สร้างบุญอะไรดีกว่า ?
สำหรับผู้รักการสร้างบุญมักมีคำถามบ่อยๆ ว่า ทำอะไรได้บุญมากกว่ากัน ครั้นพอรู้ว่า ความดีนั้นได้บุญมากกว่าความดีนี้ บางท่านจึงกีดกันตนเองจากความดีประการที่เข้าใจว่าได้บุญน้อยกว่า เช่น ไม่ทำทานด้วยเหตุผลว่า สู้การรักษาศีลไม่ได้ หรือบอกว่า ทำไมต้องไปวัด เราอยู่ที่บ้านก็เจริญภาวนาได้ ซึ่งอันที่จริงความดีใดๆ ก็ดีทั้งสิ้นหากเราทำไปทุกๆบุญ ก็จะเกื้อหนุนส่งเสริมกันไปให้ถึงฝั่งได้ เปรียบเหมือน การเดินเรือข้ามฝั่งน้ำหากมีแต่เพียงเรือ ไม่มีพาย ก็ไปไม่ได้ แม้มีพายแต่ไม่มีเรี่ยวแรงพาย ก็ไปไม่ถึงฝั่งตรงข้าม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์สร้าบารมีอยู่ก็ทรงมีความสงสัยเช่นเดียวกันนี้ แต่เพราะทรงได้กัลยาณมิตรจึงทรงได้แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าเนมิราช วันหนึ่ง ทรงรักษาอุโบสถศีล ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่บนปราสาทในปัจฉิมยาม ทรงเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทานประเสริฐหรือพรหมจรรย์ประเสริฐกว่า พระโพธิสัตว์ไม่สามารถตัดความสงสัยของพระองค์ได้
ในขณะนั้น ภพของท้าวสักกะเกิดร้อนขึ้นมาท้าวสักกะทรงรำลึกถึงก็ทราบเหตุ ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ทรงวิตกอยู่อย่างนั้น จึงทรงดำริว่า เราจะตัดความสงสัยของพระโพธิสัตว์จึงเสด็จมาประทับอยู่ข้างหน้า พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? จึงทรงบอกว่า พระองค์เป็นเทวราช แล้วตรัสถามว่า มหาราช พระองค์ทรงดำริถึงอะไร? พระโพธิสัตว์จึงตรัสบอกความสงสัยนั้น ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงให้เห็นว่าพรหมจรรย์นั่นแหละประเสริฐที่สุด จึงตรัสชี้แจงว่า
บุคคลเกิดในตระกูลกษัตริย์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดเป็นเทวดา ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง บุคคลบริสุทธิ์ได้ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างสูง
เพราะพรหมจรรย์เหล่านี้มิใช่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ ด้วยการประกอบพิธีวิงวอนขอร้องอะไรๆบุคคลผู้ที่เกิดในหมู่พรหมได้ต้องออกบวชบำเพ็ญตบะ(อธิบายว่า เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปรารถนาเกิดในหมู่เทพอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างต่ำด้วยพรหมจรรย์อย่างต่ำนั้น บุคคลย่อมเกิดในเทวโลกตามที่ตนปรารถนา การที่ผู้มีศีลบริสุทธิ์ยังฌานสมาบัติ ๘ ให้เกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์ปานกลาง ด้วยพรหมจรรย์ปานกลางนั้นบุคคลย่อมเกิดในพรหมโลกส่วนผู้มีศีลบริสุทธิ์เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัตชื่อว่าพรหมจรรย์อย่างสูง บุคคลย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์สูงสุดนั้น)
สุดท้าย ท้าวสักกะได้ตรัสว่ามหาราช การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นั้นแหละมีผลมากกว่าทานร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า แต่ถึงแม้พรหมจรรย์จะมีผลมากกว่าทานก็จริง ถึงกระนั้นพระมหาบุรุษก็ควรทำทั้งสองอย่าง จงเป็นผู้ไม่ประมาทในทานและพรหมจรรย์ทั้งสองจงให้ทานและจงรักษาศีลเถิด ตรัสดังนี้ แล้วก็เสด็จกลับเทวโลก
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วก็ควรทำสองอย่าง ทำอย่างเต็มกำลังทั้งสองอย่างนั่นแล ถ้ากำลังใจเข้มแข็งก็รักษาพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไปจนตลอดชีวิต
ถ้าไม่ได้ดังนั้น ก็รักษาให้บริสุทธิ์เป็นช่วงๆ อย่างน้อยก็จะได้เป็นวาสนาบารมีติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า ส่วนทานก็ต้องทำอย่างเต็มกำลัง ไม่ใช่ทำตามกำลัง เพราะถ้าทำตามกำลังภพชาติต่อไป เวลารวยก็รวยตามกำลัง คือ รวยแบบขยักขย่อน เดี๋ยวรวย เดี๋ยวจนจะสร้างทานบารมีต่อก็ขัดสน จะประพฤติพรหมจรรย์ก็ไม่สะดวกมันติดขัดไปหมด สู้ทำให้เต็มที่จนติดเป็นอัธยาศัยทั้งสองอย่างเสียตั้งแต่ชาตินี้ ชาติต่อไปจะได้สะดวกสบายอะไรๆ ที่ดูเป็นเรื่องยาก มาถึงเราจะได้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ
ที่มา :หนังสือแรงบันดาลใจจากพระไตรปิฏก
Create Date : 08 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 8 สิงหาคม 2554 20:55:20 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1836 Pageviews. |
|
|
|
ถ้าทำทั้งสามอย่างคือ ทาน ศีล(ประพฤติพรหมจรรย์) และบำเพ็ญภาวนาให้ยิ่งๆขึ้นไป ย่อมไม่มีคำว่าตกต่ำอย่างแน่นอน