บ้านกว่าครึ่งในลอนดอน มีเจ้าของเป็นชาวเอเชีย
จำนวนมหาเศรษฐีในทวีปเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่งผลให้ปัจจุบัน เจ้าของบ้านกว่าครึ่งหนึ่งในกรุงลอนดอนนั้นเป็นชาวเอเชีย
บริษัทโจนส์ แลง ลาแซล ( Jones Lang LaSalle) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯเปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ปัจจุบัน บ้านหลังใหม่ที่สร้างขึ้นกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษกว่าครึ่งหนึ่งนั้น มีเจ้าของเป็นนักลงทุนจากจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากผลสำรวจพบว่า นักลงทุนหลักอย่างกลุ่มชาวจีน ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนมากถึงร้อยละ 51 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเพียงร้อยละ 47 เท่านั้น โดยเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มนักลงทุนทั้งหมด จะพบว่านักลงทุนจากฮ่องกง เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชีย ที่เข้าไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน
ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่า จำนวนเศรษฐีในทวีปเอเชียเพิ่มขึ้นมากเพียงใด ซึ่งเมื่อคนกลุ่มนี้มีเงินมากพอ พวกเขาก็จะมองหาลู่ทางที่จะลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในประเทศที่มีตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก อย่างประเทศอังกฤษ ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพิ่มสูงที่สุดในรอบ 10 เดือน
ขณะเดียวกัน ชาวอังกฤษที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น โดยผู้วิจัยเปิดเผยว่า อสังริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ถูกซื้อไปนั้น เจ้าของมักจะนำไปปล่อยให้เช่าต่อ เพื่อการเก็งกำไรต่อไป
ทั้งนี้ จำนวนของมหาเศรษฐีในทวีปเอเชีย เพิ่มขึ้นเป็น 351 คน จาก 245 คน เมื่อปี 2553 ขณะที่ ในยุโรปมีจำนวนมหาเศรษฐี 251 คน และในทวีปอเมริกาเหนือมี 332 คน
Create Date : 07 พฤษภาคม 2555 | | |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 6:52:12 น. |
Counter : 996 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
พม่าใช้ E Card จ่ายค่ารถโดยสารประจำทาง
พม่าเริ่มใช้บัตรอิเลคทรอนิกส์ในการชำระค่าโดยสารรถประจำทางในนครย่างกุ้งเป็นครั้งแรก
โดยบัตรชำระค่าโดยสารรถประจำทางแบบอเลคทรอนิกส์ หรือ อี-การ์ด เริ่มใช้ในนครย่างกุ้ง เมืองใหญ่ที่สุดของพม่าเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าหลังจากเริ่มทดลองใช้ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับผู้โดยสารรถประจำการ วิธีใช้ก็ง่ายๆ คือผู้โดยสารจะต้องซื้อบัตรโดยสารอิเลคทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า iPay Card ซึ่งมีราคาเพียง 300 จ๊าด หรือ ประมาณ 12 บาท
สำหรับสนนราคาค่าโดยสารต่อเที่ยวคิดเป็น 200 จ๊าด โดยจะคิดตามระยะทาง และเมื่อมูลค่าในบัตรโดยสารหมดลง ก็สามารถไปเติมเงินได้ที่สถานีรถโดยสารส่วนกลางในนครย่างกุ้ง
ผู้ควบคุมรถโดยสารบอกว่า ทุกคนชอบบัตรโดยสารอิมรอนิกแบบนี้มากๆ เพราะสะดวกและไม่ต้องมีการทอนเงิน-ยามินท์ เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ออกบัตร iPay Card เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบ อี-การ์ดมาใช้ในการชำระค่าโดยสารรถประจำทาง และประชาชนก็ให้ความสนใจที่จะใช้ อี-การ์ด เป็นอย่างมากเช่นกัน
Create Date : 07 พฤษภาคม 2555 | | |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 6:49:36 น. |
Counter : 618 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จักรยาน Lamborghini 2 ล้อคันนี้ราคาเป็นแสน!!
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก treatsmagazine.com
ถ้าจะพูดชื่อของ "Lamborghini" แน่นอนล่ะว่า สิ่งที่จะนึกภาพตามมาแบบติด ๆ ก็คือ รถสปอร์ต 4 ล้อสุดหรู ที่มาเต็มด้วยขุมพลังความแรงระดับโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเราจะบอกว่า Lamborghini ได้เปลี่ยนจาก 4 ล้อที่คุ้นเคยมาเป็น 2 ล้อล่ะ คุณจะเชื่อกันไหม?
หากคุณผู้อ่านไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อในสิ่งที่เราบอกกล่าวนี้แล้วล่ะ เพราะ Lamborghini ได้เปลี่ยนร่างเป็นรถ 2 ล้อเรียบร้อยแล้ว โดยกลายเป็นรถจักรยานสุดหรูที่มีชื่อรุ่นว่า "BMC impec Automobili Lamborghini Edition" ซึ่งผลงานนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง "BMC" ผู้ผลิตจักรยานจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ Lamborghini ผู้ผลิตซุปเปอร์คาร์จากอิตาลีนั่นเอง
จักรยานคันนี้ทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา มีเกียร์จักรยานอิเล็กทรอนิกส์แบบ Shimano Dura-Ace 11 Speed ส่วนของล้อใช้วัสดุแบบคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน ตกแต่งให้สวยงามเท่ ๆ ดุ ๆ ตามสไตล์ Lamborghini ด้วยการพ่นสีส้ม - ดำบนจักรยาน ซึ่งเป็นสีเดียวกันกับที่ใช้ในรุ่น "Aventador LP 700-4" ที่สำคัญไปกว่านั้น ส่วนของมือจับและที่นั่ง ก็ทำจากทำจากหนังแท้อย่างดีที่ผ่านการเย็บด้วยมือ และมีโลโก้ของ Lamborghini อยู่บนส่วนหัวของจักรยานด้วย
และด้วยความที่เป็นจักรยานแบบอลังการงานรสร้างซะขนาดนี้ BMC impec Automobili Lamborghini Edition จึงมีการผลิตออกมาเพียงแค่ 30 คันเท่านั้น แบบที่ว่า ช้าหมด อดแน่นอน ซึ่งใครที่อยากได้ก็เตรียมเงิน 20,000 ยูโร หรือราว ๆ 8 แสนบาท ก็จะได้เป็นจักรยานคันนี้ไปครอบครองแน่นอน โดยสามารถสั่งจองได้ตามโชว์รูมของ Lamborghini และ BMC ได้เลย (ถ้ายังไม่โดนจองไปจนหมดซะก่อนนะ!)
Create Date : 06 พฤษภาคม 2555 | | |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2555 1:42:48 น. |
Counter : 1106 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไทยเป็นประเทศส่วนน้อยที่ยังใช้โทษประหาร
ในทุกปี แอมนาสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จะมีการออกรายงานสถานการณ์การลงโทษของประเทศต่างทั่วโลก ซึ่งในปีนี้ เป็นรายงานเกี่ยวกับการประหารชีวิต ที่น่าสนใจ คือประเทศไทย เป็นประเทศส่วนน้อยที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิต โดยเน้นไปที่คดียาเสพติด แต่แนวโน้มการประหารชวิตก็ค่อยๆลดลง ล่าสุด 2 ปีที่ผ่านมา ศาลไม่มีการตัดสินประหารชีวิตเลย
จากรายงานฉบับล่าสุดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เรื่อง "การลงโทษประหารและการประหารชีวิตในปี 2554" ระบุว่า ไทยยังเป็นหนึ่งใน 57 ประเทศ จากทั้งหมด 198 ประเทศทั่วโลก ที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอยู่ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มของประเทศ่สวนใหญ่ในโลก ที่ยกเลิกการประหารชีวิตไปแล้ว ทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ
ล่าสุด เฉพาะในปี 2554 ศาลมีคำตัดสินลงโทษประหาร 40 คดี โดยส่วนใหญ่ เกือบ 2 ใน 3 ของนักโทษเหล่านี้ กระทำผิดในคดียาเสพติด แต่การประหารชีวิตครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 เป็นการฉีดยาให้กับนักโทษชายสองคนที่เรือนจำบางขวาง หลังจากนั้นมา ก็ยังไม่มีการตัดสินประหารชีวิตเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกเลย
สัญญาณนี้ ส่งผลให้กลุ่มนักรณรงค์ต่อต้านการประหารชีวิต รวมถึงแอมนาสตี้ ยิ่งสนับสนุนใหรัฐบาลไทยเข้าร่วมขบวนการยกเลิกโทษประหารนานาชาติ โดยนางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมนาสตี้ ประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยควรยกเลิกโทษประหารอย่างสิ้นเชิง แต่ระหว่างรอ ควรประกาศยุติการประหารชีวิตชั่วคราว และพยายามลดจำนวนความผิดประหารชีวิตลง ที่สำคัญ ประเทศไทยควรให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติกา ICCPR เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแม่บทว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับที่ 2 ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ไทยได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยเปลี่ยนจากการประหารชีวิตมาเป็นการจำคุกตลอดชีวิตแทน
ในภูมิภาคเอเชีย มีหลายประเทศที่มีแนวโน้มยกเลิกโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกับไทย สำหรับที่ญี่ปุ่น ไม่มีข้อมูลการประหารชีวิตในปีที่แล้วเลย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี เช่นเดียวกับสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเทศ อัตราการประหารชีวิตกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะในซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และอิรัก ส่วนจีน มีการประหารชีวิตนักโทษหลายพันคน แต่ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นความลับทางราชการ
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้ไทยดำเนินการตามสัญญา เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้เลยว่าการประหารชีวิตมีผลทำให้อาชญากรรมลดลง และแอมเนสตี้ ต่อต้านโทษประหารในทุกกรณี ไม่ว่านักโทษจะกระทำผิดในข้อหาใดก็ตาม เพราะถือว่าเป็นการลงโทษที่ไร้มนุษยธรรม
Create Date : 06 พฤษภาคม 2555 | | |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2555 1:41:12 น. |
Counter : 498 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |