Group Blog
 
All Blogs
 

วิธีสังเกตอัธยาศัยของบุคคล (๒/จบ)

อัธยาศัยของมนุษย์ ๒
 

 
     การสร้างบารมี เป็นสิ่งที่นักสร้างบารมีทั้งหลายจะต้องบำเพ็ญกันทุกๆ วัน โดยไม่มีวันว่างเว้นเลย ตั้งแต่ทานบารมี ศีลบารมีเรื่อยไป จนกระทั่งถึงอุเบกขาบารมี เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสดีที่สุดในการสร้างบารมี อีกทั้งเรายังเป็นสัมมาทิฏฐิ เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ จึงได้ให้โอกาสแก่ตัวของเราเอง สร้างความดีอย่างไม่หยุดยั้ง การเกิดมาอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเกิดมาอย่างมีคุณค่า ได้สร้างบารมีซึ่งเป็นงานแท้จริง สิ่งที่เราควรจะทำควบคู่กันไปกับภารกิจประจำวันคือ หมั่นทำใจหยุดใจนิ่งไปพร้อมๆ กัน อย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว เพื่อเข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง คือ พระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขในธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
 
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน จตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า
 
      "บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียดกระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ แต่เขาเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ แก่สมณพราหมณ์ และไม่เป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของผู้อื่น ไม่กีดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ถ้าบุคคลนั้น จุติจากอัตภาพนั้นไปสู่สัมปรายภพ แล้วกลับมาเกิดอีก ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปไม่งาม แต่จะเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์
 
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความขุ่นมัว ขัดเคืองใจ เมื่อถูกว่านิดหน่อยก็โกรธเคือง ผูกพยาบาท แสดงความโกรธฉุนเฉียว ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน เหมือนแผลเก่าที่ถูกไม้ตำ ย่อมทำให้บาดเจ็บและเกิดเป็นแผลใหญ่ได้โดยง่าย คนที่มีอุปนิสัยโทสจริตนั้นก็มักจะเป็นอย่างนี้ จะมีความขัดเคืองใจอยู่เสมอๆ แม้เวลาทำบุญก็มีโทสะ ถึงทรัพย์สมบัติจะเกิดขึ้นมากมาย แต่ตัวเองกลับเป็นคนที่อาภัพรูปสมบัติ"
 
     เมื่อครั้งที่แล้ว ได้นำเรื่องอุปนิสัยของคนมาเล่าให้ได้เรียนรู้กัน เพื่อจะได้ดูคนเป็น บริหารคนให้เหมาะสมกับงาน และเพื่อเป็นการประดับสติปัญญา ขณะเราไปทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร ชี้แนะให้เขาเห็นคุณค่าของการสร้างบารมี เราจะได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ได้เล่าไปแล้ว ๒ หัวข้อ คือ ราคจริตและศรัทธาจริต ครั้งนี้จะนำข้อที่เหลือมาเล่าให้ได้ศึกษากันต่อไป เมื่อเข้าใจแล้วจะได้รู้จักแยกแยะคนออก และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
 
     จริตที่ ๓ คือ โทสจริต คนจริตนี้มีข้อสังเกตที่ง่ายมาก หากเราสังเกตทางอิริยาบถ คนโทสจริตจะเป็นคนที่มีอิริยาบถฉับไวไม่นุ่มนวล เวลาเดินก็ลงส้นหนักๆ วางเท้ายกเท้าเร็ว มีอาการที่รีบร้อนเหมือนจะรีบไป การจัดข้าวของก็จะจัดแบบลวกๆ ไม่ประณีต ไม่คำนึงถึงความสวยงาม เอาแค่พอใช้ได้ เวลานอนก็ล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว ถ้าถูกปลุกให้ลุกก็จะผลุนผลันรีบลุกขึ้น มีอาการเหมือนคนสะดุ้งตกใจ ถ้าไม่พอใจก็จะแสดงอาการเคร่งเครียด หน้าตาไม่รับแขก ใครมาซักถามอะไรในตอนนี้ต้องระวังให้ดี เพราะจะได้รับคำตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่รื่นหู เหมือนเอาก้านบัวหลวงแยงเข้าไปในหู หากสังเกตการกระทำ ก็จะพบว่า เวลาทำอะไรจะทำด้วยความรีบร้อน แต่รวดเร็วทันใจ จะทำอะไรท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง แต่บางครั้งก็สะเพร่า ไม่ค่อยละเอียดลออเท่าที่ควร  
 
     หากเราสังเกตการบริโภคขบฉัน คนที่มีโทสจริตมักจะชอบอาหารที่มีรสจัด เวลาบริโภคก็มักจะทำคำข้าวโตๆ รีบร้อนในการรับประทาน หากสังเกตทางทัศนะ เวลาพบเห็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็จะแสดงอาการขัดเคืองหงุดหงิดรำคาญ ถ้าหากไม่พอใจก็จะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของคนโทสจริต คือ จะมีสภาวะอารมณ์ของจิตที่ประกอบไปด้วยโทสะค่อนข้างมาก มักจะโกรธง่ายและชอบผูกโกรธ บางครั้งถ้าควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก็จะเกิดการกระทบกระทั่งคนอื่นอย่างรุนแรง หรือกระทบกระเทียบเปรียบเปรยผู้อื่นให้เจ็บใจ บางทีก็ดื้อจนขาดเหตุผล ไม่ค่อยจะยอมใคร ถ้าจะมอบหมายงานให้คนประเภทนี้ หากงานไหนเป็นงานใหญ่ที่ต้องใจเย็นๆ ต้องคิดให้รอบคอบก่อนมอบหมายงาน เพราะจะทำให้งานใหญ่เสียได้
 
     คนที่มีอุปนิสัยโทสจริตนี้ นอกจากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่องานใหญ่แล้ว สิ่งที่มีผลกระทบโดยตรงคือ ตัวเราเอง ผู้มีโทสจริต หากพลั้งเผลอไปก่อบาปอกุศลต่อผู้ที่มีคุณธรรมมากกว่าเราแล้ว ก็จะเป็นผลร้ายต่อตัวเราเอง
 
     * เหมือนนางปัญจปาปา ผู้มีบาป ๕ ประการ เป็นหญิงขี้เหร่ มีอวัยวะทั้ง ๕ ประการ คือ มือ เท้า ปาก ตา และจมูกบิดเบี้ยวน่าเกลียด ที่เป็นเช่นนี้เพราะในอดีตชาติ พลาดพลั้งไปทำกิริยาที่ไม่สุภาพต่อผู้ทรงศีล เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตดินเหนียว เพื่อจะใช้ฉาบทากุฏิเสนาสนะ บิณฑบาตผ่านมาหลายแห่งก็ยังไม่พบดินเหนียว จนกระทั่งผ่านบ้านหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกำลังรวบรวมดินเหนียว เพื่อจะเอาไปใช้งานที่เรือนของตนอยู่พอดี
 
     เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นดังนั้น ท่านก็เดินเข้าไปหาพร้อมแสดงกิริยาขอบิณฑบาตดินเหนียว เนื่องจากอุปนิสัยดั้งเดิมของหญิงสาวคนนี้ เป็นคนอารมณ์ร้อนมีโทสะมาก เมื่อเห็นพระเดินมา ก็รู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อถูกขอก็ขัดไม่ได้ จึงถวายท่านไป แต่เวลาถวายแทนที่จะถวายให้ดี กลับเอาก้อนดินเหนียวทุ่มใส่ลงในบาตรของท่าน พร้อมแสดงกิริยาอาการหงุดหงิดฉุนเฉียว ทำตาค้อนท่าน ลมหายใจก็ฟืดฟาด แถมยังกระทืบเท้าต่อหน้าท่านด้วย
 
     ด้วยกรรมที่ทำเช่นนี้ ทำให้นางเกิดเป็นหญิงผู้มีอาการอัปลักษณ์ ๕ ประการ ทั้งมือ เท้า ตา จมูก ปากบิดเบี้ยวหมด พวกหมู่ญาติจึงตั้งชื่อว่า ปัญจปาปา แต่ถึงกระนั้น ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายดินเหนียว ทำให้นางเป็นผู้ที่มีผิวพรรณงาม มีสัมผัสที่พิเศษกว่าคนอื่น ใครก็ตามที่ได้จับต้องร่างกายของนางแล้ว จะหลงรักและติดอกติดใจในสัมผัสนั้น ท้ายที่สุดด้วยความเป็นผู้มีผิวที่นุ่มนวล จึงได้เป็นมเหสีของพระราชาถึง ๒ เมืองด้วยกัน หากในวันนั้นนางได้ถวายดินเหนียวด้วยความเคารพ ผลบุญจะทำให้นางสมบูรณ์ด้วยความงาม ๕ อย่าง แทนบาป ๕ อย่าง นี่ก็เป็นเพราะผลของความเป็นผู้มีโทสจริตนั่นเอง
 
     ส่วนจริตที่ ๔ คือ พุทธิจริต คนที่มีจริตนี้มักจะชอบแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ชอบในเรื่องเหตุและผล จะมีอุปนิสัยคล้ายๆ กับคนที่มีโทสจริต  แต่ที่ไม่เหมือนกัน คือ ผู้มีพุทธิจริตจะมีธรรมะอันดีงามอยู่ในใจมากมายหลายประการ เช่น โสวจัสสตา คือ ความเป็นคนว่าง่ายสอนง่าย รับฟังความคิดเห็น และคำแนะนำสั่งสอนที่มีประโยชน์ แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่อ่อนกว่า หรือไม่ใช่มารดาบิดาก็ตาม หากคำตักเตือนแนะนำนั้น ประกอบด้วยเหตุผลและมีประโยชน์ ทั้งเป็นสิ่งดีงาม ก็จะน้อมรับฟังด้วยความเคารพ  และยังมีกัลยาณมิตตตา คือ ความเป็นคนมีปัญญาฉลาด เลือกคบแต่คนดี คบกับนักปราชญ์บัณฑิต ไม่ปรารถนาจะคบกับคนพาล และยังมีโภชเนมัตตัญญุตา คือ รู้จักประมาณในการรับและการบริโภค ไม่มีความประมาทในธรรม สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ  เป็นคนไม่เกียจคร้าน หมั่นประกอบความเพียร รักในการประพฤติปฏิบัติธรรม และเป็นผู้ใคร่ในการฟังธรรม
 
     จริตที่ ๕ คือ โมหจริต คนมีโมหจริตจะเป็นคนที่มีความโลเล ขาดความมั่นใจในตัวเอง เวลาเดินก็มักจะเดินไปด้วยอาการที่เปะปะ คล้ายคนไม่มีจุดหมาย ลักษณะอาการก็เหมือนคนที่เดินขย่มตัว มักชอบเหม่อลอย ยามนอนก็ไม่น่าดู วางไม้วางมือไม่เรียบร้อย เมื่อถูกปลุกให้ลุกขึ้นก็จะอืดอาดชักช้า หากจะสังเกตโดยการกระทำแล้ว เวลาจะทำอะไรก็ไม่เรียบร้อย เหมือนไม่เต็มใจทำ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ชอบเออออตามคนอื่น ใครว่าดีก็ว่าดีตามเขาไป ใครว่าไม่ดีก็ว่าไม่ดีตามเขาไป ในใจก็ค่อนข้างสับสน ขี้ระแวงสงสัย ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้  
 
     จริตข้อสุดท้าย จริตที่ ๖ คือ วิตกจริต มีลักษณะเหมือนกับพวกโมหจริต จะแตกต่างกันก็คือ คนที่มีวิตกจริต จะกังวลไปทุกเรื่อง ชอบคิดเล็กคิดน้อยไม่รู้จบ คิดมากจนกระทั่งเบียดเบียนตัวเองให้เป็นทุกข์ ใครเป็นอย่างนี้ ให้รีบแก้ไขเสีย
 
     โดยทั่วๆ ไปแล้วจริตของคนเรา มักจะมีหลายๆ อย่างรวมกันในคนๆ เดียว แต่จะมีลักษณะที่เด่นชัดออกมาพอให้เราสังเกตได้ เรื่องนี้ไม่เกินวิสัยที่เราจะทำความเข้าใจได้ แต่หลักใหญ่ที่สำคัญจริงๆ คือ เราต้องรู้จักจริตอัธยาศัยของตัวเองให้ดี ถ้าเราไม่ฉลาดรอบรู้ในเรื่องจิตใจของผู้อื่น อย่างน้อยก็ควรฉลาดในเรื่องจิตใจของตนเอง เราจะได้รู้ทันกิเลส จะได้สำรวมระวัง แก้ไขตัวเองได้ทัน เพื่อให้ใจห่างจากบาปอกุศล แต่เราจะรู้จักตัวเองได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จนกระทั่งพบกับตัวตนที่แท้จริงของเรา คือ พระธรรมกายในตัว  เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่าศึกษาที่สุดก็มีอยู่ในตัวของเราแล้ว ถ้าเรารู้ใจตัวเองได้ก็จะรู้ใจคนอื่นได้ ดังนั้น ให้หมั่นทำใจให้หยุดนิ่ง ให้พบกับธรรมกายซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๖๒ หน้า ๕๘๘




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2555 13:04:42 น.
Counter : 2061 Pageviews.  

วิธีสังเกตอัธยาศัยของบุคคล

อัธยาศัยของมนุษย์ ๑
 

 
     การอยู่ร่วมกันเป็นสังคม หมู่ใหญ่ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้อง เรียนรู้อุปนิสัยซึ่งกันและกัน จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบ กระทั่งกัน เมื่อเข้าใจและให้อภัยกันและกันได้ง่าย ซึ่งการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่ แท้จริงนั้น ต้องประกอบด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน มีความจริงใจต่อกันด้วยใจที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มมาจากพื้นฐานใจที่หยุดนิ่ง ดังนั้นการหยุดใจได้อย่าง สมบูรณ์  จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย เพราะสันติภาพของโลกจะ เกิดขึ้นได้ ต้องมีจุดเริ่มต้นมาจากสันติสุขภายในก่อน โดยเริ่มต้นที่ตัวของเราเป็นอันดับ แรก
 
มีวาระพระบาลีที่กล่าวถึง การสังเกตจริตอัธยาศัยของมนุษย์ทั้งหลาย ไว้ว่า
 
                         "อิริยาปถโต กิ จฺจา    โภชนา ทสฺสนาทิโต
                          ธมฺมปฺปวตฺติโต เจว   จริยาโย วิภาวเย
 
     บัณฑิตพึงทราบ จริตทั้งหลาย โดยอิริยาบถ โดยกิจ โดยการบริโภค โดยอาการ มีการดู เป็นต้น และโดยความเป็นไป แห่งธรรมนั่นแล"
 
     การเรียนรู้จริต อัธยาศัยของแต่ละบุคคล เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และถ้ารู้แล้วก็จะเป็นเหมือนกุญแจ ที่จะไขเข้าไปสู่ จิตใจของเขา เพราะมนุษย์ทุกคนมีความคิด คำพูด และการกระทำที่แสดงออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ แม้เราไม่มีญาณวิเศษ เราก็สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรม และอุปนิสัยที่แสดงออกมา หากเราลอง สังเกต เราก็จะรู้อุปนิสัยของแต่ละบุคคลได้โดยไม่ยาก ตามปกติแล้วเราสามารถแบ่งจริตอัธยาศัย ของมนุษย์ที่แตกต่างกันออกไปได้ถึง ๖ อย่าง คือ ราคจริต ศรัทธาจริต โทสจริต พุทธิจริต โมหจริต และวิตกจริต
 
     ครั้งนี้จะได้นำเรื่อง อุปนิสัยของคน มาให้พวกเราได้เรียนรู้ เพื่อจะได้ดูคนเป็น จะได้เลือกบริหารคนให้เหมาะสมกับงาน และเพื่อเป็นการประดับสติปัญญา ขณะเราไปทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตร ชี้แนะให้เขาเห็นคุณค่าของ การปฏิบัติธรรม เราจะได้ทราบว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม และทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่บกพร่อง
 
     คนที่มีพื้นฐานเป็น คนรา คจริต มีข้อน่าสังเกต คือ มักจะมีอิริยาบถที่พอเหมาะพองาม ทำ อะไรไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป กิริยาท่าทางจะนุ่มนวล  เมื่อจะเดินก็เดินไปโดยปรกติ ค่อยๆ วางเท้าลง ยกเท้าขึ้นอย่างสม่ำเสมอ  เวลาจะยืนหรือนั่งก็น่าดูน่าชม มีอาการละมุน ละไม เวลานอนก็จะไม่รีบร้อน จะจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนเสมอ แล้วค่อยๆ นอน นอนอยู่ใน อาการที่สงบเรียบร้อย เมื่อถูกปลุกให้ลุกขึ้น ก็จะไม่ลุกขึ้นโดยผลีผลาม ถ้าจะสังเกตที่การกระทำ ทำ อะไรก็จะทำอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำอย่างเรียบร้อย ถ้าจะสังเกตเรื่องอาหารการกิน ก็มักจะชอบใจอาหาร ที่มีรสไม่จัดจนเกินไป มีรสอร่อยกลมกล่อม เวลาจะทานก็จะทำคำข้าวให้พอเหมาะพอดี จะทานก็ไม่ รีบร้อนแม้อาหารจะถูกใจก็ตาม
 
     ถ้าสังเกตโดยทัสสนะ คนที่มีราคจริตไม่ว่าชายหรือหญิง เมื่อเห็นรูปสวยๆ มักจะชอบใจ ได้ฟังเสียงที่ไพเราะ ได้ดมกลิ่นหอมๆ ได้ลิ้มรสที่ถูกใจ ได้สัมผัสที่นุ่มนวล แม้จะเป็น เพียงเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนจะไม่สำคัญเท่าไร แต่เขากลับรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ จะ เกิดความพออกพอใจมากกว่าคนปกติทั่วไป
 
     หากสังเกตโดยความ เป็นไปแห่งธรรมแล้ว ใจของเขาจะค่อนข้างหวั่นไหวง่าย ไม่หนักแน่นพอ และอาจมีความถือตัวอยู่ บ้าง เนื่องจากเป็นคนทำอะไรก็จะทำได้ดีและประณีต บางครั้งอาจคุยมากไปหน่อย และต้องการให้ผู้ อื่นมายกย่องชื่นชม ในคุณงามความดีที่ตนได้กระทำ โดยทั่วไปแล้วมักจะชอบคนหมู่มาก มีมนุษย สัมพันธ์ดี ไม่ค่อยมีความสันโดษ จะมีความทะยานอยากอยู่เรื่อยๆ ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตนมีและเป็น คนที่ไม่เด็ดขาด ค่อนข้างจะโลเล แต่ก็มีความคิดสร้างสรรค์ดี ชอบคิดประดิดประดอยสิ่งต่างๆ รวม ไปถึงเครื่องประดับ เป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องความสวยงามเป็นพิเศษ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นพื้น ฐานอุปนิสัยของคนที่มีราคจริต ซึ่งเราก็สามารถจะสังเกตออก และเรียนรู้ได้โดยไม่ยาก เมื่อรู้แล้วก็ จะสามารถให้งานที่เหมาะสมกับอัธยาศัยของเขาได้
 
     ส่วนจริตประการที่ ๒ คือ ศรัทธา จริต  คนกลุ่มนี้จะมีอุปนิสัยใจคอดีมาก มีพื้นใจที่ดีมาก จริตอัธยาศัยของคนที่มีศรัทธานั้น หากจะสังเกตโดยอิริยาบถ โดยการกระทำ โดยทัศนะ หรืออาหาร การกิน ก็จะคล้ายกับกลุ่มคนผู้มีราคจริต แต่ความแตกต่างระหว่างราคจริตและศรัทธาจริตนั้น จะมี ความแตกต่างกันในด้านธรรมะในจิตใจ คือ ใจของผู้มีราคจริต มักจะโน้มเอียงไปทางเบญจกามคุณ
 
     แต่ผู้มีศรัทธาจริต ใจจะผ่องใสอุดมไปด้วยธรรมะเป็นปกติ แสงสว่างแห่งธรรมจะเจิดจ้าอยู่ในใจอยู่เสมอ สมบูรณ์ไป ด้วยกุศลธรรม โดยพื้นใจมักจะเป็นคนที่ชอบเสียสละ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งภายนอก จะมีใจที่ปลอด กังวล ไม่ค่อยห่วงใยในสิ่งอะไรทั้งนั้น ชอบการให้ทานและให้ด้วยใจที่เบิกบานผ่องใส จะเป็นคนมี ศรัทธาแรงกล้าปรารถนาที่จะได้พบเห็นพระอริยเจ้า และชอบฟังธรรมที่มีเนื้อหาสาระ ที่เป็นอรรถ เป็นธรรม เวลาที่ทำความดี ก็จะมากไปด้วยความปีติปราโมทย์ใจ เมื่อมีโอกาสฟังธรรม หรือพบกับ พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ก็จะแสดงอาการเลื่อมใส จะไม่มีนิสัยโอ้อวดแข็งกระด้าง ไม่พูดพล่อย เป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีมายา และมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ชนิดอจลศรัทธาทีเดียว ใคร จะมาชักชวนยั่วยุให้เลิกนับถือพระรัตนตรัยอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว
 
     แบบอย่างของผู้มี ศรัทธาจริตในสมัยพุทธกาลนั้น ที่โดดเด่นและเป็นแบบอย่างให้กับนักสร้างบารมีในยุคหลังๆ คือ มหาอุบาสิกาวิสาขา ท่านเป็นยอดนักสร้างบารมีในยุคนั้น โดยอุปนิสัยกิริยามารยาทภายนอกก็ดูงดงาม น่าเลื่อมใส สมบูรณ์ด้วยอิตถีลักษณะ คือ เบญจกัลยาณี ความงามทั้ง ๕ ประการ ตั้งแต่รูปงาม ผมงาม โครงสร้างงาม ผิวงาม และวัยงาม อิริยาบถภายนอกไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนเป็น ลักษณะที่งดงามสมกุลสตรี
 
     * มีเหตุการณ์หนึ่ง ขณะที่มหาอุบาสิกาวิสาขาเดินอยู่ ท่ามกลางสายฝน ด้วยอาการปกติไม่รีบร้อน แต่เหล่าบริวารต่างวิ่งชลมุลเพื่อหาที่กำบังฝน พวก พราหมณ์ได้ถามนางว่า “ทำไมไม่รีบวิ่งหาที่หลบฝนเหมือนคนอื่น” ท่านบอกเหตุผลว่า “หากวิ่ง แล้ว อาจเกิดความพลาดพลั้งหกล้มแขนขาหัก ผู้มีพระคุณคือคุณพ่อคุณแม่ก็จะเสียใจ” ท่านมี ปฏิภาณในการตอบที่น่าฟัง
 
     หากพูดถึงจิตใจที่งด งามแล้ว มหาอุบาสิกาวิสาขาเป็นผู้มีจิตใจงดงามมาก มีศรัทธาที่มั่นคงไม่หวั่นไหว เป็นอจลศรัทธา หนักแน่นมั่นคงในพระรัตนตรัยมาก ท่านได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจสร้างมหาทานบารมีในพระพุทธศาสนา สร้างมหาวิหารบุพพาราม เพื่อเป็นที่พำนักของภิกษุสงฆ์ และทำนุบำรุงด้วยปัจจัย ๔ โดยไม่ให้ขาด ตกบกพร่อง ในดวงใจของท่าน เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญกุศลและธรรมปีติ ใจก็โน้มไปในการสร้างบารมี อยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ที่รักการสร้างบารมีเหนือสิ่งอื่นใด แม้บางช่วงของชีวิตจะตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ สามารถสร้างบารมีได้สะดวก แต่ความคิดที่จะทำบุญกุศลก็ไม่เคยหายไปจากใจเลย
 
     ช่วงที่มหาอุบาสิกา วิสาขาแต่งงานใหม่ๆ ต้องย้ายไปอยู่ในตระกูลของพ่อสามี ซึ่งเป็นตระกูลมิจฉาทิฏฐิ และนางวิสาขา ถูกห้ามการทำบุญในพระพุทธศาสนานั้น แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีปัญญา จึงไม่ได้ตีโพยตีพาย อะไร  ยังคงทำหน้าที่ของตนเองไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จนเป็นที่ยอมรับของทุกๆ คน มี เพียงพ่อสามีเท่านั้นที่ไม่ยอมรับ กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่พ่อสามีกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ มีพระ เดินบิณฑบาตผ่านมา นางวิสาขาเหลือบสายตาไปพบ ก็นิมนต์พระให้ไปโปรดบ้านข้างหน้า เพราะ บ้านนี้เขาบริโภคของเก่า เมื่อพ่อสามีได้ยินดังนั้นนั้น ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ความหมายของนาง วิสาขาหมายถึง พ่อสามีใช้บุญเก่าไม่ยอมสร้างบุญใหม่ จนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวกันใหญ่โต ต้องอาศัย ตุลาการสมัยนั้นตัดสิน แต่ในที่สุดพ่อสามีก็เป็นฝ่ายแพ้และอนุญาตให้มหาอุบาสิกาวิสาขา สร้างมหา ทานบารมีได้ตามสะดวก ภายหลังพ่อสามีก็เกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย กระทั่งได้บรรลุเป็นพระ โสดาบันเช่นกัน
 
     เราจะเห็นว่า แม้จะ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างบารมี ผู้ที่ประกอบด้วยศรัทธาจริต ก็ยังคงขวนขวาย ทุกอย่างเพื่อสร้างบุญบารมี แม้บางครั้งจะต้องอาศัยเวลานานพอสมควร กว่าจะทำให้ผู้ที่ไม่เข้าใจเห็น ด้วย และแม้จะต้องเจออุปสรรคมากมาย แต่นักสร้างบารมีผู้มากด้วยศรัทธาก็ไม่หวั่นไหว ไม่คิด ท้อถอย ยังคงมุ่งหน้าสร้างบารมีต่อไป เราทั้งหลายก็อย่าได้หวั่นไหว ให้ตั้งใจสร้างบารมีกันให้เต็มที่ ครั้งนี้ยังอธิบายเรื่องจริตอัธยาศัยของคนได้ไม่หมดทุกหัวข้อ ไว้ศึกษากันต่อในครั้งต่อไป

 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหา มุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๘๙




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2555 16:56:05 น.
Counter : 1753 Pageviews.  

ทำอย่างไรจึงจะรวย สวย บริวารไม่ดื้อ ใช้แต่ของดี ไม่มีภัยอันตราย ?

แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
 
ทำอย่างไรจึงจะรวย สวย บริวารไม่ดื้อ ใช้แต่ของดี ไม่มีภัยอันตราย ?
 


ตอบ     ให้ทานด้วยความศรัทธา ก็จะรวย และมีรูปงาม
             ให้ทานด้วยความเคารพ  ก็จะรวย และมีบริวารที่เชื่อฟัง
             ให้ทานด้วยจิตอนุเคราะห์ (หมายถึง ให้ด้วยของประณีต) ก็จะรวย และยินดีใช้ของที่ประณีต และดีเลิศ
             ให้ทานโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ก็จะรวย และภัยใดๆ ไม่สามารถทำลายทรัพย์นั้นได้
    
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัปปุริสทานสูตร ดังนี้

สัปปุริสทานสูตร
ว่าด้วยทานของสัตบุรุษ 5 ประการ

[148] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน คือ สัตบุรุษ

    1. ย่อมให้ทานด้วยศรัทธา
    2. ย่อมให้ทานโดยเคารพ
    3. ย่อมให้ทานโดยกาลอันควร
    4. เป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน
    5. ย่อมให้ทานไม่กระทบตนและผู้อื่น
 


     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษครั้นให้ทานด้วยศรัทธาแล้ว ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปสวยงามน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงามยิ่งนัก ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล(บังเกิดขึ้น)

     ครั้นให้ทานโดยเคารพแล้ว ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีบุตร ภรรยา ทาส คนใช้หรือคนงาน เป็นผู้เชื่อฟัง เงี่ยโสตลงสดับคำสั่ง ตั้งใจใคร่รู้ ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล

     ครั้นให้ทานโดยกาลอันควรแล้ว ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และย่อมเป็นผู้มีความต้องการที่เกิดขึ้นตามกาลบริบูรณ์ ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล

     ครั้นเป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทานแล้ว ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีจิตน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ 5 (คือ ความสุขที่เกิดขึ้นจาก รูปสวย  เสียงเพราะ  กลิ่นหอม  รสอร่อย  สัมผัสอ่อนนุ่ม เย็นสบาย) สูงยิ่งขึ้น ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล

     ครั้นให้ทานไม่กระทบตนและผู้อื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และย่อมเป็นผู้มีโภคทรัพย์ (ที่)ไม่มีภยันตรายมาแต่ที่ไหน ๆ คือ (ภัย)จากไฟ (ภัย)จากน้ำ (ภัย)จากพระราชา (ภัย)จากโจร (ภัย)จากคนไม่เป็นที่รัก หรือ(ภัย)จากทายาท ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล

     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน 5 ประการนี้แล.
 
จบสัปปุริสทานสูตร


     จากพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2525 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต สัปปุริสทานสูตร เล่มที่ 36 หน้าที่ 314

    




 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2555 17:31:31 น.
Counter : 1803 Pageviews.  

ใจหยาบฟูเฟื่อง เพราะคำหยาบ





การพูดคำหยาบ มักเป็นคำพูดที่ไม่เป็นเรื่องหรือไร้สาระ คำหยาบเป็นเครื่องทำลายได้หลายอย่าง เช่นทำลายเสน่ห์ ในตัวผู้พูด ทำลายอำนาจในตัวผู้พูด และทำลายพงศ์เผ่าเหล่ากอของผู้พูด เพราะคำพูดถือว่าเป็มารยาทอย่างหนึ่ง ซึ่งปรุงแต่งมาจากจิตใจของผู้พูดย่อมแสดงให้คนอื่นได้รู้ว่าจิตใจของผู้พูดนั้น ต้องหยาบด้วย

ผู้พูดคำหยาบมักมีจิตใจหยาบเพราะ ความโกรธหรือลำพองฮึกเหิมจึงกล่าวคำหยาบออกมาได้ ยิ่งพูดหยาบบ่อยครั้งเท่าใด ใจที่หยาบก็จะเฟื่องขึ้นเท่านั้น



หนังสือ 68 คัมภีร์จีน
ภาพ @Single Mind for Peace




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2555 17:54:49 น.
Counter : 1747 Pageviews.  

แพทย์ โหร แม่มด ปราชญ์.......... [โคลงโลกนิติ]

โคลงโลกนิติ

ภาพโดย @Single Mind for Peace. Smiley

 

หมอแพทย์ทายว่าไข้........ลมคลุม

โหรว่าเคราะห์แรงรุม.......โทษให้

แม่มดว่าผีกุม..............ทำโทษ

ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้.......ก่อสร้างมาเองฯ




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2555 22:33:32 น.
Counter : 1918 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

อุ่นอาวรณ์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add อุ่นอาวรณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.