Group Blog
 
All Blogs
 

5 เรื่องจริง ที่ผู้หญิงปิดเป็นความลับ


ผู้หญิง








เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



            ผู้หญิงเป็นเพศที่ถูกบอกว่าช่างพูดช่างเมาท์ บอกอะไรไปก็เก็บเป็นความลับไม่ค่อยได้ เรื่องส่วนตัวเธอก็สามารถเอามาพูดคุยได้เหมือนเรื่องทั่ว ๆ ไปเสียอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วผู้หญิงเองก็มีเรื่องบางอย่างที่เก็บงำไว้เป็นความลับเหมือน กันนะ ลองมาดูสิว่ามีอะไรกันบ้าง



       กลัวการผูกมัด





            เป็นเรื่องจริงที่พูดกันจนฝังหัวไปแล้วว่า "ผู้ชายกลัวการผูกมัด" ซึ่งมาพร้อม ๆ กับความเชื่อแนว ๆ เดียวกันในทางตรงกันข้ามว่า "ผู้หญิงชอบนักแหละเรื่องการผูกมัด การเป็นเจ้าของ" ..แต่จะบอกให้นะ ว่าความจริงแล้วผู้หญิงเองก็กลัวการผูกมัดไปไม่น้อยกว่าคุณผู้ชายหรอก เพียงแต่วิธีที่เธอพยายามจะจัดการและทำความเข้าใจมันดูผิดไปหน่อยเท่านั้น เอง (อย่างพยายามจัดการมันด้วยการทำตัวเป็นเจ้าของคุณผู้ชายนั่นไง - -")



       ห้ามพูดเรื่องน้ำหนัก





            นอกจากเรื่องอายุแล้ว ก็ยังมีเรื่องน้ำหนักที่นับว่าเป็นหัวข้อสนทนาต้องห้าม ที่ห้ามหลุดปากคุยกับคุณผู้หญิงเด็ดขาด เธอถือว่ามันเป็นความลับสุดยอดไม่คิดจะบอกใครแม้แต่กับคนรักก็เถอะ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เธอขาดความมั่นใจ และรู้สึกว่าตกอยู่ในสถานการณ์ขาดความมั่นคงอันเนื่องจากคำวิพากษ์วิจารณ์ ต่าง ๆ นั่นเอง (ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อ้วนมากมายก็เถอะ)



       ผมธรรมชาติ ..สีจริงที่ต้องซ่อน





            เรื่องของผม เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณผู้หญิงไม่ค่อยจะเปิดเผยกับใครเท่าไหร่ ยิ่งสาวไทยเวลาเจอแบบสอบถามว่ามีผมสีอะไร คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้มักจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม(ทั้ง ๆ ที่ผมจริงออกจะดำสนิทอย่างนั้น) และหากเป็นสาวที่ทำสีผมคุณจะได้เห็นเลยว่าผมเธอทำสีแทบตลอดทั้งปี จนนึกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่าหน้าตาเธอกับสีผมแบบธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร



       เกลียดรองเท้าส้นสูง





            แม้จะเห็นว่าสาว ๆ ช่างแต่งตัวส่วนใหญ่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงกันเหลือเกิน บางทีทั้ง 5 วันทำงาน เธอใส่ได้แบบไม่ซ้ำคู่ ไม่ซ้ำลายกันเลยทีเดียว แต่ความจริงแล้ว ผู้หญิงก็ไม่ได้โปรดปรานรองเท้าส้นสูงมากเท่าไหร่หรอกนะ เดินก็ยาก ใส่นานก็ปวดเท้า ..ถ้าไม่ติดว่าใส่แล้วสวยก็ไม่เอาหรอก ฮึ!



       ผู้หญิงน้อยคนจะถึงจุดสุดยอดจริง ๆ





            หากได้เปิดอกคุยแบบหมดเปลือกตามประสาผู้หญิงจริง ๆ แล้วล่ะก็ จะพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่เคยไปถึงจุดสุดยอดกับเรื่องบนเตียงด้วยฝีมือของ คุณผู้ชายเลย แต่ที่ร้องอือ ๆ อา ๆ และทำท่าเหมือนว่าเสร็จนั้นก็เพื่อเอาใจคนรักต่างหาก ไม่อยากให้เขาขาดความมั่นใจ และก็ไม่อยากให้เรื่องความสัมพันธ์มีปัญหาด้วย เฮ้ออ เรื่องแบบนี้มันพูดยากจริง ๆ นะ





          เอ้า ข้อไหนจริงเท็จประการใด สาว ๆ ช่วยออกมาชี้แจงกันหน่อยจ้า

























 

Create Date : 15 มีนาคม 2555    
Last Update : 15 มีนาคม 2555 2:42:46 น.
Counter : 681 Pageviews.  

เผยภาพสาวรัสเซียน้ำหนักเพียง 20 กิโลกรัม


ซาเนีย บูเบนโก

ซาเนีย บูเบนโก



ซาเนีย บูเบนโก

ซาเนีย บูเบนโก



 




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก chinadaily.com.cn





          เราเชื่อว่า หญิงสาวทุกคนอยากผอม หุ่นดี ปราดเปรียว เพื่อที่จะใส่เสื้อผ้าสวย ๆ และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองทั้งนั้น ทำให้กระแสสาวผอมเพรียว ฮิตติดลมบนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ทำให้มีสาว ๆ หลายคน ที่สรรหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะให้ตนเองผอมมากที่สุด แต่ถ้าสาว ๆ ได้เห็นภาพของหญิงรัสเซียคนนหนึ่ง ที่เสพติดความผอม จนน้ำหนักเหลือเพียงแค่ 20 กิโลกรัม และดูคล้ายกับคนมีแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว สาว ๆ อาจจะเปลี่ยนใจกลับมาอยากอ้วนก็เป็นได้



          หญิงสาวที่กล่าวถึงก็คือ ซาเนีย บูเบนโก สาวรัสเซียวัย 20 ปี เธอมีความสูง 158 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 20 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน เธอพยายามที่จะทำลายสถิติ และประกาศว่า เธอจะเป็นผู้หญิงผอมที่สวยที่สุดในโลก จากนั้น เธอก็เริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง และเริ่มคิดสูตรอาหารหลายชนิดที่ทำให้น้ำหนักลด



          จากความอยาก กลายมาเป็นความหมกมุ่น เมื่อซาเนีย เริ่มหมกมุ่นกับความผอม และผลลัพธ์ที่ออกมา ทำให้เธอเป็นโรคอะนอเร็กเซียขั้นรุนแรง และตัวเธอเอง ก็ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักของตัวเองได้อีกต่อไป









ซาเนีย บูเบนโก

ซาเนีย บูเบนโก

 


          นอกเหนือจากโรคอะนอเร็กเซียขั้นรุนแรงแล้ว แพทย์เชื่อว่า เธออาจจะทนทุกข์ทรมานจากการที่ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ มีโรคนิ่วในไตและทางเดินปัสสวะ และมีความเครียดสะสม อย่างไรก็ตาม จากภาพที่เห็นแล้ว ก็ดูเหมือนเธอจะมีความสุขกับชีวิตดี



          ทั้งนี้ ซาเนียมีสูตรลดน้ำหนักที่ตั้งชื่อว่า วิคตอรี่ แต่เธอเองปฏิเสธที่จะเปิดเผยสูตรนั้น และมีบางรายงานระบุว่า โมเดลลิ่งนางแบบบางที่ ก็สนใจในตัวเธอด้วยเช่นกัน



          ดูภาพแล้ว สาว ๆ ก็ตัดสินกันเอาเองแล้วกัน ว่าอยากผอมแบบนี้ หรืออยากสุขภาพดีแบบมีน้ำมีนวล....

























 

Create Date : 15 มีนาคม 2555    
Last Update : 15 มีนาคม 2555 2:39:10 น.
Counter : 1900 Pageviews.  

ทารกแรกเกิดตัวโตที่สุดในอังกฤษ 5.5 กิโลกรัม








หนักแรกเกิด5.5กิโลกรัม ทารกตัวโตที่สุดในอังกฤษ (ไทยโพสต์)

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก whatsondalian.com



          หนูน้อยในอังกฤษมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 5.5 กิโลกรัม นับเป็นทารกที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุดของประเทศ



          ซูซี โซวสกี มีฟันขึ้นแล้ว 2 ซี่ และสวมเสื้อผ้าสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมีอายุแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้น คุณแม่ของเด็กหญิง เกมมา ทีเวนเดล อายุ 26 ปี ได้คลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ใช้เวลาแค่ 44 นาที และไม่ต้องเย็บแผลแต่อย่างใด เธอบอกว่า ในช่วงตั้งท้อง ตัวเองกินปลาเยอะมาก นั่นอาจทำให้ลูกในครรภ์ตัวโตเป็นพิเศษ



          "ฉันกินปลาสัปดาห์ละ 4 มื้อ ส่วนใหญ่เป็นปลาทูน่าหรือปลาแซลมอนรมควัน" เธอบอก



          "ก่อนคลอดคุณหมอบอกว่าลูกจะออกมาตัวใหญ่มาก คงหนักราว 4.5 กิโลกรัม แต่พอได้เห็นเธอหนักถึง 5.5 กิโลกรัม คุณหมอนึกว่าตาชั่งคงจะเสีย"



          ซู ซีมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กแรกเกิดถึงเท่าตัว คุณแม่ได้เลี้ยงหนูน้อยด้วยนมแม่ แต่ยายหนูหิวบ่อยมาก จึงต้องให้นมขวดเสริมด้วย ลูกของเธอ 2 คนล้วนคลอดออกมาตัวโตทั้งคู่ ลูกชายชื่อ วินเซนต์ ตอนนี้อายุ 6 ขวบ มีน้ำหนักแรกเกิด 4.5 กก. ขณะลูกสาว ไวโอเล็ต ตอนนี้อายุ 4 ขวบ หนัก 5 กก. แต่ตัวเธอกับพ่อของซูซี เจมส์ โซวสกี วัย 25 มีน้ำหนักแรกเกิดเป็นปกติ



          ก่อนหน้าซูซี ทารกแรกเกิดที่ตัวโตที่สุดในอังกฤษหนักน้อยกว่าซูซีเล็กน้อย คลอดด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้องเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

























 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 13 มีนาคม 2555 3:53:07 น.
Counter : 756 Pageviews.  

ยาตีกันอันตราย



ยา




ยาตีกันอันตราย (หมอชาวบ้าน)

โดย ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ



ยาตีกัน คืออะไร ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?



          รู้ไหมว่า ยิ่งใช้ยามากชนิด ก็จะยิ่งเพิ่มยาตีกัน เนื่องจากทุกวันนี้มียาให้เลือกใช้มากกว่าในอดีตเป็นอันมาก ชนิดของยานับวันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีทางเลือกให้แพทย์ได้สั่งจ่ายยาที่มีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับผู้ ป่วยมากขึ้น ทั้งยังครอบคลุมการรักษาโรคให้กว้างยิ่งขึ้น



          ท่ามกลางการค้นพบยาใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็มีโอกาสใช้ยาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นหลายโรค ก็ต้องใช้ยามากชนิดขึ้นตามอาการของโรคที่เป็นทำให้มีแนวโน้มว่าคนจะมีการใช้ ยากันมากขึ้น



          การที่ ต้องใช้ยาหลายชนิดในคราวเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป็นปัญหาอยู่นั้น อาจจะส่งผลให้ยาที่ใช้อยู่นั้นเกิด "ผลต่อกันได้" ซึ่งอาจจะเป็นคุณหรือโทษต่อผู้ใช้ยาก็ได้ และเราเรียกผลของยาชนิดที่หนึ่งที่ไปส่งผลต่อยาอีกชนิดหนึ่งนี้ว่า "ยาตีกัน"



          คำว่า "ยาตีกัน" มาจากภาษาอังกฤษว่า druginteraction ซึ่งถ้าแปลตรงตัวจะได้ความว่า ปฏิกิริยาระหว่างยา ในที่นี้ขอเรียกให้เข้าใจตรงกันง่าย ๆ ว่า "ยาตีกัน"



ยาตีกัน มีทั้งคุณและโทษ



          เมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อกัน หรือยาตีกัน ซึ่งจะส่งผลบวกหรือลบต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยด้านบวกหรือคุณ ก็จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ของยา ช่วยให้ลดขนาดของยาที่ใช้ลงได้ หรือเมื่อเกิดยาตีกันแล้วทำให้ได้ผลการรักษาดีขึ้น



          ขอยกตัวอย่างเช่น การใช้ยาเพนิซิลลิน (ยาปฏิชีวนะ) ร่วมกับยาโพรเบเนซิด (ยารักษาโรคเกาต์) จะเกิด "ยาตีกัน" ขึ้น และทำให้ยาเพนิซิลลินถูกขับออกจากร่างกายได้ช้าลง เป็นผลให้ระดับยาเพนิซิลลินสูงขึ้น และอยู่ในร่างกายได้นาน เสมือนกับมีการยืดระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาให้นานยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องให้ยาในขนาดที่สูง ๆ และ/หรือไม่ต้องให้ยาบ่อย ๆ เป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้ยา และลดค่าใช้จ่ายของยา พร้อมกับคงประสิทธิภาพของยาได้เหมือนเดิมอีกด้วย



"ยาตีกัน" มักจะทำให้เกิดโทษมากกว่า



          แต่ ในทางตรงกันข้าม ยาตีกันชนิดที่ทำให้เกิดโทษ ซึ่งเป็นปัญหาจากการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เป็นปัญหาที่พบบ่อย ก่อให้เกิดความสูญเสีย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เป็นอันมาก ฉบับนี้ขอยกตัวอย่างยาตีกันที่พบบ่อยและทำให้เกิดโทษหรืออันตรายต่อผู้ใช้ยา ดังนี้



          1.การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้

          2.การใช้ยาลดไขมันในเลือด กลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซิน อาจพาลให้ไตวาย

          3.การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ในโรคเบาหวานกับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้

         







ยา




ยาเม็ดคุมกำเนิด + ยาอะม็อกซีซิลลิน



          การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้



          ตัวอย่างที่ 1 นี้ต้องขอยกให้กับคุณผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีแฟนแล้วทุกคน เพราะว่าระหว่างที่คุณกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำทุกวันนั้น ก็ด้วยความหวังที่จะใช้ชีวิตครอบครัวตามปกติ และยังไม่ประสงค์ที่จะมีบุตร จึงต้องกินยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นประจำต่อเนื่องเป็นแรมเดือน แรมปี แต่ถ้าระหว่างนั้นมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin) ซึ่งเป็นยารักษาอาการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอร่วมด้วย เมื่อยาทั้ง 2 ชนิดมาเจอกัน ก็จะเกิดการตีกันของยาได้



          โดย ยาอะม็อกซีซิลลินจะไปมีผลต่อเชื้อจุลชีพที่อยู่ในทางเดินอาหาร ส่งผลรบกวนการดูดซึมของยาเม็ดคุมกำเนิดในทางเดินอาหาร ทำให้ปริมาณยาคุมกำเนิดที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ลดน้อยลง เมื่อปริมาณยาคุมกำเนิดในเลือดลดน้อยลงกว่าปกติ ก็จะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดน้อยลงด้วย จนอาจทำให้ล้มเหลว ไม่ได้ผลในการคุมกำเนิด และเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้



          กรณีนี้ อาจสังเกตด้วยตนเองได้ว่า ขณะนี้ระดับยาคุมกำเนิดในเลือดลดต่ำลง เพราะจะมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ ดังนั้น คุณผู้หญิงที่กำลังอยู่ในระหว่างการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดและมีความจำเป็นต้อง ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จึงขอแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดประเภทอื่นร่วมด้วย (เช่น การใช้ถุงยางอนามัย) เพื่อช่วยให้คงการคุมกำเนิดได้ระหว่างที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน จนกระทั่งหยุดใช้ยาไปแล้ว 1 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะตั้งครรภ์ได้







ยาตีกัน




ยาลดไขมันในเลือด + ยาอีริโทรไมซิน



          การใช้ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซินอาจพาลให้ไตวายได้



          ตัวอย่างที่ 1 แค่คุมกำเนิดไม่ได้ผล ทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่คาดฝัน และต้องเลี้ยงดูบุตรไปจนโต แต่ตัวอย่างที่ 2 ของยาตีกันนี้ ทำให้เกิดโรคไตวายได้ เรียกว่าเกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้ยา และรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ เพราะโรคไตวายนี้มีอาจารย์แพทย์บางท่านจะผวนคำว่า "ตายไว" และนิยมพูดกันเล่นๆ ว่า "ไตวาย ทำให้ตายไว"



          ยาตีกันดังตัวอย่างที่ 2 นี้ก็เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (statins) ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น ซิมวาสแตติน (simvastatin) อะโทรวาสแตติน (atrovastatin) โลวาสแตติน (lovastatin) เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า ชื่อยากลุ่มนี้จะลงท้ายว่า "สแตติน" ทุกตัว จึงเรียกกันติดปากว่า กลุ่มสแตติน



          ยากลุ่มสแตตินนี้นิยมจ่ายให้กับผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง และจะต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อควบคุมลดปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่เป็นปกติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้ยอดจำหน่ายยากลุ่มนี้ติดอันดับหนึ่งสูงกว่ายากลุ่มอื่น ๆ ติดต่อกันหลายปีทีเดียว



          แต่ เมื่อไหร่ที่มีการใช้ยาอีริโทรไมซิน (erythromycin) ร่วมกับยากลุ่มสแตติน ยาอีริโทรไมซินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในผู้ที่แพ้ยาเพนิ ซิลลิน เมื่อยากลุ่มสแตตินมาพบกับยาอีริโทรไมซิน ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน หรือเกิดยาตีกัน



          กรณีนี้ ยาอีริโทรไมซินจะไปยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ทำให้ปริมาณยาสแตตินไม่ถูกทำลายตามปกติ และคงอยู่ในร่างกายนานพร้อมทั้งมีปริมาณมากขึ้น และมีการสะสมตัวยากลุ่มสแตตินในเลือดมากขึ้น จนทำให้เกิดพิษ โดยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบ และเป็นพิษต่อไตได้



          ดัง นั้น ตัวอย่างที่ 2 นี้เป็นตัวอย่างของยาตีกันที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกันซึ่งแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเปลี่ยนจากยาอีริโทรไมซินไปใช้ยา ชนิดอื่นแทน หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มสแตตินอื่นที่ไม่เกิดผลต่อยาอีริโทรไมซิน เช่น ฟลูวาสแตติน (fluvastatin) พราวาสแตติน (pravastatin) เป็นต้น



          นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มสแตตินอยู่ก็จะต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติของตนเองด้วย โดยเฉพาะอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น









ยาตีกัน






ยาลดน้ำตาลในเลือด + ยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด



          การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน กับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้



          ตัวอย่างที่ 3 เป็นกรณีของผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylureas) เช่น ไกลเบนคลาไมด์ (glibencalmide) คลอโพรพาไมด์ (chlorpropamide) เป็นต้น



          ยากลุ่ม นี้มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งก็ทำนองเดียวกันกับ 2 ตัวอย่างแรกที่จะต้องใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานาน ๆ จะไปทำลายระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ตาฝ้าฟาง และเป็นโรคไตได้



          ถ้าผู้ป่วยได้รับยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อและกล้ามเนื้อกลุ่มที่เรียกว่า เอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนก (diclofenac) ไพร็อกซิแคม (piroxicam) ยากลุ่มเอ็นเสด เมื่อเจอกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย ก็จะเกิดการตีกันของยาโดยยาเอ็นเสดจะส่งผลให้ปริมาญากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียใน เลือดเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้ฤทธิ์การลดน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้นตาม จนอาจไม่มีน้ำตาลเหลืออยู่ในเลือดเลย ผู้ป่วยก็อาจจะมีอาการอ่อนแรง เป็นลม หมดสติ และช็อกได้



          กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 2 ที่จะต้องระวังตัวไม่ควรใช้ยากลุ่มเอ็นเสดร่วมกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย เพื่อไม่ให้เกิดการตีกันของยา และทางที่ดีควรติดตามวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือลดขนาดของยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียลงให้เหมาะสมระหว่างที่มีการใช้ยากลุ่ม เอ็นเสดร่วมด้วย



สมุดบันทึกยา : วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันยาตีกัน



          จากทั้ง 3 ตัวอย่างของ 3 คู่ของยาตีกัน ที่อาจส่งผลต่อการรักษา และ/หรือทำให้เกิดพิษ เกิดอันตรายจากการใช้ยาได้ ในที่นี้ขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการช่วยป้องกันยาตีกัน ก็คือสมุดบันทึกยา



          สมุด บันทึกยาหรือบันทึกรายการยา ใช้บันทึกรายชื่อยาทั้งหมด ทั้งที่ใช้ประจำ และนาน ๆ ใช้ครั้งหนึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน เกลือแร่ และสมุนไพรด้วย โดยนำรายชื่อยาและสารอื่น ๆ เหล่านี้ไปปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร ว่าจะมีโอกาสเกิดยาตีกันหรือไม่ จะได้เฝ้าระวัง ป้องกัน และหลีกเลี่ยงตามลักษณะเฉพาะของยาแต่ละคู่แต่ละประเภท



          กรณีที่จะไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อรักษาโรคก็ขอเสนอให้พกสมุดบันทึกยา (หรือบันทึกรายการยา) ไปด้วยเสมอ และควรแสดงให้กับแพทย์ที่ตรวจรักษาได้รับรู้ และ/หรือแสดงให้เภสัชกรที่จ่ายยาได้ทราบ เพื่อจะจ่ายยาให้เหมาะสมไม่เกิดการตีกัน







ยาตีกัน




ข้อแนะนำการใช้ยา



          1.ก่อนใช้ยา ควรอ่านฉลากยาอย่างละเอียด และไม่ควรกินยาของคนอื่น การไม่อ่านฉลากยา และใช้ยาผิดอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้



          2.การกินยาหลังอาหาร หมายถึง กินยาหลังอาหารทันที ไม่จำเป็นต้องรอเวลา (30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง)



          3.ยาส่วนใหญ่จะระบุให้กินหลังอาหารเพื่อให้จำง่าย ซึ่งผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีภารกิจเร่งรีบจนไม่มีเวลากินอาหารตามมื้อควรกิน ยาในเวลาเดียวกันเป็นประจำ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการกินอาหาร เพื่อผลในการควบคุมโรค เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาขับปัสสาวะ ที่ต้องกินตรงเวลาทุกเช้า



          4.ยาบางชนิดจำเป็นต้องกินหลังอาหารทันทีหรือพร้อมอาหาร เนื่องจากมีฤทธิ์กัดกระเพาะ ดัง นั้น หากถึงเวลากินยาก็จำเป็นต้องกินอาหารรองท้องไว้ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากยากัดกระเพาะจนอาจเป็นแผลเลือดออก ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการงดยา เพราะจะทำให้ควบคุมอาการของโรคไม่ได้



          5.ยาที่ต้องกินก่อนอาหาร หมายถึง กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงขึ้นไป (30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง) เนื่องจากอาหารจะลดการดูดซึมของยา หรือเพื่อให้ยาออกฤทธิ์บรรเทาอาการได้ในเวลากินอาหาร เช่น ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนหากลืมกินยา และกินอาหารไปแล้ว ให้กินยาหลังอาหารมื้อนั้น 1 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้ท้องว่าง แต่ต้องระวังว่าเวลาที่กินอาหารจะไม่ใกล้กับยาในมื้อถัดไป



          6.ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องกินยาก่อนอาหารเป็นนาที ถึงครึ่งชั่วโมง แล้วแต่ชนิดของยา เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจากการกินอาหาร จึงจำเป็นต้องกินอาหารหลังกินยาทุกครั้ง มิฉะนั้นจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้หน้ามืด วิงเวียน เป็นลม และในทางกลับกัน หากงดยาเองเพราะไม่อยากกินอาหารก็อาจทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น



          7.การ กินยามีความสำคัญ ผู้ป่วยที่ไม่มั่นใจในการกินยาควรปรึกษาเภสัชกรที่ห้องจ่ายยาโรงพยาบาลหรือ ร้านยาทุกครั้ง เพื่อให้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัย เภสัชกรสามารถจัดตารางการกินยาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำ วันของผู้ป่วย หรือแม้แต่ประสานกับแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่ต้องกินวันละหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งไม่สะดวก มาเป็นเพียงวันละ 1-2 ครั้ง ไม่ควรลดหรือเพิ่มขนาดยาเอง



          8.การไปพบแพทย์หลาย ๆ โรงพยาบาล (หรือคลินิก) อาจทำให้ได้รับยาชนิดเดียวกัน ผู้ป่วยต้องกินยาซ้ำซ้อน หรือเกิด "การตีกัน" ของ ยาซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงแก่ผู้ป่วยได้ การไปพบแพทย์หรือเภสัชกรจึงควรมีรายการยา หรือนำยาที่กำลังใช้อยู่ทุกชนิดไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาว่ามียาซ้ำซ้อนกันหรือไม่ หรือยาตีกันหรือไม่ จะได้หาทางแก้ไขและป้องกัน เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการใช้ยา



          9.ผู้ป่วยที่มีภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรแจ้งเภสัชกรทุกครั้งที่รับยา เพื่อให้เภสัชกรพิจารณาความเหมาะสมของยา และผลของยาที่อาจมีต่อบุตรในครรภ์หรือบุตรทีได้รับนมแม่





 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 13 มีนาคม 2555 3:44:15 น.
Counter : 860 Pageviews.  

พ่อเฒ่านักรักอำนาจเจริญ มีเมีย 16 ลูก 25


เคล็ดลับสุขภาพ




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล



         ผู้เฒ่านักรักวัย 85 เผยชีวิตนี้มีเมียมาแล้ว 16 คน มีลูกรวม 25 คน แนะใครอยากมีร่างกายแข็งแรงยืนยาว ต้องดูแลอาหาร อากาศ และอารมณ์ให้ดี หากเมียตายปุ๊บให้หาใหม่ปั๊บ!!



         เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา นายสมพร สีหาวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดอำนาจเจริญ ได้เล่าให้ฟังว่า ที่ร้านสภากาแฟ เตือนใจ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนอรุณประเสริฐ ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ มีสมาชิกสภากาแฟคนหนึ่งชื่อว่า นายสวาท เหมือนแก้วอายุ 85 ปี ชอบมานั่งดื่มกาแฟ - โอวัลติน กับสมาชิกกว่า 10 คน โดยทุก ๆ วัน นายสวาทจะขับรถยนต์จากบ้านมาที่ร้านเป็นระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร เพื่อมาสนทนาการเมืองพอถึงเวลา 8 โมงเช้าก็กลับบ้าน ซึ่งนายสมพรในฐานะประธานสภากาแฟแห่งนี้ก็ได้ให้ นายสวาททานกาแฟได้ฟรีตลอดชีพ



         ขณะที่นายสวาท ได้เปิดเผยถึงชีวิตตนเองว่า เป็นชาวอำนาจเจริญโดยกำเนิด เคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อกับเมียคนที่ 6  โดยตอนนั้นจะมีอาชีพขับรถโดยสารรับจ้างระหว่าง อำนาจเจริญ - หนองผือ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี จึงมีความผูกพันกับสถานที่แห่งนี้จนต้องมาทุกวัน ได้มาพบปะเพื่อนรุ่นลูกรุ่นหลานทำให้มีความสุขมาก นอกจากนี้นายสวาทยังเล่าอีกว่า อดีตเคยมีเมียมารวมกันประมาณ 16 คน แต่ปัจจุบันอยู่กินอยู่กับนางบุญมี เหมือนแก้ว มีลูกด้วยกันสามคน แต่มีลูกกับคนเก่าๆรวมกัน 25 คน โดยลูกทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และอยู่ที่สหรัฐอเมริกาก็มี ส่วนเมียบางคนก็ได้ล้มหายตายจากไปบ้างแล้ว แต่นอกนั้นจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง



         ทั้งนี้ นายปริญญา นากลาง ผู้อำนวยการสำนักงานกรรมการการเลือกตั้งอำนาจเจริญยังบอกด้วยว่า นายสวาทเป็นคนร่าเริงแข็งแรงพูดจาดีและมีอารมณ์ขัน และยังย้ำกับทุกคนว่า  ใครอยากมีอายุยืนให้มีเมียอย่าให้ขาด หมายความว่า ถ้าโสดต้องรีบหาเมียทันที เป็นการหาคนมาเป็นเพื่อน ที่นายสวาทมีเมียมากไม่ใช่ควบรวมครั้งละหลาย ๆ คน แต่ท่านจะแต่งงานอยู่กินกันทีละคน ถ้าเมียคนนี้ตายก็หาใหม่มาเสริมเพื่อไม่ให้ขาดกิจกรรมบนเตียง รวมทั้งอาหาร อากาศต้องดี จะอายุยืนอารมณ์ต้องสดชื่นด้วย

























 

Create Date : 13 มีนาคม 2555    
Last Update : 13 มีนาคม 2555 3:43:10 น.
Counter : 743 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

bestjingjai1
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add bestjingjai1's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.