก ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
..... เราจะเห็นว่า การทำตามคำแนะนำของผู้รู้นั้น เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความปลอดภัย และความสวัสดีมีชัยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่าง ลำพังตัวของเราเอง ไม่อาจพิจารณาแยกแยะได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือไม่ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ จำต้องอาศัยบัณฑิตคอยชี้แนะแนวทางให้ โดยเฉพาะหนทางไปสู่สวรรค์และนิพพานนั้น ต้องอาศัยผู้รู้แจ้ง คอยแนะนำพร่ำสอน
เพราะหากดำเนินชีวิตผิดพลาด ย่อมมีแต่อบายภูมิเป็นที่ไป หากปฏิบัติถูกก็ไปสู่สุคติภูมิ ถ้าปฏิบัติผิดย่อมไปสู่อบายภูมิ พวกเราทั้งหลายนับว่าเป็นผู้โชคดี ที่ได้ผู้รู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแสงสว่าง คอยส่องทางให้เดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง พระองค์ทรงสอนให้ละชั่วทุกชนิด ทำความดีทุกอย่าง และหมั่นทำใจให้ใสบริสุทธิ์เสมอ ให้มีสุคติโลกสวรรค์ เป็นที่ไป ดังนั้นจงหมั่นทำตามพระพุทธโอวาท เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย และมีสุคติภูมิเป็นที่ไปกันทุกคน
พระธรรมเทศนาพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
Create Date : 23 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 23 ธันวาคม 2554 14:11:19 น. |
Counter : 1198 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เลี้ยงดูผู้เฒ่า อย่าทำให้ท่านน้อยใจ
พ่อแม่ยามแก่ชราโดยทั่วไปก็มีลูกอยู่ในบ้านเพียงคนสองคน นอกนั้นก็แยกย้ายกันไปทำมาหากิน ไปตั้งครอบครัวใหม่กันหมด บางครอบครัวเหลือเพียงสองคนตายาย ลูกหลานย้ายไปตั้งรกรากอยู่เสียไกลคนละภาค คนละประเทศ ความว้าเหว่ความน้อยใจจึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แล้วอำนาจแห่งความน้อยใจของผู้เฒ่านี่เอาเรื่องทีเดียว ใครดูแลพ่อดูแลแม่อยากจะเอาบุญกับท่านละก็ อย่าทำให้ท่านน้อยใจได้ ถ้าน้อยใจเดี๋ยวพาลจะตายเอาง่ายๆ
อาตมามีประสบการณ์เมื่อโยมพ่อยังมีชีวิตอยู่ มีอยู่คราวหนึ่งโยมพ่อป่วย ได้ทราบข่าวว่าเป็นแค่นิดๆ หน่อย งานยุ่งๆ ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยม แต่พออีก ๖ ๗ วัน ทางบ้านโทรเลขมาแล้ว บอกว่าป่วยหนัก นึกแปลกใจ เอ๊ะ! ก็เป็นไข้ธรรมดา ทำไมเกิดมาป่วยหนัก ก็เลยรีบไป ปรากฏว่าตั้งแต่ท่านป่วย ข้าวไม่ยอมกิน น้ำไม่ยอมดื่ม ยิ่งยาด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง ไม่ยอมแตะเลย เมื่ออาตมาไปถึงบ้าน ท่านมีอาการเพียบแล้ว ก็เลยบอกท่านไปโรงพยาบาลเถอะ ท่านบอก ไม่ไป จะตายที่บ้านนี่แหละ อ้าว! แล้วกัน ทำไมจะรีบมาตายเสียเล่า
ท่านบอกว่า ท่านจะตาย คะยั้นคะยออย่างไรก็ไม่ยอมไป คะยั้นคะยอท่านมากๆ เข้า ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม ... ท่านว่า อ๋อ กลัวจะตายรกบ้านใช่ไหม ถึงจะไล่ให้ไปตายโรงพยาบาลน่ะ เอ้า เป็นอย่างนั้นเสียอีก ตอนนั้นก็บวชพระแล้ว ท่านเป็นโยมพ่อเราเอง ก็เลยไม่ฟังเสียง มาถึงขั้นนี้แล้ว ช้อนตัวท่านอุ้มขึ้นรถเลย ไปส่งโรงพยาบาล ไม่ฟังเสียงท่านทั้งนั้น ไปถึงโรงพยาบาลให้หมอเขาตรวจเขาเช็คเรียบร้อย แล้วก็บอกว่าต้องอยู่โรงพยาบาลก่อน ไม่ยอมให้กลับ แต่ท่านจะกลับให้ได้
ผลสุดท้าย อาตมาก็ต้องไปจำวัดอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย ไม่อย่างนั้นท่านไม่ยอมอยู่ ให้ใครไปอยู่ด้วยก็ไม่เอาทั้งนั้น พี่คนไหน ญาติคนไหน ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้นแหละ ต้องให้พระลูกชายอยู่ด้วยถึงจะยอมอยู่ ซักไซ้ไล่เรียงกันก็ได้ความว่า เมื่อตอนท่านเริ่มป่วย พี่สาวพูดกับท่านไม่เพราะ พูดไม่เพราะไป ๒ - ๓คำ ก็คงจะงานมา เหนื่อยๆ ก็เลยพูดไม่เพราะไป ท่านน้อยใจเอาขนาดไม่กินข้าวกินปลา หยูกยาไม่กิน คิดจะตายท่าเดียว
ก็ฝากพวกเราเอาไว้ ใครเลี้ยงดูผู้เฒ่าล่ะก็จำไว้นะ ถึงผู้เฒ่าจะมีกำลังบุญพอจะอยู่ได้นานอีกถึง ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ตาม แต่ถ้าน้อยใจแล้วตาย ใจเสาะเลยแหละ มันแพ้กันอยู่ อย่าให้น้อยใจได้เชียวนะ แค่น้อยใจว่าลูกหลานไม่อยากให้อยู่ก็อายุสั้นแล้ว หรือน้อยใจว่าลูกหลานไม่ให้ความเคารพ เดี๋ยวก็ตาย อยู่ไม่ยืดหรอก เพราะฉะนั้น ดูแลผู้เฒ่า ห้ามเด็ดขาด อย่าทำให้ท่านน้อยใจ
ไปคราวนั้นดูแล้ว ถ้าอาตมาไปช้าสักวันสองวันก็คงกู่ไม่กลับ เพราะคนเราลองว่า ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ยาขว้างทิ้ง ๕ ๖ วันนี่ไม่ไหวแล้ว ไปอยู่ด้วยคราวนั้นประมาณอาทิตย์หนึ่งค่อยฟื้น แล้วถึงได้รู้ว่า อ๋อ...ไอ้อำนาจของความน้อยใจของผู้เฒ่านี่เอาเรื่องเชียว
พระคุณแม่ พระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ
Create Date : 21 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 21 ธันวาคม 2554 11:45:43 น. |
Counter : 3197 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อย่ากังวลถึงอนาคตเกินไป : คนแคว้นฉีกังวลถึงฟ้า
มังการสอนใจ โดย พระมหาสมชาย ฐานวฺฑโฒ
ครั้งกระโน้นในแคว้นฉีมีชายคนหนึ่ง มีปกติชอบนั่งอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ เพื่อตรึกตรองขบคิดปัญหาต่าง ๆ อยู่มาวันหนึ่ง เขามองเห็นดาวหางดวงหนึ่งตกวูบลงมาจากฟ้า จึงเกิดความคิดขึ้นว่า ในอนาคตฟ้าก็มีโอกาสถล่มลงมาได้
เขารำพึงกับตัวเองว่า
เมื่อถึงวันนั้นจะทำอย่างไรกันดี ผู้คนทั้งหมดจะต้องถูกทับตาย ไม่ว่าจะเป็นคนดีคนเลว ไม่มีใครหนีรอด โอ! ช่างน่ากลัวจริง ๆ เขายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดวิตก เพียงไม่กี่วันแม้ข้าวก็กินไม่ลง นอนก็ไม่หลับ หน้านิ่วคิ้วขมวดซึมอยู่ทั้งวัน มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำเขาว่า
ฟ้าไม่เหมือนเพดานห้องหรอก ฟ้าไม่ถล่มลงมาหรอก แกอย่าไปกังวลเรื่องไม่ใช่เรื่องเลย ยังคงกินข้าวนอนหลับตามปกติเถิด อย่าทำลายสุขภาพตัวเองอย่างนี้เลย
ชายแคว้นฉีกลับพูดกับเพื่อนว่า แกอย่ามากังวลเรื่องฉัน ฉันกลับขอเตือนแกรีบเตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ เพราะจะเร็วจะช้าฟ้าก็ต้องถล่มลงมา
เพื่อนของเขาพูดว่า
บนโลกก็ไม่ใช่มีแต่แกคนเดียว คนอื่น ๆ เขาล้วนอยู่กันอย่างสุขสบาย ไม่มีใครมานั่งกังวลว่าฟ้าจะถล่มลงมา แล้วทำไมแกต้องหาเรื่องเดือดร้อนกลุ้มใจมาให้ตัวเองอย่างนี้ด้วย
ชายแคว้นฉีตอบว่า
ถ้าฉันจะมีอะไรไม่ถูกต้องละก็ นั่นก็คือฉันมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ได้ลึกซึ้งทะลุปรุโปร่งเกินไป แต่นี้ก็คืออุปนิสัยของฉัน จะให้ฉันดำเนินชีวิตไปแบบมั่วๆ เหมือนคนทั่วไป นั่นเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้
และแล้วเพราะความที่เขาวิตกกลุ้มใจอย่างต่อเนื่อง สุขภาพ ก็ยิ่งทรุดโทรม และในที่สุด ในขณะที่ฟ้ายังไม่ทันถล่มลงมานั่นเอง เขาก็ด่วนจากโลกนี้ไปเสียก่อน
ท่านสาธุชนทั้งหลาย
อย่าเพิ่งหัวเราะหรือขำชายแคว้นฉีคนนี้ว่าโง่ กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขอให้ลองถามตัวเองก่อนว่า เราได้เคยเป็นเหมือนชายแคว้นฉีคนนี้ คือไปคิดสมมุติเรื่องต่าง ๆ ของตนเองหรือครอบครัวขึ้นว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างไรหรือเปล่า เราเคยหาทุกข์กินเปล่ามาใส่ตัวหรือไม่
ผู้ใดไม่จมอยู่กับอดีต ไม่พะวงถึงอนาคตจนเกินไป แต่ตั้งใจทำกิจในปัจจุบันของตนให้ดีที่สุด ความสุขความสำเร็จของบุคคลนั้นย่อมอยู่แค่มือคว้า
หิยฺโยติ หิยฺยติ โปโส ปเรติ ปริหายติ
อนาคตํ เนตมตฺถีติ ญตฺวา
อุปฺปนฺนจฺฉนฺทํ โก ปนุเทยฺย ธีโร
มัวรำพึงถึงความหลัง ก็มีแต่จะหดหาย
มัวหวังวันข้างหน้า ก็มีแต่จะละลาย อันใดยังไม่มาถึง อันนั้นก็ยังไม่มี
รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า
( พุทธพจน์ ) (ขุ.ชา.วีสติ ๒๗/๔๖๖)
Create Date : 19 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 19 ธันวาคม 2554 17:53:16 น. |
Counter : 1533 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|