Group Blog
 
All Blogs
 

จุดสำคัญ ที่ผู้หญิงอยากให้สัมผัส

***

5 จุดสำคัญ ที่ผู้หญิงอยากให้สัมผัส



เมื่อพูดถึงความต้องการของผู้หญิงแล้ว สิ่งสำคัญที่พวกเธอปรารถนาจากผู้ชายอย่างเรา ๆ นอกเหนือจากความรัก การดูแลเอาใจใส่แล้ว "สัมผัสรัก" อันอบอุ่นของคุณก็เป็นสิ่งที่พวกเธอต้องการเช่นกัน ทั้งนี้ เราไม่ได้หมายความถึงเรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นที่คุณอาจเผลอมองข้ามไป วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะมาเผยจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ผู้หญิงอยากให้เราสัมผัสมาบอกให้ทราบ

1. เท้า

หลายคนอาจละเลยความสำคัญในเรื่องของเท้ากันไปพอสมควร ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นอวัยวะที่ใช้งานมากที่สุดส่วนหนึ่งเลยก็ว่าได้ หากคุณต้องการให้แฟนสาวของคุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเมื่อยล้าตลอดทั้งวัน ก็ช่วยนวดเท้าให้เธอสักหน่อยสิ คุณอาจนำน้ำมันนวดหรือโลชั่นมาช่วยบำรุงด้วยก็ได้ โดยเน้นบริเวณนิ้วเท้า ข้อเท้า และข้างเท้าให้มากเป็นพิเศษ รับรองเธอจะต้องฟินแน่นอน

2. ผม

ผู้หญิงชอบให้ผู้ชายสัมผัสผมหรือศีรษะ เพราะว่ามันทำให้พวกเธอรู้สึกว่าคุณทะนุถนอม และแสดงความอ่อนโยนต่อเธอน่ะสิ ขนาดผู้หญิงบางคนยังชอบจับผมตัวเองเล่นเลย แล้วทำไมถึงไม่อยากให้คนที่เธอรักสัมผัสล่ะ ไม่เชื่อก็ลองลูบไล้เส้นผมอันนุ่มสลวยของแฟนคุณดูสิ

5 จุดสำคัญ ที่ผู้หญิงอยากให้สัมผัส

3. ต้นคอ

อวัยวะส่วนนี้นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงอ่อนระทวยได้เหมือนกัน เนื่องจากเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึก ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายโดยการนวดเริ่มตั้งแต่บริเวณขมับ ไล่มาจนถึงต้นคออย่างนุ่มนวล และหากบังเอิ๊ญ บังเอิญ อยู่กันตามลำพังเพียงสองคนที่บ้าน คุณลองจูบบริเวณซอกคอของเธอเบา ๆ สักทีสองที ถ้าไม่เคลิ้มก็ให้มันรู้ไป!

4. ติ่งหู

ติ่งหู คือส่วนที่ไวต่อความรู้สึกจุดหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าคุณจะสัมผัสด้วยนิ้วมือหรืออยากให้สยิวขึ้นนิดนึงก็ลองจูบลงเบา ๆ ที่ติ่งหู จากนั้นก็ค่อยพรมจูบไปรอบ ๆ ใบหูด้วยความอ่อนโยน เชื่อเถอะ...ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบให้ผู้ชายสัมผัสบริเวณนี้จริง ๆ นะ หากไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองสิ

5. ต้นขา

เอ่อ...สำหรับข้อนี้อาจจะดูหวาดเสียวนิดหน่อย และคงเหมาะกับคู่สามีภรรยาที่ชอบกระเซ้าเย้าแหย่กันมากกว่า ทว่ามันเป็นจุดที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกสยิวกิ้วที่สุดเลยนะ เพียงแค่คุณลองเอามือมาลูบไล้ขาอ่อนของเธอ แล้วค่อย ๆ บรรจงนวดเพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย แต่จากนั้นจะอะไรยังไงต่อก็แล้วแต่คุณกับเธอแล้วกันน้าาา

นั่นแน่!! คราวนี้หนุ่ม ๆ ก็ได้ทราบกันไปแล้วว่ามีจุดไหนบ้างที่ผู้หญิงเขาอยากให้สัมผัส ต่อไปจะเอาอกเอาใจหรือคลอเคลียเธอยังไงก็คงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม จะแตะจะจับอะไรก็อย่าลืมนึกถึงความเหมาะสม และรู้จักให้เกียรติผู้หญิงกันด้วยนะ ในฐานะที่เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ;)


















 

Create Date : 01 สิงหาคม 2555    
Last Update : 1 สิงหาคม 2555 18:00:30 น.
Counter : 1073 Pageviews.  

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน


สูท ถือเป็นของจำเป็นอย่างหนึ่งที่ผู้ชายทุกคนควรมี เพราะนอกจากเอาไปใช้ใส่ออกงานสังคมต่าง ๆ ได้ดีแล้ว ยังช่วยเสริมบุคลิกของคุณให้ดูดีขึ้นทันตาเห็นอีกด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงจะมาแนะนำสูท 4 แบบที่ผู้ชายทุกคนควรมีติดตู้เสื้อผ้าที่บ้านไว้ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นก็ลองไปดูกันเลยครับ

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน

1. สูทลายทางแบบเรียบง่าย

ถ้าคุณอยากได้ลุคที่สุภาพเป็นมืออาชีพแต่ก็อยากให้ดูมีลูกเล่นแบบแฟชั่นอยู่ด้วย สูทลายทางก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคุณมากที่สุด เพราะดูสุขุมเหมาะกับใช้ใส่ในการประชุมสำคัญ ๆ แต่ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่จนจืดชืดมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อให้ดูดีที่สุด คุณควรเลือกใส่สูทลายทางแบบนี้ด้วยสีเข้ม ๆ และจับคู่กับเนคไทที่เข้ากัน พร้อมสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในด้วย เพียงเท่านี้ก็จะทำให้คุณดูโดดเด่นน่าเชื่อถือแบบที่ต้องการได้ง่าย ๆ แล้วล่ะ

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน

2. ทักซิโด้สุดหรู

สำหรับการออกงานกลางคืนหรือพบกับพ่อแม่ของแฟนแบบเป็นทางการในงานหรู ๆ เป็นครั้งแรก คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการใส่ทักซิโด้แน่นอน เพราะสูทแบบเป็นทางการนี้จะช่วยให้คุณดูมีเสน่ห์และมีรสนิยมขึ้นเป็นกอง จนสาว ๆ ในงานต้องมองตามเลยล่ะ นอกจากนี้ถ้ามีงานเลี้ยงของบริษัทก็อาจเลือกใส่สูทแบบนี้ไปมัดใจสาว ๆ ได้เช่นกัน

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน

3. แจ็คเก็ตผ้ากำมะหยี่

แจ็คเก็ตผ้ากำมะหยี่ ถือเป็นเสื้อนอกอีกตัวที่ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าสุด ๆ เพราะเป็นแบบที่ใช้ใส่ได้ทุกโอกาส ทั้งแบบเป็นทางการหรือการไปนั่งทานอาหารกับเพื่อน ๆ ซึ่งเสื้อนอกแบบนี้จะช่วยทำให้คุณดูสง่าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรใช้จับคู่กับกางเกงยีนส์สีเข้ม ๆ ในวันที่ออกไปดื่มกับเพื่อน ๆ เพื่อให้คุณดูโดดเด่นและไม่เป็นทางการมากจนเกินไป

สูท 4 แบบที่หนุ่ม ๆ ทุกคนควรมีติดไว้ที่บ้าน

4. คลาสสิคด้วยสูทแบบวินเทจ

ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ แต่สูทแนววินเทจก็ไม่เคยเอาท์แน่นอน เพราะยังคงเป็นที่นิยมอยู่ตลอดจากการที่ใส่ง่ายดูดีเหมาะกับทุกโอกาส ซึ่งสูทแบบนี้มักเป็นแบบที่มีทั้งกางเกงและเสื้อนอกเข้าชุดกันโดยทำจากขนสัตว์หรือโพลีเอสเตอร์ คุณจึงไม่ต้องคิดให้ปวดหัวเลยว่าจะใส่คู่กับอะไรดี แถมยังใช้ได้ทั้งแบบเป็นทางการหรือใส่ในวันสบาย ๆ ได้อีกด้วยนะ

ทั้งนี้หลังจากเลือกจับคู่สูทของคุณให้ออกมาดูลงตัวแล้ว ก็อย่าลืมเลือกรองเท้าให้เข้ากันด้วย เพราะถ้าแต่งตัวดีแล้วรองเท้าไม่เข้ากันก็คงทำให้คุณหมดหล่ออยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้นลองจับคู่สูทของคุณกับรองเท้าหนังดี ๆ สักคู่น่าจะเหมาะสมที่สุด


























 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2555 6:09:11 น.
Counter : 2261 Pageviews.  

เทคนิคการขจัดอีโก้ของตัวเองให้หมดไป

เทคนิคการขจัดอีโก้ของตัวเองให้หมดไป



เชื่อว่าภายในจิตใจของผู้ชายอย่างเรา ๆ ทุกคนต่างก็มี "อีโก้" (Ego) อยู่ในตัวเองกันแทบทั้งสิ้น แต่จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับระบบความคิดของแต่ละคน ซึ่งหลายครั้งที่ความเป็นคนมีอีโก้สูงนี่แหละ ที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวรู้สึกเอือมระอากับสิ่งที่คุณคิดและปฏิบัติได้ ฉะนั้น บางทีคุณก็ต้องลดความเป็นตัวของตัวเองออกไปบ้าง เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เอาเป็นว่าวันนี้เรามีเทคนิคการขจัดอีโก้แบบง่าย ๆ มาแนะนำให้ทราบกัน

อย่าคิดว่าทุก ๆ อย่างจะต้องสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด

          เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรามักคาดหวังอยากให้งานที่ตนเองรับผิดชอบนั้นออกมาดีที่สุด แต่ความเป็นจริงก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง โอเค...คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนทำงานได้อย่างเพอร์เฟคท์มาก จึงมีความคิดว่าเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องจะต้องทำได้ในระดับเดียวกัน ซึ่งทุกครั้งมันอาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ความผิดพลาด ความคิดที่แตกต่างของคนอื่น เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ทางที่ดีคุณควรจะทำความเข้าใจและยอมรับกับความไม่สมบูรณ์แบบในบางอย่างบ้างจะดีกว่านะ

หยุดความคิดที่ต้องการจ้องจะเอาชนะคนอื่น

          ความรู้สึกที่ติดตัวมากับผู้ชายแทบทุกคนนั้น คือ ความรู้สึกอยากเป็นผู้ชนะอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม มองในมุมหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะคอยกระตุ้นให้คุณมีไฟอยู่ตลอดเวลา แต่หากมีความคิดที่ชอบเอาชนะคนอื่นมากจนเกินไป ก็สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดที่ต้องทำงานร่วมกับคุณ เพราะแทนที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานกันออกมา แต่กลับกลายเป็นว่าคุณต้องการทำงานที่โดดเด่นเหนือใครเพียงคนเดียว เพื่อแสดงให้คนเห็นว่าคุณเก่ง ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ ลองเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดกับคนอื่นดูสิ แล้วคุณอาจพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นน่าพอใจกว่ามากเลยทีเดียว รวมทั้งยังได้ใจจากคนรอบข้างอีกต่างหาก

รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง

          การแสดงความเห็นอกเห็นใจแก่คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ สามารถช่วยลดอัตตาของตัวเองลงได้มากที่สุดวิธีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเวลาที่คุณให้ความช่วยเหลือหรือแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น จะทำให้คุณคิดถึงตัวเองน้อยลง แม้อาจไม่ใช่เรื่องอะไรที่สลักสำคัญนัก ทว่าก็ทำให้ผู้ที่ได้รับความเห็นใจจากคุณรู้สึกปลาบปลื้มในตัวคุณได้เช่นกัน

เทคนิคการขจัดอีโก้ของตัวเองให้หมดไป

ลดความอ่อนไหวของตัวเองลง

          อันที่จริงแล้วความอ่อนไหวก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยลดความแข็งกระด้างในตัวคุณให้ลดลง แต่ในกรณีที่มีมากจนเกินไปก็อาจส่งผลให้คุณกลายเป็นคนที่เอาแต่คิดถึงตัวเองมากขึ้น เนื่องจากคุณจะหวั่นไหวไปกับสิ่งที่คนพูดหรือคิดเกี่ยวกับคุณ จนทำให้ตัวเองเริ่มคิดไม่ดีกับคนอื่นทั้งที่บางทีผู้พูดไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างที่คิดก็ได้

พยายามเข้าอกเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้น

          ในบางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือไม่เป็นไปตามแผนที่คุณวางเป้าหมายไว้ แทนที่คุณจะโมโหเกรี้ยวกราด ตีโพยตีพายให้เสียเวลา ลองพยายามใจเย็น ๆ และทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลแทนจะดีกว่านะ ยังไงเสียทุก ๆ อย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ในที่สุด

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้หมายความว่าการเป็นคนที่มีอีโก้เป็นสิ่งผิดอะไร เพียงแต่คุณต้องรู้จักควบคุมไม่ให้แสดงออกมามากจนเกินไป เพราะนั้นอาจทำให้คนรอบข้างได้รับผลกระทบจากความคิดและพฤติกรรมของคุณด้วย ซึ่งคุณเองก็คงไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ กับคนแบบนี้มากเท่าไหร่หรอก จริงไหมครับ?











































 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2555 13:01:03 น.
Counter : 1141 Pageviews.  

เปลี่ยนความคิดพิชิตจิตตก

จิตตก

เปลี่ยนความคิดพิชิตจิตตก (Modern Mom)
เรื่อง : น้ำต้น

เคยไหมคะ รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เหนื่อยหน่ายกับชีวิตในแต่ละวัน ไม่มีกะจิตกะใจ อยากพบอยากเจอใคร หรืออยากทำอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความตีบตัน หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ หนักเข้าก็มองเห็นแต่จุดด้อยข้อเสียของตัวเองจนสูญเสียความเชื่อมั่นไปเลยก็มี

          บางครั้งบางคราวความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นตอนที่เราพลาดหวังกับบางสิ่ง เจอปัญหายืดเยื้อที่แก้ไม่ตก ความเครียดจากการงานและชีวิต หรือแม้แต่ความคิดด้านในของตัวเราเอง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร อย่าให้เวลากับอาการจิตตกแบบนี้อยู่กับเรายืดเยื้อยาวนาน จนบั่นทอนพลังกาย พลังใจพลังชีวิต ได้เวลาปลุกพลังชีวิตฉุดตัวเองขึ้นจากหลุมพรางความรู้สึกยอดแย่ ไปสู่คุณคนใหม่ที่สดใส มีพลังและมั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิม

          ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการนี้ ขอให้คุณเชื่อก่อนว่ามนุษย์เราทุกคนมีศักยภาพที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง สามารถฝึกหัดและพัฒนาได้ในเกือบทุกเรื่องรวมทั้งความคิดและมุมมอง แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ ความคิดติดยึด ไม่ยอมปรับเปลี่ยน และสุดท้ายเมื่อคุณเริ่มทำสิ่งเหล่านี้แล้ว จงทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะความรู้สึกแย่ ๆ มันเกิดขึ้น จากไปและย้อนวนกลับมาใหม่ได้เสมอ

จับจุดรู้ตัว

          เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกจิตตก ความท้อแท้ห่อเหี่ยวกำลังเข้าครอบงำ อย่าปล่อยใจให้ไหลไปตามความรู้สึก กระตุกตัวเองให้รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอยู่ จะด้วยการบอกในใจ หรือพูดออกมาให้ตัวเองได้ยินก็ได้... ฉันกำลังเศร้า หงุดหงิด โกรธ หยุดคิด ฯลฯ... แล้วสรรหาคำเรียกสติและพลังมาบอกกับตัวเอง เพื่อหยุดความรู้สึกนั้นไม่ให้ลุกลาม หรืออาจใช้วิธีการหายใจเข้าช่วย สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นับ 1 ถึง 4 เป็นจังหวะช้า ๆ 1, 2, 3,4 กลั้นหายใจไว้สักครู่ นับ 1 ถึง 4 เป็นจังหวะเดียวกับเมื่อหายใจเข้า แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก นับ 1 ถึง 8 อย่างช้า ๆ 1..2..3..4..5..6..7..8.. ระหว่างผ่อนลมหายใจให้รู้สึกว่า เรากำลังใช้ลมหายใจผลักดันความเครียดความรู้สึกแย่ ๆ ออกไปจากตัว ทั้ง 2 วิธีนี้คือการเบนความสนใจของคุณออกจากความรู้สึกด้านลบ

ปลุกพลังให้ตัวเอง

          เริ่มต้นจากการกระทำ ลองเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายประจำวัน จงนั่ง ยืน เดินอย่างผึ่งผายกระฉับกระเฉง ตื่นตัวและมั่นใจ ไม่ใช่ไหล่ห่อ คอตก หลังโก่ง ภาษากายเป็นด่านแรกของการเรียกความกระฉับเฉง ที่สำคัญ อย่าลืมยิ้มแย้มแจ่มใส

ต่อมาคือหมั่นพูดบวกให้กับตัวเอง เรียกชื่อตัวเอง และชื่นชมตัวเองด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สดใสมีพลัง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเองกลับคืนมา "ฉันทำได้ ฉันเก่ง ฉันมีดี... ฯลฯ" เลิกคิด เลิกโทษ หรือบอกว่าตัวเองแย่ ทำไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง ฯลฯ เพราะถ้าคุณคิดอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้น We are what we think as we think so we become

ตกใจ

มองมุมบวกสร้างอารมณ์บวก

          ความคิดมีอิทธิพลกับอารมณ์และความรู้สึก และอารมณ์ความรู้สึกก็มีผลกับการกระทำ ลองถ้าเรามูดดี้ซะแล้วจะทำอะไร คิดอะไรก็คงทำได้ไม่ดีนัก เผลอ ๆ จะพาลไม่อยากทำเอาซะด้วย ในทางตรงกันข้าม ความคิดที่ดี ๆ มีพลังดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา ถ้าเริ่มต้นเช้าด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่รถดันสตาร์ทไม่ติด ระหว่างเดินทางไปทำงาน ก็อารมณ์เสียกับรถติด หน้าตาบูดบึ้งเดินเข้าออฟฟิศด้วยความคิดที่ว่าวันนี้ทำไมซวยจริง ๆ และสารพัดคำบ่นระบาย เพื่อนร่วมงานคนไหนจะอยากเข้ามาพูดคุยด้วย และวันนั้นทั้งวันคุณจะทำงานอย่างมีความสุขงั้นหรือ

มองและชื่นชมในสิ่งที่มี

          สิ่งดี ๆ มีอยู่รอบตัวมากมาย ถ้าเรามองหาเราก็จะมองเห็น เริ่มต้นด้วยขอบคุณจากสิ่งใกล้ตัว ขอบคุณร่างกายที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ ขอบคุณที่เรามีสติปัญญาที่ดี มีงานดี ๆ ทำ ขอบคุณที่มีเพื่อนที่ดี ฯลฯ ถ้าเราทำแบบนี้บ่อย ๆ จะพบว่าเรามีสิ่งดี ๆ ในชีวิตมากมาย เราจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์จากภายใน และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี ผู้คนรอบข้าง รวมถึงเห็นคุณค่าในตัวเอง ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าเราเองก็มีคุณค่า มีความพร้อมและมีสิ่งดี ๆ ในชีวิต มองชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น

ทบทวนตัวเอง

ใช้ช่วงเวลาผ่อนคลายสำรวจตัวเอง ว่าเรามีเป้าหมาย มีความฝัน มีความปรารถนาอะไรในชีวิต จินตนาการให้เห็นถึงบรรยากาศเหมือนกับว่าความปรารถนานั้นกำลังเกิดขึ้นตอนนี้ มีความสุขและอิ่มเอมกับมัน จากนั้นก็กลับสู่โลกความเป็นจริง ทบทวนดูว่าตอนนี้เราได้ทำความปรารถนานั้นไปถึงไหนแล้ว

          ขณะเดียวกันก็สำรวจตัวเองว่า มีจุดดี จุดด้อย จุดเด่น อะไรบ้าง จะปรับจุดด้อยให้ดีขึ้นได้อย่างไร และใช้จุดเด่นนั้นอย่างไร เพื่อให้บรรยากาศที่เราเพิ่งจินตนาการเกิดขึ้นจริง ๆ เขียนสิ่งเหล่านั้นออกมา วิธีนี้คือการทบทวนชีวิตตัวเอง และเตือนสติให้เราดำเนินชีวิต แต่ละวันไปอย่างมีเป้าหมายและมีความหวัง แต่เป้าหมายหรือความปรารถนานั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ไกลเกินเอื้อม

เคล็ดลับ

ลงมือ+จดจ่อ

เมื่อคิดที่จะทำอะไรจงลงมือทำ อย่าได้แต่คิดหรือพูดเท่านั้น อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น อย่ากลัวผิดพลาด เพราะถ้าไม่เริ่มต้นก็จะไม่มีวันรู้ว่าทำได้หรือเปล่า ทำได้ดีแค่ไหน และมันเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าคุณเริ่มทำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีทั้งความสำเร็จ ความผิดพลาด ซึ่งมันอาจเป็นประสบการณ์ที่ดีก็ได้

          อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความไม่รู้ อย่างน้อยถ้าผิดพลาดคุณก็ยังพอรู้ว่า ถ้าจะไม่ให้มันผิดพลาดเช่นนี้ควรทำยังไง หรือบอกได้อย่างมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะกับเรา และเมื่อตัดสินใจทำแล้วจงทำอย่างตั้งใจ รวมพลังความคิดและสมาธิอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังกับอดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว และอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง แล้วผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว

ฉลองความสำเร็จให้ตัวเอง

          สังเกตสิคะ เวลาที่นักฟุตบอลทำประตูได้เขามีสารพัดท่าทางให้เราได้เห็น นั่นเป็นวิธีฉลองความสำเร็จให้กับตัวเองแบบง่าย ๆ ซึ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอกับทุก ๆ ความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามพร้อมกับบอกตัวเองว่า "ฉันทำได้" ส่วนจะใช้ท่าฉลองอย่างไรนั้นอยู่ที่ความชอบส่วนตัวค่ะ แต่ที่ง่ายที่สุดก็กำหมัดกระชากข้อศอกเข้าหาตัวพร้อมกับพูดว่า YES ! อย่างที่เคยเห็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจทำ




















 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 5:22:27 น.
Counter : 879 Pageviews.  

ป๊อปอายพูดถูก! วิจัยเผยผักโขมช่วยเพิ่มความกำยำได้จริง

ผักโขม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ใครที่รู้จักหรือเคยดูการ์ตูนยอดนิยมอย่าง ป๊อปอาย (Popeye) คงจะทราบกันดีว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย เขาจะคว้า "ผักโขม" มากินทันที และกลายเป็นคนมีกำลังวังชาขึ้นมาทันตาเห็น จนกระทั่งวันนี้ ทฤษฎีของป๊อปอายสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า เจ้าผักโขมช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อได้จริง ๆ น่ะสิ!

ผลการศึกษาเรื่องประโยชน์ของผักโขม มาจากการค้นคว้าของกลุ่มนักวิจัยสถาบันคาโรลินสก้า ในเมืองสต็อคโฮม ประเทศสวีเดน ซึ่งผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสารไนเตรทที่มีอยู่ในผักโขม และผักชนิดอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นได้จริง โดยผลการศึกษาดังกล่าว จะถูกนำไปตีพิมพ์ลงในวารสารเกี่ยวกับด้านสรีรวิทยาอีกด้วย

         ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยได้ทดลองใส่สารไนเตรทลงไปในน้ำดื่มของหนูทดลองเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยหนูกลุ่มแรกได้ดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของไนเตรท ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้ผสมไนเตรทลงไปในน้ำดื่ม หลังจากเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ เมื่อมาสำรวจกลุ่มหนูทดลองอีกครั้ง ปรากฏว่ากลุ่มแรกที่ดื่มน้ำผสมไนเตรทเข้าไปมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าเดิม

ผักโขม

ทางด้านนายอันเดรส เฮอนานเดซ หนึ่งในทีมนักวิจัยออกมากล่าวว่า ปริมาณสารไนเตรทที่หนูทดลองดื่มเข้าไปเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งนั้น มีปริมาณเทียบเท่ากับที่มนุษย์ทานผักโขมราววันละ 200 - 250 กรัม ซึ่งมันเป็นปริมาณที่ไม่มากเลย สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อ และยิ่งถ้าออกกำลังกายไปด้วย รับรองว่าจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน

         นอกจากนี้ นายอันเดรสและทีมงานยังค้นพบเรื่องน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้อาจนำไปสู่การค้นพบวิธีการรักษาผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแอ กล้ามเนื้อตาย รวมทั้งริ้วรอยอันเกิดจากอายุที่มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ทางทีมงานมีจุดประสงค์ที่จะทำการศึกษาสารไนเตรทที่อยู่ในผักโขมกับหนูทดลองอีกสัก 2 - 3 ครั้ง และหากมีผลที่น่าพอใจ ก็หวังว่าจะได้ลองไปศึกษาต่อกับมนุษย์ดูอีกทีในอนาคต


















 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2555 7:02:36 น.
Counter : 958 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

bestjingjai1
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add bestjingjai1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.