Group Blog
 
All blogs
 

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: งานฉลองของสองเรา


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : งานฉลองของสองเรา

บ่ายคล้อยแล้ว ผมเหลือบสายตาอันเมื่อยล้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่นเนื่องจากเมฆหนาบดบังพระอาทิตย์ผ่านกระจกหน้าต่าง ก่อนจะหันความสนใจกลับมายังเนื้อหาของหนังสือเรียนที่กางอยู่บนโต๊ะตามเดิม เหลือสอบมิดเทอมอีกวิชาเดียวเท่านั้นผมก็จะได้หยุดพักและเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านช่วงปีใหม่เสียที
เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะที่คุ้นเคยเรียกให้ผมลุกไปเปิดเพราะรู้ดีว่าคนที่มารบกวนเวลานี้คือใคร ความจริงเจ้าตัวก็ขอปั๊มกุญแจห้องไปเก็บไว้เองแล้วแท้ๆแต่ทำไมถึงไม่ไขเข้ามาเลยก็ไม่รู้
“เอ้า”

กล่องของขวัญห่อกระดาษสีทองผูกริบบิ้นสีแดงสดที่ถูกยื่นให้ทำให้ผมต้องเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรเหรอเป้”

พ่อตัวดียิ้ม ก่อนจะปิดประตูห้องแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดพลางกดจมูกลงมาที่แก้มแรงๆทีหนึ่ง “เมอร์รีคริสมาสต์ นี่วิวอ่านหนังสือจนลืมไปเลยเหรอ?”

พอโดนทักผมเลยนึกขึ้นได้ วันนี้วันที่ 25 ธันวานี่นา แต่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้สักทีเพราะที่บ้านเป็นพุทธกันหมดแถมอยู่ต่างจังหวัดอีกต่างหาก ไม่เหมือนเป้ที่เคยเรียนโรงเรียนคาธอลิกมาก่อนจึงคุ้นเคยกับเทศกาลเฉลิมฉลองของตะวันตกแบบนี้ดี

“อ้อ ลืมไปเลย งั้นก็...เมอร์รีคริสต์มาส”

เอ่ยไปแล้วก็ให้รู้สึกเขินปนกระดากปากแปลกๆ เพราะผมไม่เคยพูดแบบนี้หรือได้รับของขวัญเทศกาลนี้จากใครมาก่อนในชีวิต นี่เป้ตั้งใจจะขโมยครั้งแรกของผมไปอีกกี่ครั้งกัน?

“แกะของขวัญสิ”

คนตัวโตจูงมือผมไปนั่งที่เตียงแล้วก็คะยั้นคะยอให้แกะห่อของขวัญในมือ น้ำหนักของกล่องไม่มากแต่ก็ไม่เบาเสียทีเดียวจึงเดาไม่ถูกว่าของข้างในเป็นอะไร แต่เมื่อผมปลดริบบิ้นและกระดาษห่อแล้วดึงของที่อยู่ข้างในออกมาก็อดแปลกใจไม่ได้ คนข้างตัวที่รอลุ้นปฏิกิริยาของผมอยู่คลี่ยิ้มให้พลางช่วยหยิบของแต่ละชิ้นออกวางลงบนเตียง

“ชุดนี้เป็นไง? ตอนแรกเป้ก็ดูสูทสีเทาอยู่เหมือนกันแต่คิดว่าวิวน่าจะเหมาะกับสีอ่อนๆแบบนี้มากกว่า เดี๋ยวคืนนี้ใส่ชุดนี้ไปดินเนอร์ด้วยกันนะ”

สิ่งที่วางเรียงอยู่บนเตียงคือชุดสูทผ้าเนื้อดีสีครีมกับรองเท้าหนังสีดำเป็นเงามันและเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ถึงแม้ชื่อยี่ห้อที่เห็นจะไม่คุ้นตาแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าของขวัญกล่องนี้ต้องมีราคารวมกันเป็นเลขหลายหลักแน่นอน

“เป้ ของฟุ่มเฟือยแบบนี้...”

“อ๊ะๆ ห้ามบ่นนะ นี่น่ะจากบัญชีเงินเก็บของเป้ที่ไปช่วยงานบริษัทพ่อ ทั้งชุดนี่เป้จองไว้นานแล้วแต่เพิ่งไปเอา กะให้วิวใส่คืนนี้โดยเฉพาะเลย”

เจ้าของของขวัญพูดดักทางซะก่อนเพราะรู้ดีว่าผมไม่นิยมการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ถึงแม้จะรู้ดีว่าฐานะที่บ้านของเป้ดีมากแล้วเจ้าตัวก็ค่อนข้างชินกับการใช้เงินก็เถอะ ว่าแต่ตาคนนี้ลืมอะไรไปหรือเปล่า?

“เป้ เป้สอบเสร็จแล้วก็จริง แต่พรุ่งนี้วิวยังเหลืออีกวิชานึงนะ”

พ่อตัวดีย่นจมูกใส่ผม “จำได้อยู่แล้วน่า แต่ตัวสุดท้ายของวิวมันสอบตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ เป้รู้นะว่าวิวอ่านหนังสือจบไปตั้งหลายรอบแล้ว อย่าลืมสิว่าปีใหม่นี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน คืนนี้ทำหัวโล่งๆแล้วออกไปพักผ่อนสักวันเถอะ”

ทั้งที่ทักไปประโยคเดียวแต่โดนใส่กลับมาเป็นชุดจนผมต้องค้อนคนพูด ก็ไม่ผิดหรอกว่าผมอ่านหนังสือจบไปหลายรอบแล้ว แล้วก็ทั้งที่ปีนี้จะเป็นปีใหม่แรกตั้งแต่เราคบกันมา แต่เนื่องจากครอบครัวของเป้จะพากันไปเยี่ยมพี่ชายคนรองที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่อังกฤษในอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนผมเองก็ตั้งใจจะกลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว โปรแกรมเค้าท์ดาวน์สิ้นปีที่เคยคุยกันไว้จึงเป็นอันต้องพับไปโดยปริยาย

พอเห็นผมไม่ตอบ เป้เลยลุกขึ้นแล้วรุนหลังผมเข้าไปในห้องน้ำทั้งที่ผมยังไม่ทันจะเออออด้วยเลย

“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปด้วย”

“ถ้าวิวยังดื้ออีกเป้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เองแล้วนะ แล้วจะอุ้มลงไปถึงที่รถด้วย จะเอาแบบนั้นมั้ย?”

ไม่ขู่เปล่า มือใหญ่จับชายเสื้อยืดผมแล้วทำท่าจะเลิกขึ้นจริงๆ ผมเลยรีบผลักอกกว้างออกก่อนจะหนีเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนอย่างแรง แล้วก็ต้องหันไปตะโกนเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากคนที่ยืนอยู่ข้างนอก

“ไอ้โรคจิต!!”


++------++


สุดท้ายหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็โดนพ่อตัวดีจับเซ็ทผมแล้วก็พาลงไปที่รถจนได้ คนอื่นๆในหอหันมามองผมด้วยความสนใจเนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่จนต้องเร่งฝีเท้านำคนเจ้ากี้เจ้าการไปที่รถ เสื้อสูทสีดำของเป้แขวนอยู่ที่ด้านหลัง เจ้าตัวที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสแล็คเลยดูไม่เป็นเป้าสายตามากเท่าผมที่ใส่สูทเต็มยศ ยังดีว่าไม่ต้องผูกเน็คไทไม่งั้นคงยิ่งเรียกร้องความสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะใครๆในหอก็รู้ว่าผมยังเป็นนักศึกษาอยู่

หลังเข้านั่งประจำที่ตัวเองและดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดแล้วเป้ก็หันมามองผม พลันมือใหญ่ก็เอื้อมมาแถวปกเสื้อจนผมต้องรีบตะปบไว้ด้วยความตกใจ จะทำอะไรในรถกลางลานจอดแบบนี้เนี่ย!?

“อะไร คิดว่าเป้จะทำอะไร แค่จะปลดกระดุมให้เอง วิวเล่นติดซะครบทุกเม็ดแบบนั้นไม่อึดอัดมั่งเหรอ”

เจ้าของใบหน้าคมยิ้มทะเล้นแต่นัยน์ตาไม่ได้ไปทางเดียวกับคำพูดจนผมต้องทำตาดุใส่ แต่เจ้าตัวก็เพียงจับคอเสื้อผมแบะออกหลังปลดกระดุมเม็ดบนให้ นิ้วแข็งแรงยื่นมาเกี่ยวสร้อยเงินซึ่งห้อยแหวนที่เป้เคยให้เมื่อตอนวันเกิดออกมานอกเสื้อเชิ้ตแล้วก็จับพลิกดูไปมา

“แฟนอุตส่าห์ซื้อให้ทั้งทีก็เอาออกมาโชว์มั่งสิ คนอื่นเค้าจะได้รู้ว่าคนนี้น่ะมีเจ้าของแล้ว”

คนตัวโตพูดแล้วก็หันไปสตาร์ทรถก่อนจะออกตัวจากลานจอด ประโยคเมื่อกี้ทำเอาผมรู้สึกร้อนวาบที่หน้าจนต้องหันไปมองนอกหน้าต่างฝั่งตัวเองแทน รู้สึกหมั่นไส้คนขับรถที่หัวเราะในคอขึ้นมาติดหมัด เป้ยื่นมือมาจับมือผมไปกุมไว้หลังเราออกมาถึงถนนใหญ่แต่ผมไม่ได้ชักมือหนี

“ว่าแต่ นี่จะพาไปดินเนอร์ที่ไหน ทำไมต้องแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้”

ผมหันไปถามหลังเราออกมาจากหอได้สักพักและผมเริ่มเบื่อกับภาพการจราจรที่ติดขัดด้านนอกรถ เป้หันมาเลิกคิ้วมองผมแวบหนึ่งแล้วก็หันกลับไปมองถนนต่อ “นึกว่าจะไม่ถามซะอีก พอดีที่นี่เค้าบังคับเดรสโค้ดน่ะ ทนแป๊บนึง เดี๋ยวผ่านไฟแดงหน้าก็ถึงแล้ว”

จบประโยคไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี เป้เร่งเกียร์ผ่านสี่แยกตรงไปถนนใหญ่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นย่านที่เรียงรายไปด้วยโรงแรมชื่อดังก่อนจะหักเลี้ยวเข้าชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่ง ผมหันขึ้นไปมองโดมสีทองบนดาดฟ้าโรงแรมที่ถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นแล้วก็อดหันไปมองคนข้างตัวที่กำลังฮัมเพลงตามเสียงเพลงในวิทยุไม่ได้ พวกลูกคุณหนูนี่ช่างสรรหาสถานที่เปลี่ยนบรรยากาศกันเสียจริงๆ

เป้เดินนำผมออกจากลิฟต์ไปยังชั้นลอยซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารชื่อดังที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องรสชาติอาหารและราคา ผมเคยได้ยินเพื่อนๆพูดถึงร้านนี้อยู่บ้างจึงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมต้องใส่สูท คนตัวโตเดินนำผมผ่านโต๊ะที่จองไว้ไปยังโซนของบาร์ซึ่งทอดตัวแยกออกจากโซนสำหรับทานอาหาร รอบด้านของบาร์รูปครึ่งวงกลมกรุไว้ด้วยกระจกใสที่สูงขึ้นมาเหนือระดับเอวเล็กน้อยทำให้ดูราวกับลอยอยู่กลางอากาศ ส่วนเคาน์เตอร์บาร์ทรงกลมที่ตั้งอยู่ตรงกลางก็ซ่อนไฟที่เปลี่ยนสีได้เอาไว้ทำให้ดูโดดเด่นจับสายตา

ลมบนดาดฟ้าชั้นที่หกสิบกว่าในช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกค่อนข้างแรง ผมยืนเท้าราวระเบียงซึ่งเป็นกระจกใสทว่าได้รับการติดตั้งอย่างแข็งแรงแล้วก็กวาดตามองทิวทัศน์โดยรอบ ทุกอย่างดูน่าตื่นตาไปหมดเพราะผมไม่เคยได้ขึ้นมาบนอาคารสูงกลางกรุงแบบนี้มาก่อน

มือใหญ่ข้างหนึ่งแตะที่เอวด้านหลังจนผมสะดุ้งก่อนจะได้ยินเสียงห้าวที่คุ้นเคยกระซิบใกล้หู “ชอบมั้ย จากบนนี้เห็นพระอาทิตย์ตกชัดดีนะ มองเห็นมหา’ลัยเราได้ด้วย”

ลมหายใจของคนตัวโตที่ระอยู่ข้างแก้มเหมือนจะถ่ายทอดความอบอุ่นมาที่ผิวหน้า ผมหันไปยิ้มตอบพ่อคนจอมวางแผนก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่เกาะราวอยู่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้

“เอ่อ...เป้ วิวขอโทษนะ”

“หืม? ขอโทษเรื่องอะไร?”

มือใหญ่บีบมือผมที่จับราวระเบียงอยู่ ผมเลยเหลือบตาขึ้นสบกับเจ้าของใบหน้าคมที่กำลังขมวดคิ้วมองผมอย่างกังวล “ก็เป้อุตส่าห์ซื้อสูทให้ แถมยังจองร้านหรูขนาดนี้ให้เราสองคนมาทานข้าวด้วยกัน แต่วิวไม่ได้คิดเตรียมอะไรไว้ให้เป้เลยสักอย่าง”

“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร”

เป้ยิ้มโล่งอกก่อนจะดึงมือผมไปแล้วประทับริมฝีปากลงที่หลังมืออย่างแผ่วเบา “ไม่เห็นต้องคิดมากเลย วิวยอมตามใจเป้วันนี้ก็เป็นของขวัญพอแล้ว”

นัยน์ตาวิบวับที่มองตรงมาทำเอาผมต้องรีบชักมือกลับแล้วขยับตัวออกห่างคนพูด สายตาที่ส่งมาให้สื่อความหมายชัดเจนจนรู้ได้จากประสบการณ์ว่าถ้ายังยืนอยู่ข้างแฟนตัวเองล่ะก็แขกคนอื่นๆได้ดูหนังสดประกอบดินเนอร์แน่

“ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า คืนนี้ยังอีกยาว เป้ไม่ยอมให้วิวกลับหอหรอกนะ เปิดห้องสวีทไว้แล้ว”

คนเป็นเจ้ามือทิ้งท้ายยิ้มๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะที่จองไว้ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ให้นึกอยากถองพ่อคุณชายจอมเอาแต่ใจขึ้นมา คิดดูแล้วก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองยอมตกลงเป็นแฟนกับตาหื่นแบบนี้ได้ยังไง ตอนที่เรายังไม่ได้คบกันเป้ดูเป็นคนนิ่งเฉยจนเกือบจะเหมือนหยิ่งด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ผมตามใจมากเกินไปหรือเปล่าพักหลังๆนี้พ่อเจ้าประคุณถึงชักได้ใจมากขึ้นทุกที


++------++


หลังจบมื้อค่ำที่เต็มไปด้วยอาหารคอร์สรสชาติไม่คุ้นลิ้นและไวน์แดงที่ทำให้ผมเริ่มจะมึนหัวนิดหน่อย เป้ก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวพาไปห้องพักที่จองไว้ซึ่งมีระเบียงสำหรับเปิดรับสายลมเย็นและชมทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องให้ใครบอกก็พอจะเดาได้ว่าห้องตำแหน่งพิเศษในคืนเทศกาลอย่างนี้คงต้องถูกจองล่วงหน้านานพอสมควรทีเดียว

เตียงใหญ่กลางห้องซึ่งมีผ้าห่มนวมสีขาวสะอาดคลุมอยู่ทำให้ผมรีบเบนสายตาแล้วก้าวออกไปที่ระเบียง ภาพแม่น้ำสายหลักของเมืองหลวงที่คดเคี้ยวและทอดยาวสุดสายตาตัดกับสะพานข้ามแม่น้ำเป็นระยะและแสงไฟจากบ้านเรือนที่แผ่ตัวออกบรรจบกับผืนฟ้าสีเข้มดึงดูดสายตาให้มองได้ไม่รู้เบื่อ แต่ขณะที่กำลังเพลินอยู่กับการมองภาพกรุงเทพฯจากมุมที่ไม่เคยเห็น ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่ออ้อมแขนใหญ่เข้ามาโอบรัดจากข้างหลัง ริมฝีปากอุ่นก้มลงคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอจนขนอ่อนที่ท้ายทอยลุกชัน แต่พอจะหันกลับไปแขนแกร่งสองข้างก็หมุนตัวผมเข้าหาก่อนริมฝีปากหยุ่นจะบดเบียดลงกับริมฝีปากผมอย่างร้อนแรงจนทำให้ผมแทบสำลัก

“เป้...อื๊อ”

ผมหลุดปากได้เพียงคำเดียว มือแข็งแรงก็ประคองที่ท้ายทอยก่อนใบหน้าคมจะหันเปลี่ยนมุม ลิ้นอุ่นที่เจือด้วยรสไวน์แดงจางๆรุกไล้อย่างดื้อดึงและเร่งเร้าทำให้ผมต้องเผยอปากรับอย่างขัดขืนไม่ได้ แม้จูบนั้นจะเร่าร้อนแต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนและเรียกร้องการสนองตอบ ความหวามหวานที่ได้รับแล่นพล่านไปทั่วร่างจนรู้สึกว่าขาสองข้างอ่อนยวบแทบยืนไม่อยู่หากไม่ยึดเกาะบ่ากว้างตรงหน้าไว้

ผมไม่รู้ว่าตัวเองโดนอีกฝ่ายตักตวงความหวานจากตัวเองไปนานแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีริมฝีปากก็เริ่มชาจากการถูกจูบบดเบียดซ้ำๆ เป้เม้มริมฝีปากล่างผมแผ่วเบาก่อนจะไล่จูบขึ้นไปที่เปลือกตาและหน้าผาก ทั้งที่ลมตรงระเบียงไม่ได้แรงนักและผมยังอยู่ในเสื้อสูทแต่ก็ยังรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ชื่นใจละ ตอนอยู่ที่บาร์ต้องอดทนแทบแย่”

คนตัวโตกว่าพูดแล้วก็กดคอผมให้ซุกหน้าลงกับบ่าตัวเอง ผมพยายามปรับลมหายใจที่หอบระรัวให้เป็นปกติก่อนจะเอื้อมแขนไปโอบรอบเอวอีกฝ่ายตอบอย่างช้าๆ อย่างน้อยเสียงหัวใจที่เต้นแรงคงถ่ายทอดให้เป้รับรู้ได้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไรมากกว่าการบอกออกมาเป็นคำพูด

“เสียดายจัง ปีใหม่ทั้งทีเป้กลับต้องไปเยี่ยมพี่ชายกับที่บ้าน”

เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นตามด้วยเสียงถอนหายใจ ผมหัวเราะก่อนจะถอยออกแล้วยิ้มให้คนรักที่ทำหน้าเหงาๆ แต่กลับดูแล้วน่าหมั่นไส้มากกว่า

“ไม่เห็นเป็นไร ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันช่วงปีใหม่แต่เป้ก็ใช้เวลาอยู่กับวิวมากกว่าที่บ้านอยู่แล้ว สิ้นปีทั้งทีได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวบ้างก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้มของคนตรงหน้า เป้เลยจับมือผมยึดไว้ให้แนบแก้มตัวเองแล้วก็หลับตาลง พอเห็นผู้ชายตัวโตๆทำท่าอ้อนอย่างนี้ก็อดจะยิ้มไม่ได้ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นผู้ชายที่ชื่อภูริปรัชญ์คือคนที่มีความเป็นผู้นำ เจ้าคารมและพึ่งพาได้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผมเท่านั้นที่เป้จะยอมเผยอีกด้านที่เหมือนเด็กชายตัวน้อยผู้โหยหาความรักและการเอาใจใส่ออกมา พอคิดว่าตัวเองเป็นที่วางใจของคนที่ใครๆก็อยากอยู่เคียงข้างแล้วก็อดจะรู้สึกว่าหัวใจพองโตจนคับอกไม่ได้

เรายืนนิ่งในอ้อมแขนของกันและกันได้ไม่นานนัก มือร้อนที่โอบผมอยู่ก็เริ่มขยับและลากเลื้อยเข้าไปใต้เสื้อสูทเนื้อดีที่ตัวเองเป็นคนเลือกมาให้ ผมหลับตาแล้วแกล้งทำเป็นปิดปากหาวก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้อง

“เป้ วิวง่วงนอนแล้วล่ะ”

ไม่มีทางที่คำพูดที่แค่นี้จะหยุดคุณชายได้ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมาประชิดแล้วจู่ๆก็โดนอ้อมแขนแข็งแรงช้อนอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้นทั้งที่เพิ่งเดินหนีได้ไม่กี่ก้าว

“เฮ้ย!!”

ผมเผลอร้องอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายเหวี่ยงผมลงบนเตียงไม่เบานักก่อนร่างสูงใหญ่จะทาบทับตามลงมา พอพยายามจะดิ้นหนีข้อมือทั้งสองข้างก็โดนยึดแล้วกดลงกับเตียงแน่นจนสะบัดไม่หลุด ผมตวัดสายตาขึ้นจ้องใบหน้าคมที่กำลังส่งยิ้มกวนให้อย่างฉุนๆ

“ไปหัดมาจากไหนฮึ ยั่วกันอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ อยากเห็นแฟนอกแตกตายรึไงครับ”

เป้พูดไปก็เบียดร่างกายท่อนล่างของตัวเองลงกับหน้าขาของผมจนลมหายใจสะดุด ไม่ต้องให้เจ้าตัวพูดซ้ำก็รู้ว่าค่ำคืนนี้จะจบลงในรูปแบบไหน

“เค้าว่าการที่ผู้ชายซื้อเสื้อผ้าให้แฟนก็เพื่อจะได้เป็นคนถอดให้ งั้นเป้ไม่เกรงใจล่ะนะ”

มือแกร่งข้างหนึ่งละจากมือผมแล้วไล้เข้าไปคลึงเบาๆบนยอดอกผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อนิ่ม ขณะที่ลิ้นอุ่นเลาะเล็มที่ติ่งหูอย่างหยอกเย้าจนผมต้องหลับตาปี๋ ท่าทางคืนนี้เป้คงไม่เกรงใจผมทั้งคืนแน่ๆ

ไหนๆก็ตกกระไดพลอยโจนมาจนถึงขนาดนี้ ยอมตามใจคุณชายเค้าหน่อยแล้วกัน...


++-- END งานฉลองของสองเรา --++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:20:52 น.
Counter : 757 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : สองใจในคืนหนาว


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : สองใจในคืนหนาว


“เป้! มาได้ไงเนี่ย ไม่สบายทำไมไม่นอนพักที่บ้าน”

ผมไขประตูเข้าห้องของตัวเองแล้วก็ต้องเอ่ยทักอย่างประหลาดใจเพราะมีคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในวันนี้นั่งรออยู่ ตั้งแต่เจ้าตัวโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าจะหยุดเรียนเพราะไม่สบายทำให้ผมทำใจแล้วว่าวันนี้คงไม่ได้คุยหรือเห็นหน้ากันทั้งวัน

“ก็คิดถึงแฟนไง อยากให้แฟนพยาบาลให้มากกว่า”

คนป่วยที่ไข้ขึ้นจนหน้าแดงเรื่อบอกผมด้วยสีหน้าชื่นมื่น ผมเลยวางกระเป๋าแล้วเข้าไปทาบหลังมือกับหน้าผากของคนรักแล้วก็ต้องผงะกับอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ เป้ถือโอกาสรั้งตัวผมเข้าไปกอดแล้วก็กดปลายจมูกร้อนๆลงมาที่แก้มก่อนจะก้มลงซุกหน้าบนบ่า แม้ผมจะใส่เชิ้ตเนื้อหนาอยู่แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ซึมผ่านเนื้อผ้าลงมาที่ผิว

“ค่อยยังชั่ว นึกว่าวันนี้จะอดเจอวิวซะแล้ว ทำไมกลับดึกจัง”

“ก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วก็แวะหาอะไรกินก่อนกลับนี่นา ว่าแต่เป้กินข้าวเย็นหรือยัง”

“เรียบร้อยมาจากบ้านแล้ว ถึงได้แอบแว้บมานี่ได้ไง”

พอได้ยินคำตอบผมรีบถอยตัวออกแล้วมองหน้าคนป่วยอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “นี่แอบพ่อกับแม่มาเหรอ?”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เค้าออกไปข้างนอกกันทั้งคู่ ไม่รู้หรอกว่าลูกชายไม่อยู่ที่ห้อง”

ผมขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้เป้ดอดออกมาหาผมทั้งที่ตัวเองไม่แข็งแรงเสียเมื่อไหร่

“ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้เดี๋ยวกินยาแล้วนอนเลยดีกว่านะ ขอวิวอาบน้ำแป๊บนึงเดี๋ยวออกมาเอายาให้”

เป้พยักหน้าแล้วก็หันไปนั่งเปิดโทรทัศน์ดู ผมมองแผ่นหลังคนป่วยที่ใส่เสื้อแจ๊คเกตทับเสื้อตัวในอยู่แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะหรี่แอร์ลง ปกติเป้ไม่ใช่คนเจ็บป่วยง่ายๆ แต่ดูเหมือนว่าอากาศที่แปรปรวนของฤดูนี้จะไม่เป็นมิตรกับใครทั้งสิ้น พอผมจัดการธุระของตัวเองในห้องน้ำเสร็จก็เอายาแก้หวัดที่เคยซื้อเก็บไว้กับน้ำยื่นส่งให้คนป่วยที่รับไปกินโดยไม่อิดออด แถมยังยอมเอนตัวลงนอนบนเตียงให้ผมคลี่ผ้าห่มคลุมให้แต่โดยดี แต่แล้วคนป่วยก็ทำหน้ายุ่งพอเห็นผมลากฟูกอีกชุดออกมาที่พื้น

“วิวจะนอนบนพื้นทำไมล่ะ ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันสิ”

ประโยคเอาแต่ใจนั่นทำให้ผมหันไปเหล่เด็กโข่งตัวโตด้วยสายตาตำหนิหน่อยๆ

“นอนด้วยกันก็ติดหวัดสิ อีกอย่างคนป่วยนอนคนเดียวไม่มีคนเบียดน่าจะสบายตัวกว่า”

“ไม่ติดหรอก สัญญาด้วยเกียรติของอดีตนักเรียนร.ด. ถ้าทำให้วิวติดหวัดเดี๋ยวเป้มาเฝ้าไข้เองเลยเอ้า”

คำปฏิญาณแบบเด็กๆทำให้ผมกลอกตา ปกติก็ชอบหนีที่บ้านมาค้างที่นี่อยู่แล้วนี่...ผมอดค่อนคนเจ้าปัญหาในใจไม่ได้ ถึงยังไงก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว ตามใจคนป่วยซะหน่อยแล้วกัน

“ถ้าจามหรือไอใส่ วิวลงมานอนข้างล่างแน่ๆนะ”

“รับทราบครับผม ไม่ต้องห่วงหรอกเป้แค่มีไข้ อย่างอื่นปกติดี”

ผมขมวดคิ้ว เวลาคนแข็งแรงเกิดป่วยขึ้นมานี่จะมีอาการไม่เหมือนคนอื่นเขาหรือไงกัน แต่ก็ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดเลยลุกไปปิดไฟ ทิ้งไว้เพียงโคมไฟหัวเตียงที่ส่องแสงสลัวๆแล้วยอมลงนอนข้างคนป่วยบนเตียงแต่โดยดี ทว่าพอล้มตัวลงก็โดนแขนแกร่งสองข้างคว้าเข้าไปกอดแน่นทันทีเหมือนรอจังหวะอยู่แล้ว

“เป้ ตัวร้อนจัง”

ผมอดทักไม่ได้ ร่างกายที่แนบชิดกันทำให้รู้สึกถึงอุณหภูมิสูงจัดจากร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เป็นไข้ขนาดนี้แล้วยังจะฝืนขับรถมาอีก บ้านของเป้ไม่ใช่อยู่ใกล้ๆเลย

คนตัวใหญ่ยกมือผมขึ้นจูบเบาๆแล้วยิ้มให้ “ไม่เป็นไรหรอก กินยาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หาย”

“หายจริงๆก็ดีสิ ทีหลังไม่สบายอย่าฝืนตัวเองอย่างนี้อีกนะ”

จบประโยคของผมเป้ก็หัวเราะเบาๆ ผมเลยอดถามด้วยความข้องใจไม่ได้ “หัวเราะอะไร”

“เปล่า ดีใจ แฟนเป็นห่วง”

อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับรอบตัวผมแน่นขึ้นจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นจัดที่ระเรี่ยลงบนริมฝีปาก นัยน์ตาคมจ้องตรงมาแน่วนิ่งผ่านแสงสลัวของโคมไฟ ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นๆจะขยับเข้าใกล้จนแตะลงบนริมฝีปากของผม สัมผัสนั้นแผ่วเบาและหยอกเย้าในทีแรกก่อนจะค่อยๆทวีความเร่าร้อนขึ้น ผมหลับตาลงแล้วเผยอริมฝีปากรับการรุกล้ำที่อ่อนหวานแต่โดยดี

สัมผัสจากมือใหญ่ข้างหนึ่งที่สอดเข้าใต้เสื้อแล้วลูบไล้ไปบนแผ่นหลังกับอีกข้างที่บีบสะโพกอยู่ทำให้ผมสะดุ้ง เลยรีบถอนริมฝีปากออกแล้วมองตาคนป่วยที่ทำจาบจ้วงโดยไม่ดูสังขารตัวเองอย่างดุๆ

“เป้...ไม่สบายอยู่นะ”

แทนที่จะสำนึกตัว คนถูกเตือนยิ้มตอบตาเป็นประกายแถมยังเพิ่มแรงบีบที่มือล่างจนผมต้องทุบแขนข้างนั้นให้หยุดเสียที

“ก็คิดถึงแฟนนี่นา อุตส่าห์ฝืนสังขารมาหาทั้งที วิวตามใจเป้หน่อยสิครับ”

น้ำเสียงกับนัยน์ตาออดอ้อนทำผมเริ่มจะใจอ่อน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้ายอมให้ตามที่ขอครั้งหนึ่งก็จะต้องมีครั้งที่สองและสาม และถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังทั้งผมทั้งคนป่วยไม่ได้นอนกันทั้งคู่แน่ๆ ไหนพรุ่งนี้ผมจะมีเรียนแต่เช้าอีก

“ถ้าอยากให้ตามใจก็จะช่วย แต่ไม่ให้ทำถึงที่สุด ตกลงมั้ย”

คราวนี้คิ้วเข้มบนใบหน้าคมที่อยู่ห่างผมไม่ถึงคืบขมวดมุ่น

“ถ้ามีข้อแม้แบบนี้ก็ไม่เรียกว่าตามใจสิ”

“ไม่รู้ละ ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ จะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ วิวอยากให้เป้พักผ่อนมากกว่าอยู่แล้วด้วย”

ผมยื่นคำขาด พ่อเด็กโข่งตัวโตได้แต่มองตาผมที่แสดงออกว่าเอาจริงแล้วก็ถอนหายใจ “เอ้า ยอมก็ได้ นี่เพราะป่วยอยู่หรอกนะ หายป่วยเมื่อไหร่จะทบต้นทบดอกให้น่าดูเลย”

ประโยคขู่คาดโทษทำเอาผมรู้สึกร้อนวูบบนหน้า ก็เวลาโดนทบต้นทบดอกครั้งก่อนๆทีไรเป้เล่นทวงคืนแบบเกินคุ้มจนผมแทบลุกไม่ขึ้นตลอดเลยนี่นา ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะบ้าพลังแบบไม่เกรงใจกันไปถึงไหน

เป้จูบเบาๆลงบนจมูกผมแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีกครั้งจนผมนึกอยากถองพ่อตัวดีให้จุก แต่แล้วมือใหญ่สองข้างก็กดสะโพกผมให้เบียดเข้ากับสะโพกของตัวเองจนรู้สึกได้ถึงความร้อนและแข็งขืนของความต้องการผ่านเนื้อผ้าของกางเกงขายาวที่สวมอยู่

“เป้ เดี๋ยว..”

ผมยังพูดไม่ทันจบก็ต้องครางออกมาเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งล้วงเข้าไปใต้กางเกงแล้วบีบสะโพกผมแบบไม่เบาแรงขณะที่ลิ้นร้อนฉกเข้าที่กกหูแบบไม่ให้เวลาตั้งตัว

“ไม่ต้องห่วง รับรองว่าไม่ทำถึงที่สุด”

เสียงแหบต่ำที่บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหนทำเอาผมสะท้าน เป้ค่อยๆเลื่อนริมฝีปากร้อนไปตามแก้มและลำคอของผมพร้อมกับที่ปลดกระดุมเสื้อนอนของผมไปเรื่อยแล้วก้มลงดูดเม้มที่บ่าอย่างแรงจนน่ากลัวจะขึ้นรอย ขณะเดียวกันมือใหญ่ข้างหนึ่งก็รั้งขอบกางเกงนอนของผมลงแล้วลูบไล้แผ่วเบาที่ส่วนอ่อนไหวจนผมต้องจิกเล็บลงบนบ่ากว้างเพื่อระงับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมา

ผมยกสะโพกให้อีกฝ่ายรูดถอดกางเกงของผมได้ถนัดขึ้นแม้จะขลุกขลักอยู่สักหน่อยเพราะเรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เป้ลุกขึ้นจัดการกับกางเกงและเสื้อของตัวเองก่อนจะนั่งลงคร่อมผมแล้วลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่ตอนนี้มีเพียงเสื้อนอนติดตัวอยู่ชิ้นเดียว มือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อที่เหลือแล้วก็ดึงรั้งลงจนพ้นไหล่ผมแต่ไม่ยอมถอดออกจนสุด

“ตอนนี้วิวเซ็กซี่ที่สุดเลยรู้มั้ย”

คำชมที่เอ่ยออกมาพร้อมกับริมฝีปากที่จรดลงบนหัวไหล่ทำให้ผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้าจนต้องหลับตาลง เป้เป็นคนปากหวานเสมอแม้ระหว่างเวลาที่มีอะไรกัน แต่ถึงจะได้ยินคำพูดแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งผมก็ยังรู้สึกดีเพราะรู้ว่าคนพูดพูดออกมาจากใจจริง การกระทำทุกอย่างของเป้ตอกย้ำความรู้สึกที่มีให้กับผมเสมอ

ร่างสูงค่อยๆถอยร่างตัวเองออกแล้วใช้มือร้อนลูบไล้ไปมาบนเรียวขาของผม ส่วนริมฝีปากนุ่มหยุ่นก็คอยแต่จะคลอเคลียอยู่บนแผ่นอกจนผมต้องเอามือสองข้างกดศีรษะของเป้ไว้และแอ่นกายขึ้นรับสัมผัสด้วยความเสียวซ่าน ลิ้นชื้นๆที่เย้าแหย่บนตุ่มเนื้อทั้งสองบนหน้าอกและลากไล้ไปมาทำให้ลมหายใจผมขาดห้วงราวคนขาดอากาศ

“อืม...เป้...อ๊ะ”

ผมอุทานเมื่อคนเบื้องบนไล่ริมฝีปากต่ำลงไปจนถึงหน้าท้องแบนราบขณะที่มือข้างหนึ่งก็ลูบไล้ต้นขาด้านในของผมโดยระวังไม่สัมผัสกับศูนย์รวมความปรารถนาที่เริ่มตื่นตัวขึ้นทุกที ผมจิกมือข้างหนึ่งลงกับผ้าปูเตียง ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนเข้าไปในเรือนผมลื่นมือของเป้พลางแอ่นร่างตัวเองให้สัมผัสกับเรือนร่างแข็งแกร่งที่ทาบทับผมอยู่มากขึ้น รู้สึกทรมานที่กึ่งกลางของร่างกายที่ถูกปฏิเสธการสัมผัสจนแทบทนไม่ไหว

เมื่อย้อนคิดไปแล้วก็แปลก ก่อนจะได้พบกับเป้ ผมแทบไม่เคยมีความต้องการทางกายกับใคร ผู้ชายตรงหน้าคือคนคนเดียวที่ทำให้ผมได้ลิ้มรสและโหยหาสัมผัสที่ชวนให้ลุ่มหลงจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นนี้ และถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่เป้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าแสดงความต้องการที่น่าอายแบบนี้กับใครอื่นได้อีก

“เด็กดื้อ อยากได้อะไรทำไมไม่บอกล่ะครับ”

คนป่วยที่ทำตัวไม่เหมือนป่วยขึ้นทุกทีมองผมด้วยนัยน์ตายั่วเย้า ผมเลยหรี่ตามองกลับตาเขียวแม้จะรู้ดีว่าหน้าของตัวเองในตอนนี้คงดูแล้วไม่น่ากลัวเท่าไหร่

“ว่าไง ไม่บอกเป้ก็ไม่รู้นะ”

ริมฝีปากร้อนของคนพูดประทับจูบบนท้องน้อยใกล้กับส่วนที่ต้องการการสัมผัสจนผมสะดุ้งแล้วก็เม้มปากแน่น แม้จะรู้ตัวว่าถูกแกล้งแต่ความปรารถนาที่ต้องการระบายออกก็เรียกร้องให้ผมต้องยอมจริงใจกับตัวเอง

“อยาก...ให้เป้ทำให้”

“ก็แค่นั้นแหละ”

คนถูกขอยิ้มให้อย่างพอใจก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากที่ส่วนอ่อนไหวอย่างกะทันหันจนผมผวา มือสองข้างจิกลงบนผ้าปูที่นอนเต็มแรงขณะที่เป้ใช้สองมือกดต้นขาผมไว้ไม่ให้กระตุกขึ้นเพราะความวาบหวามจากรสสัมผัสที่อีกฝ่ายบรรจงมอบให้

โพรงปากอุ่นร้อนปรนนิบัติความต้องการให้ผมอย่างเชี่ยวชาญด้วยความคุ้นชิน เป้รู้ว่าผมชอบให้ทำแบบไหนจากภาษากายที่แสดงออกถึงความพึงพอใจโดยไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด บางครั้งก็ให้นึกเจ็บใจตัวเองที่คนตัวใหญ่ดูจะรู้จักร่างกายผมดียิ่งกว่าตัวผมซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายนี้เสียอีก

จังหวะของเป้ที่เริ่มจากช้าเอื่อยค่อยๆเปลี่ยนเป็นรวดเร็วรุกเร้า ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง ความต้องการที่กำลังเอ่อล้นขึ้นทำให้เริ่มจะบังคับตัวเองไม่อยู่จนต้องร้องเตือนคนต้นเหตุเสียงพร่า

“เป้...ฮ้า...จะออกแล้ว”

“อือ”

คนถูกเตือนเพียงครางในลำคอ แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกถึงการสั่นของโพรงปากที่ครอบครองผมอยู่จนภายในท้องน้อยอุ่นวาบและร่างเกร็งกระตุกไปทั้งร่างเมื่อเป้ใช้มือข้างหนึ่งช่วยรูดรั้งจนอารมณ์ของผมพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดและแตกระเบิดออกอย่างควบคุมไม่ไหวอีกต่อไป

ผมล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากกล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งร่าง เป้ยังคงใช้ปลายลิ้นร้อนเล็มไล้หยาดหยดขุ่นข้นที่ค้างอยู่บนร่างกายของผมจนหมด ร่างสูงเลื่อนตัวขึ้นมองผมที่มองกลับตาปรอยแล้วก็ก้มลงจูบบนริมฝีปากอย่างอ่อนโยนพลางจับแขนสองข้างที่อ่อนปวกเปียกของผมขึ้นคล้องคอตัวเองไว้ ผมกระสากลิ่นความต้องการของตัวเองที่ติดอยู่บนปลายลิ้นที่แทรกเข้ามาในปากจางๆแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงหรือนึกรังเกียจ ก็สิ่งนี้คือหลักฐานที่แสดงถึงความพึงพอใจที่เป้มอบให้ผมนี่นา

คนตัวใหญ่ล้มตัวลงนอนแล้วกอดผมไว้แนบอก มือแข็งแรงลูบหลังผมไปมาแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้นจนผมต้องผงกหัวขึ้นสบตาคนรักอย่างสงสัย

“ไม่เป็นไรหรอก เป้ทำให้วิวมีความสุขก็พอแล้วคืนนี้ สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะไม่ทำถึงที่สุด”

ผมเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงร่างกายเบื้องล่างที่บดเบียดกับตัวเองอยู่ว่าอีกฝ่ายมีความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง แต่เป้ไม่เคยขัดใจหรือบังคับผมสักครั้งถ้าเป็นเรื่องที่ผมขอร้อง หลายครั้งที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างตัวเองถึงได้เป็นที่รักของคนที่เพียบพร้อมแบบนี้นัก

“งั้นวิวถือว่าเป้รักษาสัญญาแล้ว จากนี้จะให้รางวัลคนป่วยคืนแล้วกัน”

ผมพูดออกไปแล้วก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า เป้เลิกคิ้วมองผมแต่แล้วก็ยิ้มให้จนผมต้องก้มลงขบที่จมูกโด่งๆนั่นอย่างมันเขี้ยว คนอะไรไม่สบายอยู่แท้ๆกลับทำตัวยั่วอารมณ์คนอื่นได้ไม่ต่างจากเวลาปกติเลย

ผมค่อยๆเลื่อนตัวลงซุกไซ้ตามลำคอและแผงอกแกร่งที่ไม่ว่าได้เห็นหรือจับต้องกี่ครั้งก็อดอิจฉาไม่ได้ เป้สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อผมครอบริมฝีปากลงไปบนติ่งเนื้อกลมเล็กบนหน้าอกข้างหนึ่ง ขณะที่มือผมไล้ต่ำลงไปกอบกุมที่ส่วนไวสัมผัสของอีกฝ่ายที่เริ่มพองขยายตามแรงที่ส่งผ่านไปจนคับแน่นเต็มมือ

ร่างสูงยันตัวบนข้อศอกขึ้นเมื่อผมถอยร่างตัวเองต่ำลงเรื่อยๆจนสายตาอยู่ระดับเดียวกับความต้องการที่กำลังตื่นตัวเต็มที่ ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของเรือนร่างแกร่งที่ยิ้มนัยน์ตาพราวมาให้ แล้วก็ก้มลงใช้ริมฝีปากปรนนิบัติให้คนป่วยเหมือนที่ตัวเองถูกทำให้เมื่อครู่

ผมรู้ว่าผมไม่ได้เก่งกาจอะไรเรื่องแบบนี้นักเพราะเป้เป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมเคยมีประสบการณ์ลึกซึ้งด้วย แต่กระนั้นคนรักที่ไม่ค่อยปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายต้องเหนื่อยก็แสดงความยินดีทุกครั้งยามผมเสนอตัวเป็นคนเริ่มบ้าง ซึ่งนานครั้งเท่านั้นที่ผมจะยอมให้สักหนจนเราต่างรู้กัน ผมพยายามใช้ประสบการณ์ที่ได้จากเวลาที่อีกฝ่ายเป็นคนทำให้ตอบแทนให้กับเจ้าตัวเพื่อบอกให้รู้ว่าที่ผมยอมขนาดนี้เพราะผมมีความรู้สึกให้กับเป้มากแค่ไหน

“วิวครับ...อือ...ดีจัง...จะออกแล้ว”

น้ำเสียงที่บอกและหน้าท้องที่เกร็งขึ้นส่งสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังจะถึงที่สุดของความปรารถนาในไม่ช้า ผมจึงเร่งภารกิจที่ทำอยู่เพื่อให้อีกฝ่ายก้าวสู่จุดหมายเร็วขึ้น มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมากดศีรษะผมไม่แรงนักขณะที่ผมเลื่อนริมฝีปากตัวเองขึ้นลงตามจังหวะที่อีกฝ่ายนำให้

“ซื้ด..วิว...เป้รักวิวนะ”

สิ้นประโยคร่างของเป้ก็กระตุกก่อนผมจะรู้สึกถึงหยาดหยดแห่งอารมณ์ที่คนรักปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง ผมถอยตัวออกก่อนจะใช้ปลายนิ้วช่วยรีดเร้นความปรารถนาอุ่นข้นให้ล้นหลั่งออกมาจนสุด

อ้อมแขนแข็งแกร่งเลื่อนลงมาดึงตัวผมขึ้นไปจูบและลูบไล้แผ่นหลังที่ชื้นไปด้วยเหงื่อใต้เสื้อนอนที่ติดตัวอยู่อย่างหมิ่นเหม่ แล้วก็จูบหน้าผากผมเบาๆก่อนจะยิ้มแบบที่ทำให้ใจผมเต้นรัวเร็วขึ้นทั้งที่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้มาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้ง

“แฟนเป้น่ารักที่สุดเลย”

ผมซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างด้วยความเขิน ทั้งที่ตอนที่ทำอะไรทะลึ่งๆไปเมื่อกี้ไม่รู้สึกอายเท่าไหร่ แต่พอโดนหยอดคำหวานเข้าทีไรเป็นไม่กล้ามองหน้าคนพูดทุกที

เรานั่งนิ่งในอ้อมกอดของกันและกันได้สักพักผมก็นึกขึ้นได้ว่าเป้ไม่สบายเลยรีบลุกจากเตียง แต่คนตัวใหญ่ดึงแขนผมรั้งไว้แล้วขมวดคิ้วใส่ “จะไปไหน?”

“ไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้น่ะสิ ถ้าเป้มาไข้กลับที่ห้องล่ะก็คราวนี้จะไม่ให้มาหาทั้งอาทิตย์จริงๆด้วย”

คนตัวใหญ่ยอมปล่อยมือแต่โดยดีพอได้ยินคำขู่ ผมรีบหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาสวมให้เรียบร้อยเพราะขืนเดินไปเดินมาทั้งที่ยังกึ่งเปลือยแบบเมื่อครู่ไม่รู้คนป่วยที่มีแรงเหลือเฟือจะนึกขอให้ตามใจอะไรขึ้นมาอีก ผมทำความสะอาดร่างกายตัวเองในห้องน้ำอย่างรีบๆ แล้วก็คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่นมาเช็ดคราบเหงื่อและคราบรักจากตัวของเป้จนสะอาดก่อนยื่นเสื้อผ้าให้ใส่ เป้ยิ้มตลอดเวลาที่ผมคอยดูแลจนชักนึกหมั่นไส้อยากไล่คนป่วยหน้าเป็นให้ไปนอนบนพื้นขึ้นมาตงิดๆ

ผมปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วก็ก้าวขึ้นนอนข้างคนตัวอุ่นที่ดึงผมไปโอบเอวไว้หลวมๆ อาจเพราะฤทธิ์ยาและความเหนื่อย ไม่นานร่างสูงก็หลับใหลจนผมได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผมยกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากบางที่ร้อนผ่าวของคนตรงหน้า แล้วจึงค่อยแตะริมฝีปากตัวเองประทับลงเบาๆโดยไม่ให้เจ้าตัวตื่นก่อนจะซุกหน้าลงพลางสอดแขนกอดคนตัวใหญ่ตอบ ไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าคนรักว่าที่จริงแล้วในอกรู้สึกเต็มตื้นแค่ไหนที่อีกฝ่ายฝืนขับรถมาหาทั้งที่ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ บางทีในใจลึกๆผมอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

เป้ระบายลมหายใจยาวออกมาแล้วก็กอดรัดผมแน่นขึ้นเหมือนละเมอ ผมยิ้มก่อนจะเบียดตัวเองเข้าหาร่างอุ่นๆข้างกายแล้วก็หลับตาลง บางทีในดินแดนแห่งความฝันของเราสองคนคืนนี้อาจจะมีผมและเป้อยู่ในนั้นด้วยกันก็ได้กระมัง


++---End สองใจในคืนหนาว---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:20:18 น.
Counter : 1046 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง ปฐมบท


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง: ปฐมบท


ผมรู้จักเป้ครั้งแรกตอนปีสองเทอมสอง เพราะโอ๊คซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเคยชี้ให้ดูตอนนั่งที่คอมมอนด้วยกันว่าแอบชอบผู้ชายรุ่นเดียวกันต่างเอกคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นตัวสูงใหญ่ ตาโต จมูกโด่ง ผิวขาวอมเหลือง เขามักจะนั่งอยู่กับเพื่อนๆที่โต๊ะกลุ่มซึ่งอยู่คนละฟากกับโต๊ะกลุ่มของพวกผม

“ก็หน้าตาใช้ได้อะ แต่เราว่าโอ๊คเองก็หน้าตาดีนะ ไม่ลองไปทำความรู้จักเค้าดูละ”

เพื่อนตัวดีมองค้อนผมปะหลับปะเหลือก ถึงจะเป็นกริยาที่ผู้ชายไม่น่าทำ แต่พอเพื่อนผมทำทำไมมันดูไม่ขัดก็ไม่รู้

ที่ผมบอกโอ๊คไปผมหมายความตามนั้นจริงๆ โอ๊คเป็นคนผิวขาว หน้าใส ตาออกเฉี่ยวๆเหมือนนักร้องเกาหลีที่สาวๆนิยมกัน สูง 170 ต้นๆเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย เวลาเดินไปไหนมาไหนด้วยกันผมโดนโอ๊คกลบรัศมีตลอด สิ่งที่พอจะเชิดหน้าชูตาหน้าจืดๆของผมได้บ้างคือผลการเรียนที่ค่อนข้างดีเป็นระดับต้นๆของคณะ แต่นอกนั้นแล้วก็แทบพูดได้ว่าเด็กบ้านนอกที่เอ็นท์ติดมหาวิทยาลัยรัฐในกรุงเทพฯอย่างผมไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย


++------++


ตอนที่พวกเราย้ายวิทยาเขตมาที่นี่ใหม่ๆมีคนมาจีบโอ๊คประปราย บางทีก็เข้าผ่านทางผมเพราะเห็นเป็นเพื่อนสนิท (ผมรู้จักโอ๊คเพราะเคยเรียนกวดวิชาที่เดียวกัน พอเอ็นท์ติดคณะเดียวกันเลยยิ่งสนิทไปโดยปริยาย) หลังจากที่โอ๊คบอกผมว่าชอบเป้ได้ประมาณสองสัปดาห์ วันหนึ่งโอ๊คก็เข้ามาบอกผมอย่างดีใจว่ากำลังคบเป็นแฟนกับเป้อยู่ เล่นเอาผมเหวอไปเพราะปกติเวลาเรียนหรือกินข้าวโอ๊คจะอยู่กับผมและเพื่อนในกลุ่มตลอด เว้นบ้างคือเวลาที่เรียนคนละวิชากัน มารู้ทีหลังว่าทั้งสองคนเริ่มสนิทสนมกันเพราะโอ๊คไปลงเรียนวิชาเลือกเดียวกับเป้

ตั้งแต่โอ๊คคบเป้เป็นแฟนเพื่อนผมดูมีความสุขมาก ผมก็แซวๆเพื่อนบ้างไปตามประสา มีครั้งหนึ่งโอ๊คพาผมไปกินข้าวกับเป้ตอนพักกลางวันเพราะกลัวผมน้อยใจที่ทำตัวห่างเหินไปหลังมีแฟน มื้อนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเป้เป็นคนพูดน้อยมาก จะว่าเขินที่ผมนั่งอยู่ด้วยก็ไม่น่าใช่เพราะบุคลิกเป้ไม่ใช่แบบนั้นเลย

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นอีกอย่างตลอดมื้อกลางวันนั้นก็คือ ผมรู้สึกเหมือนเพื่อนผมเทคแคร์แฟนอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เห็นเป้จะดูแลเทคแคร์โอ๊คกลับบ้างเลย แต่ผมก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้เพราะกลัวเพื่อนจะเสียความมั่นใจ ตราบใดที่เพื่อนมีความสุขผมก็ไม่ขัดข้องอะไร


++------++


จุดพลิกผันในความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาถึงเมื่อวันหนึ่งโอ๊คโทรมาหาผมแล้วร้องไห้ บอกว่าเป้ไปมีคนอื่นเลยจะขอเลิก แล้วก็บอกว่าขอมานอนที่คอนโดผม ผมค่อนข้างตกใจเพราะทั้งคู่เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงสามเดือน แล้วอีกอย่างถึงจะไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าคู่นี้สวีทหวานแหววแต่ผมก็ไม่เคยเห็นว่าจะทะเลาะหรือมีเรื่องผิดใจกัน คืนนั้นโอ๊คหิ้วเบียร์มาที่ห้องหลายกระป๋อง แล้วก็ดื่มไปร้องไห้ไป แต่จนแล้วจนรอดโอ๊คก็ไม่เล่ารายละเอียดเรื่องเป้ให้ผมรู้ วันรุ่งขึ้นเจ้าตัวดีก็แฮงก์เลยขอโดดเรียนนอนอยู่ที่ห้องผม ด้วยความแส่และสงสารเพื่อนผมเลยตัดสินใจไปเค้นเอากับเป้ให้รู้เรื่องเอง

เป้ดูไม่ค่อยพอใจนักตอนผมเดินไปหาที่โต๊ะกลุ่มแล้วบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย พอผมเดินนำแยกมาที่ซอกตึกข้างคณะที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านผมก็ถามเป้ตรงๆเรื่องโอ๊ค แล้วก็เล่าว่าเพื่อนผมร้องไห้เสียใจแค่ไหน เป้เพียงแค่นหัวเราะแล้วก็มองผมด้วยสายตาแฝงแววบางอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิดเหลือทน

“วิว แทนที่จะมาถามเรา นายไปถามเพื่อนตัวเองดีกว่านะว่าเค้าทำอะไรไว้”

“พูดยังงี้หมายความว่าไง นายเองไม่ใช่เหรอที่นอกใจเพื่อนเรา นี่นายจะเอายังไงกันแน่”

“ก็ไม่ยังไง เราแค่ไม่ชอบคบกับคนไม่จริงใจ แล้วก็ร่าน”

ผมเลือดขึ้นหน้า โอ๊คที่ผมรู้จักเป็นคนร่าเริง เข้ากับคนง่ายแต่ก็ไม่เคยทำตัวอย่างที่ไอ้บ้านี่พูดสักครั้งเดียว ด้วยความโมโหผมเงื้อกำปั้นขึ้นจะตะบันเอาเลือดไอ้คนตรงหน้าออก แต่เหมือนคนตัวใหญ่กว่ารู้ทัน ผมจึงโดนจับแขนแล้วบิดไพล่หลังจนต้องร้องด้วยความเจ็บ แม้จะพยายามดิ้นให้หลุดแต่สู้แรงไม่ไหว หลังจากนั้นผมมารู้ทีหลังว่าเป้เคยเรียนยูโดจนได้สายดำมาก่อน

“บัดซบเอ๊ย ปล่อยกูนะไอ้เป้!!”

“เพิ่งรู้ว่าเด็กเกียรตินิยมก็ใช้อารมณ์เป็นเหมือนกัน ขอบอกอีกครั้ง ไปถามเพื่อนนายเอาเอง เราไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

จบประโยคร่างใหญ่ก็ผลักผมออกแล้วเดินจากไปทันที ผมได้แต่ยกมือลูบแขนตัวเองที่แดงขึ้นเป็นจ้ำจากรอยบีบแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างของเป้อย่างไม่เข้าใจ


++------++


สรุปว่าเย็นนั้นพอกลับไปที่ห้องเพื่อนตัวดีของผมก็กลับไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงผมจึงโทรเข้ามือถือแต่โอ๊คก็ไม่รับสาย ตอนแรกผมคิดว่าแบตโทรศัพท์โอ๊คคงหมด แต่พอฟ้าเริ่มมืดผมลองโทรเข้าไปที่บ้านปรากฏว่าหม่าม้าของโอ๊คก็ไม่รู้ว่าโอ๊คไปไหน ผมรีบโทรถามเพื่อนคนอื่นๆแต่ต่างก็ตอบปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ผมกดไล่หมายเลขในโทรศัพท์อีกครั้ง แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจโทรหาเป้

(ส่วนสาเหตุว่าทำไมผมมีเบอร์เป้ เพราะโอ๊คเคยให้ผมไว้ บอกว่าเผื่อต้องโทรตามตอนที่อยู่กับเป้แล้วเกิดแบตหมด)

“เป้เหรอ โอ๊คอยู่กับนายหรือเปล่า?”

“คนไม่ได้เป็นอะไรกันจะอยู่ด้วยกันได้ไง?”

ปลายสายทำเสียงไร้อารมณ์กวนประสาทผมสุดฤทธิ์ หลังเจ้าตัวฟังคำผรุสวาทของผมไปอีกสามสี่ชุด สุดท้ายเป้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่าพอเดาได้ว่าโอ๊คอยู่ไหน จากนั้นจึงถามที่อยู่ของหอผมเพราะจะได้ขับรถมารับให้ไปด้วยกัน ใจผมตอนนั้นเป็นห่วงเพื่อนอย่างเดียวจึงไม่ได้อิดออดและยอมบอกไปแต่โดยดี

ระหว่างที่นั่งมาในรถด้วยกันเป้ไม่พูดกับผมเลย ผมเองก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไรเหมือนกันเพราะเรื่องเมื่อกลางวันทำให้ยังมองหน้าไม่ติดอยู่ แต่แล้วพอรถยาริสสีดำของเป้เลี้ยวเข้าถนนมีชื่อเส้นหนึ่งผมก็หันไปมองคนข้างจัวอย่างสงสัย เป้ยิ้มมุมปากแล้วก็มองผมด้วยสายตากวนประสาทสุดขีด

“หน้าตาตื่นเชียว ไม่เคยมาเที่ยวกลางคืนหรือไง”

“ไม่เที่ยวกลางคืนผิดหรือไงวะ!?”

นัยน์ตาคมใต้คิ้วหนาคู่นั้นเพียงเลิกขึ้นมองผมก่อนจะเอารถเข้าจอดตรงที่ว่างริมฟุตบาท ผมอาจจะแปลกกว่าเด็กมหาวิทยาลัยคนอื่นคือผมไม่นิยมเที่ยวผับบาร์เท่าไรนัก แต่ก็ใช่จะไม่เคยรู้กิตติศัพท์สถานที่ท่องเที่ยวว่าย่านไหนขึ้นชื่อเรื่องอะไร

เป้เปิดประตูรถแล้วเดินนำผมไปร้านหนึ่งที่แค่ทางเข้าก็ทำเอาผมเสียวๆเพราะมีแต่ผู้ชายส่งสายตามาที่พวกเราสองคนตาเป็นมัน แล้วจู่ๆเป้ก็หันมาจับมือผมไว้แน่น พอผมจะสะบัดมือออกก็โดนบีบมือจนเจ็บแล้วถูกกระซิบดุๆใส่ว่าถ้าไม่อยากโดนลวนลามก็ให้เดินใกล้ๆเจ้าตัวไว้ ใจผมตอนนั้นทั้งสงสัยทั้งระแวงว่าเป้พาผมมาร้านนี้ทำไม

เจ้าคนตัวโตเดินนำผมเบียดคนเข้าไปด้านใน สายตาก็เหมือนสอดส่ายหาใครไปด้วย สักพักก็หยุดเดินแล้วก็กระตุกมือชี้ให้ผมดูโต๊ะด้านในสุดที่มีคนนั่งอยู่เกือบสิบคน ท่าทางแต่ละคนกำลังเมากันได้ที่ แม้แสงไฟในร้านจะไม่สว่างนักแต่จากจุดที่ยืนอยู่ผมสามารถเห็นหน้าของผู้ชายผิวขาวตัวผอมบางที่เป็นเพื่อนสนิทผมได้อย่างชัดเจน และนั่นทำให้ผมตัวแข็งทื่อกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอยู่ในระยะห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

โอ๊คนั่งอยู่บนตักผู้ชายไว้เคราแพะใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ แล้วก็มีผู้ชายอีกคนที่นั่งข้างๆกำลังลูบหน้าอกกับไซ้คอขาวๆของเพื่อนผมอยู่ หน้าตาคนทั้งโต๊ะนอกจากเพื่อนผมดูน่าจะอยู่ในวัยทำงานแล้ว เป้ฉุดแขนผมที่ยืนตัวชาให้เดินตรงไปที่โต๊ะนั้นทั้งที่ใจผมอยากจะวิ่งไปจากตรงนั้นให้ไกล โอ๊คที่กำลังหลับตาพริ้มหน้าแดงก่ำ ดูเคลิบเคลิ้มกับสัมผัสจากชายที่ผมไม่รู้จัก เสื้อเชิ้ตสีขาวกระดุมหลุดลุ่ยเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น

หูผมได้ยินเสียงเป้เรียกชื่อโอ๊คแว่วๆ แล้วคนทั้งโต๊ะก็หันมาที่เราสองคนรวมทั้งเจ้าตัวด้วย หน้าที่เมื่อสักครู่แดงก่ำของโอ๊คซีดไปทันทีที่เห็นพวกผม ผมได้ยินเป้พูดอะไรสักอย่างแล้วโอ๊คก็ลุกขึ้นมาพยายามจะยื้อเป้ไว้ แต่ตอนนั้นผมไม่สนใจอีกแล้วว่าทั้งสองคนจะพูดอะไรกัน ผมรีบสะบัดมือใหญ่ที่จับยึดมือผมเอาไว้แล้วเดินเร็วๆเบียดคนออกมาหน้าร้าน รู้สึกเหมือนขอบตาร้อนผ่าวไปด้วยน้ำตาที่พาลจะไหลลงมาให้ได้ ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็นเพื่อนที่เคยคิดว่ารู้เรื่องของกันและกันทุกเรื่องในสภาพไม่คาดฝันแบบนี้

“เป็นอะไรไปครับน้อง หน้าตาเศร้าจัง ให้พี่ช่วยปลอบไหม”

เสียงแหบต่ำที่ดังอยู่ข้างหน้าทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจและพบว่ามีผู้ชายตัวใหญ่สองคนยืนขวางทางออกเอาไว้ สายตาหยาดเยิ้มที่ทั้งสองทอดมาให้ทำให้ผมขนลุกชัน แต่ความที่ยังช็อคไม่หายกับสิ่งที่เพิ่งได้เห็นมาทำให้ผมโต้ตอบอะไรไม่ได้ในทันที แล้วฉับพลันผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนท่อนแขนแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นมาล็อกคอเอาไว้จากด้านหลังแล้วดึงกลับไปปะทะแผ่นอกกว้างพร้อมกับเสียงคุ้นหูที่เอ่ยขึ้นอย่างเครียดๆ

“ไม่ต้องครับพี่ นี่เด็กผม”

คำพูดแสดงความเป็นเจ้าของแบบมัดมือชกทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าคนที่ยืนแนบหลังตัวเองอยู่อย่างฉุนๆ แต่พอเห็นนัยน์ตาดุที่มองกลับมาก็พูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่ปิดปากเงียบแล้วปล่อยให้เป้เดินโอบไหล่ผมผ่านเกย์สองคนที่ทักผมเมื่อกี้กลับไปที่รถ เป้เปิดประตูรถให้แล้วก็ดันผมให้ขึ้นไปนั่งก่อนจะขับออกมาโดยไม่พูดอะไร ตอนนั้นสมองผมเบลอไปหมดเมื่อคิดถึงภาพที่เพิ่งได้เห็นมาจะๆกับตา

ตอนนี้เพื่อนผม...กำลังทำอะไรอยู่

“เอ้า”

ผมหันไปหาเจ้าของเสียงแล้วก็ก้มดูกล่องกระดาษทิชชูที่อีกฝ่ายยื่นให้อย่างเหม่อลอย แล้วก็เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้เป้จอดรถอยู่ใต้สะพานแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา อาจเพราะความที่ดึกมากแล้วทำให้แถวนั้นไม่มีรถราผ่านไปมาสักเท่าไหร่

“อะไร?”

เป้ได้ยินคำถามผมแล้วก็เดาะลิ้น “จะอะไรล่ะ น้ำตาน่ะจะให้ไหลถึงเมื่อไหร่ หรือว่าต้องให้เช็ดให้?”

พอได้ยินคนข้างตัวทักแบบนั้นผมเลยยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าน้ำตากำลังไหลอาบแก้ม ความเปียกชื้นที่สัมผัสได้จากปลายนิ้วทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกขำขันอะไรเลย เป้หันมามองผมงงๆ แล้วก็ตาโตขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะของผมค่อยๆเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น แขนใหญ่รีบเอื้อมมาดึงผมเข้าไปกอดพลางลูบหลังผมที่กำลังสั่นขึ้นลงไปมาราวกำลังปลอบเด็ก

“ขอโทษนะที่พาไปเห็นอะไรแบบนั้น ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมเราถึงบอกเลิกโอ๊ค?”

ผมซุกหน้างุดกับอกใหญ่นั้น วินาทีนั้นสับสนสุดขีด เพื่อนที่ผมเคยคิดว่าเป็นคนเรียบร้อย ไว้เนื้อไว้ตัวกลับกลายเป็นอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ในใจผมนึกเป็นห่วงเพื่อน แต่อีกใจก็นึกเห็นใจคนที่กำลังโอบกอดปลอบใจผมอยู่

ผมพยายามสูดน้ำมูกก่อนจะถอยตัวออกพลางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา แต่กลับทำให้ทั้งน้ำมูกน้ำตาแถมน้ำลายด้วยกระมังเปรอะหน้าจนเละไปหมด

“สกปรกจริงๆเล้ย เอ้านี่”

แม้คำพูดจะเหมือนแสดงความรังเกียจแต่น้ำเสียงบ่งว่าเป้กำลังหยอกล้อผมอยู่ มือใหญ่ดึงกระดาษทิชชูขึ้นเช็ดใบหน้าที่เลอะเทอะของผมในขณะที่อีกมือช่วยลูบผมที่ลงมาปรกหน้าผากให้ ผมพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไปขณะมองรอยยิ้มของเป้ผ่านตาที่พร่าเพราะม่านน้ำตาจนต้องกระพริบตาถี่ๆ

“ขอโทษว่ะเป้ เราไม่รู้จริงๆว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ เรานึกว่าเป้บอกเลิกโอ๊คเพราะไปมีคนอื่น”

เป้ฟังคำขอโทษของผมแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองทางอื่น “ที่จริงเราพอรู้สึกอยู่บ้างแล้วล่ะว่าโอ๊คแค่คบเราเพราะเอาไว้อวดคนอื่น ก่อนนี้ก็เลยคิดว่าจะคุยกับโอ๊คให้รู้เรื่องอยู่แล้ว พอดีมีเพื่อนที่เคยเรียนม.ปลายที่เดียวกับโอ๊คมาเล่าให้เราฟังว่าเมื่อก่อนโอ๊คเป็นไง แล้วก็พาเราไปให้เห็นกับตาเอง เลยตัดสินใจได้ทันที”

ผมแย้งไม่ออกกับคำอธิบายที่ได้รับ นี่เองคือคำตอบต่อคำถามที่ผมเคยถามเป้เมื่อกลางวัน แต่ถ้าหากว่าเจ้าตัวตอบผมมาตามตรงตั้งแต่ตอนที่ผมถามโดยไม่ได้พามาเห็นเหตุการณ์ที่ร้านด้วยตัวเองผมก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เป้เห็นผมไม่พูดอะไรจึงชำเลืองมองผมอีกครั้ง

“แล้วอีกอย่าง...เรามีคนที่รู้สึกชอบจริงๆขึ้นมาแล้วด้วย”

ผมช้อนสายตาขึ้นสบตากับคนตรงหน้าแล้วก็เห็นประกายบางอย่างในตาคู่นั้นที่ผมไม่อยากรู้ว่ามันคืออะไร ผมจึงถอยออกแล้วนั่งพิงพนักของตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการที่สุดคือการได้อยู่ตามลำพังแล้วคิดอะไรเงียบๆคนเดียว

“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะเป้ แต่ไปส่งเราที่หอหน่อยได้ไหม”

แม้จะไม่หันไปมองแต่ผมก็พอรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองผมอยู่ สักพักเป้ก็เข้าเกียร์แล้วขับรถพาออกถนนใหญ่เพื่อวนไปส่งผมตามที่ขอ


++------++


ตั้งแต่วันนั้นโอ๊คก็หลบหน้าหลบตาผม ไม่มานั่งที่โต๊ะกลุ่มเหมือนเคย แม้แต่ตอนที่ต้องเข้าเรียนวิชาเดียวกันก็ไม่มานั่งด้วยกัน เพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มถามผมว่าเราทะเลาะกันหรือเปล่าผมก็ตอบไม่ถูก จะว่าเราทะเลาะกันก็ไม่ใช่ ผมคิดว่าโอ๊คคงอายมากกว่าที่ถูกผมไปเห็นในร้าน และเรื่องที่เคยพูดโกหกผมว่าเป้นอกใจ

ใช่ว่าผมจะไม่อยากเคลียร์กับเพื่อนให้เข้าใจ เพราะยังไงซะผมก็เสียดายมิตรภาพที่เรามีให้กันมา แต่ไม่ว่าผมจะเพียรโทรหาโอ๊คเท่าไรหรือพยายามหาโอกาสเข้าไปพูดคุยด้วยโอ๊คก็ไม่ยอมคุยกับผมเลยจนผมเริ่มท้อ และไม่นานฤดูกาลแห่งการสอบปลายภาคก็งวดเข้ามาจนผมหัวปั่นกับการทำรายงานและอ่านหนังสือสอบจนต้องพักคิดเรื่องโอ๊คไว้ชั่วคราว

วันหนึ่งขณะผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำก็ได้ยินเสียงคนเลื่อนเก้าอี้ใกล้ตัวแล้วนั่งลง ผมไม่ทันได้สนใจจึงอ่านหนังสือแล้วขีดปากกาไฮไลท์ตามจุดสำคัญไปเหมือนเดิม สักพักเหมือนคนข้างตัวจะอดรนทนไม่ไหวจนต้องยื่นมือใหญ่มาปิดลงบนหน้าหนังสือที่ผมอ่านอยู่

ผมหันขวับไปมองคนข้างๆอย่างไม่พอใจ แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นเป้นั่งเท้าคางยิ้มให้ผมอยู่ แต่ตอนนั้นผมกำลังเครียดกับเนื้อหาที่ต้องเตรียมสอบในเช้าวันต่อไปเลยได้แต่ถลึงตาใส่แล้วยกหนังสือออกจากใต้มือหนานั้น

“เอ้าๆ กลัวไม่ได้คะแนนเต็มหรือไง จะขยันอะไรนักหนาเนี่ย”

“เสือก! แล้วตัวเองไม่มีหนังสือหนังหาต้องอ่านหรือไง”

หลังจากวันที่เป้พาผมไปเห็นโอ๊คที่ร้านวันนั้น ผมกับเป้ก็ไม่ได้พูดคุยหรือทักทายกันอีกเลย ผมเองเมื่อหลุดปากว่าเป้ไปแล้วก็รู้สึกแย่ที่ตัวเองเผลอปากเสียออกไป แต่แทนที่เจ้าตัวจะหน้าจ๋อยกลับยิ้มอวดเขี้ยวให้ผมแทนซะอย่างนั้น

“ดุจริงเว้ย จะสองทุ่มแล้วนะ เดี๋ยวห้องสมุดก็ปิดแล้ว ไม่หิวข้าวหรือไง จะชวนไปกินข้าว”

ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วก็มองหน้าเป้อย่างไม่เข้าใจ คนตัวโตตรงหน้าเลยถือโอกาสหยิบหนังสือเรียนผมที่วางกองบนโต๊ะไปถือไว้เองแล้วเดินนำผมออกไป ผมมองไปรอบตัวก็พบว่าคนในห้องสมุดเริ่มบางตาลงและเจ้าหน้าที่ก็เริ่มดับไฟบางจุดแล้วจึงต้องหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นพาดไหล่แล้วเดินตามออกไปอย่างเสียไม่ได้

เป้เดินนำผมออกจากมหาวิทยาลัยผ่านประตูหน้าแล้วก็ไปหยุดที่ร้านขายกับข้าวตามสั่งบนฟุตบาทข้างถนน ผมจำใจต้องนั่งตามเพราะยังไงเป้ก็มีหนังสือเรียนผมเป็นตัวประกันอยู่ เจ้าคนตัวโตยื่นเมนูที่เป็นกระดาษเอสี่เคลือบพลาสติกเก่าๆเลอะๆให้แล้วถามว่าอยากกินอะไร ผมจึงบอกปัดไปว่าสั่งอะไรมาผมก็กินได้เพราะอยากรีบกินแล้วรีบกลับไปอ่านหนังสือต่อ ตอนนั้นผมพะวงแต่เนื้อหาที่จะสอบวันต่อไปอยู่อย่างเดียว

“จะเครียดอะไรกันขนาดนั้น ตอนมิดเทอมก็คะแนนดีอยู่แล้วนี่”

เหมือนเป้จะรู้ว่าผมไม่พอใจที่โดนบังคับมากินข้าวด้วยเลยเอ่ยขึ้นล้อๆ ผมเลยทำตาเขียวใส่

“เออสิ นอกจากเรื่องเรียนก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ภูมิใจนี่หว่า เครียดแล้วผิดด้วยรึไง”

หลังได้ยินคำตอบเป้ก็เท้าคางจ้องหน้าผมจนผมเริ่มอึดอัด โชคดีว่าอาหารที่สั่งเริ่มลำเลียงมาแล้วผมจึงคว้าตะเกียบขึ้นพุ้ยข้าวต้มกับกับข้าวสามสี่อย่างบนโต๊ะทันทีจนคนที่นั่งตรงข้ามต้องเอ่ยทัก

“กินช้าๆก็ได้ เดี๋ยวก็ลวกปากกันพอดี”

“จะรีบกิน จะกลับไปอ่านหนังสือ ไม่ได้มีเวลาทั้งคืน”

เป้หัวเราะแล้วก็ยกเบียร์ขึ้นจิบ พรุ่งนี้หมอนี่ก็มีสอบเหมือนกันแต่กลับดูท่าทางไม่อนาทรร้อนใจเลยจนผมหมั่นไส้

“อย่าหงุดหงิดน่า เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะไปส่งที่หอ”

“ไม่ต้อง รถเมล์สายที่ผ่านหอเราวิ่งทั้งคืน กลับเองได้”

เป้รินเบียร์ใส่แก้วของตัวเองเพิ่มก่อนจะจิ๊ปากกับคำปฏิเสธของผม “เออน่ะ บอกว่าจะไปส่งก็ไปส่งสิ เลิกเถียงซะที”

ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ผมที่ปกติเป็นคนเถียงไม่เลิกถ้าหากไม่พอใจยอมเงียบแล้วก็กินข้าวต่อโดยมีเป้นั่งจิบเบียร์รอ หลังกินข้าวเสร็จเจ้าคนที่บังคับให้ผมมากินข้าวด้วยก็ออกเงินค่าข้าวให้แม้ผมจะบอกว่าไม่จำเป็น จากนั้นก็ขับรถไปส่งผมที่หอตามที่สัญญาไว้

ก่อนผมออกจากรถเป้บอกว่าจะไม่กลับจนกว่าผมจะขึ้นไปแล้วออกมาโบกมือให้สัญญาณจากระเบียงก่อนว่าถึงห้องแล้ว ถึงผมจะงงๆว่าทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากด้วย แต่พอขึ้นไปถึงห้องที่ชั้นหกแล้วผมก็ยื่นหน้าออกมาโบกมือให้คนตัวโตที่ยืนสูบบุหรี่รออยู่ข้างรถ เป้โบกมือตอบแล้วขยี้ก้นบุหรี่ที่ถังขยะใต้ตึกก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไป

...ถ้าผมไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ผมคิดว่าเห็นเป้ยิ้มตอนผมโบกมือให้เมื่อครู่

ตลอดเวลาสัปดาห์กว่าๆที่ผมสอบปลายภาคชีวิตดำเนินไปอย่างนี้ทุกวัน ผมจะไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วเป้ก็จะโทรหาแล้วมารับผมไปกินข้าวและขับรถไปส่งที่หอ ตอนนั้นผมเริ่มฉุกคิดแล้วว่าเป้ทำแบบนี้ทำไม แต่ไม่อยากเอ่ยอะไรออกไปเพราะยังไงเป้ก็เป็นแฟนเก่าเพื่อนผม และผมกับโอ๊คก็ยังไม่ได้คุยกันเลย ผมไม่กล้าถามเป้ตรงๆพอๆกับที่เริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับการที่เป้มาอยู่ใกล้ๆจนไม่อยากให้มันจบลงแม้จะรู้สึกผิดกับโอ๊คก็ตาม

วิชาสอบสุดท้ายของผมเป็นช่วงบ่ายของวันศุกร์ ตลอดเวลาที่ทำข้อสอบผมรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูกและคอยมองแผ่นหลังของโอ๊คเป็นระยะ พอโอ๊คทำข้อสอบเสร็จก็ลุกขึ้นเอากระดาษคำตอบไปให้อาจารย์ที่โต๊ะหน้าห้องก่อนจะหันกลับมามองผมด้วยแววตาเศร้าๆ ผมสะดุดใจกับแววตานั้นจนต้องรีบปั่นข้อสอบที่เหลือให้เสร็จเพราะอยากออกไปหาแล้วคุยทำความเข้าใจ ผมไม่อยากให้เราทั้งสองปิดเทอมแล้วต้องห่างเหินกันไปทั้งที่ยังไม่พูดไม่จากันอยู่แบบนี้

“ภัส เห็นโอ๊คมั่งมั้ย?”

พอออกจากห้องสอบผมก็ตรงไปที่โต๊ะกลุ่มใต้คณะทันทีแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนที่อยากพบ เพื่อนสาวในกลุ่มจึงเงยหน้าขึ้นจากการเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแล้วก็ส่ายหน้า “ไปไหนไม่รู้แล้วว่ะ เออ แต่มันฝากจดหมายนี่ไว้ให้แกแน่ะ”

ผมรีบคว้ากระดาษจดหมายมาไว้ในมือ ขณะกำลังจะคลี่ออกอ่านก็ฉุกคิดได้ว่าอาจเป็นเรื่องที่ผมไม่ควรทำตอนอยู่กลางกลุ่มเพื่อนแบบนี้จึงผละไปที่ลานริมแม่น้ำ จากนั้นจึงคลี่จดหมายออกด้วยมือสั่นเทา



“วิว

ขอโทษนะที่เราทำให้วิวต้องเสียความรู้สึก เราไม่มีอะไรจะแก้ตัว เราผิดตั้งแต่ต้นที่ไปคะยั้นคะยอให้เป้คบเราทั้งที่เค้าไม่ได้ชอบเราเลย เราเคยคิดว่าเป้อาจเปลี่ยนใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรคืบหน้าจนเราเหนื่อย เราเลยกลับไปเที่ยวตามร้านที่เมื่อก่อนเคยไปกับเพื่อนเก่า เราไม่คิดว่าเป้จะไปเห็นแล้วบอกเลิกกับเรา ตอนนั้นเรากลัวว่าเป้จะเอาเรื่องเราไปพูดเลยชิงโกหกวิวก่อน แต่สุดท้ายวิวมาเห็นเองกับตาจนได้ เราขอโทษด้วยจริงๆ

ตอนนั้นเราโกรธเป้มากที่ทำให้เราต้องเสียเพื่อนดีๆอย่างวิว แต่คิดอีกทีเราก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเป้ทำแบบนั้น เพราะเราสังเกตมาตลอดว่าตอนอยู่คอมมอนเป้ชอบมองใคร เราหวังว่าวิวก็คงรู้

สุดท้ายนี้เราอยากขอโทษอีกครั้งที่ไม่กล้าคุยกับวิวตรงๆ หลังสอบวันนี้เราจะบินไปซิดนีย์ หลังจากนั้นคงจะหาทางเรียนต่อที่นั่นเลยเพราะพี่สาวก็อยู่ด้วย เราอยากขอให้วิวยกโทษให้เรา และหวังว่าสักวันเราคงกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิม

โอ๊ค”




ผมรู้สึกว่าสมองว่างเปล่าเมื่ออ่านจดหมายจบ คำถามที่ผุดขึ้นในหัวคือโอ๊คตั้งใจจะไปเรียนต่อที่โน่นอยู่แล้วหรือเพิ่งตัดสินใจหลังเกิดเรื่องกันแน่? แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากพบและพูดคุยกับโอ๊คอีกครั้งก่อนเพื่อนของผมจะจากไปไกลอยู่ดี ทว่าพอผมหมุนตัวลุกขึ้นก็ชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนตัวใหญ่ที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“ว่าไง ปล่อยให้เดินหาตั้งนาน โทรหาก็ไม่รับ”

ผมกระพริบตาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วก็เห็นว่ามีมิสคอลจากเป้จริง แต่เนื่องจากตั้งแต่ก่อนเข้าสอบผมตั้งระบบปิดเสียงเอาไว้ทำให้ไม่รู้ตัวว่ามีสายเข้า แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าการอธิบายเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังคือเพื่อนที่กำลังจะจากไปไกลของผม

“เป้ โอ๊คจะบินไปซิดนีย์คืนนี้ พาเราไปสนามบินหน่อยได้มั้ย?”

เป้ฟังคำขอแล้วก็ทำหน้ามุ่ย ผมดึงแขนเสื้อของเป้ไว้แล้วก็ขอร้องอีกอย่างร้อนรน “ขอร้องล่ะเป้ แต่ถ้านายไม่พาไปเราจะนั่งแท็กซี่ไปเอง”

ก่อนผมจะหมุนตัวไปก็โดนมือใหญ่คว้าแขนไว้ซะก่อน เป้มองหน้าผมที่ขมวดคิ้วหันไปมองแล้วก็ถอนหายใจ

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ไปส่งก็ได้ ไปรอหน้าศูนย์หนังสือแล้วกันเดี๋ยวเราวนรถไปรับ”

ระหว่างอยู่บนรถผมพยายามโทรหาโอ๊คหลายครั้งแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะปิดเครื่อง พอโทรไปที่บ้านก็เจอแต่แม่บ้าน แต่โชคดีที่ป้าเหลียงจำสายการบินได้ผมเลยโทรเช็คกับสายการบินว่าไฟลท์ไปซิดนีย์คืนนั้นมีกี่โมงและพบว่ามีไฟลท์เดียว เป้มองผมที่นั่งกระวนกระวายอยู่ในรถแล้วก็ยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆก่อนจะจับมือผมไว้ ผมจึงบีบมือใหญ่ตอบอย่างขอบคุณ ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว

พอถึงสนามบินเป้ก็หย่อนผมลงหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาออกแล้วบอกว่าหาที่จอดรถได้แล้วจะตามไปหา ผมจึงรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินเพราะตอนนั้นเริ่มใกล้ได้เวลาบอร์ดดิ้งแล้วแต่ก็ไม่เห็นคนที่กำลังตามหา ขณะที่กำลังละล้าละลังอยู่นั่นเองก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อผมดังมาจากด้านหลัง พอหันไปก็เห็นหม่าม้าของโอ๊คและญาติๆยืนอยู่เลยรีบเข้าไปหาแล้วถามว่าโอ๊คอยู่ไหน

“เพิ่งไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้เองลูกเพราะเดี๋ยวเค้าจะเข้าไปข้างในแล้ว นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี”

ผมหันกลับไปมองแล้วก็เห็นโอ๊คยืนหน้าซีดอยู่หลังผม แต่คราวนี้จะหนีก็ไม่ได้เพราะญาติๆและหม่าม้าอยู่ตรงนั้น ผมเลยหันไปบอกหม่าม้าว่าขอลาโอ๊คเป็นการส่วนตัวแป๊บนึงแล้วก็จูงมือโอ๊คเดินห่างออกไป

ผมรู้สึกได้ว่ามือในอุ้งมือผมสั่น พอเราเดินห่างจากญาติๆของโอ๊คมาพ้นระยะที่ไม่น่าจะได้ยินบทสนทนาของเราแล้วผมก็ฉุดเพื่อนให้นั่งลงที่ม้านั่งข้างผนัง

“โอ๊ค โอ๊คอย่าร้องไห้สิ”

ผมจับมือเพื่อนแน่นขึ้นเมื่อคนตรงหน้าเริ่มสะอื้น โอ๊คก้มหน้าหลบตาผมแล้วก็เอ่ยถามเสียงสั่น “วิว อ่านจดหมายเราแล้วใช่มั้ย เรามันเลว”

“ไม่เอา อย่าคิดอย่างนั้นสิ ยังไงโอ๊คก็เป็นเพื่อนเรานะ แต่เราอยากให้โอ๊คสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรอย่างนั้นอีก”

“ไม่แล้วล่ะวิว เราไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

ผมดึงร่างผอมบางมากอดก่อนจะลูบแผ่นหลังที่สั่นเพราะแรงสะอื้นอย่างปลอบโยนจนรู้สึกว่าโอ๊คเริ่มสงบลง เสียงสายการบินเริ่มประกาศเรียกผู้โดยสารทำให้รู้ว่าเวลาที่เราจะได้คุยกันหมดลงแล้ว ร่างในอ้อมแขนผละจากอกผมแล้วก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะส่งยิ้มมาให้

“ยังไงเราไปก่อนนะ เดี๋ยวถึงที่โน่นแล้วเราจะอีเมล์กับโทรหา คราวนี้จะยอมคุยด้วยนานๆเลย”

“อื้ม เราจะรอ”

เสียงที่ร่าเริงของคนตรงหน้าทำให้ผมใจชื้นขึ้น โอ๊คชำเลืองมองหลังผมแวบหนึ่งแล้วก็ยิ้มจนตาหยีให้ผมอีกครั้ง
“วิวดูแลตัวเองด้วยล่ะ แล้วก็...ที่เราเขียนในจดหมายเรื่องคนที่เป้ชอบ เราว่าวิวคงช่วยเป้ได้นะ”

ผมรู้สึกเหมือนหน้าร้อนขึ้นเมื่อได้ยินน้ำเสียงแฝงแววล้อเลียนของเพื่อน แล้วก็อดคิดถึงหน้าของคนที่ถูกพูดถึงไม่ได้ “อะไรล่ะโอ๊ค เป้จะชอบใครก็ช่างเค้าสิ พอโอ๊คไม่อยู่เราก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นแล้ว”

“ใครบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก หลังจากนี้แหละจะยุ่งกันหนักยิ่งกว่าเดิมเลยล่ะ”

ผมสะดุ้งกับเสียงเข้มๆที่ดังขึ้นใกล้ตัวแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นเป้ยืนอยู่ตรงนั้น โอ๊คบีบมือผมแล้วก็มองหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างผมอย่างอาวรณ์ เป้จึงยิ้มตอบ

“ไปอยู่โน่นแล้วขยันเรียนล่ะ ส่วนวิวเดี๋ยวเราดูแลให้เองไม่ต้องห่วง”

เฮ่ย! อยู่ดีๆมาทึกทักเอาเองงี้ได้ไง?! แล้วผมไปตกลงเออออด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะยอมให้ดูแล???

โอ๊คกอดผมแน่นอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาญาติๆที่ยืนรออยู่ ผมมองตามหลังเพื่อนแต่คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องไปส่งอีกแล้ว แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกมืออุ่นวางลงบนบ่า

“ว่าไงเรา พามาส่งตามที่ขอแล้วนะ จะไม่ขอบคุณกันสักคำเลยหรือไง”

ผมเงยหน้ามองคนพูดตาดุแต่พอเห็นสายตากรุ้มกริ่มของอีกฝ่ายก็ต้องรีบก้มหน้าลงมองมือตัวเองทันที เป้รีบมานั่งเก้าอี้ตัวที่โอ๊คนั่งเมื่อครู่แล้วก็จับบ่าผมรั้งไว้ก่อนผมจะทันหันไปทางอื่น

“เมื่อกี้คุยเรื่องจดหมายอะไรกัน?”

“ไม่มีอะไร แล้วก็ไม่เกี่ยวกับนายเลยด้วย”

ผมยังพยายามไม่สบตาคมที่จ้องตัวเองเขม็ง รู้สึกว่าตอนนี้หน้าคงแดงไปถึงไหนต่อไหนเพราะมันไม่หยุดร้อนเสียที เรายื้อกันอยู่สักพักผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเลยหันไปมองหน้าเป้อย่างงงๆ

“วิวจะแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ไปถึงไหนครับ เป้ไปรับไปส่ง เลี้ยงข้าววิวทุกวันอย่างนี้วิวยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าโดนจีบอยู่?”

“ใครจีบ จีบอะไร ไม่รู้เรื่องโว้ย!!”

ผมพยายามบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์ อีกฝ่ายดูเหมือนจะยิ่งชอบใจที่ทำผมอายจนพูดไม่รู้เรื่องได้จึงดึงตัวผมไปกอดไว้แน่น ใจผมเต้นแรงจนเหมือนจะกระดอนออกมานอกอกกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่ได้ดิ้นหนีอีก

“ดี อยู่นิ่งๆอย่างนี้ซะบ้างจะได้ไม่ต้องใช้กำลัง ชอบเถียงดีนัก”

ผมเงยหน้าขึ้นจะอ้าปากโต้ แต่พ่อตัวดีก้มลงจูบผมหน้าตาเฉยก่อนจะถอยออกแล้วยิ้มให้ตาเป็นมัน คราวนี้ผมเลยได้แต่อ้าปากค้าง อะไรที่กำลังจะพูดพาลปลิวหายจากสมองไปหมด

“กลับกันได้แล้ว หิวข้าวจะแย่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ยังต้องตื่นไปเที่ยวด้วยกันอีก”

เที่ยว? เที่ยวอะไร?? ตอนนั้นผมเบลอจนยอมให้อีกฝ่ายลากตามไปที่รถแต่โดยดี พอกลับไปนั่งในรถเป้ก็จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผมเสร็จสรรพ พอจะหันไปบอกว่าผมไม่ใช่เด็กก็โดนขโมยหอมแก้มอีกจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ขนาดผมยังไม่ได้ตกลงจะเป็นแฟนด้วยยังโดนฉวยโอกาสขนาดนี้ ถ้าผมยอมเป็นแฟนหมอนี่จริงๆจะเป็นยังไงผมไม่อยากคิดเลย


++------++


จากวันนั้นก็ผ่านมาห้าปีแล้ว หลังจากเรียนจบผมก็เข้าทำงานในแผนกส่งเสริมการตลาดของธนาคารแห่งหนึ่ง ส่วนเป้ทำงานที่บริษัทด้านการจัดการสินทรัพย์ซึ่งเป็นสาขาของต่างชาติ แต่เราอาศัยอยู่คอนโดเดียวกัน ตอนเช้าเป้จะขับรถมาส่งผมก่อนเพราะผ่านทางไปออฟฟิศตัวเอง ส่วนตอนเย็นถ้าเลิกงานเวลาใกล้กันเป้จะมารับยกเว้นว่าต้องทำโอที แต่กิจกรรมที่พวกผมยังทำร่วมกันอย่างเคร่งครัดก็คือ ไม่ว่าดึกแค่ไหนก็จะรอกินข้าวเย็นด้วยกัน ยกเว้นว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปงานเลี้ยงหรือกลับดึกมากจริงๆ

ส่วนโอ๊ค ตั้งแต่ไปเรียนที่ซิดนีย์เราก็โทรศัพท์และอีเมล์คุยกันอย่างสม่ำเสมอ และบางซัมเมอร์โอ๊คก็บินกลับมาเยี่ยมบ้านและนัดเจอผมบ้าง ผมดีใจที่อย่างน้อยผมไม่ได้เสียเพื่อนไป และโอ๊คดูจะยินดีอย่างจริงใจที่ผมคบหากับเป้ หลังเรียนจบโอ๊คหางานทำในบริษัทด้านการพิมพ์ที่ซิดนีย์ และเห็นว่าตอนนี้กำลังเดทกับหนุ่มลูกครึ่งรุ่นน้องที่บริษัท

“ทำอะไรอยู่ฮึ? ยังไม่นอนอีก”

เป้เดินนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำพลางเอ่ยถาม ผมเลยหันไปยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปหาจอคอมพิวเตอร์ต่อ

“กำลังส่งรูปตอนไปเที่ยวบาหลีคราวที่แล้วให้โอ๊คอยู่ โอ๊คบอกว่าอยากดู”

“เห็นแล้วอยากไปฮันนีมูนกันอีกรอบเนอะ”

มือของคนที่มานั่งเอาคางเกยไหล่ผมเริ่มซุกซนไปมาจนผมต้องตีมือที่กำลังเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อนอนของผมอยู่

“เมื่อกี้มาไล่ให้ไปนอนอยู่ไม่ใช่หรือไง พูดเองแล้วอย่ามาทำรุ่มร่ามสิ”

นัยน์ตาคมของคนที่ผมตื่นมาเจอทุกเช้ามองผมทะเล้น ก่อนจะลุกแล้วย่อลงจับผมอุ้มพาดบ่าเดินไปที่เตียง

“เฮ้ย! เป้ ไม่เอา พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า อื้อ...”

คนตัวใหญ่จูบปิดปากผมจนอะไรๆที่จะพูดต่อหายลงคอไปหมด ลิ้นร้อนที่รุกไล่เข้ามาในปากพร้อมกับมืออุ่นๆที่ไล้บนผิวใต้เสื้อนอนผืนบางทำเอาผมสะท้าน กว่าอีกฝ่ายจะยอมถอนริมฝีปากออกเสื้อกับกางเกงผมก็หลุดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ไม่ต้องห่วง รับรองไม่ทำถึงเช้า แค่เช้ามืด”

ใบหน้าคมยิ้มยั่ว ผมตีแขนคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบเอาแต่ใจอีกครั้ง แต่คราวนี้ยอมให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการแต่โดยดีเพราะห่างหายกันไปร่วมสัปดาห์ บทรักที่เคยคุ้นแต่ไม่เคยหน่ายดำเนินไปอย่างลื่นไหลและเร่าร้อนราวบทละครที่เราช่วยกันกำหนดจังหวะจนเข้าขากันเป็นอย่างดี เป้รู้ว่าต้องปลุกเร้าผมอย่างไรเช่นเดียวกับที่ผมรู้ว่าเป้อยากให้ผมตอบสนองแบบไหน หลังเราทั้งคู่ทะยานถึงที่สุดของอารมณ์ผมโน้มคอแข็งแรงของคนที่นอนคร่อมอยู่ลงมาจูบก่อนจะกระซิบติดริมฝีปากเสียงเบา

“รักเป้นะ”

คนตัวโตยิ้มแล้วจูบหน้าผากผม ความต้องการที่เพิ่งได้รับการปลดปล่อยของคนตรงหน้าเริ่มตื่นตัวขึ้นในตัวผมอีกครั้ง ค่ำคืนนี้ผมคงไม่ได้พักผ่อนง่ายๆอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ไม่เป็นไรเพราะผมชินเสียแล้ว

“เป้ก็รักวิว”


++-- END ลำนำรักสีรุ้ง --++


Note: สาบานได้ว่า ตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้ตั้งใจจะให้เป็นตอนเดียวจบ แต่ไปๆมาๆ มีเสียงเรียกร้องอยากอ่านตอนพิเศษกันเยอะ ประกอบกับนิยายอีกเรื่องที่เขียนคือ เมื่อหัวใจเราใกล้กัน มีเป้กับวิวไปเป็นตัวประกอบพอดี เลยมีตอนพิเศษของคู่นี้ออกมาเรื่อยๆ (ตราบใดที่อีกเรื่องยังไม่จบ แถมเวลาเขียนถึงคู่นี้ในเรื่องนั้นทีไรก็ไปขโมยซีนคู่เอกทุกที)

เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการเขียนคู่เป้กับวิว หลายครั้งที่นึกอยากให้สองคนนี้มีชีวิตจริงๆจะได้นัดเจอสังสรรค์กินข้าวด้วย ก็อาจตามประสานักเขียนที่ผูกพันกับตัวละครของตัวเองมากนั่นแหละค่ะ ถ้าหากคนอ่านชื่นชอบคู่นี้เหมือนกันเราก็ดีใจค่ะ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:18:39 น.
Counter : 1514 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.