Group Blog
 
All blogs
 

ปก "ลำนำรักสีรุ้ง"

หลังจากแก้ไปสามรอบก็ได้ปกที่ถูกใจเสียที สำหรับ “ลำนำรักสีรุ้ง” นิยายเล่มแรกที่เป็นของตัวเอง T_T ดีใจจริงๆที่คิดทำ และดีใจที่มีคนสั่งจองมากกว่าที่คิดไว้ ถึงเนื้อในจะกำลังจัดหน้า+เขียนเพิ่มอยู่ แต่ด้วยความเห่อปกที่น้อง Jiro ช่วยทำให้ เลยขอเอามาแปะให้ดูกันก่อนนะคะ (กระทู้ที่แล้วก็แปะรูปที่คั่นเรียกน้ำจิ้มไปละ)

อันนี้ปกหน้า:


อันนี้ปกหลัง:


เมื่อประกอบกัน จะกลายเป็นแบบนี้:


เอาล่ะ ทีนี้ที่เหลือก็คือการปั่นตอนพิเศษและรีไรท์ให้เสร็จก่อนกลางเดือนตุลา ไฟ้ท์โตะ!!!




 

Create Date : 19 กันยายน 2552    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 16:03:34 น.
Counter : 806 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: แรกเปิดใจ


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ

ส่วนเนื้อหาของตอนนี้ ตามลำดับเวลาในเรื่องแล้วต้องอ่านต่อจากตอนปฐมบทค่ะ แต่พอดีเขียนขึ้นหลังตอนอื่นเลยอาจทำให้เกิดการกระโดดของเวลานิดหน่อย หวังว่าอ่านแล้วคงไม่งงกันนะคะ



++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : แรกเปิดใจ


นับจากวันที่โอ๊คบินไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียก็สองเดือนได้แล้ว หลังจากสอบปลายภาคปีสองเสร็จผมก็แวะกลับไปเยี่ยมบ้านที่สกลนครเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนจะกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง เพราะว่าผมตั้งใจไว้ว่าจะทำงานพาร์ทไทม์ที่บริษัทซึ่งรุ่นพี่แนะนำให้ช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ ความจริงแล้วด้วยฐานะทางบ้านของผม ตราบใดที่ผมไม่ทำตัวเป็นเด็กเที่ยวและซื้อของฟุ่มเฟือย พ่อแม่ของผมก็สามารถจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆให้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากลองสัมผัสประสบการณ์การทำงานในออฟฟิศจริงๆ ตลอดจนการหารายได้ด้วยตัวเองดูบ้าง เพราะถึงอย่างไรด้วยสายการเรียนของผม เมื่อเรียนจบผมก็คงจะหางานทำในกรุงเทพฯอยู่แล้ว

และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องอยู่ทำงานที่ออฟฟิศล่วงเวลา ปกติถ้าไม่ใช่ช่วงที่งานยุ่งจริงๆ ยังไม่ทันหกโมงทั้งออฟฟิศก็แทบจะร้างคน แต่ทั้งๆที่ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้วแต่ก็ยังมีพนักงานนั่งทำงานกันอยู่ประปราย ในส่วนห้องที่ผมนั่งทำงานอยู่ด้านในนั้นเป็นห้องที่ทางแผนกบุคคลมีแผนจะปรับแต่งใหม่ในอีกไม่นาน ดังนั้นนอกจากโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์แล้วทั้งห้องจึงค่อนข้างโล่ง พนักงานที่นั่งในห้องนี้มีสามคน หนึ่งในนั้นก็คือผมและรุ่นพี่อีกสองคน แต่คนหนึ่งกลับบ้านไปแล้วเพราะว่าต้องรีบไปดูแลลูกที่ยังเป็นทารกแบเบาะอยู่ และก็เป็นพี่คนนั้นเองที่แนะนำผมให้มาฝึกงานที่นี่เพราะว่าเป็นสายรหัสของผมสมัยเรียน

“งานยุ่งมากเหรอวิว ยังไม่กลับบ้านอีก”

เมื่อได้ยินเสียงทักผมจึงหันหลังไปตามเสียงเรียก เพราะว่าโต๊ะของผมหันเข้าหาหน้าต่าง ซึ่งเท่ากับว่านั่งหันหลังให้ประตูและคนอื่นๆในห้องด้วย แล้วก็เห็นว่าพี่ศิลป์ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมห้องกำลังเก็บโน้ตบุ๊คลงกระเป๋าอยู่

“ผมยังหารูปกับข้อมูลเพิ่มเติมให้พี่ก้อยยังไม่เสร็จน่ะครับ พอดีพรุ่งนี้เช้าเค้าต้องรีบเข้ามาทำพรีเซ้นต์ให้ลูกค้า”

หลังจากตอบคำถามแล้วผมก็หันกลับมาคลิกเมาส์เพื่อเลือกรูปต่อ บริษัทที่ผมมาฝึกงานนี้เป็นบริษัทด้านมาร์เก็ตติ้งโซลูชันส์แบบครบวงจร แม้จะไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ แต่ก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้ามาทำงานช่วงปิดเทอมได้โดยมีค่าตอบแทนให้ นอกจากนั้นยังให้ผมได้ลงมือทำงานจริงๆ ไม่ใช่เพียงมาคอยถ่ายเอกสารหรือส่งแฟกซ์แบบที่เคยได้ยินเพื่อนที่ไปฝึกงานที่อื่นบ่นให้ฟัง ดังนั้นแม้บางครั้งจะถูกโยนงานมาให้แต่ผมก็ไม่บ่นเพราะคิดว่าจะได้ฝึกฝนตัวเองไปด้วย

“หือม์ ไอ้ก้อยมันลุกไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย จริงๆเล้ยยายคนนี้ งานตัวเองแท้ๆดันเอาให้น้องให้นุ่งทำ แต่มีลูกเล็กอยู่ก็ว่าเค้ามากไม่ได้แหละนะ”

พี่ศิลป์บ่นจบแล้วก็เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง สาเหตุที่ผมรู้เพราะว่าพี่เขามาบังแสงจากไฟด้านหลังพอดีทำให้หน้าจอมืดไปนิดหนึ่ง แต่ผมไม่อยากเสียมารยาทจึงเพียงเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์โคมไฟข้างโต๊ะเพื่อเพิ่มแสงสว่าง

“เฮ้ ภาพนี้สวยดีนี่นา ไม่ๆ ไม่ใช่อันนั้น อันที่สองน่ะ เอ้อนั่นแหละ”

พี่ศิลป์พูดไปก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปชี้บนจอพร้อมกับชะโงกหน้าข้ามไหล่ผมจนหน้าแทบชิดกัน ผมกำลังจะบอกขอบคุณและขยับตัวหนีเพราะรู้สึกว่าพี่เขาเข้ามาชิดเกินไปหน่อย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นตรงประตู

“วิว เสร็จหรือยัง?”

ผมหันหน้าไปทางประตูโดยระวังไม่หันไปทางพี่ศิลป์ แล้วก็ได้เห็นว่าเป้กำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ ท่าทางพี่ศิลป์คงตกใจเหมือนกันที่จู่ๆก็มีคนนอกเข้ามาในบริษัท ผมจึงถือโอกาสนี้หันกลับไปเซฟภาพลงคอมฯแล้วปิดเครื่องเสียเลย

“เสร็จแล้วล่ะ พี่ศิลป์ครับ รบกวนปิดไฟห้องด้วยแล้วกันนะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับพี่”

พี่ศิลป์พยักหน้า แต่สายตายังคงมองผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วยความสงสัย ผมจึงรีบหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่าแล้วเดินนำเป้ออกมา เพราะถึงแม้ว่าคนที่มารอจะไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า แต่ว่าน้ำเสียงห้วนสั้นที่ได้ยินเมื่อครู่ก็พอจะบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ผมชะงักเมื่อจู่ๆก็ถูกฝ่ามืออุ่นทาบลงบนหลังจากคนที่เดินตามมาจนต้องหันไปมอง แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรตอนนี้เพราะยังมีพนักงานคนอื่นนั่งอยู่ในบริษัท แม้ว่าจะไม่มีใครทำท่าสนใจพวกเรานักก็ตาม ผมจึงรีบหันกลับและเดินจ้ำไปที่ลิฟต์เพื่อที่จะได้คุยกับเป้สองคนได้โดยที่คนอื่นไม่ได้ยิน

“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าทำด้วยเหมือนเป็นผู้หญิง ไม่ชอบ”

ผมหันไปบอกเป้เมื่อเราสองคนเข้ามาในลิฟต์กันเรียบร้อยแล้ว เจ้าของใบหน้าหล่อคมที่ทั้งสาวแท้และสาวเทียมชอบมองเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมองผมจนผมชักคันไม้คันมือขึ้นมา รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าผมหมายความว่าอะไรยังจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก

“ไอ้ที่...มาประคองเมื่อกี้น่ะ ไม่ชอบ ชัดหรือยัง?”

พูดจบปุ๊บผมก็ต้องถอยหลังเข้าด้านในเพราะลิฟต์หยุดที่ชั้นถัดลงมาและมีคนอื่นทยอยเดินเข้ามาในลิฟต์ แต่แล้วก็ต้องหันไปส่งตาเขียวให้คนที่ยืนเงยหน้ามองตัวเลขแสดงชั้นยิ้มๆโดยไม่หันมามองผมกลับ แต่ผมมั่นใจว่าเป้รู้ตัวแน่ๆว่าโดนผมจ้องอยู่ ก็จะไม่จ้องได้ยังไงในเมื่อไอ้คุณชายจอมเอาแต่ใจเอามือผมไปกุมไว้แน่นเลยนี่นา ยังดีว่าตอนนี้คนแน่นและพวกเรายืนอยู่ด้านในสุดเลยไม่มีใครหันมาสังเกต แต่ถ้าผมสะบัดมือหรือพูดอะไรออกมาล่ะก็รับรองว่าได้เป็นจุดสนใจขึ้นมาแน่ ผมเลยหันกลับไปมองด้านหน้าเหมือนเดิมและข่มใจที่จะไม่หันกลับไปส่งสายตาพิฆาตให้เป้อีกครั้ง ก็ไอ้มือที่กุมมือผมมันไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ดันใช้นิ้วโป้งมาไล้หลังมือผมไปด้วยเนี่ยสิ!

ผมนึกโมโหที่บริษัทของตัวเองอยู่บนชั้นสี่สิบขึ้นมาทันที แล้วทำไมลิฟต์ตอนเย็นๆแบบนี้มันจะต้องจอดแทบทุกชั้นด้วยนะ!?

หลังจากเร่งในใจให้ลิฟต์ลงไปถึงชั้นลานจอดรถใต้ดินเร็วๆ ในที่สุดเป้ก็ยอมปล่อยมือผมแต่โดยดีเพราะคนในลิฟต์เริ่มเหลือน้อยลงแล้ว หลังจากเราเดินออกจากลิฟต์และลงบันไดไปอีกชั้น เป้ก็รั้งข้อมือผมเอาไว้จนผมต้องหันไปขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย เป้จึงถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือแต่โดยดี

“ขอโทษสำหรับเมื่อกี้แล้วกัน รู้อยู่แล้วล่ะว่าวิวไม่ชอบให้ทำรุ่มร่ามเวลาอยู่ข้างนอก แต่ว่าเมื่อกี้น่ะมันจำเป็น”

“ฮะ? จะบ้าเหรอ จำเป็นเรื่องอะไร ว่าแต่ทำไมเข้าไปในบริษัทได้ล่ะ ทุกทีคนนอกต้องรอที่หน้ารีเซฟชันนี่นา”

ผมไม่ได้ถามซอกแซกอีกเรื่องที่เป้ประคองผมเมื่อครู่ เพราะผมถือว่าต่างคนต่างโตๆกันแล้ว ถ้าหากผมเคยบอกแล้วว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ไม่ควรให้ต้องพูดซ้ำซากหลายหน เลยเปลี่ยนไปถามเรื่องที่จู่ๆเป้ก็เดินเข้ามาในบริษัทจนถึงห้องที่ผมทำงานได้แทน

“ไม่เห็นยาก บอกรีเซฟชันว่ารุ่นพี่ของวิวฝากเอางานด่วนมาให้ เค้าก็เลยให้เข้าไปข้างในได้”

เป้พูดยิ้มๆพลางสตาร์ทรถและขับออกจากที่จอด ผมจึงยกมือขึ้นบีบขมับอย่างเหนื่อยใจก่อนจะดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดเมื่อออกมานอกตึกแล้ว นี่ผมจะไปแจ้งผู้จัดการฝ่ายบุคคลดีไหมนะว่ารีเซฟชันทำงานหละหลวม แต่คิดอีกทีผมก็เป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์ที่มาทำงานชั่วคราว อีกอย่างเป้ก็ไม่ใช่คนร้ายที่จะไปขโมยของในบริษัทเพราะฐานะที่บ้านก็รวยจนไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรแล้ว ดังนั้นจะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้ก็แล้วกัน

ว่าแต่ความจริงผมยังแอบติดใจนิดๆที่เป้บอกว่าจำเป็นต้องแสดงท่าทางเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมเมื่อกี้ แต่ผมรีบปัดความสงสัยทิ้งไป วันนี้นั่งทำงานจ้องคอมมาทั้งวันจนทั้งแสบตาทั้งเวียนหัวไปหมด เพราะงั้นไม่ถามดีกว่า

“...วิว วิว”

“หือม์?”

ผมลืมตาเมื่อถูกเขย่าไหล่ แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะหน้าเป้อยู่ห่างออกไปแค่คืบจึงรีบถอยหลังหนีจนชิดหน้าต่าง

“วันนี้เหนื่อยมากล่ะสิ ออกจากตึกมาก็หลับตลอดทางเลย จะบอกว่าแวะกินข้าวเย็นกันแถวนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเป้ค่อยพาไปส่งหอ”

คนตัวโตถอยหลังไปเมื่อผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ หวังว่าเป้คงไม่ได้ยินเสียงหัวใจของผมที่มันเต้นแรงขึ้นเมื่อกี้นี้หรอกนะ ก็จู่ๆเล่นเข้ามาใกล้ขนาดนั้นจะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน จริงอยู่ว่าผมตกปากรับคำขอคบเป็นแฟนของเจ้าตัวไปแล้วตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน แต่ว่าเวลามองตากันใกล้ๆยังไงก็ยังไม่หายเขินอยู่ดี

พวกเราลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารริมแม่น้ำซึ่งไม่ไกลจากหอผมเท่าไหร่ หลังจากสั่งข้าวเปล่าคนละจานและกับข้าวอีกสองสามอย่างแล้ว เป้ก็หันไปคีบน้ำแข็งกับรินน้ำเปล่าให้ผม ส่วนเจ้าตัวเองดื่มเบียร์จากขวด ผมมองเป้ที่กำลังยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มพลางมองไปทางแสงจากเรือล่องแม่น้ำที่แล่นผ่านไปมา เคยนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป้น่าจะเคยเป็นเด็กเที่ยว แต่ทำไมตั้งแต่คบกับผมแล้วจึงไม่ค่อยไปสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มตัวเองบ่อยๆ แต่คำตอบเจ้าตัวก็ทำเอาผมเลิกถามไปเลย


“ทำไมชอบมาอยู่ด้วยดึกๆทุกวันเลย ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเหรอเป้ กลุ่มสมัย ม.ปลาย เค้าชอบชวนไม่ใช่รึไง”

“ก็สมัยยังไม่มีแฟนก็ไปกับพวกมันอยู่หรอก แต่ตอนนี้มีแฟนแล้วก็ต้องอยู่กับแฟนสิ หรือวิวไม่ชอบให้เป้อยู่ด้วย?”



ผมนึกถึงบทสนทนาในคืนหนึ่งหลังเป้พาไปดูหนังรอบดึกที่เลิกตอนตีหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะพาไปนั่งเล่นที่โป๊ะริมแม่น้ำแล้วก็ต้องยิ้มออกมา นี่ถ้าผู้หญิงคนไหนมาได้ยินเป้พูดอ้อนแบบนี้คงละลายกันเป็นแถบ แต่ตอนที่ได้ยินนั่นผมกลับหมั่นไส้มากกว่า เพราะพ่อตัวดีเล่นใส่คำว่าแฟนลงในประโยคตั้งไม่รู้กี่รอบ กลัวผมจำไม่ได้หรือไงนะว่าตอนนี้ตกลงคบกันอยู่ ทำเป็นคนย้ำคิดย้ำทำไปได้

ผมมองเป้ที่เคาะนิ้วมือข้างหนึ่งบนโต๊ะเหมือนไม่รู้ตัวแล้วก็รู้ว่าเป้คงอยากสูบบุหรี่ แต่ว่าตอนนี้ลมแรงแถมยังอยู่ในร้านอาหาร ถึงแม้ส่วนที่เรานั่งอยู่จะเป็นโซนด้านนอกที่ไม่มีหลังคาก็ตามเจ้าตัวเลยต้องอดใจไว้ จะว่าไปนี่ก็เป็นนิสัยประจำตัวอีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นและเริ่มคุ้นเคย ใช่ว่าผมจะรับคนสูบบุหรี่ไม่ได้ เพราะว่าสมัยพ่อผมยังหนุ่มๆก็เป็นคนสูบบุหรี่จัดเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาคบกับผู้ชายตัวโตกว่าแถมสูบบุหรี่ด้วยนี่นา ถ้าใครมาถามผมเมื่อสองเดือนก่อนว่าอยากได้แฟนแบบไหน ผมก็คงบอกว่าขอผู้หญิงที่เรียบร้อย นิสัยดีและไม่เอาแต่ใจ แน่นอนล่ะว่านั่นมันตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะตอนนี้เป็นคนละขั้วเลย

“เป็นอะไรวิว นั่งยิ้มคนเดียว”

“เอ๊ะ? เปล่าซักหน่อย อ้อ...ขอบคุณครับ”

ผมกะพริบตาเมื่อโดนเป้ทัก ก่อนจะหันไปขอบคุณพนักงานที่เอาข้าวและอาหารมาเสิร์ฟให้ ถึงผมจะหิวแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะกินอะไรหนักๆไหว อาหารที่สั่งมาจึงมีแต่ของง่ายๆ เช่นไข่เจียวปู ผัดก้านคะน้าน้ำมันหอยแล้วก็แกงส้มไข่ปลาเท่านั้นเอง

“แน่นะว่าไม่ได้คิดอะไรทะลึ่งอยู่ เมื่อกี้เห็นมองเป้ด้วย”

เป้ยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะยิ้มล้อๆ ผมเลยทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วตักอาหารใส่จาน ถึงจะเพลียมาแค่ไหน แต่เจอข้าวสวยกับอาหารร้อนๆควันฉุยอยู่ตรงหน้าก็ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงานขึ้นมาทันที

“แถวนี้ไม่มีใครคิดอะไรทะลึ่งหรอก ถ้าจะมีก็คนพูดคนเดียวน่ะแหละ ทะลึ่งได้ตลอดไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย”

ผมกัดคนที่นั่งด้วยไปเล็กๆก่อนจะตักอาหารขึ้นทาน รสแกงส้มเข้มข้นกำจายไปทั่วทั้งปาก ความอร่อยของรสอาหารทำให้ลืมความเหนื่อยไปแทบจะในทันควัน แต่แล้วผมก็แทบจะสำลักเมื่อได้ยินเป้พูดประโยคถัดมา

“หึๆ งั้นก็แปลว่ารู้เหมือนกันนี่ว่าเป้คิดเรื่องทะลึ่งอยู่ แต่ช่วยไม่ได้นะ เห็นคนตรงหน้าแล้วมันน่า...”

เป้พูดทิ้งท้ายเหมือนละคำพูดในประโยคไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะผมถลึงตาใส่หรือเพราะเจ้าตัวตั้งใจให้ฟังดูคิดลึกอยู่แล้ว ผมเลยชิงตักอาหารใส่จานให้เสียเลยเพื่อที่เจ้าคนพูดมากจะได้ปากไม่ว่างเสียที

“พอแล้ว พามากินข้าวไม่ใช่รึไง รีบๆกินเข้าไปเลย นั่งดูคนอื่นกินอยู่ได้ เสียมารยาท”

ผมได้ยินเป้หัวเราะเบาๆในคอต่อ แต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเป้ตอนนี้เพราะรู้ว่าตัวเองหน้าแดงอยู่แน่ๆ แต่เป้ก็ไม่ได้แซวอีกและเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าแต่โดยดี เราต่างคนต่างกินข้าวเงียบๆไปสักพักเป้จึงเอ่ยขึ้นมาอีก

“ที่จริงวิวน่าจะมาฝึกงานที่บริษัทของพ่อเป้นะ”

ผมละสายตาขึ้นจากจานข้าวที่พร่องไปเกินครึ่งพลางขมวดคิ้วมองคนพูด เป้กินข้าวส่วนของตัวเองหมดแล้วและตอนนี้กำลังเท้าคางมองผมอยู่ สายตาที่จ้องเขม็งทำให้ผมต้องเบนสายตาลงที่จานข้าวของตัวเองตามเดิม แต่ว่าความอยากอาหารตอนนี้น้อยลงจนเกือบเป็นศูนย์ ถ้ามองในแง่ดีก็สงสัยว่าผมคงจะอิ่มแล้วกระมัง

“เป้พูดจริงนะ...ถึงปกติที่บริษัทจะไม่มีนโยบายให้ค่าจ้างนักศึกษาที่มาขอฝึกงานก็เถอะ แต่กรณีของวิวเดี๋ยวเป้คุยให้ก็ได้ บอกว่าเป็นเพื่อนที่คณะ พ่อเค้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

เป้พูดต่ออีก ผมเขี่ยข้าวที่เหลือในจานแล้วก็พาลไม่อยากกินต่อขึ้นมาดื้อๆเลยรวบช้อนส้อมแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม พอเหลือบตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าเป้ยังจ้องอยู่เหมือนเดิม ผมจึงเสมองไปด้านนอกร้านยังเหล่าเรือและแสงไฟจากคอนโดที่เรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน

“ไม่เอา...นโยบายของบริษัทเป็นยังไงก็ต้องยึดตามนั้นสิ ถึงสนิทกับลูกชายท่านประธานก็ไม่ใช่ว่าจะต้องได้สิทธิพิเศษเหนือคนอื่นนี่ อีกอย่าง...ออฟฟิศที่ทำตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

จะเรียกว่าเป็นความยึดติดกับศักดิ์ศรี หรือแค่ความหัวแข็งของผมก็ตามทีเถอะ ถึงคบกันก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องอยู่ในสายตาของเป้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่นา อีกอย่างแค่เรื่องหางานพาร์ทไทม์ทำน่ะผมหาเองได้ ไม่ได้ต้องคอยงอมืองอเท้ารอให้ใครยื่นความช่วยเหลือให้สักหน่อย ถึงจะบ้าเรียนแต่ผมก็ไม่อยากโดนใครมองว่าทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือกับไปสอบไม่เป็น นี่คบกันมาสองเดือนแล้วเป้ยังไม่เข้าใจวิธีคิดของผมอีกหรือไงกันนะ

ผมได้ยินเสียงเป้ถอนหายใจ ผมจึงกำมือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแน่นขึ้นแต่ยังไม่หันกลับไปมอง เป้ไม่รู้หรอกว่านอกจากเหตุผลที่ผมบอกไปแล้ว สาเหตุสำคัญอีกอย่างคือผมเริ่มเกรงความใกล้ชิดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที หลังจากได้คบกันและรู้จักกันและกันมากขึ้น ผมก็ได้รู้ว่าสมัยมัธยมเป้เคยมีแฟนมาแล้วสามคน และมีคนหนึ่งที่เป้เคยคบอย่างจริงจังอยู่ถึงสี่ปีก่อนจะเลิกกันไปตอนเจ้าตัวอยู่ปีหนึ่ง การที่เป้ไม่มีใครต่อจากนั้นเลยเกือบปีเต็มๆบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงต้องใช้เวลาทำใจจากความรักครั้งนั้นมากพอดู และถึงแม้เป้จะให้เหตุผลว่าที่คบกับโอ๊คนั้นเพราะโอ๊คมาขอร้อง แต่ทั้งสองคนก็คบกันอยู่ถึงสองเดือนก่อนจะเลิกกันไป แล้วสำหรับผมล่ะ ตอนนี้เราก็คบกันมาได้สองเดือนแล้ว เป้เห็นอะไรในตัวผมกันถึงได้เข้ามาขอคบด้วยตอนนั้น เราจะคบกันไปได้อีกนานแค่ไหนในเมื่อผมเองไม่เคยทำตัวออดอ้อนเอาใจอย่างคนที่เป็นแฟนกันควรทำเลย แล้ว...ตอนนี้เป้จะเริ่มเบื่อผมที่ชอบขัดใจคำขอของเจ้าตัวอยู่เรื่อยหรือยัง

เราต่างคนต่างไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นต่อจากนั้นอีก ลูกค้าโต๊ะอื่นๆเริ่มทยอยลุกกันออกไปเพราะเริ่มดึกแล้วและวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันทำงาน สักพักเป้จึงยกมือขึ้นโบกเรียกพนักงานให้มาเก็บโต๊ะและคิดเงิน

“ไปเดินเล่นกันก่อนแล้วกันนะ วิวยังไม่ง่วงใช่มั้ย?”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกหลังจากพวกเราเดินออกมาจากร้านแล้ว ท่าทางผมคงใจลอยน่าดูถึงได้เดินตามมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเป้เดินเลยบริเวณลานจอดรถออกมาไกลพอควร ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูและเห็นว่ายังไม่สี่ทุ่มดี และปกติผมก็ไม่ใช่คนนอนเร็วอยู่แล้วถ้าไม่ได้เหนื่อยจนตาแทบปิดจริงๆ จึงพยักหน้าและเลี้ยวตามเป้ไปยังทางเดินที่ทำไว้เลียบแม่น้ำและมีโคมไฟแขวนอยู่ตามเสาเป็นจุดๆ

เป้หยุดยืนก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วหันไปพ่นควันทางทิศที่จะไม่ลอยมาโดนผม ผมจึงเดินไปเท้าแขนที่ราวทางเดินพลางมองไปยังแสงไฟฝั่งตรงข้ามและรอให้อีกฝ่ายสูบบุหรี่หมดมวนโดยไม่พูดอะไร เพราะผมถือว่าเวลานี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับให้อีกฝ่ายใช้ความคิดอะไรเงียบๆคนเดียวได้ และบางครั้งผมเองก็ต้องการช่วงเวลาที่ได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนเหมือนกัน

สักครู่เป้ก็หันไปขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งแล้วหันมาสะกิดผมให้ออกเดินไปตามทางเดินเลียบแม่น้ำด้วยกัน กลิ่นนิโคตินเจือจางที่อ้อยอิ่งอยู่บนตัวคนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกเพราะความจริงแล้วถ้ามีใครจุดบุหรี่ยื่นส่งมาให้ หรือว่ามีใครที่เพิ่งสูบบุหรี่จนกลิ่นติดเสื้อมายืนอยู่ใกล้ๆผมจะทำหน้ายู่ทันที แต่พอเป็นกลิ่นที่ติดตัวของคนคนนี้ผมกลับรับได้ และที่ยิ่งทำให้น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมคิดว่าผมชอบกลิ่นนี้ของเป้เสียด้วยสิ แต่ไม่มีวันเสียล่ะที่ผมจะบอกออกไปให้เป้ได้ใจ เขาว่ากันว่าเด็กๆไม่ควรโดนตามใจจนเหลิง ดังนั้นผมก็เลยกำลังพยายามดูแลไม่ให้เด็กโข่งคนนี้เหลิงเกินไปอยู่ล่ะมั้ง (ถึงเป้จะแก่เดือนกว่าผมก็ตามเถอะ)

“ลมเย็นดีนะ”

“อืม...”

ผมตอบรับในคอ เพราะลมริมน้ำตอนกลางคืนแบบนี้เย็นดีจริงๆ ทั้งที่เป็นหน้าร้อน เราเดินกันได้สักพัก เป้ก็ดึงมือผมให้ไปนั่งที่ม้านั่งว่างตัวหนึ่งด้วยกัน ม้านั่งตัวนั้นไม่ได้อยู่ใต้โคมไฟเสียทีเดียวทำให้แสงไม่จัดจ้าจนเกินไป ด้านหน้าหันเข้าหาแม่น้ำ ส่วนด้านหลังคงเป็นอาคารสำนักงานที่ปิดไฟมืดไปแล้ว พอนั่งลงเรียบร้อยผมก็หันไปเลิกคิ้วมองคนที่พาดแขนมาบนพนักพิงด้านหลังเอาไว้ เป้คงรอจังหวะมานานเลยก้มลงมาจูบขมับผมก่อนจะถอยออกยิ้มให้ แต่ผมยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ห้ามว่านะ ตรงนี้ไม่มีใครเห็นนี่นา ยกเว้นว่าวิวจะเขินคนที่อยู่บนคอนโดฝั่งโน้น” เป้พูดแล้วก็พยักหน้าไปทางคอนโดสูงริมน้ำอีกฝั่งที่มีแสงไฟลอดออกมาเพียงบางห้อง ผมเลยส่งค้อนให้คนพูดไปทีหนึ่ง รู้หรอกว่าผู้ชายค้อนกันมันไม่น่าดู แต่เคสนี้อดไม่ได้จริงๆ

“เออ ไอ้บ้า ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

ผมอดคิดในใจไม่ได้ว่าโชคดีชะมัดที่ไฟตรงนี้สลัว ไม่งั้นเป้ได้เห็นแน่ๆว่าหน้าผมแดงเพราะผิวแก้มมันร้อนไปหมด ไอ้ความขัดเขินที่ชอบเกิดขึ้นเวลาโดนแตะเนื้อต้องตัวนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมต้องทำความคุ้นเคยเหมือนกัน เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีแฟน อย่างดีก็เคยแอบจับมือเด็กผู้หญิงที่ชอบเวลาเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมโรงเรียนสมัยมัธยม แต่พอกลายมาเป็นคนโดนทำอะไรที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยไปทำกับคนอื่นนี่มันก็แหม่งๆเหมือนกันนะ

เป้ใช้มือข้างที่พาดอยู่บนพนักลูบไหล่ผมขึ้นลงเบาๆ ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของใบหน้าคมที่มองตรงไปข้างหน้า แล้วจึงค่อยๆวางหัวตัวเองลงบนไหล่กว้างนั่น นานๆที จะยอมว่าง่ายให้บ้างก็แล้วกัน ถือว่าเพราะตรงนี้ไม่มีใครมาเห็นหรอกถึงยอม

“เมื่อเย็นขอโทษนะ แต่ไม่อยากให้คู่แข่งได้ใจเลยต้องตัดไฟก่อน”

คำพูดของเป้ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองคนพูดพลางขมวดคิ้ว พูดอะไรแปลกๆ คู่แข่งงั้นเหรอ...คู่แข่งอะไรล่ะ แล้วเป้ไปมีคู่แข่งในบริษัทผมได้ไงในเมื่อไม่เคยเข้าไปทำงานในนั้นสักหน่อย

“คู่แข่งอะไรเป้ เมื่อเย็นก็เจอแต่พี่ศิลป์ หรือว่า...”

อะไรบางอย่างเริ่มคลิกในหัว น้ำเสียงห้วนของเป้ตอนที่พี่ศิลป์มายืนดูจอคอมพิวเตอร์อยู่ข้างๆผม ท่าทางแสดงความเป็นเจ้าของตอนเดินออกมาจากบริษัทด้วยกัน นี่เป้สงสัยว่าพี่ศิลป์ชอบผมงั้นเหรอ หน้าตาท่าทางจืดๆแถมไม่ค่อยพูดแบบนี้เนี่ยนะ

“นั่นแหละ เขามองวิวตาละห้อยเลยนะตอนเป้ไปรับออกมาน่ะ”

เป้พูดไปก็ยิ้มไปเหมือนเด็กที่สะใจกับชัยชนะจนผมต้องผลักไหล่หนานั้นด้วยความหมั่นไส้ จะมาภูมิใจทำไมกัน อีกอย่างป่านนี้ผมไม่โดนพี่ศิลป์มองว่าเป็นเด็กในโอวาทหมอนี่ไปแล้วเหรอเนี่ย รู้งี้โวยตั้งแต่ตอนอยู่ในออฟฟิศไปก็ดีหรอก “โอ๊ย!! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ตอนนั้นพี่เค้าแค่มาช่วยดูงานให้ต่างหาก อย่าคิดว่าคนอื่นเค้าจะคิดเหมือนตัวเองกันหมดสิ”

เป้ทำหน้ามุ่ยนิดหน่อยที่โดนผมผลัก แต่แล้วริมฝีปากบางก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะยื่นหน้ามาซะใกล้จนผมต้องรีบถอยเสียเอง

“อย่าคิดว่าคนอื่นเค้าจะคิดอะไร คิดว่าวิวน่ารักน่าอยู่ใกล้ๆ ยิ่งไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากยั่วให้พูดน่ะเหรอ?”

“อะ ไอ้…”

ผมพูดอะไรต่อไม่ออก แต่ที่แน่ๆตอนนี้หน้าร้อนไปทั้งหน้า และถึงแสงจะสลัวแค่ไหนผมก็เห็นว่านัยน์ตาของเป้มองผมเป็นประกายวาวแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องหลับตาปี๋ แต่แล้วก็ต้องลืมตาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆก่อนที่เจ้าเด็กโข่งช่างแกล้งจะล้มตัวลงนอนบนตักแล้วชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นยันพนักวางแขนไว้ ไม่รู้ว่าตอนเด็กกินนมแทนข้าวหรือไงถึงได้ขายาวเป็นบ้า

“นี่! มานอนตักอะไรตรงนี้เล่า ง่วงก็กลับไปนอนที่บ้านสิ พรุ่งนี้ก็ต้องไปช่วยงานพ่อที่บริษัทไม่ใช่รึไง”

เป้หรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมองผมก่อนจะจุ๊ปาก จากนั้นก็ดึงมือผมข้างหนึ่งไปจูบแล้วเอาวางไว้บนอกพลางหลับตาลงใหม่ ถ้าก่อนหน้านี้ผมคิดว่าหน้าตัวเองคงร้อนกว่านั้นอีกไม่ได้ ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมคิดผิด ทำไมหมอนี่ถึงทำอะไรน่าอายได้ด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สานักนะ หรือว่าต่อมความอายจะตายด้านไปแล้วก็ไม่รู้

“ไม่ได้ง่วง แค่อยากนอนตักแฟนเฉยๆ ก็วิวไม่ยอมให้เป้ขึ้นไปบนห้องสักทีนี่นา”

พอโดนท้วงด้วยน้ำเสียงเหมือนงอนหน่อยๆก็ทำเอาผมเกือบสะอึก ก็จริงอยู่ที่คบกันมาก็สองเดือนแล้ว แต่ทุกครั้งที่เป้ขับรถไปส่งผมจะไม่ยอมให้ขึ้นไปที่ห้องเลยสักครั้ง ผมไม่เคยคิดว่านั่นจะทำให้เป้คิดมากหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆสำหรับผม ผมคิด เพราะการที่ผมจะยอมให้เป้เข้าไปในห้องก็เท่ากับผมยอมรับให้เป้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างสมบูรณ์แล้ว จริงอยู่ว่าตอนนี้เราสองคนก็เกือบๆจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะเป้จะไปรอรับผมจากออฟฟิศและหาร้านทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนพาไปส่งที่หอทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นซอกหลืบหนึ่งในใจผมก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลาอยู่ดี

ผมใช้มือข้างที่ว่างปัดผมบนหน้าผากคนที่นอนหลับตาอยู่เบาๆก่อนจะถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ผมยังไม่พร้อมจะรับเป้เข้ามาในชีวิตเต็มที่ขนาดนั้น แน่นอนล่ะว่านั่นรวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่จะพัฒนามากขึ้นไปกว่าการกอดและจูบแบบนานๆครั้งอย่างเช่นตอนนี้ด้วย อาจฟังดูเหมือนคนวิตกจริต แต่ว่าผมยัง...ไม่พร้อมจริงๆ

“เบื่อวิวหรือยังนะ?”

เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นมองผม ในจังหวะเดียวกับที่ผมทำตาโตเพราะรู้ตัวว่าเผลอหลุดคำถามในใจออกมาเป็นคำพูดจริงๆเสียแล้ว น้ำหนักที่เมื่อครู่พาดทับมาบนตักหายไปทันทีเมื่อเป้ดันตัวขึ้นนั่งแล้วรั้งไหล่ผมให้หันไปหา แต่ตอนนี้ผมอยากมองที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่นัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นที่เดียว นึกอยากตบปากตัวเองที่ดันเชื่อมตรงกับความคิดจนเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรให้อีกฝ่ายได้ยินออกไปจนได้

“วิว เมื่อกี้ได้ยินนะ ถามเป้ใช่มั้ย?”

ถามเสาไฟมั้ง...ผมชักนึกอยากจะกวนกลับไปแล้วทำเป็นพูดเรื่องตลกแทน แต่ผมรู้ว่าผมทำไม่ได้ และเป้ก็คงรู้ว่านั่นคือคำถามจากใจผมจริงๆเพราะผมปฏิเสธไม่ออก ให้ตายเถอะ ถ้ารู้แล้วก็เลิกจ้องเสียทีสิ ผมรู้สึกว่ากำลังสูญเสียความมั่นใจจนจะทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว

อ้อมแขนใหญ่รั้งตัวผมเข้าไปกอดไว้ ไม่ถึงกับแน่นจนสร้างความอึดอัด แต่ก็ไม่หลวมไปจนทำให้รู้สึกห่างเหิน ปลายนิ้วใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นนวดคลึงที่ต้นคอให้ขณะที่อีกข้างลูบแผ่นหลังของผมขึ้นลง ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บนกระหม่อมก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะแนบตามลงมา ความอ่อนโยนนั้นทำให้ผมสับสน แค่ผมเผลอถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยอยู่ออกมาเท่านั้นต้องทำให้เป้เป็นห่วงขนาดนี้เลยหรือ

ผมยกมือขึ้นกุมเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ ทั้งที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคนตัวโตถึงได้แสดงสีหน้าเป็นห่วงขนาดนั้น แต่อ้อมแขนแข็งแรงที่กำลังโอบร่างและเสียงหัวใจเต้นจากอกที่แนบชิดก็ทำให้ผมรู้สึกว่าในหัวปลอดโปร่งขึ้นจนต้องหลับตาลง

“เป้ขอมากไปใช่มั้ย? เลยทำให้วิวคิดมาก”

เสียงอบอุ่นที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ผมต้องคิดตาม แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้า ผมไม่รู้ว่าคำถามนั้นมาจากการที่ผมคอยแต่จะบ่ายเบี่ยงข้อเรียกร้องต่างๆของเป้ทางอ้อม หรือเพราะการที่ผมยังสลัดความคิดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่เป้เคยคบมาก่อนมากมายไม่ได้กันแน่ แต่สิ่งที่ผมแน่ใจตอนนี้คือผมตอบคำถามที่เป้ถามไม่ได้ และจู่ๆผมก็รู้สึกว่าในหัวล้าจนไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่ออีกแล้ว

“ไม่รู้ ไม่ใช่หรอก ไม่มีอะไรหรอกเป้ วิวคงทำงานเยอะไปหัวมันเลยเบลอๆน่ะ”

ผมตอบแล้วดันตัวเองออกจากอ้อมอกอุ่นนั้น หากพึ่งพาความอ่อนโยนของเป้มากไป ต่อไปผมก็จะเคยชินและยิ่งอ่อนแอมากเข้าไปอีก และหากผมไม่ต้องการเป็นแบบนั้นผมก็ต้องรู้จักยับยั้งตัวเองให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ แต่ดูท่าว่าเจ้าคนตัวโตตรงหน้านี่จะไม่อยากให้ความร่วมมือเลยนี่สิ

“ไม่เชื่อ ตอบมาดีๆว่าเพราะเป้หรือเปล่า ไม่งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องกลับห้อง”

มาแล้ว พ่อคุณชายเริ่มเข้าโหมดเอาแต่ใจขึ้นมาแล้ว แต่อย่าคิดนะว่าเป้จะเอาแต่ใจได้คนเดียว เวลากำลังเหนื่อยๆแบบนี้ผมก็อารมณ์ขึ้นเป็นเหมือนกัน

“ปัดโธ่เว้ย! จะอะไรกันนักกันหนา เออใช่! เรากลัวเป้เบื่อ เมื่อก่อนเป้ก็ไม่เคยคบผู้ชายนี่ จะมีอะไรเป็นหลักประกันล่ะว่าวันหนึ่งเราจะไม่โดนบอกเลิกแบบโอ๊ค เราไม่อยากเป็นตัวสนองความอยากรู้อยากเห็นให้ใครนะ ถ้าจะเบื่อก็รีบๆเบื่อซะตั้งแต่ตอนนี้แล้วก็เลิกกันไปเลย!”

เป้ทำตาโตขณะที่ผมหอบหายใจแรง ไม่รู้ทำไมจู่ๆในเวลาไม่กี่วินาทีผมก็เปิดเผยความอัดอั้นตันใจให้อีกฝ่ายฟังจนหมดเปลือก บางทีผมอาจจะประสาทไปเองก็ได้ที่คิดมากเรื่องนี้ทั้งที่คบกันได้ไม่นาน แต่ผมไม่อยากให้ตัวเองถลำลึกมากไปกว่านี้กับความอ่อนโยนที่เป้มอบให้ ผมกลัวการที่ต้องตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วพบว่าตัวเองขาดมันไม่ได้แล้ว แต่เป้กลับไปเจอคนอื่นที่ดีกว่าและเปลี่ยนใจไปหาคนคนนั้นแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ผมรีบทำให้เป้รู้ตัวว่าผมเป็นคนแบบนี้ หัวแข็งแบบนี้ ไม่ชอบการทำตามใจใครเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าจะมาสร้างภาพน่ารักจอมปลอมแล้วให้เป้ค้นพบความจริงทีหลังจะดีเสียกว่า

ใบหน้าคมยังจ้องผมนิ่ง นัยน์ตาสีเข้มกะพริบเหมือนยังคิดตามสิ่งที่ผมพูดอยู่ แต่ว่าผมเองเมื่อเริ่มสำนึกได้ว่าเมื่อครู่หลุดปากพูดอะไรไปบ้างก็ชักจะรู้สึกว่าหน้าชาขึ้นมา เพราะอย่างนี้มันไม่เท่ากับตัวเองแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้หมดเลยหรือว่าผมคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เคยคิดว่าจะใจเย็นๆแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็นแต่ก็กลับมาทำตัวเป็นเด็กใจร้อนเองเสียได้ แต่พอผมหันหลังแล้วผลุนผลันจะลุกหนีก็กลับโดนมือแข็งแรงข้างหนึ่งฉุดให้ล้มลงไปนั่งบนตักแข็งๆ แถมเจ้าของตักยังถือวิสาสะโอบแขนรัดเอวผมไว้แน่นอีกต่างหาก

“หัวเราะอะไร!?”

ผมหันไปตวาดเสียงเขียวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในคอเบาๆจากคนที่ตัวเองนั่งทับอยู่ แต่พอหันไปมองก็เห็นนัยน์ตาเป็นประกายระยับที่จ้องอยู่ก่อนแล้วจนต้องรีบหันหนีแทบไม่ทัน เป้กดจมูกลงมาบนแก้มผมแรงๆทีหนึ่งก่อนจะโยกตัวผมเบาๆไปมา แต่ตอนนี้หัวผมตื้อจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเลยได้แต่เงียบอย่างเดียว

“รู้ตัวมั้ย ต่อให้อยากเบื่อยังไงเป้ก็เบื่อวิวไม่ลงหรอก อยากรู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”

ลมหายใจอุ่นที่ระอยู่ข้างแก้มกับเสียงทุ้มที่เอ่ยอยู่ชิดริมหูทำให้หัวใจผมพองโตจนแน่นหน้าอก ความอึดอัดรำคาญใจที่คอยแวะมาเยี่ยมเยียนดูเหมือนจะถูกพัดให้หายไปเป็นปลิดทิ้งจากคำพูดของเป้เพียงไม่กี่ประโยค ใจหนึ่งผมก็นึกอยากรู้ว่าที่เป้พูดนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่นึกอีกที ผมชักไม่ค่อยแน่ใจว่าสิ่งที่เป้คิดจะเป็นสิ่งที่ผมอยากฟังจริงๆหรือเปล่า ไอ้บ้านี่ชอบมองอะไรไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วย หลักฐานก็คือการที่มาชอบผมนี่ไง ดังนั้นผมไม่เออออไปด้วยดีกว่า

“ไม่เอา ไม่อยากรู้ ไม่ต้องบอก พาไปส่งที่หอได้แล้ว”

ผมถองศอกใส่คนด้านหลังไปทีหนึ่งแต่ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก เป้หัวเราะหึๆในคอก่อนจะยอมปล่อยผมให้ลุกจากตักแต่โดยดี เราเดินเคียงข้างกันกลับไปที่รถโดยที่อีกฝ่ายไม่หันมาขอจับมือหรือกอดไหล่อีกเลย แต่บรรยากาศอบอุ่นที่อบอวลอยู่รอบตัวแม้ว่าไหล่ของเราจะไม่สัมผัสกันด้วยซ้ำก็ทำให้ผมอดหันไปยิ้มให้คนตัวโตที่หันกลับมายิ้มตอบไม่ได้

เป้ขับรถมาส่งผมที่ใต้หอหน้าทางเข้าลิฟต์ด้านในแทนที่จะเป็นทางเข้าด้านหน้าเหมือนทุกครั้ง แต่ขณะที่ผมกำลังปลดสายเข็มขัดเพื่อจะออกจากรถเป้ก็หันมาเรียก ผมจึงหันไปหา แล้วก็ต้องสะดุ้งนิดหน่อยที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ยื่นหน้ามาประกบริมฝีปากผมอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ตั้งรับเลยด้วยซ้ำ

“หลับฝันดีนะ คืนนี้จะปล่อยเรื่องขอขึ้นห้องไว้ก่อน แต่หลังจากวันนี้วิวเตรียมใจไว้ได้เลย”

ผมมั่นใจว่าตัวเองคงหน้าแดงเลยไม่พูดอะไรตอบ แต่แล้วพอจะหันไปเปิดประตูรถก็นึกอะไรขึ้นได้จึงชะงัก เป้ยอมตามใจผมด้วยการไม่เร่งรัดผมแล้ว แล้วผมล่ะ ควรจะได้เวลาตามใจอีกฝ่ายเพื่อตอบแทนบ้างหรือยัง

เป้เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างสงสัยเมื่อผมเอี้ยวตัวกลับไปหา ผมจึงรั้งคออีกฝ่ายลงมาหอมแก้มหนักๆทีหนึ่งก่อนจะรีบเดินลงจากรถ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังไล่หลังมาก่อนจะปิดประตูจนได้สิน่า

ผมรีบตรงเข้าลิฟต์แล้วกดไปที่ชั้นหก จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ผมมั่นใจว่าเป้คงยังรออยู่แน่ๆจึงรีบไขกุญแจเข้าห้องและวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ พอเลื่อนประตูกระจกออกไปตรงระเบียงก็ได้เห็นว่าคนตัวโตกำลังยืนพิงรถรออยู่จริงๆ เป้ยิ้มแล้วโบกมือให้ก่อนจะกลับเข้ารถแล้วขับออกไป แต่ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้โบกมือตอบ ผมก็มั่นใจว่าเป้คงสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผมเหมือนกัน

ผมยืนมองจนรถยาริสสีดำลับตาไปแล้วจึงค่อยเดินกลับเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงเปิดแอร์และเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เมื่อออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งผมก็กวาดสายตามองไปยังข้าวของที่วางอยู่โดยรอบ ความจริงห้องผมไม่ได้รกอะไรนักหนาเพราะปกติผมจะเก็บกวาดเป็นระยะอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ใครบางคนมาเยี่ยม สงสัยว่ายังไงก็คงจะต้องจัดข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้สักหน่อยก่อน

เสียงโทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณว่ามีเมสเสจเข้าขณะที่ผมปิดไฟแล้วและกำลังจะล้มตัวลงนอน พอเปิดข้อความที่รู้ดีว่าคนส่งมาคือใครออกอ่านผมก็ต้องยิ้ม แต่ทว่าเมื่ออ่านจบผมก็เพียงปิดเครื่องแล้ววางไว้บนหัวนอนโดยไม่พิมพ์อะไรกลับ ในเมื่อเป้บอกเองว่ายังไงก็ไม่มีวันเบื่อผมลง ผมก็จะเดิมพันกับคำพูดนั้นแล้วให้เป้รอต่ออีกหน่อย ไหนๆก็รอมาได้สองเดือนแล้ว ให้รอต่ออีกสักเดือนก็คงไม่อกแตกตายหรอกน่า ผมคิดก่อนจะกระชับผ้าห่มขึ้นจนชิดคางทั้งที่รอยยิ้มบนหน้ายังไม่ยอมหายไปตลอดทั้งคืน


+------+


“สวัสดีครับ พี่ก้อย พี่ศิลป์”

ผมเอ่ยทักทายก่อนจะตรงเข้าไปวางกระเป๋าลงใต้โต๊ะและเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองขึ้น พี่ก้อยลุกจากที่นั่งมาพร้อมแฟ้มงานเพื่อปรึกษากับผมและตรวจดูข้อมูลกับรูปที่ผมหาไว้ให้เมื่อวานเพื่อเตรียมทำพรีเซ้นต์ ส่วนพี่ศิลป์เอาแต่นั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆทั้งที่ปกติจะคอยชวนคุยจนพี่ก้อยต้องหันไปแซวเป็นระยะว่าเป็นอะไร

ช่วงพักกลางวันผมไม่ได้หิวมากเพราะเมื่อเช้ากินข้าวต้มไปแล้ว จึงแค่ลงไปซื้อลูกชิ้นปิ้งกับผลไม้ขึ้นมาบนออฟฟิศเพราะพี่ก้อยเพิ่งสั่งงานให้ช่วยทำเพิ่ม แต่พอเดินเข้ามาในห้องก็ต้องชะงักที่เห็นว่าพี่ศิลป์ก็ไม่ได้ลงไปกินข้าวเหมือนกัน แต่กระดาษห่อแฮมเบอร์เกอร์และกล่องเฟรนช์ฟรายส์ที่อยู่บนโต๊ะก็บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงเดินลงไปซื้อจากร้านใต้ตึกนี่เองขึ้นมาเป็นอาหารกลางวันแล้ว

“งานเยอะเหรอครับพี่ศิลป์”

“นิดหน่อย พอดีมีรีพอร์ตตัวนึงที่ลูกค้าอยากได้ด่วนเลยต้องรีบเช็คให้เค้าน่ะ”

ผมส่งเสียงรับรู้ในคอ ก่อนจะวางถุงอาหารที่ซื้อมาลงบนโต๊ะและนั่งทำงานต่อ เราต่างคนต่างนั่งทำงานไปโดยไม่คุยกัน แต่โชคดีว่าพี่ศิลป์เปิดวิทยุคลอเอาไว้เบาๆทำให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไปนัก พักหนึ่งผมก็รู้สึกว่าเสียงคลิกเมาส์และคีย์บอร์ดจากสมาชิกร่วมห้องเงียบไปจึงหันไปหา และได้เห็นว่าพี่ศิลป์ที่กำลังนั่งเท้าคางมองผมอยู่สะดุ้งนิดหน่อย เจ้าตัวเลยยกมือขึ้นปิดปากกระแอมก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

ผมนึกถึงสิ่งที่เป้พูดเกี่ยวกับพี่ศิลป์ขึ้นมาทันที แต่ไม่ว่าเป้จะคิดถูกหรือเข้าใจผิดไปเองก็ตาม ผมก็คิดว่าไม่ควรจะให้ความหวังพี่เขาด้วยการรับรู้ว่าเขาแอบมองผมอยู่ดีกว่า พอคิดได้ดังนั้นแล้วจึงหันกลับไปทำงานตามเดิม แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงหมุนเก้าอี้เอี๊ยดอ๊าดดังมาจากด้านหลัง ทว่าผมยังคงนั่งมองหน้าจอแทนที่จะหันกลับไปมองเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องสนใจ

“เอ่อ...วิว”

“ครับ?” ผมตอบรับแต่ไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะว่ากำลังเปิดลิ้งค์สำหรับดาวน์โหลดงานอยู่พอดี

“เพื่อนที่มาหาวิวเมื่อวานน่ะ...เค้า...เอ้อ...”

“ครับ เค้าทำไมเหรอ?”

คราวนี้ผมหันกลับไปมองคนถามตรงๆ พี่ศิลป์ทำท่าอ้ำๆอึ้งๆ แต่ผมคิดว่าถ้าหากพี่ศิลป์กล้าถามขึ้นมาจริงๆ ผมก็กล้าตอบไปตามความจริงเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายเพียงแค่จ้องหน้าผมอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้

“คือ...ไม่มีอะไรว่ะ ช่างมันเถอะ ที่จริงไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ ท่าทางขี้หวงออกนอกหน้าซะขนาดนั้น”

ผมหัวเราะเบาๆเมื่อคนถามหันกลับไปนั่งเท้าคางพลางคลิกเมาส์ของตัวเองไปเรื่อยๆต่อ ผมจึงหันกลับมาหางานของตัวเองบ้าง อดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าจะไปเล่าให้เจ้าตัวฟังดีไหมว่าโดนนินทาว่ายังไง แต่เมื่อคิดดีๆแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าไม่เล่าดีกว่า ขืนเป้ได้ใจแล้วบอกว่าตัวเองคิดถูกที่หึงพี่ศิลป์ เดี๋ยวก็คงได้เถียงกับผมจนเป็นเรื่องอีกรอบแน่

จากหางตาผมเห็นแสงเรืองๆจากหน้าจอมือถือที่เปิดสั่นไว้จึงรีบยกขึ้นกดรับ แล้วก็ต้องยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เพิ่งถูกพูดถึงพอดีทักทายมา เพิ่งจะพักกลางวันเองแท้ๆจะมารีบถามว่าตอนเย็นจะกินอะไรทำไมก็ไม่รู้

ผมคุยกับเป้ต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะวางสาย ทว่าพอลุกขึ้นเพื่อจะเอาแก้วน้ำไปเติมน้ำเย็นจากในครัวก็ได้ยินเสียงพี่ศิลป์ลอยมาเบาๆ และสิ่งที่ได้ยินก็ทำเอาผมต้องรีบเดินหนีเพราะร้อนไปทั้งหน้า พี่ศิลป์นะพี่ศิลป์ ยังดีว่าตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวันเลยไม่มีคนอื่นในออฟฟิศ ไม่งั้นโดนผมโมโหใส่แน่

“เฮ้ออออ อิจฉาคนมีแฟนแล้วโว้ยยย”


++---End แรกเปิดใจ---++







 

Create Date : 12 กันยายน 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:22:58 น.
Counter : 692 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: ขอแค่มีรัก


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ขอแค่มีรัก


เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นจังหวะสามครั้งฉุดความสนใจผมจากข่าวภาคดึกที่กำลังดูอยู่ ผมจึงค่อยพลิกตัวลุกขึ้นจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงแล้วเดินไปที่หน้าห้อง ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาหาคือใคร พอๆกับที่เจ้าตัวก็รู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ในห้อง จึงไม่ถือวิสาสะไขกุญแจเข้ามาทั้งที่ตัวเองก็มีก๊อปปี้อยู่แล้ว

“ไง”

เจ้าของเสียงยิ้มทักทายพลางเบี่ยงตัวเข้ามาด้านใน หลังจากปิดประตูตามหลังแล้วแขนแกร่งก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ริมฝีปากอุ่นซึ่งแนบลงบนขมับบวกกับลมหายใจอุ่นซึ่งเป่าลงบนใบหูอย่างแผ่วเบาทำให้จั๊กกะจี้หน่อยๆ แต่ความคิดถึงก็ทำให้ผมยกแขกขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบแล้วลูบแผ่นหลังกว้างไปมา

เราซึมซับความอบอุ่นในอ้อมแขนของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะถอยออกและยิ้มให้กับเป้ที่ยิ้มมองผมอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็สังเกตได้ถึง ริ้วรอยของความเหนื่อยล้าที่รอยยิ้มสดใสนั้นปิดไว้ไม่มิด ผมจึงเลื่อนมือทั้งสองลงไปจับมือของเป้เอาไว้แล้วบีบเบาๆ

“ตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ?”

เป้พยักหน้าก่อนจะจูงมือผมไปที่เตียง พอได้นั่งปุ๊บพ่อตัวดีก็รั้งเอวผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆก่อนจะซบหน้าลงมาบนไหล่ ดูแล้วอย่างกับเด็กที่กำลังต้องการออดอ้อนก็ไม่ปาน

“เหนื่อยเป็นบ้า ไม่เข้าใจเลยว่าอาจารย์จะบังคับจัดกลุ่มให้ทำไม นี่ถ้าให้เลือกสมาชิกกันเองตั้งแต่ต้นเป้คงทำรายงานเสร็จไปนานแล้ว”

พอจบประโยคคนพูดก็ถอนหายใจยาวก่อนจะไซ้คอผมไปมา แต่เหมือนด้วยอารมณ์ง่วงๆเสียมากกว่าผมเลยไม่ได้ทักท้วงอะไร และที่จริงผมก็เห็นใจคนข้างตัวอยู่เหมือนกัน เพราะรายงานกลุ่มที่ว่านี้เป็นวิชาบังคับของเป้ซึ่งผมไม่ได้ลงด้วยเพราะเราเรียนกันคนละเอก แถมอาจารย์ที่สอนก็ใช้วิธีบังคับจับกลุ่มให้แบบสุ่มเลือกรหัสนักศึกษา กลุ่มที่เป้ต้องทำรายงานด้วยจึงมีแต่เพื่อนที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน แถมกว่าจะรู้ว่าเนื้อหาที่เตรียมมาของเพื่อนบางคนมีปัญหาก็เมื่อไม่กี่วันก่อนทั้งๆที่กำลังจะต้องเตรียมพรีเซ้นต์กันอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาเป้จึงต้องไปขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ทำรายงานนั้นด้วยกันเพื่อช่วยซ่อมรายงานใหม่จนดึกดื่นแทบทุกวัน ประกอบกับช่วงเดียวกันผมก็ยุ่งกับการทำรายงานของตัวเองแม้ว่าจะเป็นรายงานเดี่ยวก็ตามที เป้เลยกลับไปนอนที่บ้านเพราะถึงอย่างไรก็ปลอดภัยกว่าต้องขับรถมาหาผมตอนดึกๆ ทำให้เราได้เจอกันแค่ที่มหาวิทยาลัยตอนกลางวันและโทรคุยกันตอนกลางคืนเท่านั้น

ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะเหลือบกลับลงหาเด็กโข่งที่เป่าลมหายใจรดคอผมอยู่ ตอนนี้สี่ทุ่มกว่าซึ่งตามปรกติก็นับว่าเลยเวลาของมื้อเย็นมาพอสมควรแล้ว แต่ถึงยังไงก็ควรจะถามเพื่อให้แน่ใจไว้ก่อนว่าคนที่มาหาไม่ได้กำลังหิวโซอยู่

“เป้หิวหรือเปล่า? จะไปตลาดโต้รุ่งกันก่อนมั้ย เดี๋ยววิวไปนั่งเป็นเพื่อน”

ผมถามไปก็ยักไหล่เป็นเชิงปลุกไปด้วยเพราะไม่รู้เป้หลับหรือเปล่า พอจบประโยคคำถามปุ๊บ อ้อมแขนที่ตอนแรกโอบเอวผมไว้หลวมๆก็รัดแน่นขึ้นทันที ก่อนที่คนตัวโตจะถอยออกแล้วยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายราวกับไม่เคยง่วงมาก่อนอย่างนั้นแหละ

“ไม่เอาล่ะ เมื่อเย็นกินข้าวกับพวกที่ทำรายงานด้วยกันไปแล้ว ตอนนี้เป้อยากกินของหวานมากกว่า”

ผมมองนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของคนพูดที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบแล้วก็รู้สึกว่ามุมปากตัวเองยกขึ้นนิดๆโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความอ่อนใจมากกว่าเขิน ถ้าหากโดนแหย่แบบนี้ตอนเพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆเป้อาจโดนผมโวยใส่ไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าตัวเองรับมือเวลาโดนแซวได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ...ล่ะมั้ง?

“ของหวานอะไร เมื่อกี้ยังบ่นเหนื่อยอยู่เลย ไปอาบน้ำแล้วนอนดีกว่าไป เดี๋ยววิวเอากางเกงนอนให้”

ผมแงะมือที่รัดเอวเอาไว้แล้วลุกหนีไปเปิดตู้เสื้อผ้า ทว่าพอหยิบกางเกงแล้วหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งเพราะคนร่วมห้องลุกตามมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมตอนนี้ยังยื่นแขนสองข้างมายันประตูตู้เสื้อผ้าไว้ไม่ให้ผมหนีเสียอีกด้วย

“อาบก็ได้ แต่ไหนๆก็ไม่ได้มาหาตั้งหลายวัน วิวช่วยอาบให้หน่อยสิ”

เป้ก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงต่ำทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนมุมปากจนผมต้องกลอกตา เอากับพ่อเจ้าประคุณสิ ขนาดตรรกกะที่ฟังแล้วไม่ได้ขึ้นเลยยังจะอุตส่าห์เอามาใช้แถเข้าข้างตัวเองจนได้ เวลาใครพูดถึงเป้ให้ฟังว่าดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนี่ผมอยากให้มาได้ยินประโยคเมื่อกี้เสียจริงๆ ผมไม่เถียงหรอกว่าบางทีเป้ก็ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คนอื่นว่า แต่เวลาอยู่กับผมสองคนแล้วรู้สึกว่าความเป็นเด็กที่เจ้าตัวซุกซ่อนไว้จะชอบออกมาวิ่งเล่นอย่างเริงร่าเสียเหลือเกิน

“เรื่องอะไร ขืนไปอาบให้ก็...ฮื้อ”

ผมพูดไม่ทันจบประโยค จู่ๆแขนแกร่งข้างหนึ่งก็รั้งเอวผมเข้าไปหาก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะแนบลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว เป้ใช้ร่างตัวเองดันเข้าหาจนหลังผมติดกับตู้เสื้อผ้าโดยไม่ยอมปล่อยริมฝีปากออก ความที่ร่างกายถูกเบียดระหว่างแผ่นไม้ด้านหลังกับร่างหนาจนเจ็บข้อศอก ทำให้ผมต้องยอมปล่อยกางเกงในมือให้ร่วงลงบนพื้น แล้วยกแขนทั้งสองขึ้นโอบรอบคอของร่างสูงเพราะไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น แต่ถึงแม้ว่าเรียวลิ้นของเป้จะยังรุกไล้หยอกเย้าบนเรียวปากผมไม่ห่าง ผมก็บอกได้โดยสัญชาติญาณว่าอีกฝ่ายต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

เสียงหอบหายใจของเราสองคนก้องกังวานแข่งกับเสียงโทรทัศน์ที่ผมไม่รู้ว่ากำลังฉายรายการอะไร แต่แล้วเมื่อลำแขนข้างที่ไม่ได้โอบเอวผมอยู่เลื่อนลงยกขาข้างหนึ่งขึ้นทั้งในท่ายืน สติผมก็ถูกดึงกลับมาและบอกตัวเองให้รีบลืมตาและทุบแผงอกกว้างเพื่อประท้วงทันที แต่ดูท่าคนตัวโตกว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ซ้ำยังอมยิ้มชอบใจกลับมาให้เสียอีก

“เป้! เล่นอะไรเนี่ย!?”

ผมพยายามทำตาดุใส่คู่กรณีซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยขาผมแล้วยังแถมจงใจเบียดร่างกายท่อนล่างเข้าหามากกว่าเดิมเสียอีก ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนและเกร็งแน่นที่แนบท่อนล่างของตัวเองอยู่แม้เราจะยังสวมเสื้อผ้ากันครบทุกชิ้นก็ตาม ผิวหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อใบหน้าคมโน้มลงหาแล้วขบติ่งหูเบาๆจนต้องหดคอหนี ขาที่ถูกรั้งขึ้นข้างหนึ่งทำให้ผมยืนไม่ถนัด และถ้าไม่ใช่เพราะด้านหลังเป็นตู้เสื้อผ้าและด้านหน้าเป็นร่างสูงที่เบียดจนชิดผมก็คงเสียหลักล้มลงไปบนพื้นแล้ว

“ไม่ได้เล่น แค่คิดว่าทำตรงนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ หรือวิวว่าไง?”

เป้พูดเสียงต่ำพลางไล้ริมฝีปากอุ่นไปมาผะแผ่วอยู่บนผิวแก้ม แค่นั้นไม่พอ พอเห็นผมเม้มปากแน่นพลางหลบตาหนี พ่อเจ้าประคุณก็ยกขาผมอีกข้างขึ้นแล้วช้อนตัวจนขาลอยจากพื้น อารามตกใจทำให้ผมอุทานและรีบโอบแขนรอบลำคอแกร่งพร้อมกับหนีบขาทั้งสองไว้รอบเอวหนาเพราะกลัวหล่น ทว่าพอได้เห็นนัยน์ตาซุกซนที่กำลังจ้องมายิ้มๆก็ให้นึกอยากเปลี่ยนจากที่กำลังโอบคออีกฝ่ายเป็นบีบคอแทนขึ้นมาทันที

คนเป็นผู้ใหญ่จริงเค้าจะทำอะไรแบบนี้กันมั้ยล่ะ!!

“เป้มีให้สองตัวเลือก วิวเลือกแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน”

คนพูดพูดไปก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ไป ผมจึงพยายามขืนตัวออกเพราะรับรู้ได้ถึงอันตรายตรงหน้า แม้ว่าจากท่าที่โดนอุ้มอยู่จะไม่เปิดโอกาสให้ผมทำอย่างที่ใจต้องการได้สักเท่าไหร่ แต่ความคุ้นเคยกับความเอาแต่ใจแบบเด็กๆของเป้ก็ทำให้รู้ว่า ถึงจะมีตัวเลือกมาให้สักกี่สิบตัวผมก็ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี

“ไม่เอาแบบไหนทั้งนั้นแหละ เมื่อกี้ใครนะที่บ่นว่าเหนื่อย โกหกกันเห็นๆเลยนี่”

ผมพยายามบ่ายเบี่ยงและหลบสายตาคมที่หรี่มองผมยิ้มๆไปด้วย พลันก็นึกอยากให้ตัวเองตัวใหญ่เท่าเป้หรือไม่ก็อ้วนกว่านี้จนอีกฝ่ายอุ้มไม่ไหว ผมจะได้เลิกโดนแกล้งแบบโต้ตอบไม่ได้แบบนี้เสียที แต่ท่าทางคนแกล้งจะไม่ได้นำพากับความคิดกระด้างกระเดื่องในใจของผมเลยสักนิด

“ไม่ได้โกหก เมื่อกี้เหนื่อยจริงๆแต่ตอนนี้หายแล้ว ว่าแต่วิวไม่ยอมเลือกเองแบบนี้...งั้นเป้เลือกให้ก็แล้วกัน”

ร่างสูงก้าวถอยโดยที่ยังอุ้มผมไว้ราวไม่รับรู้ถึงน้ำหนัก แต่พอร่างกายผละออกจากตู้เสื้อผ้าที่คอยรองรับ อากาศเย็นๆในห้องที่พรูผ่านเสื้อเข้ามาบนแผ่นหลังก็ทำให้ผมรู้สึกหวิวจนต้องโอบแขนรอบคอแข็งแรงแน่น ทว่าเมื่อได้เห็นจุดหมายที่เป้กำลังพาเดินไปก็ต้องถอยออกถลึงตาให้คนตัวโตที่เกิดหน้าเป็นผิดเวลาขึ้นมาทันที น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆว่าเป้เก่งแค่ไหนกับการใช้คำพูดของผมมาย้อนใช้กับผมเอง แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้นก็ยังหาวิธีรับมือเจ้าคนตัวโตแถมเอาแต่ใจคนนี้ไม่ได้อยู่ดีสิน่า

“ก็วิวอยากให้เป้อาบน้ำไง แต่ไหนๆคืนนี้วิวก็ต้องอาบน้ำใหม่อยู่แล้ว งั้นก็อาบด้วยกันเลยดีกว่าจะได้เสร็จๆไปทีเดียว”


+------+


ผมนอนมองแสงไฟจากทางต่างระดับที่เห็นได้ลิบๆจากหน้าต่างห้อง ด้านหลังมีคนตัวใหญ่นอนประกบอยู่โดยที่แขนข้างหนึ่งล็อกเอวผมไว้หลวมๆ ลมหายใจอุ่นซึ่งระอยู่บนต้นคอด้านหลังอย่างสม่ำเสมอทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่น่าแปลกที่ถึงแม้จะล่วงเลยเวลาแห่งการอาบน้ำของเราสองคนมานานแล้ว แต่ผมกลับยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือกระวนกระวายที่นอนไม่หลับอีกด้วย

สายตาของผมจับจ้องไปยังแสงบนทางต่างระดับต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าเสียงลมหายใจด้านหลังสะดุดลงจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ได้เห็นว่าเป้กำลังเท้าศอกข้างหนึ่งขึ้นพลางจ้องมองผมอยู่ มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นบีบจมูกผมเบาๆจนผมต้องย่นจมูกใส่

“ตื่นมาทำไม? พรุ่งนี้ต้องพรีเซ้นต์งานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”

ผมเอ่ยถามก่อนจะพลิกตัวตะแคงกลับไปหาและเว้นระยะไว้นิดหนึ่ง ถึงเราจะรักกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องกอดกันกลมตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะถึงอย่างไรระหว่างคนสองคนก็ต้องมีที่ว่างเว้นไว้บ้างเพื่อไม่ให้ต่างคนต่างอึดอัดจนเกินไป ผมจึงคิดว่านี่เป็นข้อดีข้อหนึ่งของการที่เป้ไปๆมาๆระหว่างบ้านกับหอของผม เพราะมันทำให้เราต่างได้มีเวลาที่เป็นส่วนตัวอย่างแท้จริงเหลืออยู่บ้าง

“ไม่รู้สิ สงสัยนอนดึกติดกันหลายคืนร่างกายเลยชินมั้ง งีบไปแค่นิดเดียวก็หายง่วงแล้ว วิวน่ะแหละทำไมยังไม่นอนอีก?”

เป้พูดไปก็เลื่อนมือขึ้นเสยผมให้ ผมจึงหลับตาลงพลางระบายลมหายใจยาวกับสัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วแกร่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงการขยับตัวที่บอกให้รู้ว่าร่างสูงใหญ่ลดตัวลงนอนตะแคงอยู่ข้างๆ แม้ไฟในห้องจะดับหมดแล้วแต่แสงไฟสลัวจากนอกหน้าต่างก็สะท้อนจนผมเห็นนัยน์ตาวาววามของเป้ได้ชัด

“ไม่รู้เหมือนกัน พยายามจะนอนแล้วแต่มันไม่ง่วงน่ะ”

ผมตอบเสียงเบา อาจเป็นเพราะความมืดและความเงียบของยามค่ำคืนทำให้แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังสะท้อนดังจนผมไม่อยากทำลายความสงบนั้น คนร่วมเตียงจึงส่งเสียงรับรู้ก่อนจะโอบเอวผมเข้าไปหาแล้วลูบแผ่นหลังผ่านเสื้อเนื้อบางไปมา ผมอดจะอมยิ้มหน่อยๆไม่ได้เมื่อนึกได้ว่าความจริงแล้วคนที่น่าจะเป็นคนกล่อมอีกฝ่ายให้หลับมันน่าจะเป็นผมมากกว่า ในเมื่อวันรุ่งขึ้นคนที่ต้องรีบตื่นเพื่อเตรียมไปพรีเซ้นต์หน้าห้องคือเป้แท้ๆ กลับกลายเป็นตอนนี้เจ้าตัวพยายามจะช่วยให้ผมหลับไปเสียนี่

“ทำไมวิวไม่ค่อยห้อยแหวนที่เป้ให้เลยล่ะ”

เพราะความที่เราสองคนต่างเงียบกันไปนานจนผมเองก็เริ่มจะเคลิ้มเพราะสัมผัสอบอุ่นบนหลัง พอได้ยินคำถามจึงลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นว่าสายตาคมกำลังจับจ้องคอของผมพร้อมๆกับที่ใช้ปลายนิ้วอุ่นไล้ผิวบริเวณนั้นไปมา ผมจึงยกมือขึ้นจับมือเป้เอาไว้เพราะเริ่มจะจั๊กกะจี้ขึ้นมาหน่อยๆ

“ก็กลัวหายเลยเก็บไว้ที่ห้อง กลัวมันดำด้วย อีกอย่างเป้ก็รู้นี่ว่าวิวไม่ค่อยชอบใส่ของพวกนี้”

ผมตอบพลางระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ความจริงก็พอจะรู้ว่าคนถามคงน้อยใจอยู่เหมือนกันที่ผมไม่ค่อยใส่ของขวัญวันเกิดที่เจ้าตัวซื้อให้อวดใครต่อใครบ้างเลย แต่ว่าปรกติผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว คือนอกจากของที่มีฟังก์ชันใช้งานได้อย่างนาฬิกาข้อมือแล้วผมจะไม่ใส่เครื่องประดับอย่างอื่นเลย ขนาดสร้อยพระก็ยังไม่เคยห้อยเลยด้วยซ้ำ จู่ๆจะให้เปลี่ยนความเคยชินกันแบบฉับพลันทันทีก็คงจะยาก

เป้เงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมาบ้างแล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งที่อีกฝ่ายพูดทำให้ผมต้องหัวเราะเบาๆออกมา

“เอาเถอะ รักเค้าไปแล้วนี่ทำไงได้ วิวไม่โยนแหวนเป้ทิ้งก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

ถ้าไม่ติดว่าโดนกอดอยู่ผมจะทุบคนพูดเข้าให้สักอึ้ก ไอ้คำพูดที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ทำให้คนฟังรู้สึกตะหงิดในใจได้นี่พ่อตัวดีเก่งนักเชียว แต่อย่านึกเลยว่าแค่นี้จะทำให้ผมรู้สึกผิดได้ เพราะผมก็รู้ดีพอๆกับที่เป้ก็รู้ ว่าใช่ว่าผมจะไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่เป้ให้มาเสียเมื่อไหร่

“รู้ตัวก็ดี งั้นก็หยุดบ่นได้แล้ว ยังไงวันหลังจะเอาออกมาใส่บ้างแล้วกัน...ถ้าไม่ลืม”

ผมสำทับไปก่อนจะหลับตาลงใหม่ ในใจคิดว่าคราวนี้คงจะได้หลับพักผ่อนจริงๆเสียที แต่แล้วก็ต้องลืมตาพรวดแล้วขืนตัวออกทำตาดุใส่คนที่แกล้งหลับทั้งที่เพิ่งตีก้นผมไปหมาดๆ

“เป้ ยังอยากนอนบนเตียงอยู่มั้ย!?”

ผมลืมตัวโวยเสียงเขียว แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะเสียงห้วนหรือเปล่า ก็ใครใช้ให้เป้มาทำร้ายร่างกายผมก่อนล่ะ ต่อให้เป็นแฟนกันก็ตามทีเถอะ แต่ดูเหมือนคำพูดแข็งๆกับตาวาวๆของผมจะไม่ทำให้คนทำผิดสำนึกตัวขึ้นมาเลยสักนิด เพราะคนถูกโวยแค่หรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมองผมยิ้มๆก่อนจะปิดตาลงแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง

“แหงสิครับ แฟนเป้นอนที่ไหนเป้ก็นอนที่นั่นแหละ วิวก็นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนด้วยกันแต่เช้าอีก ฝันดีครับ”

โอ๊ย!! ไอ้ตอแหล!!! ทีอย่างนี้ล่ะทำหน้าซื่อตาใส พูดจามีหางเสียงเอาใจขึ้นมาเชียว ผมอดจะกลอกตาอย่างเหนื่อยใจไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าถึงจะบ่นหรือดิ้นหนีตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะสองแขนที่รัดร่างไว้แน่นบวกกับตาที่ปิดสนิทและรอยยิ้มน้อยๆนั่นก็บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายตัดบทสนทนาไปแล้ว สุดท้ายผมจึงต้องยอมนอนนิ่งๆและหลับตาลงแต่โดยดีบ้าง ทว่าระหว่างที่ในหัวเริ่มจะพร่าเลือนเพราะถูกความง่วงงุนเข้าครอบงำ ผมก็ยังไม่วายคิดถึงคำพูดของเป้ตอนที่คุยกันเรื่องแหวนขึ้นมาอีก และความคิดนั้นก็ทำให้ต้องถอนหายใจเบาๆก่อนจะสอดแขนออกไปโอบเอวคนที่ทำท่าจะไม่ยอมปล่อยผมทั้งคืนตอบ

เอาเถอะ ก็รักเค้าไปแล้วนี่ ทำไงได้ล่ะนะ...


+----End ขอแค่มีรัก---+




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:22:29 น.
Counter : 757 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: ของขวัญที่เฝ้ารอ


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : ของขวัญที่เฝ้ารอ


เสียงสัญญาณเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่ดังกังวานไปทั่วห้องทำให้ผมรีบหยิบผ้าขนหนูขึ้นซับหน้าแล้วตรงดิ่งไปหยิบมือถือขึ้นดู ทว่าหมายเลขโทรเข้ากลับไม่ใช่หมายเลขของคนที่รออยู่แต่เป็นชื่อ “Anonymous” ผมเลยขมวดคิ้วก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นรับ

“สวัสดีครับ”

“วิวเหรอ? นี่โอ๊คนะ เป็นไงบ้าง ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”

เสียงของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีทำให้ผมส่งเสียงอุทานด้วยความดีใจ “โอ๊คเหรอ? ไม่ได้คุยกันนานจริงๆด้วย นี่อยู่ที่ซิดนีย์อยู่ใช่มั้ย? หรือว่ากลับมาเยี่ยมบ้าน?”

“เปล่าๆ พอดีหม่าม้ามาเยี่ยม นี่ก็บ่นอู้เลยว่าอากาศร้อน เห็นว่าปีนี้ที่เมืองไทยหนาวมากนี่นา เราก็อยากกลับไปเยี่ยมแต่คงไปช่วงปิดเทอมใหญ่เลย แล้วนี่วิวอยู่ที่บ้านหรือเปล่า? ที่สกลฯน่าจะหนาวยิ่งกว่ากรุงเทพฯนี่”

เสียงใสเจื้อยแจ้วตามประสาคนช่างพูดจนผมต้องยิ้ม น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงสุขสบายดีกับการใช้ชีวิตนักเรียนนอก หลังจากที่โอ๊คบินไปออสเตรเลียแล้วส่วนใหญ่เราจะติดต่อกันทางอีเมล์เสียมากกว่าเลยไม่ค่อยได้คุยกันนัก ครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวโทรมาก็ตั้งแต่วันเกิดผมเมื่อปีที่แล้ว

“ปีนี้ไม่ได้กลับน่ะ พอดีช่วงหยุดยาวนี่พ่อกับแม่เค้าไปเที่ยวมาเลเซียกับพวกญาติๆ แต่ว่าเราไม่สบายก็เลยอยู่ที่หอนี่แหละ”

“อ้าว? แล้ววิวอยู่คนเดียวเหรอ เป้ไปไหนล่ะ?”

ผมเดินไปเลื่อนเปิดกระจกหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายนอกถ่ายเทเข้ามาแล้วก็มองลงไปยังลานจอดรถที่มีรถยาริสสีดำของใครบางคนจอดอยู่ ที่จริงเจ้าของรถจะจอดทิ้งไว้ที่บ้านตัวเองก็ได้ แต่ก่อนวันเดินทางไปต่างประเทศเป้กลับเอากุญแจมาให้ผมแล้วบอกว่าฝากดูแลรถแทนให้ด้วย ทำอย่างกับว่าถ้าบินกลับมาปุ๊บก็ต้องตรงมาหาผมก่อนเพื่อเอารถคืนปั๊บอย่างนั้นแหละ ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าเจ้าตัวเคยโดนที่บ้านถามบ้างหรือเปล่าว่าที่ไม่ชอบกลับบ้านนี่เพราะไปขลุกอยู่ที่ไหน

“เป้ไปเยี่ยมพี่ชายที่อังกฤษกับที่บ้านน่ะ เห็นว่าคงบินกลับมาก่อนเปิดเทอมวันนึงมั้ง”

“เหรอ...แต่อย่างนี้วิวก็ต้องอยู่คนเดียวทั้งที่ไม่สบายน่ะสิ”

“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่เจ็บคอนิดหน่อย เดี๋ยวกินยาลดไข้แล้วนอนพักก็น่าจะหาย”

“ได้ยังไง วิวไปหาหมอดีกว่า แล้วก็ให้ทายนะ นี่คงไม่ได้บอกเป้แหงเลยสิท่าว่าตัวเองไม่สบาย?”

โอ๊คจุ๊ปากแล้วก็ดักคออย่างรู้ทันจนผมยิ้มเจื่อนๆแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม

“เราไม่ได้เป็นอะไรจริงๆโอ๊ค ไม่ต้องห่วง”

ผมยืนยันไม่ลดละจนสุดท้ายคนทักก็ต้องยอมแพ้ “เอาเถอะ ว่าแต่นี่เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกับหม่าม้าแล้วล่ะ เดี๋ยววันหลังจะโทรมาใหม่ ยังไงวิวอย่าลืมไปหาหมอนะ”

“อื้ม ขอบคุณนะโอ๊คที่โทรมาหา บาย”

ผมกดวางสาย ลมเย็นๆที่โชยเข้ามาจากช่องหน้าต่างที่เปิดไว้ทำให้เริ่มหนาวจนต้องรีบเลื่อนปิด ผมยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองแล้วก็ต้องถอนหายใจ บางทีการไปหาหมอกันไว้ก่อนอย่างที่เพื่อนแนะนำอาจจะดีกว่าก็ได้


+------+


ผมปิดโทรทัศน์หลังจากไล่กดรีโมทครบทุกช่องจนวนกลับมาที่ช่องแรกเป็นรอบที่สอง ก่อนอาการคันและแสบร้อนในคอจะทำให้ต้องฝืนยกตัวที่เมื่อยล้าไปกดน้ำอุ่นจากกระติกมาจิบและเอาสองมืออังกับแก้วไว้ คุณหมอที่คลินิกบอกว่าคงเพราะอากาศที่หนาวจัดในปีนี้ประกอบกับไข้หวัดที่กำลังระบาดทำให้ผมไม่สบายขึ้นมา แต่ผมก็คิดเอาเองว่ายังดีที่เพิ่งจะมามีอาการเอาในช่วงวันหยุดที่ไม่ต้องมีธุระไปไหน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดป่วยขึ้นมาระหว่างที่ยังสอบไม่เสร็จคงทำให้อารมณ์เสียแน่ๆ

ตอนแรกที่เป้มาบอกผมว่าต้องไปเยี่ยมพี่ชายที่ต่างประเทศกับครอบครัว ผมก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนกันเพราะวันหยุดปีนี้ยาวมาก แต่พอได้รู้ว่าพ่อกับแม่วางแผนจะไปเที่ยวมาเลเซียกันผมเลยขอตัวอยู่หอคนเดียว เพราะท่าทางก๊วนที่ไปด้วยก็คงมีแต่พวกญาติผู้ใหญ่ที่ผมไม่สนิท อีกอย่างต่อให้โดนกระเตงไปจริงๆ สังขารที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงทำให้ผมเที่ยวไม่สนุกอยู่ดี

นาฬิกาบนผนังชี้บอกเวลาสามทุ่มกว่าซึ่งถือว่ายังหัวค่ำอยู่มาก แต่อาการเวียนหัวที่คอยจู่โจมเป็นระลอกก็เหมือนจะส่งสัญญาณให้ผมรีบพักผ่อนเร็วๆ ผมเลยกินยาที่หมอสั่งให้สำหรับก่อนนอนแล้วปิดไฟในห้องจนเหลือเพียงโคมไฟหัวเตียง อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอีกในยามค่ำทำให้ผมต้องเอาผ้าห่มมาคลุมตัวถึงสองชั้นแม้ว่าจะใส่เสื้อไหมพรมเนื้อหนาทับชุดนอนและสวมถุงเท้าแล้วก็ตาม

อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวและความปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อทำให้ผมนอนพลิกไปมาอย่างไม่สบายตัว ได้แต่พยายามข่มตาให้หลับขณะรอยาออกฤทธิ์เพื่อจะได้พักผ่อนเสียที ถึงแม้อาการป่วยที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้ถือว่ารุนแรงหนักหนาอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบความรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้อยู่ดี

หลังจากที่การข่มตาหลับอยู่เป็นนานไม่ส่งผล ผมเลยเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างหมอนก่อนจะกดหาเบอร์คนที่ได้คุยกันครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ ทั้งที่ผมเคยบอกก่อนเจ้าตัวจะบินไปอังกฤษแล้วว่าอยู่ที่โน่นไม่ต้องโทรกลับมาทุกวันก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพ่อตัวดีก็ไม่ยอมฟัง ยิ่งหลังจากผมหลุดปากว่าช่วงวันหยุดนี้ไม่ได้กลับบ้านเป้เลยยิ่งโทรมาเช็คทั้งเช้าทั้งเย็น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นแก่ตัวพอจะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจเลยพยายามปิดเรื่องที่ตัวเองไม่สบายเอาไว้ พอเห็นเวลาที่เป้โทรมาหาครั้งล่าสุดผมก็อดนึกถึงบทสนทนาตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


“วิวกินข้าวหรือยัง แล้ววันนี้กะจะออกไปไหนหรือเปล่า?”

“เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้คงนั่งๆนอนๆอยู่ที่ห้องนี่แหละ แล้วเป้ล่ะ?”

“เห็นพ่อกับแม่คุยกันว่าอยากขึ้นไปดูปราสาทโบราณที่เอดินเบิร์ก แต่พี่ปิ่นกับยายปอนด์อยากข้ามไปเที่ยวปารีส เลยยังตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะไปไหนกันแน่”

เสียงที่แสดงความเซ็งของคนพูดทำเอาผมอมยิ้ม ความจริงแล้วเป้ก็เป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวพอสมควร เคยขับรถพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดก็หลายครั้ง แต่เจ้าตัวเคยบอกว่าตั้งแต่โตมาไม่ค่อยชอบไปเที่ยวพร้อมหน้ากับครอบครัวเท่าไหร่เพราะคนยิ่งเยอะก็ยิ่งยุ่งยากเวลาจะตัดสินใจทำอะไรแต่ละที

“ดีจังนะ ครอบครัวได้ไปเที่ยวไกลๆด้วยกัน พี่ชายเป้คงดีใจที่ทุกคนไปเยี่ยม”

“ปูมก็คงดีใจแหละ แต่ก็แอบมาบ่นเหมือนกัน นี่ถ้ารู้ว่าวิวจะไม่กลับบ้านช่วงนี้เป้ชวนมานี่ด้วยแล้ว”

“บ้า จะให้ไปเป็นส่วนเกินในทริปครอบครัวคนอื่นได้ไง อีกอย่างค่าเครื่องบินวิวก็ไม่มี แล้วก็ไม่ต้องบอกนะว่าเป้จะออกให้ ถ้าพูดอย่างนั้นจะโกรธจริงๆด้วย”

ผมรู้ดีว่าเป้มีเงินเก็บในบัญชีเยอะเพราะได้หัดช่วยงานที่บริษัทของพ่อมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้เจ้าตัวจะชอบบอกว่าเรียนจบเมื่อไหร่จะไปสมัครงานที่อื่นเพราะไม่อยากสืบทอดธุรกิจครอบครัวก็ตามที แต่เพราะอีกฝ่ายก็คอยทำอะไรๆให้ผมมาตลอด อีกอย่างผมอยากรู้สึกว่าตัวเองเท่าเทียมเป้บ้าง ถ้าหากว่าเราเรียนจบและผมทำงานมีเงินเดือนแล้วก็คงไม่กระอักกระอ่วนเวลาเป้ชวนไปทำอะไรที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะถึงแม้ฐานะทางบ้านผมจะถือว่าโอเคในระดับหนึ่งแต่ผมก็ไม่ชอบขอเงินพ่อแม่มาทำอะไรฟุ่มเฟือยอยู่ดี

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดเสียงแข็งไปหรือเปล่า แต่ท่าทางเจ้าตัวจะสำนึกได้ว่าพูดจี้จุดผมเข้าเลยตอบด้วยเสียงอ่อนลง “เข้าใจละ เอาไว้วิวพร้อมเมื่อไหร่เราค่อยมาเที่ยวกันเองสองคนก็แล้วกัน ว่าแต่ทำไมเสียงถึงแหบๆชอบกล ไม่สบายหรือเปล่า?”

จังหวะที่เป้ถามผมเกือบจะไออยู่แล้ว เลยต้องรีบยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วสูดหายใจลึกๆก่อนจะพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้

“เปล่านี่ สัญญาณไม่ค่อยดีเพราะโทรทางไกลหรือเปล่า วิวไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“แน่นะ?”

เสียงเข้มที่ทวนถามกลับมาอย่างระแวงทำให้ผมต้องรีบเบี่ยงประเด็นไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน เพราะรู้ว่าถ้าบอกไปตามตรงคงทำให้เป้ไม่สบายใจและรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแน่ๆ แต่กระทั่งก่อนจะวางสายผมก็ยังโดนยกเรื่องนี้ขึ้นมาถามอีกจนต้องตัดบทด้วยน้ำเสียงแกมรำคาญนั่นแหละพ่อคุณชายถึงได้เลิกเซ้าซี้

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


ผมกดปุ่มดูฟังก์ชันอื่นๆในมือถืออย่างเลื่อนลอยเพราะไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายเลยเปิดอัลบัมรูปในเครื่องดู ในนั้นมีโฟลเดอร์หนึ่งที่คนตัวโตถือวิสาสะเอามือถือผมไปถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ พอผมเปิดดูรูปของคนที่อุตส่าห์ถ่ายตัวเองไว้แล้วก็ต้องยิ้ม ปกติเป้ไม่ใช่คนบ้ากล้อง ถ้าจะถ่ายรูปก็ชอบถ่ายภาพวิวหรือภาพคนอื่นมากกว่า แต่สำหรับกล้องในโทรศัพท์ผมเจ้าตัวบอกว่ายกให้เป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยกให้ทำไมทั้งที่ผมเองก็ไม่เคยขอสักหน่อย

ผมกดเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆระหว่างที่ยังนอนไม่หลับ พลันคลื่นแห่งความเหงาที่เริ่มสะสมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ถาโถมเข้าหา ความคุ้นเคยกับการที่ได้พูดคุย เห็นหน้าและสัมผัสเนื้อตัวกับใครบางคนทุกวันทำให้ผมชินกับการมีเป้อยู่ข้างๆไปโดยไม่รู้ตัว และถึงแม้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้าตัวจะอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่เพราะเป้คอยโทรมาหาสม่ำเสมอทำให้ผมไม่ทันได้รู้สึกถึงความเหงาสักเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะร่างกายที่กำลังอ่อนแอบวกกับการไม่ได้อยู่คนเดียวมานาน การที่ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแค่วันเดียวจึงทำให้ผมคิดถึงคนที่อยู่ไกลมากอย่างที่ไม่เคยคิดถึงขนาดนี้มาก่อน

ปลายนิ้วของผมเลื่อนไปที่หมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเจ้าตัวเปิดใช้บริการโรมมิ่งเอาไว้ ทว่าเมื่อจะย้ำแรงที่ปุ่มโทรออกก็ให้ลังเลใจขึ้นมา ถ้าหากผมโทรไปก็เท่ากับผิดคำพูดตัวเองที่บอกว่าไม่อยากทำลายเวลาครอบครัวของเป้ อีกอย่างก็ผมเองอีกนั่นแหละที่เคยออกปากเป็นมั่นเหมาะว่าผมไม่เหงากับการที่ต้องอยู่คนเดียวในช่วงวันหยุดนี้ ความอึดอัดใจซึ่งมาจากความต้องการที่ตีกันในหัวทำให้ผมกดปุ่มเข้าฟังก์ชันเมสเสจแล้วพิมพ์ข้อความสั้นๆแทน

‘I miss you’

ผมรัวนิ้วลงที่ปุ่มตัวอักษรแต่ละปุ่มราวกับทุกตัวอักษรบรรจุความรู้สึกของตัวเองไว้ พอพิมพ์เสร็จก็นอนอ่านทวนข้อความนั้นอยู่อีกหลายรอบก่อนจะเลื่อนนิ้วไปที่คำสั่ง ‘Send to’ แล้วเลือกชื่อของเป้ ทว่าพอถึงคำสั่งสุดท้ายที่ให้ยืนยันว่า ‘Send’ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาอีก เป้จะคิดยังไงถ้าได้รับข้อความนี้จากผม แล้วเจ้าตัวจะตอบรับด้วยการโทรมาหาทันทีเลยหรือเปล่า แต่ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าทุกคำพูดที่ผมพร่ำบอกอีกฝ่ายไปไม่มีค่าให้เชื่อถือหรอกหรือ

สุดท้ายเมสเสจที่เพิ่งพิมพ์เสร็จก็ถูกกดลบทิ้งก่อนผมจะวางเครื่องไว้ข้างหมอนเหมือนเดิม ทันทีที่มือละจากสัมผัสเย็นเฉียบของเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมแบนๆได้ก็เหมือนความตั้งใจแต่เดิมจะกลับคืนมา ผมจึงระบายลมหายใจยาวด้วยความโล่งอกและบอกตัวเองว่าทำถูกแล้วที่ไม่ส่งข้อความนั้นไป

ความง่วงงุนที่แล่นขึ้นเป็นริ้วส่งสัญญาณว่ายาเริ่มออกฤทธิ์จนร่างกายหนักอึ้ง ผมเลยเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงก่อนจะซุกตัวเองลงใต้ผ้าห่ม แต่ท่ามกลางความสะลึมสะลือผมฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อคว้าหมอนที่เป้ใช้หนุนเวลามาค้างที่ห้องมากอดแนบอก อย่างน้อยถึงเจ้าของหมอนจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่กลิ่นประจำตัวที่ติดอยู่บนหมอนก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และเมื่อหลับตาลงอีกครั้งผมก็แทบจะหลับสนิทในทันที


+------+


เสียงโทรศัพท์แจ้งว่ามีเมสเสจเข้ากลางดึกทำให้ผมผวาตื่นแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นกดดู แต่แล้วหัวใจที่พองฟูก็ต้องแฟบลงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้อความบนหน้าจอเป็นเพียงเมสเสจสวัสดีปีใหม่จากเพื่อนคนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดผมได้ยินเสียงเฮฮาเหมือนมีคนตั้งวงเหล้าในบ้านหลังที่อยู่ถัดไปจากหอแว่วๆ

เวลาบนหน้าจอมือถือแจ้งให้รู้ว่าเพิ่งเลยเที่ยงคืนมาไม่นานนัก และเลขวันเดือนปีที่ปรากฏก็เตือนให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ทั่วประเทศกำลังฉลองการเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

ผมกดปุ่มลบข้อความจากเพื่อนที่คงส่งหาทุกคนที่เจ้าตัวมีหมายเลขทิ้งโดยไม่พิมพ์ตอบ แม้จะเสียมารยาทอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะเฉลิมฉลองกับใครจริงๆ ความรู้สึกแห้งผากในคอทำให้ผมต้องเอื้อมหยิบแก้วน้ำที่ตั้งไว้บนหัวเตียงขึ้นจิบก่อนจะสำลักเพราะเกิดไอตอนจังหวะที่จะกลืนน้ำพอดี ผมยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากลวกๆหลังจากหอบสำลักจนตัวโยนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนใหม่อีกครั้งแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่ายหน้าผาก

แม้ตอนนี้จะเป็นปีใหม่ที่นี่ แต่ที่อังกฤษตอนนี้คงเพิ่งเป็นช่วงเย็นของวันที่ 31 ธันวาคม ดังนั้นกว่าที่นั่นจะได้ฉลองการเข้าสู่ปีใหม่บ้างก็ต้องเป็นเวลาเช้าของวันที่ 1 มกราคมตามเวลาในเมืองไทยไปแล้ว

ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำที่เอ่อขึ้นมาคั่งอยู่ในหน่วยตาทั้งสองออกไป แล้วก็ต้องสูดจมูกที่แสบร้อนจากน้ำมูกซึ่งไม่ได้มาจากหวัด ทว่าพอพลิกตัวนอนตะแคงหยาดน้ำในตาก็ซึมลงไปบนหมอนจนผมต้องใช้อุ้งมือเช็ดออก น่าอายจริงๆที่ต้องมานอนป่วยและซึมเศร้าอยู่คนเดียวในเทศกาลวันหยุดแบบนี้ แต่จะไปเรียกร้องอะไรกับใครได้ในเมื่อผมเป็นคนเลือกที่จะทำแบบนี้เอง

ผมตัดสินใจฝืนลุกขึ้นไปล้างคราบน้ำตาและสั่งน้ำมูกในห้องน้ำ ก่อนจะตัดสินใจว่าถ้าหากพรุ่งนี้เป้ยังไม่โทรมาอีก พอถึงเวลาก้าวสู่วันใหม่ที่อังกฤษเมื่อไหร่ผมจะโทรไปหาเอง อย่างน้อยถ้าใช้ข้ออ้างว่าโทรไปสวัสดีปีใหม่ก็คงดูไม่เหมือนว่าผมอยากได้ยินเสียงอีกฝ่ายจนยอมกลืนน้ำลายตัวเองจนเกินไปนัก

ผมไล้ปลายนิ้วบนหมอนที่เอามากอดอีกครั้งก่อนจะปิดตาลง ครั้งนี้ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ขณะที่กำลังขดตัวด้วยความหนาวอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าในห้องก่อนที่เตียงข้างตัวจะยุบลงแล้วตามด้วยสัมผัสเย็นๆบนแก้ม ทว่าเปลือกตาที่ยังหนักอึ้งบวกความสะลึมสะลือทำให้ผมลืมตาไม่ขึ้น แม้จะตกใจว่าทำไมถึงมีใครมาอยู่ในห้องแต่ประสาทสัมผัสที่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่

ความเย็นแต่อ่อนโยนที่ไล้สัมผัสอยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวที่ร้อนผ่าวรู้สึกสบาย สัมผัสนั้นไล้ต่ำเรื่อยลงไปที่ซอกคอจนผมต้องรีบหดคอหนี เสียงสวบสาบเหมือนใครคนนั้นขยับตัวพร้อมกับเสียงถอนหายใจลอยมาเข้าหูก่อนที่อะไรบางอย่างที่นุ่มและหยุ่นจะประทับลงมาบนหน้าผาก ประสาทการรับรู้ที่ค่อยๆเป็นอิสระจากการหลับใหลมากขึ้นทำให้เริ่มแยกแยะได้ว่าสัมผัสนั้นมาจากริมฝีปากของใครคนหนึ่งที่กำลังพรมจูบไปทั่วใบหน้า เช่นเดียวกับที่ใครคนนั้นชอบทำเวลาที่รู้ว่าผมไม่สบายใจหรือเวลาที่อยากแหย่ผมเล่น กลิ่นอ่อนๆที่คุ้นเคยยิ่งตอกย้ำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าเจ้าของจูบคือใครแม้จะยังไม่ลืมตา

หยดน้ำตาซึมจากหางตาผมอย่างกลั้นไม่อยู่ทันทีที่ริมฝีปากนั้นเคลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากตัวเอง ผมเอื้อมแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรงเอาไว้และเผยอริมฝีปากต้อนรับลิ้นอุ่นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาราวจะปลอบประโลมและปลุกเร้าความต้องการไปพร้อมกัน ภายใต้การรับรู้ที่ตื่นเต็มที่ผมรู้สึกถึงปลายนิ้วแข็งแรงที่ช่วยกรีดน้ำตาออกให้ทั้งที่ริมฝีปากของเราสองคนยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง

เป็นนานกว่าที่ผู้มาเยือนยามวิกาลจะถอนริมฝีปากออก ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่พร้อมรอยยิ้ม เป้เลื่อนมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียงตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“ไหนบอกว่าอยู่คนเดียวได้ไง แล้วนี่ร้องไห้ทำไม?”

“ทำไมเป้มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

ผมไม่ตอบแล้วยังถามกลับด้วยเสียงแหบแห้งโดยไม่ปล่อยมือที่โอบคอคนตัวโตอยู่ มันประจวบเหมาะเกินไปที่เป้มาปรากฏตัวหลังจากที่ผมเพิ่งคิดถึงอีกฝ่ายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจนเหมือนกับฝัน แต่รอยยิ้มมุมปากประจำตัวกับความอบอุ่นจากเลือดเนื้อที่ได้สัมผัสก็ทำให้รู้ว่าคนที่กำลังคิดถึงอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ

“ก็ใครล่ะมาทำให้คนอื่นสงสัยว่าตัวเองไม่สบายแล้วก็พยายามปิดแทบตายน่ะ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้อ้อนเป้บ้างก็ได้”

เป้พูดแล้วก็ก้มลงจูบบนหางตาผมที่ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ส่วนมือใหญ่ก็เลื่อนขึ้นเสยผมที่ชื้นเหงื่อจนแนบติดหน้าผากออกให้ ผมหลับตาลงก่อนจะระบายลมหายใจที่ไม่รู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมาด้วยความโล่งอก

...เป้กลับมาหาจริงๆด้วย…

ความดีใจทำให้ผมซุกตัวกับอกกว้างโดยไม่ยอมปล่อยมืออยู่นาน คนตัวโตเลยนวดต้นคอให้ก่อนจะเอ่ยทักเสียงเบา

“วิวตัวร้อนมากเลย เดี๋ยวเช็ดตัวแล้วกินยาดีกว่านะจะได้นอนสบายๆ”

ร่างสูงใหญ่พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกขึ้น ความเย็นเยือกจากผิวกายที่ถอยห่างทำให้ผมรีบลุกนั่งแล้วรั้งแขนอีกฝ่ายไว้ทันที เป้หันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วก็ยิ้มให้

“เป็นอะไรไป? เป้ไม่ได้ไปไหนนะ แค่จะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เอง”

คนตัวโตทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแล้วเอ่ยปลอบ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่าการพักผ่อนคืออะไร

“นั่นไว้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้วิวอยากให้เป้อยู่ใกล้ๆก่อน”

ผมกระถดตัวเข้ากอดเอวคนตรงหน้าไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่จุดความปรารถนาในจิตใต้สำนึกและสั่งให้ผมเลื้อยมือเข้าใต้แจ๊คเก็ตที่เจ้าตัวสวมอยู่เพื่อลูบไปตามแผงอกอุ่นและหน้าท้องตึงแน่น เป้ลมหายใจสะดุดเมื่อมือผมเริ่มป่ายไปมาบนร่างต่ำลงเรื่อยๆ

“...วิวแน่ใจเหรอ?”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามราวกำลังพยายามชั่งใจตัวเอง ผมไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วสอดมือผ่านขอบกางเกงอีกฝ่ายเข้าเกาะกุมส่วนไวสัมผัสที่แทบจะตื่นตัวทันทีที่โดนแตะต้อง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อผมเพิ่งแรงส่งที่ปลายนิ้วไปยังท่อนเนื้อร้อนรุ่มจนเจ้าตัวต้องรั้งมือห้ามเอาไว้

ผมเงยหน้าสบกับนัยน์ตาคมนิ่งแต่ก็ไม่ชักมือหนี ถึงแม้จะไม่เอ่ยอะไรออกมาแต่เป้ก็คงรู้แล้วว่าผมเอาจริง มือแกร่งจึงเลื่อนขึ้นเชยคางผมให้แหงนหน้ารับจูบก่อนจะดันร่างผมให้เอนลงบนเตียงและตามเข้าทาบทับ นัยน์ตาสีเข้มจัดถอยออกจ้องตาเหมือนจะถามให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยเลื่อนมือสองข้างขึ้นลูบไปตามแผ่นหลังใต้เสื้อหนาและเบียดสะโพกเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อย้ำว่าผมอยากให้ทำอย่างที่พูดจริงๆ

มือแข็งแรงแทบจะทึ้งเสื้อผ้าผมออกทันทีที่ส่วนอ่อนไหวของเราบดเบียดซึ่งกันและกัน แต่ความต้องการที่กำลังปลุกปั่นให้วงจรความคิดไม่ปะติดปะต่อทำให้ผมไม่ท้วงคนที่กำลังประทับตราความเป็นเจ้าของไปทั่วร่างอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าการอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่วันจะทำให้เราสองคนกระหายที่จะเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยร่างกายมากถึงขนาดนี้ อาจเพราะผมกำลังไข้ขึ้นสูงอยู่ด้วย ร่างกายทุกส่วนจึงยิ่งตอบสนองทุกแรงสัมผัสจนน่าตกใจ

ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วที่ไล่ลงวนรอบปากทางคับแคบด้านหลัง ก่อนจะสะดุ้งจนตัวงอเมื่อโดนปลายนิ้วใหญ่ที่ฉาบด้วยหยาดอารมณ์ข้นใสของเจ้าตัวแทรกเข้ามา ลิ้นอุ่นชื้นลากไล้ระหว่างตุ่มไตเล็กทั้งสองบนหน้าอกผมจนเปียกชุ่มก่อนที่เป้จะขบตามด้วยฟันอย่างไม่ออมแรงนักจนผมร้องคราง

“วิวเจ็บข้างล่างหรือเปล่า? ให้หาอะไรมาหล่อลื่นก่อนมั้ย?”

เสียงแหบพร่าที่เอ่ยถามชิดแผ่นอกอย่างเป็นห่วงขัดแย้งกับสัมผัสทางกายอันเร่งเร้า ผมเลยหลับตาแน่นแล้วเร่งมือที่รูดรั้งศูนย์รวมความปรารถนาของอีกฝ่ายมากขึ้นแทนการโต้ตอบ ร่างสูงขบกรามก่อนจะครูดนิ้วออกไปแล้วสอดกลับเข้ามาใหม่พร้อมนิ้วที่สองอย่างรวดเร็วจนผมกระตุกไปทั้งร่าง

“วิว...พอก่อน”

มือข้างที่ว่างของเป้ดึงมือผมออกขณะที่นิ้วทั้งสองซึ่งควานไล้ไปมาอยู่ในกายเมื่อครู่ถูกถอนออกไป ผมปรือตาขึ้นอ่านความต้องการที่ฉายอยู่หลังนัยน์ตาสีเข้มแล้วก็บังคับร่างกายที่สั่นสะท้านให้ก้มลงปรนนิบัติคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้น หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นลอนหดเกร็งราวจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้รีบปลดปล่อยเมื่อผมโหมเร่งจังหวะมากขึ้นขณะที่มือใหญ่ยื่นมาประคองท้ายทอยไว้ ผมจึงละริมฝีปากที่ฉ่ำด้วยหยาดอารมณ์แล้วเลื่อนตัวขึ้นจูบไปตามหน้าท้องและแผงอกกว้างของคนรักแทน ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองที่เอื้อมมาบีบเคล้นเนินสะโพกด้านหลังทำให้ผมต้องโอบคออีกฝ่ายไว้แล้วกระซิบเสียงสั่น

“เข้ามาเถอะเป้ วิวจะไม่ไหวแล้ว”

ราวกับคนตัวโตจะรอประโยคนี้อยู่แล้ว ลำแขนแข็งแรงจึงจับร่างผมให้นอนคว่ำลงก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะตามเข้าประชิด ปลายนิ้วแกร่งคลี่เบิกปากทางก่อนที่สัมผัสอุ่นและชื้นแฉะจะจรดตามมาจนร่างกายผมที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นไปอีก

“จะเข้าแล้วนะ”

เป้เลื่อนตัวขึ้นทาบทับแล้วกระซิบบอกเสียงพร่าที่ริมหู ผมเลยพยักหน้าแล้วย่อแขนลงให้ร่างท่อนล่างยกสูงเพื่อให้คนข้างหลังเข้ามาได้ง่ายขึ้น แต่ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว วินาทีแรกที่ช่องทางเบื้องหลังถูกขยายเพราะสิ่งที่กำลังสอดใส่เข้ามาก็ยังทำให้ผมเจ็บจนต้องจิกมือลงกับหมอนแน่นอยู่ดี

“วิวไหวหรือเปล่า? จะให้หาอะไรมาช่วยก่อนมั้ย?”

แม้อารมณ์ที่สานต่อกันมาตั้งแต่แรกเริ่มจะคุกรุ่นแต่เป้ก็ยังสังเกตอาการผมออก แต่ผมคงทนไม่ได้หากความต้องการในตอนนี้ต้องขาดช่วงเพราะร่างกายที่กำลังแนบชิดต้องแยกจากกันแม้เพียงวินาทีเดียว

“ไม่ต้อง เป้ต่อเถอะ ทำแบบที่อยากทำเลย”

ผมเอี้ยวคอบอกก่อนจะพยายามระงับความเจ็บด้วยการลากมือข้างหนึ่งไปยังจุดกึ่งกลางของตัวเอง แล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าลึกเมื่อรู้สึกถึงความแข็งขืนที่รุกไล่เข้ามาในช่องทางอุ่นแน่นต่อหลังจากได้รับอนุญาต

เป้ดันตัวเองเข้ามาช้าๆแต่ไม่หยุดจนกระทั่งเข้ามาในตัวผมได้หมด ตลอดเวลาเสียงหอบของเราสองคนดังสะท้อนไปทั่วห้องที่ถูกย้อมด้วยแสงสลัวของโคมไฟ มือหนาสองข้างยึดตรึงสะโพกผมที่สั่นสะท้านให้อยู่นิ่งก่อนริมฝีปากอุ่นจะขบเม้มไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่เราสองคนคุ้นเคยกับการใกล้ชิดกันแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ร่างกายของผมก็ยังตอบรับการรุกรานของอีกฝ่ายด้วยการบีบรัดอย่างรุนแรงจนเรียกเสียงครางต่ำจากร่างสูงทุกครั้งอยู่ดี

“รู้ตัวมั้ยว่าวิวยั่วเก่งขึ้นทุกทีแล้วนะ”

เสียงทุ้มกระซิบอย่างหยอกล้อ แต่เป้ไม่รอให้ผมตอบเพราะพอพูดจบอีกฝ่ายก็เริ่มสวนกายเข้าออกทันทีจนในหัวผมเบลอไปหมด มือที่ดึงรั้งสะโพกผมเข้าหาเพิ่มแรงจิกขึ้นเรื่อยๆจนไม่ต้องสงสัยว่าพรุ่งนี้ต้องทิ้งรอยช้ำแน่นอน แต่ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดในตอนแรก ความต้องการในสิ่งที่คนตัวโตกำลังปรนเปรอให้ก็มีมากกว่าจนผมเริ่มปรับลมหายใจและการเคลื่อนไหวของตัวเองให้สอดคล้องกับจังหวะของเป้บ้าง

“อือ เป้....อ๊ะ....จะ...อึ๊ก...จะถึงแล้ว...อ๊า!”

ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนอ้อมแขนแข็งแรงรั้งตัวให้นั่งทับบนตักใหญ่ทั้งที่ร่างกายของเรายังเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ แผ่นหลังเปียกชื้นของผมแนบชิดกับแผ่นอกตึงแน่นของคนที่รองรับขณะที่ปลายลิ้นอุ่นเล็มไล้ตามผิวแก้ม เป้ยันมือข้างหนึ่งลงบนเตียงขณะที่มืออีกข้างอ้อมมากุมส่วนที่กำลังเรียกร้องการปลดปล่อยของผมไว้ แม้ว่าท่านี้จะทำให้ขยับตัวได้ไม่ถนัดเท่ากับเมื่อครู่ แต่ก็ทำให้ผิวกายเราเพิ่มเนื้อที่สัมผัสกันมากขึ้น ความปั่นป่วนที่เดือดพล่านไม่หยุดในท้องน้อยทำให้ผมรู้ว่าร่างกายกำลังจะทนการถูกกระตุ้นได้อีกไม่นานแล้ว

“อื้อ...วิว เป้ขอออกข้างในนะ”

“เป้...เป้ อ๊ะ!...อ๊า!!!”

ผมกรีดร้องอย่างสุดกลั้นเมื่อแก่นกายโดนปลุกเร้าจนความต้องการที่สั่งสมกลั่นตัวออกมาอย่างรุนแรง ช่องทางเบื้องหลังที่โอบอุ้มท่อนเนื้ออุ่นตอดรัดสิ่งแปลกปลอมแน่นราวกับจะดูดกลืนเอาไว้ เป้ยึดเอวผมไว้มั่นก่อนจะกระแทกตัวส่งสายธารแห่งความพึงพอใจเข้ามาในร่างผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหยาดหยดข้นขาวไหลเอ่อออกมาด้านนอก

ความเสียวซ่านถึงขีดสุดจากการร่วมรักทำให้ในหัวผมขาวโพลนด้วยแสงวูบวาบและในหูอื้ออึงจากเสียงที่ไม่มีความหมาย ผมทิ้งตัวลงหอบหายใจแรงบนแผ่นอกกว้างก่อนที่จะถูกมือใหญ่บิดคางให้หันไปรับจูบท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่รัวประสานกันไม่หยุด

“ตัวเหนียวไปหมดเลย...”

ผมเอ่ยขึ้นลอยๆหลังจากนั่งพิงอกเป้ได้สักพักจนจังหวะลมหายใจเริ่มเป็นปกติขึ้น แต่ผมมั่นใจว่าเสียงที่แหบหวิวน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมอันหนักหน่วงเมื่อครู่มากกว่าอาการป่วยที่เป็นอยู่ในตอนแรก เป้แตะหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากผมเบาๆแล้วก็หัวเราะในคอ

“แต่เหงื่อออกแล้ววิวจะได้หายไข้เร็วๆไง เดี๋ยวเป้เช็ดตัวให้เอง”

“อืม...”

ผมยกมือใหญ่ขึ้นจูบก่อนจะส่งยิ้มให้คนพูดอย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าคมยิ้มตอบขณะที่ไล้มืออีกข้างไปมาบนร่างกายที่เปียกลื่นไปด้วยเหงื่อของผม ความร้อนรุ่มที่ยังไม่ได้ถอนออกไปเริ่มฟื้นตัวขึ้นใหม่อย่างช้าๆ และนัยน์ตาสีเข้มที่มองตรงมาก็สื่อความหมายในใจโดยไม่ต้องใช้คำพูด

“เป้....”

ผมเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลังเล แต่แล้วปลายจมูกโด่งก็กดลงบนไหล่เหมือนจะช่วยตัดสินใจแทนให้

“เหนื่อยใช่รึเปล่า? ถ้าวิวไม่ไหวแล้วก็นอนพักดีกว่านะ ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”

ประโยคที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวนั่นทำให้ผมตัดสินใจได้ทันที เป้อุตส่าห์บินข้ามทวีปกลับมาหาทั้งที่กำลังได้ใช้เวลากับครอบครัว ส่วนผมเองถึงแม้จะรู้ว่าร่างกายกำลังเรียกร้องการพักผ่อน แต่ความหวามไหวที่ปนเปไปกับความยินดีเพราะคนที่คิดถึงกลับมาอยู่ใกล้ๆทำให้ความคิดที่จะปฏิเสธถูกปัดออกจากหัวอย่างรวดเร็ว

ผมสูดหายใจรวบรวมกำลังก่อนจะบดร่างกายท่อนล่างเข้ากับหน้าตักของคนที่รองรับอยู่ เป้ผงกหัวแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองเหมือนจะถาม ผมจึงยิ้มให้ก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนคางสากเบาๆ ขอตอบแทนที่คนตัวโตทำเซอร์ไพรส์ได้ถูกใจผมบ้างก็แล้วกัน

“ไม่เป็นไร คืนนี้วิวยกให้ ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับเป้กลับบ้าน”


+------+


หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผมก็หลับยาวไปจนถึงบ่าย ความทรงจำสุดท้ายที่เลือนลางก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีกคือความรู้สึกว่าถูกเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อาจเพราะความเหนื่อยล้าและโล่งใจที่ประดังเข้ามาพร้อมกันทำให้ผมหลับลึกจนไม่ฝันถึงอะไรเลยตลอดทั้งคืน

ตอนที่ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งคือเมื่อรู้สึกว่าเตียงข้างตัวยวบไหวและหลังมือเย็นๆอังลงบนหน้าผาก พอปรือตาขึ้นก็เห็นเป้ที่สวมเพียงยีนส์สีเข้มนั่งพับขาข้างหนึ่งอยู่บนเตียง บนลำคอเปลือยเปล่ามีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ เรือนผมที่ยังเปียกชื้นกับกลิ่นสบู่ที่กรุ่นเข้าจมูกบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ

“ว่าจะปลุกพอดี เป้ลงไปซื้อโจ๊กมาให้แล้วนะ วิวลุกมากินหน่อยแล้วกันจะได้กินยา”

ผมหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าแล้วค่อยๆยืดแขนออกบิดขี้เกียจ ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเพราะอาการหวัดเริ่มบรรเทาลงมากแล้ว แต่พอขยับตัวจะลุกขึ้นก็รู้สึกถึงความระบมที่แล่นจี๊ดขึ้นมาจากร่างกายส่วนล่างจนต้องทิ้งตัวลงนอนใหม่ทันที

ผมกระพริบตาถี่มองเพดานที่หมุนไปมาแล้วพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อคืนทำอะไรร่างกายท่อนล่างถึงได้ปวดหนึบขนาดนี้ แล้วภาพเหตุการณ์ของคืนก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวจนรู้สึกว่าผิวหน้าร้อนเหมือนโดนไฟลวก ทั้งที่ไม่สบายขนาดนี้ยังจะดึงดันทำอะไรไม่ดูสังขารตัวเองอีก ผมชำเลืองมองแผ่นหลังของเป้ที่กำลังยืนเลือกเสื้อจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ถอนหายใจ กรณีนี้จะบ่นคนทำก็คงไม่ได้เพราะตัวผมเองที่เป็นคนปล่อยให้เลยตามเลย ผมจึงหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นใหม่แล้วเอนหลังพิงหมอนที่ตะแคงขึ้นชิดหัวเตียงก่อนคนตัวโตจะทันหันมาเห็น

“ตัวยังรุมๆอยู่เลย เดี๋ยวกินเสร็จแล้ววิวนอนต่อดีกว่านะ”

เป้พูดแล้วก็เสยผมบนหน้าผากผมไปด้วย ผมคนโจ๊กในชามพร้อมถาดรองที่เจ้าตัวเอามาวางให้บนตักอยู่พักใหญ่ ทั้งที่ความจริงก็หิวอยู่บ้างเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่พออาหารมาอยู่ตรงหน้ากลับรู้สึกพะอืดพะอมจนขัดแย้งในตัวเองแปลกๆ สุดท้ายผมก็ฝืนตักโจ๊กขึ้นทานเพราะไม่อยากให้คนที่ซื้อมาให้ต้องเสียน้ำใจ

ผมทานโจ๊กไปก็เหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีอยู่นอกหน้าต่างไปด้วย จริงอยู่ว่าร่างกายของผมตอนนี้ไม่แข็งแรงเต็มร้อย แต่ความที่ได้แต่อุดอู้อยู่ในห้องมาตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานทำให้ผมเริ่มอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

“เป้ วิวอยากออกไปเดินเล่น”

พ่อตัวดีที่กำลังยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกหันมาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงผม “จะไปได้ไง ข้างนอกลมแรงแถมอากาศก็เย็น เดี๋ยววิวไข้กลับกันพอดี วันนี้นอนพักอีกวันแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้”

“แต่วิวนอนมาหลายชั่วโมงแล้วนะ เอาแต่นอนๆๆเดี๋ยวก็อืดกันพอดีสิ”

ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากอีก ท่าทางนี่จะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่โดนเป้ขัดใจ อาจเพราะปกติผมไม่ค่อยเรียกร้องอะไร ดังนั้นถ้าเรื่องไหนที่ผมเอ่ยปากขออีกฝ่ายจึงยอมตามใจตลอด ถ้าหากคิดด้วยหลักเหตุผลก็ใช่จะไม่เข้าใจว่าทำไมเป้ถึงไม่เห็นด้วยกับคำขอในคราวนี้ แต่ความรำคาญสภาพร่างกายที่ปวกเปียกของตัวเองบวกกับอาการมึนหัวเพราะพิษไข้ทำให้ผมเริ่มจะพาลขึ้นมา

จากหางตาผมรู้ว่าคนตัวโตกำลังยืนกอดอกมองตัวเองอยู่แต่ก็ไม่ยอมหันไปสบตาด้วย สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนเป้จะเดินมานั่งลงข้างๆแล้วเท้าศอกกับหัวตียง

“เวลาวิวไม่สบายแล้วดื้อเป็นเด็กๆเลย รู้รึเปล่า?”

ผมตวัดสายตามองคนพูดที่ทำยังกับตัวเองแก่กว่ามากทั้งที่เกิดก่อนแค่ไม่กี่เดือน แล้วเลยเลือกทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากต่อ

“ไม่รู้ล่ะ เป้เคยบอกเองนี่ว่าให้วิวอ้อนได้ แต่ถ้าวันนี้ไม่ยอมให้ไปไหนจะได้จำไว้ว่าถึงอ้อนก็ไม่มีประโยชน์”

คนที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะกับคำยอกย้อนก่อนจะรั้งไหล่ผมไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ไม่เหม็นที่ผมไม่ได้อาบน้ำสระผมข้ามวันบ้างหรือไงก็ไม่รู้

“เข้าใจละ แต่แค่พาไปขับรถเล่นเฉยๆนะ ยังไงก็ถือว่าไปข้างนอกเหมือนกัน เอาไว้หายดีแล้ววิวอยากไปไหนเดี๋ยวเป้พาไปให้ทุกที่เลย”

คำตอบรับแม้จะมีเงื่อนไขแต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก หลังจัดการโจ๊กจนเกือบหมดชามเป้เลยเช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกรอบก่อนจะหยิบผ้าห่มติดมือลงไปให้ที่รถด้วย จากนั้นคนตัวโตก็ขับวนพาไปดูแสงไฟที่ประดับตามห้างกับถนนในย่านดังต่างๆแถวใจกลางเมืองตามที่ขออยู่หลายชั่วโมง ความที่ไม่ได้ออกไปไหนไกลกว่าละแวกหอตลอดช่วงวันหยุดที่ผ่านมาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นที่ได้เห็นผู้คนและโลกภายนอกบ้าง

ระหว่างทางกลับหอเป้แวะซื้อชาร้อนให้ผมจากร้านในปั๊มน้ำมันแล้วก็ขับรถไปจอดพักใต้สะพานริมแม่น้ำก่อน พ่อตัวดียืนกรานไม่ให้ผมลงจากรถแต่ยอมไขกระจกหน้าต่างลงให้จะได้สูดอากาศบ้าง ส่วนตัวเองกลับเปิดประตูลงไปยืนสูบสารก่อมะเร็งอยู่ข้างรถหน้าตาเฉย ขี้โกงกันชะมัด

เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน แค่ทอดสายตามองแสงไฟจากเหล่าเรือล่องแม่น้ำและร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายริมฝั่งตรงข้ามไปเงียบๆ ผมเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนล้วงกระเป๋าพิงรถอยู่

“เป้ แล้วกลับมาก่อนอย่างนี้พ่อกับแม่ไม่สงสัยเหรอว่ารีบกลับมาทำไม”

คนถูกถามดูดบุหรี่อึกสุดท้ายก่อนจะทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ด้วยส้นรองเท้าผ้าใบ “ก็ไม่มีอะไร บอกเค้าไปตามตรงว่าเป็นห่วงแฟนเลยต้องรีบกลับ”

ผมทำตาโต แต่พอเตรียมอ้าปากจะว่าเจ้าตัวก็หันกลับมาแล้วก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผม

“ล้อเล่นน่า เป้บอกเค้าว่าอยากมีเวลาเตรียมตัวก่อนเปิดเรียนหลายวันหน่อยเลยขอกลับมาก่อน เค้าก็ไม่ได้ถามซอกแซกอะไร ไม่ต้องห่วงหรอก”

พอได้ฟังแบบนั้นผมจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ใช่ว่าผมชอบใจนักกับการต้องคบกันแบบไม่ให้ครอบครัวรู้ และไม่ใช่เพราะผมไม่มั่นใจในตัวเราสองคนด้วย แต่เพราะผมกับเป้เพิ่งคบกันได้ปีเดียว ถ้าเกิดต้องมีปัญหาระหว่างเรียนเพราะเรื่องนี้คงทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดหรือเผลอๆอาจถึงขั้นต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ผมเลยอยากประวิงเวลาไว้ก่อนจนถึงตอนที่เราต่างมีงานทำและดูแลตัวเองกันได้แล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้อีกที

“อากาศชักเย็นขึ้นแล้วนะ กลับกันดีกว่าวิวจะได้ไปนอนพัก หรืออยากให้ช่วยเรียกเหงื่อให้แบบเมื่อคืนอีก?”

พ่อตัวดีค้อมตัวลงแซวผมแล้วก็ยิ้มกวน ผมเลยค้อนกลับเข้าให้ก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วยกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว

“คืนนี้ไม่ได้ เอาไว้วิวหายดีเมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากัน”

ผมเอ่ยตอบเสียงเฉียบขาด เป้เลยหัวเราะแล้วเดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่ตัวเอง แต่ก่อนเจ้าตัวจะสตาร์ทรถผมก็หันไปสะกิดไหล่หนาเสียก่อน

“ครับผม?”

ผมยิ้มให้กับน้ำเสียงตอบรับอย่างขี้เล่นแล้วก็โน้มใบหน้าคมลงจูบ เป้ดูจะแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็จูบตอบผมแทบจะทันที ผมไล้ปลายลิ้นดุนลิ้นอุ่นไปมาแล้วเม้มริมฝีปากล่างของคนตัวโตเบาๆก่อนจะผละออกยิ้มให้ทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ

“ขอบคุณที่บินกลับมาหานะ แค่นี้วิวก็ไม่อยากได้ของขวัญปีใหม่อย่างอื่นจากเป้แล้ว”

ผมเอ่ยขอบคุณด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจจริงๆ เป้เลยยิ้มจนตาเป็นประกายก่อนจะรั้งผมเข้าไปจูบคืนอีกที

“วิวก็เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับเป้เหมือนกัน”

“เรากลับห้องกันเถอะ”

ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามือไม้ของอีกฝ่ายชักทำท่าจะรุ่มร่ามขึ้นทุกที เป้เลยหัวเราะในคอก่อนจะยอมปล่อยแล้วเข้าเกียร์ออกรถ ผมดึงผ้าห่มบนตักขึ้นคลุมจนถึงคอก่อนจะหันออกไปมองแสงไฟหลากสีที่ประดับอยู่ตามข้างถนนเพื่อต้อนรับเทศกาล แล้วก็ให้นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ตามที่บันดาลให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้รับ

และที่เทศกาลนี้มีความหมายที่สุดสำหรับผมในปีนี้ ก็เพราะการที่ผมมีผู้ชายตัวโตชื่อเป้คอยอยู่ข้างๆนั่นเอง...


+--- End ของขวัญที่เฝ้ารอ ---+




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:21:58 น.
Counter : 1741 Pageviews.  

ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode: เรื่องธรรมดาของคนรักกัน


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. สำหรับคนที่ชอบเป้กับวิว ทั้งคู่จะมีบทบาทอีกในเรื่อง เมื่อหัวใจเราใกล้กัน สามารถติดตามได้ในบล็อกนี้เช่นกันค่ะ


++------++


ลำนำรักสีรุ้ง Extra Episode : เรื่องธรรมดาของคนรักกัน


“สวัสดีค่ะ พี่วิวใช่ไหมคะ?”

น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยทักขึ้นไม่ห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่เท่าไหร่ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวผมตรงยาวสลวยถึงเอวในชุดเครื่องแบบกระโปรงสั้นเหนือเข่า ผิวสีน้ำผึ้งดูนวลเนียน ดวงตาคมที่ใส่คอนแทคเลนส์สีเทาอมฟ้ากรีดอายไลเนอร์สีเข้มรับกับรูปคิ้วโก่งอย่างพอเหมาะ ถ้าใครบอกผมว่าเธอเป็นนางแบบหรือดาราผมก็คงไม่แปลกใจเพราะเธอดูโดดเด่นจริงๆจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าคนแบบนี้เข้ามาทักผมทำไม

“ครับ มีอะไรหรือครับ”

ใบหน้าสวยหวานยิ้มแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แต่อะไรบางอย่างในรอยยิ้มนั้นกลับสร้างความรู้สึกแปลกๆให้อย่างบอกไม่ถูก

“หนูชื่อดาค่ะ อยู่ปีสอง โต๊ะกลุ่มเดียวกันกับพี่เป้”

ผมกระพริบตา จริงอยู่ว่าที่คณะของพวกเรานักศึกษาส่วนใหญ่จะมีโต๊ะกลุ่มประจำ แต่ตั้งแต่ผมเริ่มคบกับเป้เราก็ไม่ค่อยเข้าไปนั่งที่กลุ่มของตัวเองกันเท่าไหร่ยกเว้นเวลามีกิจกรรมอย่างรับน้องหรือบายเนียร์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะผมเคยขออีกฝ่ายไว้ว่าไม่อยากเป็นเป้าสายตาและไม่อยากให้ใครมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเราสองคน

“ครับ...แล้วมีอะไรกับผมเหรอครับ”

“คือว่า ตอนนี้ดากับเพื่อนลงเรียนวิชาเดียวกับพี่เป้อยู่ แล้วเราได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน ทีนี้เพื่อนของดาเค้าสนใจพี่เป้ แต่พอเค้าอยากเข้าไปทำความสนิทสนมกับพี่เป้ก็จะเห็นว่าเค้าอยู่กับพี่วิวตลอดเลย ดาเลยอยากมาถามให้แน่ใจว่าพวกพี่เป็นอะไรกัน”

เจ้าของใบหน้าสวยสะดุดตาถามแล้วก็ยิ้มมองผมนิ่ง ความจริงก็ใช่ว่าเรื่องที่ผมกับเป้คบกันจะเป็นความลับอะไร เพียงแต่เราไม่ได้ป่าวประกาศหรือทำตัวโจ่งแจ้งเท่านั้นเอง และอีกอย่างเพื่อนๆรุ่นเดียวกันในกลุ่มของเป้และกลุ่มของผมก็พอจะรู้ว่าเราคบกันแบบไหน ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนตรงหน้าจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

“แล้วน้องดาไม่ได้ถามรุ่นพี่ที่โต๊ะหรือครับ พวกเพื่อนๆของเป้ก็น่าจะรู้คำตอบเหมือนกัน ไม่เห็นต้องมาถามผมเลย”

สีหน้าของดาเปลี่ยนไปทันที แม้ริมฝีปากจะยังยิ้ม แต่แววตาดูเย็นชากว่าตอนแรกอย่างชัดเจน แขนเรียวที่ใส่กำไลเต็มข้อมือยกขึ้นประสานกันบนโต๊ะขณะที่เจ้าตัวเอียงคอมองหน้าผม

“ความจริงก็ได้ยินมาบ้างล่ะค่ะ แต่ดาแค่อยากถามจากคู่กรณีโดยตรง เพราะดาไม่เข้าใจว่าพี่เป้ติดใจพี่วิวตรงไหน เท่าที่รู้มาคือพี่วิวเป็นคนขยัน เรียนเก่ง เป็นว่าที่เกียรตินิยมเหรียญทอง แต่ดาเห็นว่าเวลาอยู่คนเดียวทีไรพี่วิวก็เอาแต่อ่านหนังสือ ขนาดดามาชวนคุยด้วยก็ยังไม่ค่อยอยากจะคุยเลย พี่เป้เค้าไม่เบื่อพี่วิวบ้างเหรอคะ”

คำถามนั่นทำเอาผมรู้สึกชาไปทั้งหน้า ไม่ใช่แค่เพราะโดนอีกฝ่ายวิจารณ์ตัวเองตรงๆแบบที่ไม่เคยได้ยินใครพูดด้วยแบบนี้มาก่อน แต่เพราะสิ่งที่เจ้าหล่อนพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งนั้น ก่อนที่จะคบกับเป้ใครๆก็เรียกผมว่า “เด็กเรียน” หรือ “ว่าที่เกียรตินิยม” เพราะผมทุ่มเทให้กับการเรียนจริงๆ และแทบไม่ออกไปเที่ยวกลางคืนหรือทำกิจกรรมอะไร จนหลังจากที่เริ่มคบกับเป้นั่นแหละผมถึงได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเพราะเป้จะคอยชวนไปทำโน่นทำนี่หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยชวนผมออกนอกลู่นอกทางเพราะเจ้าตัวรู้ดีว่าผมซีเรียสกับเรื่องเรียนแค่ไหน และถึงแม้จะเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ้างว่าเป้ชอบผมตรงไหน ทว่าผมก็ไม่เคยคิดถามตัวเองว่าเป้จะนึกเบื่อที่ผมเป็นแบบนี้หรือเปล่าเลยสักครั้ง

ผมไม่รู้จะตอบคำถามอีกฝ่ายอย่างไรดี เลยได้แต่นั่งนิ่งๆทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรแม้ว่าในใจจะขุ่นเหมือนมีใครมากวนตะกอนในใจจนลอยฟุ้งขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปที่ทากลอสวาววับของคนตรงหน้าแย้มยิ้มก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้น อากัปกริยาราวกับคนที่ประสบความสำเร็จในภารกิจบางอย่างทำให้ผมอดมองตามไม่ได้

“ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ว่าแต่ถ้าหากพี่วิวเห็นว่าพี่เป้สำคัญจริงๆก็น่าจะปรับปรุงตัวเองบ้างนะก่อนที่จะโดนใครเขาคว้าไปเสียก่อน แล้วคงได้คุยกันอีกนะคะ”

ผมเหม่อมองตามแผ่นหลังเชิดตรงของรุ่นน้องสาวที่เดินจากไปเหมือนไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น เนื้อหาในหนังสือที่อ่านค้างไว้เหมือนถูกอะไรหนักๆเคาะจนหล่นหายไปจากสมอง ดังนั้นพอถูกมืออุ่นตบลงบนบ่าผมเลยถึงกับสะดุ้งเฮือก

“ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย คุยงานกลุ่มยืดเยื้อมากเลย วิวหิวหรือยัง?”

ผมหันไปมองคนพูดแล้วก็เห็นรอยยิ้มที่เจ้าตัวมีให้เสมอติดอยู่บนใบหน้าคมที่เจอกันแทบทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองยิ้มตอบได้ไม่เต็มที่เหมือนเคย ราวกับว่ามีใครเอาอะไรมาบีบหัวใจไว้จนมันเรื้อขึ้นมาถึงการแสดงออกบนหน้าอย่างนั้นแหละ

เป้มองผมที่นั่งเงียบแล้วก็ขมวดคิ้ว ร่างสูงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวแล้วก็คว้ามือผมไปจับไว้

“วิว เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?”

มืออุ่นข้างที่เหลือยื่นมาแตะที่หน้าผากก่อนจะเลื่อนลงไปที่ซอกคอ สัมผัสที่อ่อนโยนและคุ้นเคยทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นเมื่อครู่สงบลงบ้าง ทว่าความรู้สึกราวกับมีอะไรมาสะกิดใจทำให้ผมยังไม่กล้าสบตาที่จ้องมองมาเพราะกลัวจะเผลอแสดงความหวั่นไหวออกไป เป้มักจะมีประสาทสัมผัสไวเสมอถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผม

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกเป้ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า จะได้กลับหอเร็วๆ”

ผมฝืนยิ้มหลังจากที่คิดว่าจิตใจตัวเองมั่นคงพอที่จะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกไปให้ผิดสังเกตแล้ว เป้ยังมองผมอย่างสงสัยอยู่ แต่แล้วก็พยักหน้าก่อนจะหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะกับกระเป๋าสะพายไปถือไว้ให้ เราเดินคู่กันไปที่ลานจอดรถอย่างเงียบๆแต่ผมก็รู้ว่าคนข้างตัวคอยจับสังเกตท่าทางของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

เป้เปิดประตูรถให้ผมก่อนจะอ้อมไปนั่งที่ตัวเอง พอสตาร์ทเครื่องเตรียมจะออกจากลานจอดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป้เลยหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมากดรับสายก่อนจะหันมากระซิบกับผมเบาๆ

“แป๊บนะ แม่โทรมา”

ผมพยักหน้าแล้วก็มองออกไปที่สนามหญ้าซึ่งมีนักกีฬาและเชียร์ลีดเดอร์แบ่งพื้นที่ซ้อมกันอยู่ และถึงแม้จะไม่อยากแอบฟังบทสนทนาของครอบครัวคนอื่น แต่ด้วยความที่เรานั่งอยู่ในรถด้วยกันเสียงของเป้จึงลอยมาเข้าหูอย่างช่วยไม่ได้

“เย็นนี้เหรอแม่ เป้คงไม่กลับน่ะครับ พี่ปิ่นจะพาพี่เก่งมาทานข้าวด้วย? ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ยายปอนด์ก็อยู่ ก็ให้คุยกับว่าที่พี่เขยไปสิ”

เสียงโต้ตอบที่ได้ยินทำให้ผมพอจะประมาณได้ว่าเป้กำลังคุยเรื่องอะไร เลยดึงสมุดโน้ตของตัวเองออกมาเขียนข้อความเร็วๆแล้วยื่นไปตรงหน้าคนที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่ เป้อ่านข้อความแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปคุยกับแม่ต่อ แต่เสียงที่พูดใส่หูโทรศัพท์เหมือนจะเข้มขึ้นนิดหน่อย

“ไม่ล่ะครับ คืนนี้เป้ต้องคุยงานกับเพื่อนแล้วคงค้างหอเค้าไปเลย แค่นี้นะครับ แล้วเจอกัน”

เป้กดตัดสายแล้วก็ถอยรถออกจากลานจอด ผมเลยอดหันไปทักไม่ได้ “ทำไมบอกแม่เค้าอย่างนั้นล่ะเป้ ถ้าแม่อยากให้กลับไปทานข้าวกับที่บ้านเดี๋ยวส่งวิวเสร็จแล้วเป้กลับเลยก็ได้”

คนโดนท้วงเพียงแค่ยักไหล่แต่ก็ไม่ได้หันมาหา “ไม่เป็นไรหรอก แม่เค้าชินแล้วล่ะ อีกอย่างเป้เจอว่าที่พี่เขยคนนี้บ่อยแล้วเพราะเค้าก็ทำงานอยู่บริษัทพ่อนั่นแหละ ที่สำคัญ...วันนี้เป้อยากอยู่กับวิวมากกว่า”

มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาพลิกมือผมให้หงายขึ้นก่อนจะประสานปลายนิ้วเข้าแล้วก็บีบเบาๆ ผมจ้องกระดาษโน้ตที่เขียนว่า “กลับบ้านก็ได้นะ” ที่วางอยู่บนตักตัวเอง แต่ถึงจะไม่พูดอะไรตอบออกไป ผมก็ดีใจที่คนข้างตัวให้ความเอาใจใส่ผมมากขนาดนี้

เป้พาผมไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งในตลาดไม่ไกลจากหอนัก จากนั้นเราก็แวะซื้อของใช้กันนิดหน่อยก่อนจะกลับ หลังจากเราตกลงคบกันและเป้มาขลุกอยู่ที่ห้องผมบ่อยๆแล้ว ข้าวของในห้องก็มีส่วนที่เป็นของเป้มาแบ่งพื้นที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะในตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำหรือในตู้เย็น จนบางครั้งผมก็ลืมไปว่าชิ้นไหนของเป้และชิ้นไหนของผมเพราะดูทุกอย่างจะกลืนกันไปหมด จะยกเว้นก็แต่พวกเสื้อผ้าที่ยังไงก็แยกออกเพราะของเป้ส่วนมากจะเป็นของค่อนข้างมีราคาและไซส์ต่างกับเสื้อผ้าของผมอย่างเห็นได้ชัด

พอกลับถึงห้องปุ๊บผมก็ขอตัวอาบน้ำก่อนทันที ทว่าหลังจากที่ได้อยู่ตามลำพังก็อดที่จะหวนคิดถึงบทสนทนากับรุ่นน้องสาวก่อนเป้จะมารับไม่ได้


“...พี่เป้เค้าไม่เบื่อพี่วิวบ้างเหรอคะ”


น่าแปลกที่คำถามเชิงรำพึงนั่นติดแน่นอยู่ในหัว ผมส่ายหน้าก่อนจะเข้าไปยืนใต้ฝักบัวเผื่อว่าสายน้ำอุ่นจะช่วยชำระความขุ่นมัวในใจให้ละลายออกไปได้บ้าง ฟองแชมพูที่ไหลเข้าตาทำให้แสบตาจนต้องยกมือขึ้นลูบออก แล้วก็ให้นึกถึงสีหน้ากังวลใจของคนตัวโตตอนที่เห็นผมไม่ตอบคำถามเมื่อตอนเย็น แต่ถ้าหากผมเล่าไปตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น เป้อาจตามไปคุยกับน้องดาแล้วทำให้เรื่องมันใหญ่โตเกินเหตุก็ได้ ดังนั้นแม้ว่าผมจะไม่นิยมการมีความลับกับคนใกล้ชิด แต่สำหรับเรื่องนี้ผมก็คิดว่าไม่ควรเล่าให้อีกฝ่ายฟังจะดีกว่า

ผมอาบน้ำเช็ดตัวจนเสร็จแล้วก็คว้าเสื้อผ้าชุดนอนขายาวขึ้นมาเปลี่ยน พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพ่อคนตัวโตกำลังนั่งพิงเตียงพลางเปิดดูอัลบัมรูปฆ่าเวลาอยู่ ผมเลยเอาผ้าเช็ดตัวไปผึ่งที่ราวตรงระเบียงก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงข้างๆ

“รื้อมาดูอีกแล้ว มันก็รูปเดิมๆนั่นแหละเป้ ไม่เบื่อบ้างเหรอ”

ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านมาอยู่หอในกรุงเทพฯผมเลือกรูปถ่ายครอบครัวและรูปตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงม.ปลายใส่อัลบัมขนาดเล็กติดกระเป๋ามาด้วย เนื่องจากตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ต้องมาอยู่หอคนเดียวแถมญาติที่อยู่ในกรุงเทพฯก็ไม่ใช่ญาติสนิท ผมจึงทุ่มเวลาให้กับการเรียนเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดถึงบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางเวลาที่รู้สึกว้าเหว่ขึ้นมา ดังนั้นนอกจากจะโทรกลับไปหาครอบครัวเป็นระยะๆแล้ว ผมก็ได้อัลบัมรูปนี้ที่เป็นเพื่อนคลายเหงาได้บ้าง แต่ว่าหลังจากที่คบกับเป้แล้วผมก็ไม่ค่อยได้หยิบอัลบัมนี้ออกมาดูเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีเวลาอยู่คนเดียวให้ได้เหงานัก

เป้หันมายิ้มให้แล้วก็ดึงผมไปหอมแก้มทีหนึ่งก่อนจะพลิกอัลบัมดูต่อ “เบื่อทำไม ดูรูปแฟนตัวเองนี่นา แล้วอีกอย่าง วิวตอนเด็กน่ารักจะตายไป”

โชคดีที่เป้ไม่ได้หันมามอง เพราะผมรู้ว่าตัวเองต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ไม่รู้ว่าเป้รู้บ้างหรือเปล่าว่าถึงแม้เจ้าตัวจะชอบปากหวานใส่ผมบ่อยจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ แต่เวลาได้ยินทีไรผมก็ยังรู้สึกประดักประเดิดอยู่ดีนั่นแหละ

ผมมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังยิ้มกับรูปถ่ายในเครื่องแบบสมัยม.ต้นของผมอยู่ แล้วก็คิดถึงคำพูดของดาเมื่อตอนเย็น พลันจู่ๆก็รู้สึกอยากทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำขึ้นมา

“เป้”

“หือม์?”

เป้หันมาตามเสียงเรียก ผมเลยหยิบอัลบัมรูปในมืออีกฝ่ายออกก่อนจะคล้องแขนสองข้างรอบคอแกร่งแล้วโน้มใบหน้าคมลงจูบ ผมได้ยินเสียงเป้ครางในคอเหมือนประหลาดใจก่อนที่มือใหญ่ข้างหนึ่งจะเลื่อนมาโอบเอวผมไว้ ขณะที่มืออีกข้างลูบไปตามแผ่นหลังผ่านเสื้อนอนเนื้อบาง ตลอดเวลาที่คบกันมาผมไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์ทางกายก่อนเลยสักครั้ง แต่วันนี้ผมอยากทำให้เป้รู้ว่าผมกำลังโหยหาความอบอุ่นจากอีกฝ่ายมากแค่ไหน

ผมลดมือลงปลดกระดุมเสื้อนอนของตัวเอง พอผละออกเพื่อถอดเสื้อให้พ้นจากตัวก็เห็นว่าเป้กำลังจ้องผมนิ่งอยู่ นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มอาบไปด้วยปรารถนาจนผมต้องหลบสายตาแล้วพุ่งความสนใจไปที่การปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของเป้แทน แต่ยังไม่ทันจะเลื่อนเสื้อออกจากไหล่กว้าง มือใหญ่ก็จับมือผมยึดเอาไว้ก่อนเจ้าตัวจะก้มลงจูบบนหน้าผากเบาๆ

“เป็นอะไรไป วันนี้วิวใจดีจัง”

“...เปล่าสักหน่อย”

ผมดันคนรักที่กำลังพรมจูบไปทั่วหน้าตัวเองออกเบาๆก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวที่ฉายประกายราวสัตว์ป่าที่กำลังออกล่าเหยื่อ เป้ยิ้มมุมปากแบบที่ผมชอบบอกเจ้าตัวว่าทำแบบนี้ทีไรหน้าตาดูเจ้าเล่ห์ทุกที ผมเลยเลื่อนมือสองข้างขึ้นประคองหน้าอีกฝ่ายไว้แล้วจูบที่ปลายจมูกโด่งก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะกล้าพูดมาก่อน

“วันนี้เป้อยู่เฉยๆได้มั้ย ให้วิวนำเอง”

ใบหน้าคมเลิกคิ้ว แต่แล้วก็คลี่ยิ้มให้ก่อนจะดึงมือผมข้างหนึ่งไปจูบ ลิ้นร้อนตวัดเลียที่กลางฝ่ามือจนผมอดสั่นไม่ได้

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ เป้เคยขัดใจวิวด้วยเหรอ”

ผมลุกขึ้นแล้วฉุดเป้ให้นั่งบนเตียงก่อนจะดันคนตัวโตกว่าให้นอนหงายแล้วแหวกเสื้อเชิ้ตขาวออกจนเห็นแผงอกแกร่งถนัดตา ผมไล้ปลายนิ้วไปมาบนกล้ามเนื้อแน่นก่อนจะค่อยๆไล่ต่ำลงจัดการกับเข็มขัดและกางเกงแสล็คสีดำ ความต้องการของอีกฝ่ายเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างให้เห็นผ่านกางเกงชั้นในเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้ม ผมรูดกางเกงนอนของตัวเองลงก่อนจะขยับขึ้นนั่งคร่อมบนส่วนแข็งขืนที่กำลังขยายตัวขึ้นตามแรงสัมผัส

ลมหายใจของคนตัวโตเริ่มหอบถี่เมื่อผมโยกตัวเบาๆ ผมเลยก้มลงจูบริมฝีปากบางขณะที่มือสองข้างก็ลูบไล้ไปทั่วแผงอกที่เรียบลื่นมือ ปลายลิ้นของเราเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ผมรู้สึกได้ว่ามืออบอุ่นสองข้างเริ่มเลื่อนต่ำลงไปกดสะโพกผมลงขณะที่เจ้าตัวก็เกร็งร่างกายส่วนล่างให้บดเบียดกลับมาจนผมต้องถอยออกแล้วพยายามทำตาดุใส่

“ไหนว่าจะไม่ขัดใจไง”

เป้หัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่บีบคลึงสะโพกด้านหลังของผมอยู่ “ขอโทษ มันติดนี่นาเลยอดไม่ได้”

ผมค้อนคนพูดก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบหลอดเจลที่เก็บไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียง ท่านั้นเปิดโอกาสให้คนเบื้องล่างฉวยใช้ริมฝีปากอุ่นขบเม้มที่แผ่นอกจนสะดุ้งเฮือก พ่อตัวดียันตัวขึ้นทั้งที่ผมยังนั่งคร่อมตักอยู่แล้วก็แย่งของในมือไปก่อนจะส่งยิ้มให้

“อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิ เดี๋ยวให้วิวนำอยู่แล้วล่ะ แต่ช่วงเตรียมตัวนี่ขอให้เป้ทำเองแล้วกันนะ”

คนตัวโตพูดแล้วก็บีบเจลออกใส่มือโดยไม่รอฟังคำปฏิเสธ ผมเลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ สัมผัสเย็นๆลื่นๆของปลายนิ้วที่ชุ่มไปด้วยของเหลวหนืดใสซึ่งไล้วนอยู่รอบช่องทางเบื้องล่างทำให้ผมเผลอกอดคออีกฝ่ายแน่น

นิ้วใหญ่แข็งแรงนิ้วแรกค่อยๆแทรกเข้ามาในกายทีละนิดจนผมต้องกลั้นหายใจ เป้ก้มลงจูบซับที่หัวไหล่ผมก่อนจะค่อยๆไซ้ขึ้นมาที่คอและใบหู มือข้างที่ว่างก็ลูบขึ้นลงบนลำตัวเหมือนจะปลอบให้ผ่อนคลาย ไม่นานนิ้วที่สองก็ถูกสอดใส่ตามเข้ามาและไล้วนไปรอบๆช่องทางด้านในเพื่อเตรียมความพร้อมให้ การเคลื่อนไหวของนิ้วมือทั้งสองนั้นทำให้ผมสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้และปลดปล่อยเสียงน่าอายออกมา

“เป้...เป้...อ๊ะ...ฮะ!”

ผมเผลอร้องเสียงหลงเมื่อส่วนอ่อนไหวของตัวเองถูกกลั่นแกล้งจนปวดแปลบไปหมดเพราะอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้น ริมฝีปากนุ่มหยุ่นประทับลงบนหน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อผุดซึมก่อนที่เป้จะถอนนิ้วออก ความรู้สึกว่างโหวงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ร่างผมกระตุกและหลุดครางเสียงแผ่ว

“จากนี้วิวทำให้เป้นะ”

เสียงทุ้มทว่าแหบพร่ากระซิบที่ข้างหูก่อนคนพูดจะถอยตัวออกแล้วยันร่างกายส่วนบนไว้ ผิวกายแกร่งเนียนเริ่มเป็นสีเรื่อเพราะความต้องการ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถอยตัวลงจูบบนหน้าท้องที่เกร็งขึ้นจนเป็นลอนแล้วใช้ริมฝีปากและปลายนิ้วรูดรั้งชั้นในสีเข้มออกจากช่วงขายาว จากนั้นจึงไล้ปลายลิ้นอย่างแผ่วเบาที่ศูนย์รวมความต้องการที่กำลังตื่นตัวของคนตรงหน้าก่อนจะคว้าหลอดเจลที่หล่นอยู่บนเตียงขึ้นบีบชโลมไปยังแก่นกายร้อนผ่าวจนชุ่ม พอเงยหน้าขึ้นมองเป้อีกทีก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังจ้องตรงมา ผมเลยดันร่างอีกฝ่ายให้นอนราบลงขณะที่มือข้างหนึ่งก็เลื่อนไปด้านหลังเพื่อนำทางให้สิ่งที่กำลังจะรุกรานตัวเองผ่านช่องทางที่คับแน่นเข้ามาได้ง่ายขึ้น

เสียงครางของเราสองคนดังขึ้นพร้อมกันเมื่อความต้องการของเป้เริ่มชำแรกผ่านเข้ามาในร่างผม ท่าที่ไม่เคยคุ้นทำให้รู้สึกอึดอัดในแรกเริ่มจนต้องคอยหยุดเป็นระยะ ทว่าไม่กี่ชั่วอึดใจร่างกายของเราก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว อุณหภูมิและความแข็งขืนที่กำลังเป็นส่วนหนึ่งในกายทำให้ลมหายใจติดขัด ความร้อนรุ่มทั้งจากภายในและภายนอกจุดเม็ดเหงื่อใสให้ผุดพรายขึ้นตามร่างทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานอยู่

“จะขยับแล้วนะ”

ผมให้สัญญาณเสียงพร่าหลังจากที่เริ่มชินกับความต้องการของคนตัวโตที่อิงแอบอยู่ในร่างของตัวเอง เป้พยักหน้าแล้วก็ช่วยจับเอวผมไว้ก่อนที่ผมจะเริ่มขยับร่างกายตัวเองเป็นจังหวะ เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทที่เริ่มอื้ออึง แต่ถึงผมจะบอกเป้ไว้แล้วว่าผมจะนำ สุดท้ายเรือนร่างแกร่งที่โดนผมครอบครองอยู่ก็เริ่มขยับเองอยู่ดี แต่เพราะความรู้สึกที่เริ่มฉุดรั้งไม่อยู่ผมจึงไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ใครเป็นคนนำและใครเป็นคนตาม เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือท่วงทำนองรักที่เราสองคนบรรเลงร่วมกัน

มือใหญ่รั้งผมลงจูบขณะที่ร่างกายของเราสอดประสานกันอย่างเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะทนแรงกระตุ้นไม่ไหวจึงเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนเตียงขณะที่อีกข้างเลื่อนไปกอบกุมส่วนที่กำลังเรียกร้องการปลดปล่อยเบื้องล่าง ความรู้สึกปั่นป่วนเริ่มแผ่ซ่านจากกึ่งกลางของร่างกายและแล่นพล่านไปถึงปลายนิ้วขณะที่ผมเร่งโหมจังหวะตัวเองมากขึ้น ไม่กี่อึดใจความรู้สึกที่ล่องลอยราวกับถูกคลื่นพายุพัดโหมขึ้นสู่ที่สูงก็ซัดกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงจนผมเกร็งกระตุกไปทั้งร่าง

เป้กดท้ายทอยผมไว้แน่นขณะที่ความต้องการของผมเอ่อทะลักจากพายุอารมณ์ที่กักเก็บไว้ เสียงครางที่หลุดออกมาจึงหายไปกับริมฝีปากร้อนที่ยังคงดูดดุนปลายลิ้นผมอยู่ มือใหญ่เลื่อนลงกดที่สะโพกก่อนเป้จะพลิกตัวขึ้นอยู่ด้านบนแทนแล้วกระแทกเอวเข้ามาอย่างรุนแรงจนผมผวาไปทั้งร่าง ผมพยายามฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นสบตากับคนเบื้องบน ใบหน้าคมขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสันนูนก่อนที่ร่างแกร่งจะสอดแทรกเข้ามาอีก เป้เกร็งไปทั้งตัวขณะปลดปล่อยกระแสธารอุ่นร้อนให้สาดซัดเข้ามาในร่างผมโดยที่ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ชะลอจังหวะลงเลย

พ่อคนตัวโตก้มลงจูบที่แก้มผมแรงๆก่อนจะนอนคร่อมผมเอาไว้ ทั้งห้องมีแต่เสียงครางต่ำๆของเครื่องปรับอากาศกับเสียงหอบหายใจของเราสองคน ทั้งที่เพิ่งปลดปล่อยกันไปแค่ครั้งเดียว แต่คราวนี้ผมเหนื่อยราวกับเราเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ไม่ปาน ผมพยายามบังคับลมหายใจที่ถี่รัวจนเจ็บหน้าอกให้เป็นปกติก่อนจะเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหลังชื้นเหงื่อของคนรักไปมา เป้ผงกหัวขึ้นยิ้มให้ก่อนจะถอนกายออกแล้วจับตัวผมพลิกให้นอนทับตัวเองไว้

ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนขมับขณะที่นิ้วมือใหญ่นวดคลึงให้ที่ต้นคอกับท้ายทอยเบาๆ ผมเลยกระชับอ้อมแขนรอบคอเป้แน่นขึ้นก่อนจะซุกตัวเข้ากับแผ่นอกกว้างที่รองรับตัวเองอยู่ รู้สึกว่าร่างกายได้ระบายความตึงเครียดออกไปจนแทบจะหลับไปทั้งอย่างนั้น แต่ผมก็เพียงลืมตาจ้องผนังห้องแล้วแนบหูฟังเสียงหัวใจของเป้เงียบๆ

“วิว หลับหรือยัง?”

เสียงที่ดังขึ้นใกล้หูทำให้ผมที่เริ่มเคลิ้มผงกหน้าขึ้นมองคนที่ตอนนี้เป็นกึ่งๆเบาะให้ตัวเองอยู่ “หือ?...ยัง แค่อยู่แบบนี้แล้วสบายดี เป้เมื่อยเหรอ?”

“แค่นี้ไม่เมื่อยหรอก ว่าแต่รู้ตัวมั้ย วิวไม่เคยอ้อนเป้แบบวันนี้มาก่อนเลยนะ”

คนตัวโตพูดแล้วก็ยิ้มตาเป็นประกาย แต่นั่นกลับทำให้ผมประหม่าขึ้นมา

“แปลกเหรอ? หรือว่าเป้ไม่ชอบให้ทำแบบนี้”

พ่อตัวดียิ่งยิ้มมากขึ้นเมื่อได้ยินคำถามก่อนจะกดจมูกลงบนหน้าผากผม “แฟนอ้อนใครจะไม่ชอบล่ะ ความจริงอยากให้อ้อนบ่อยๆเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเดี๋ยวจะขอมากไป”

คำพูดที่เรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่นัยน์ตาที่มองตรงมาเหมือนจะตอกย้ำคำพูดทำให้อดรู้สึกร้อนที่แก้มไม่ได้ ผมเลยซุกหน้าลงกับไหล่กว้างเหมือนเดิมก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่กวนใจมาตั้งแต่ตอนเย็น

“เป้ เป้เคยคิดว่าวิวน่าเบื่อบ้างหรือเปล่า?”

คราวนี้คนตัวโตดันผมออกแล้วขมวดคิ้วมองหน้าอย่างค้นหา “ทำไมอยู่ๆก็ถามแบบนั้น หรือว่าใครมาพูดอะไรกับวิว?”

“เปล่า แค่สงสัยเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน ถ้าเกิดวันไหนเป้นึกเบื่อขึ้นมา วิวก็อยากจะให้พูดบอกกันมาตรงๆ”

ผมตอบเลี่ยงๆแต่ไม่ยอมมองหน้าคนถาม เป้ถอนหายใจก่อนจะกอดผมแน่นขึ้นแล้วใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังไปมา ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบให้ใครปฏิบัติด้วยเหมือนตัวเองเป็นคนอ่อนแอเท่าไหร่ แต่วันนี้ผมยอมให้อีกฝ่ายปลอบราวกับเป็นเด็กเล็กๆแต่โดยดี

“ไม่เห็นต้องคิดมากเลย วิวเป็นแบบนี้แหละดีอยู่แล้ว อีกอย่างเราคบกันมาเป็นปีแล้วนะ มีวันไหนเป้ทำท่าเบื่อให้เห็นหรือไง?”

เป้ถามแล้วก็ถอยออกมองหน้าผม ผมคิดทบทวนตามแล้วก็ส่ายหน้า เป้ไม่เคยแสดงท่าทางแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ มีแต่จะยิ่งตรงกันข้ามด้วยซ้ำ จะว่าไปผมเองไม่น่าจะต้องคิดมากเพียงเพราะคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ที่คำพูดนั้นกระทบความรู้สึกขนาดนี้คงเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกันกระมัง

ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองจนสะดุ้งเมื่อโดนปลายนิ้วมือเชยคางตัวเองขึ้น พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าเป้กำลังยิ้มให้ขณะที่มือที่อยู่บนต้นคอค่อยๆเพิ่มแรงกดให้ก้มลงหา ผมเลยหลับตาลงก่อนจะคล้องแขนรอบบ่ากว้างไว้ ริมฝีปากเราสัมผัสกันก่อนคนตัวโตจะพลิกร่างผมให้นอนหงาย

ถ้าเป็นวันอื่นหลังจากเหนื่อยขนาดนี้ผมคงบ่นไปแล้ว แต่วันนี้ผมไม่นึกอยากปฏิเสธความสุขสมที่อีกฝ่ายต้องการจะมอบให้

“เป้ วิวขออะไรอย่างได้มั้ย?”

ผมสบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มแล้วกระซิบถามเสียงเบา เป้ไล้ข้อนิ้วบนแก้มผมราวกำลังแตะต้องบางสิ่งที่บอบบางแล้วก็ยิ้มให้

“ครับ ว่าไง?”

“คืนนี้ กอดวิวจนถึงเช้าเลยนะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้น แต่แล้วริมฝีปากบางก็ยิ้มกว้าง อ้อมแขนอบอุ่นรั้งร่างผมเข้าไปแนบชิดก่อนปลายจมูกโด่งจะก้มลงคลอเคลียที่ซอกคอจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงบนผิว

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ สำหรับวิว เป้กอดเท่าไหร่ก็ไม่เคยพออยู่แล้ว”


++------++


“อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอคะพี่วิว ขยันได้ตลอดเลยนะคะ”

เสียงทักทายเสียงเดียวกับวันก่อนและเสียงรองเท้าส้นแหลมกระทบพื้นดังขึ้นใกล้ตัว แม้ผมจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่ก็พอจะรู้ว่าใครเป็นคนทัก ทว่าผมเลือกจะทำเฉยเสียแล้วไล่สายตาไปบนตัวหนังสือตรงหน้าต่อ

ผมรู้ว่าดารอให้ผมพูดอะไรด้วย แต่พออีกฝ่ายเห็นผมนิ่งเงียบเลยทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งตัวเดียวกันแล้วยื่นมือเรียวมาปิดทับบนหน้าหนังสือที่กางอยู่ ถ้าหากจะมีวิธีไหนที่เรียกความสนใจผมได้ชะงัดก็เห็นจะเป็นวิธีนี้แหละ อย่างน้อยเป้ก็เคยทำสำเร็จมาแล้วคนนึง เพียงแต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้ด้วยอีก

ใบหน้าสวยหวานมองผมที่ยอมละสายตาจากหนังสือขึ้นแล้วก็ยิ้มให้ ความที่เรานั่งใกล้กันผมจึงได้กลิ่นน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศจางๆ มันเป็นกลิ่นหอมหวานเหมือนผลไม้ ต่างกับกลิ่นโคโลญจน์เจือบุหรี่ที่ผมคุ้นเคยจากตัวเป้จนรู้สึกเวียนหัวแปลกๆ

“อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิคะ หนังสือเรียนมันก็พูดเรื่องเดียวกับที่อาจารย์บรรยายในห้องไม่ใช่เหรอ อ่านซ้ำไปซ้ำมาน่าเบื่อจะตายไป”

“แต่อ่านซ้ำแล้วมันก็ทำให้ผมจำเนื้อหาดีขึ้น อีกอย่างนี่ก็ใกล้สอบแล้ว น้องดาก็น่าจะเตรียมตัวอ่านหนังสือเหมือนกันนะ”

คนถูกเตือนทำหน้างอง้ำเหมือนไม่พอใจ แต่เรือนร่างสมส่วนกลับเบียดเข้าหามากขึ้นกว่าเดิมจนผมขมวดคิ้ว ความใกล้ชิดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและสัมผัสนุ่มนิ่มของลำแขนเรียวที่ชิดกับแขนผมทำให้จู่ๆก็รู้สึกอยากถอยหนีขึ้นมา

“พี่วิวนี่ทำตัวน่าเบื่อจริงๆด้วย พี่เป้เค้าทนได้ไงน้า... ถ้าเป็นดา ดาคงต้องบังคับพาพี่วิวไปดูหนังหรือทำอย่างอื่นที่มันน่าสนุกกว่านี้แน่ๆ”

ดาใช้ปลายนิ้วตลบเรือนผมที่ยาวจนถึงเอวไปพาดรวมกันที่ไหล่ข้างหนึ่งจนเห็นลำคอระหงได้ชัดแล้วก็ช้อนสายตาขึ้นมองผมยิ้มๆ ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ทำให้ผมเอนหลังหนีอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่

“จริงๆนะ ถ้าเกิดดาเป็นพี่เป้ล่ะก็ ดาคงไม่สนใจคนน่าเบื่อแบบพี่วิวหรอก”


“งั้นก็แย่หน่อยนะครับ บังเอิญว่าผมชอบที่คนของผมเป็นแบบนี้ แล้วผมก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคิดแทนให้ด้วย”


“เป้!”

ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเข้มๆที่ดังอยู่เหนือหัวด้วยความโล่งใจ จู่ๆก็รู้สึกว่าไออุ่นจากผิวเนื้อที่แนบชิดตัวเองอยู่หายไปเลยหันไปมองดาอีกที แล้วก็พบว่าเจ้าตัวชักสีหน้าไม่พอใจอยู่ เป้ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งอีกตัวแล้วก็เอามือข้างหนึ่งมากุมมือผมบนโต๊ะไว้ ใบหน้าคมส่งยิ้มให้หญิงสาวรุ่นน้อง แต่จากสัญชาตญาณทำให้ผมรู้ว่าคนตัวโตไม่ได้ส่งรอยยิ้มให้เพราะความรู้สึกเป็นมิตรแน่ๆ

“ผมไม่รู้นะว่าน้องดาคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะเป่าหูวิวให้เสียความมั่นใจเพื่อหวังผลล่ะก็ บอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่า”

ผมมองหน้าเป้กับดาสลับกันไปมา ทั้งไม่เข้าใจว่าเป้กำลังจะสื่ออะไร และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ดาต้องการคืออะไรกันแน่ แต่คนทั้งสองจ้องตากันเหมือนหยั่งเชิงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่หญิงสาวข้างตัวผมจะเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนแล้วลุกขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ว่าแต่พี่เป้ก็บอกให้พี่วิวปรับปรุงตัวบ้างนะคะ ถ้ามัวแต่ไร้เดียงสาอยู่อย่างนี้สักวันอาจจะโดนคนอื่นแย่งไปก็ได้”

ท้ายประโยคดาหันมามองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกก่อนเจ้าตัวจะหันหลังแล้วเดินออกไป เป้เลยขยับตัวเข้ามานั่งข้างผมทันที

“วิวเป็นไงบ้าง โดนทำอะไรหรือเปล่า?”

คำถามแปลกๆนั่นทำให้ผมอดงงเป็นคำรบสองไม่ได้ “โดนทำอะไร? เป้หมายความว่าไง? แล้วเมื่อกี้ทั้งสองคนพูดอะไรกัน วิวไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

คนตัวโตมองผมแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ “ที่น้องเค้าพูดมาก็ถูกแฮะ ช่างมันเถอะ ว่าแต่ทำไมเค้าถึงเข้ามาคุยกับวิวได้ล่ะ ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ไม่เชิงรู้จักกันหรอก เมื่อวันก่อนตอนนั่งอ่านหนังสืออยู่น้องเค้าเข้ามาบอกว่าเพื่อนเค้าแอบชอบเป้ แต่จากที่ฟังๆมา วิวว่าน้องเค้าเองก็คงจะสนใจเป้เหมือนกัน ไม่งั้นก็ไม่รู้จะเข้ามาพูดกับวิวแบบนั้นทำไม”

เป้มองผมที่ปิดหนังสือแล้วก็เก็บเครื่องเขียนกลับเข้ากระเป๋าเงียบๆ สายตาคมเหม่อมองไปทางทิศที่ดาเดินจากไปเมื่อครู่ก่อนจะพูดเสียงเปรยๆขึ้นมา

“ใช่แน่เหรอ เป้ว่า...คนที่น้องเค้าสนใจจริงๆคือวิวมากกว่านะ”

ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คนข้างตัวเลยเท้าคางมองผมแล้วก็ยิ้ม “เรื่องน้องแจนที่มาจีบเป้น่ะเป้รู้อยู่แล้ว แล้วก็เคยคุยกับน้องเค้าจบไปแล้วด้วยว่าเป้คบกับวิวอยู่ เพราะงั้นที่เด็กคนเมื่อกี้เข้ามาหาวิวน่าจะเป็นเพราะเค้าอยากจะแย่งวิวไปมากกว่า”

“แย่งวิว? แต่วิวไม่รู้จักน้องเค้ามาก่อนเลยนะ”

บทวิเคราะห์ของเป้ทำให้ผมอดจะแย้งขึ้นมาไม่ได้ เพราะนอกจากเพื่อนในโต๊ะกลุ่มตัวเองกับเพื่อนที่เรียนวิชาเดียวกันแล้ว นอกจากนั้นผมก็ไม่ค่อยรู้จักใครในคณะเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นรุ่นน้องยิ่งรู้จักน้อยจนแทบจะนับหัวได้ แถมผมเองก็ไม่เคยแม้แต่จะสังเกตเห็นน้องดามาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“คนเราจะชอบใคร บางทีก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักคุ้นเคยกับคนคนนั้นมาก่อนหรอก อย่างเป้กับวิวก็ไม่ได้สนิทกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ สงสัยเค้าจะมองว่าคนเงียบๆแบบวิวดูแล้วท้าทายดีล่ะมั้ง”

ผมยังมองหน้าคนพูดอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ และคำอธิบายนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าอะไรกระจ่างขึ้นมาแม้สักนิดเดียว มือใหญ่ข้างหนึ่งเลยเลื่อนขึ้นตบบ่าผมเบาๆ

“เลิกคิดมากได้แล้ว เอาเป็นว่าหลังจากนี้น้องเค้าคงไม่มายุ่งกับวิวแล้วล่ะ เดี๋ยวเราเอาของไปเก็บในรถแล้วกลับกันเลยดีกว่า เป้หิวแล้ว”

คนตัวโตว่าแล้วก็ฉุดผมให้ลุกตาม เราเลยพากันเดินไปที่รถของเป้ซึ่งจอดไว้ในลานจอดติดกับหอประชุมใหญ่ แต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านตึกคณะแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็ยื่นมาโอบไหล่ผมไว้ซึ่งปกติเจ้าตัวไม่เคยทำถ้าหากเราอยู่ในที่ที่คนมากๆเพราะรู้ว่าผมไม่ชอบ ผมเงยหน้ามองตามสายตาของคนข้างตัวไปจนสบกับคนที่กำลังมองพวกเราสองคนอยู่จากโต๊ะใต้คณะ พอสายตาประสานเข้ากับผมดาก็รีบหันหน้ากลับทันที

ผมเห็นเป้ยิ้มที่มุมปากก่อนจะรั้งไหล่ผมให้เดินต่อ ถึงแม้ท่าทางของรุ่นน้องสาวจะดูแล้วน่าเห็นใจแต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ พอเรานั่งในรถกันแล้วผมถึงค่อยหันไปหาคนที่เมื่อกี้ทำท่าแสดงความเป็นเจ้าของตัวเองออกนอกหน้าไปเมื่อครู่ก่อน

“เป้ เมื่อกี้หึงเหรอ”

“แหงอยู่แล้วสิ ใครมองวิวหรือมาคุยกับวิวเป้หึงทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าจะแสดงออกหรือเปล่าก็เท่านั้น”

เป้ตอบเสียงเรียบก่อนจะหันไปถอยรถออกจากลานจอด คำตอบทันควันแบบไม่ต้องคิดนั่นทำเอาผมอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเราสองคนจะแตกต่างกันแทบทุกอย่างไม่ว่าในด้านความคิดหรือนิสัย แต่คงมีจุดนี้กระมังที่เราเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีวันพูดออกไปตรงๆให้อีกฝ่ายได้ใจหรอก

“วันนี้กินอะไรดี? วิวอยากไปหาร้านนั่งหรือว่าอยากกลับไปกินแถวหอมากกว่า?”

เป้หันมาถามหลังจากผ่านประตูด้านหน้าออกมาถนนใหญ่แล้ว ผมใช้เวลาคิดไม่นานก็หันกลับไปยิ้มบางๆตอบ

“เดี๋ยววนไปจอดข้างวัดแล้วไปร้านกับข้าวตามสั่งเจ้าเดิมกันดีกว่า วิวอยากกินข้าวต้มกับผัดกุ้ยช่ายขาว”

ผมพูดถึงร้านที่เป้เคยพาผมไปเลี้ยงข้าวครั้งแรกตั้งแต่ก่อนที่เราจะคบกัน ถึงแม้มันจะเป็นแค่ร้านข้างทางที่มีเพียงโต๊ะเหล็กพับเก่าๆกับเก้าอี้พลาสติกเลอะๆ ทว่าสำหรับผมร้านนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความทรงจำช่วงที่เราเพิ่งเริ่มทำความรู้จักกัน และอีกอย่างอาหารที่ร้านนั้นก็อร่อยและราคาถูกด้วย ผมไม่ค่อยชอบนักหรอกเวลาเป้พาไปกินแต่ร้านแพงๆเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่โลกของผมยังไงไม่รู้

เป้พยักหน้าแล้วก็หักเลี้ยวพวงมาลัยไปตามทิศที่บอก ผมหันไปมองคนตัวโตที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำตามคำขอของผมเสมอก่อนจะเอนลงพิงไหล่แข็งแรงไว้ พอรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่หันมาจูบผมตัวเองก่อนเจ้าตัวจะหันกลับไปขับรถต่อก็หุบยิ้มไม่ได้


เอาเถอะ ปล่อยให้เป้อ้อนผมฝ่ายเดียวมาก็บ่อยแล้ว นานๆที เปลี่ยนตัวเองเป็นคนอ้อนให้แฟนดีใจบ้างก็ดีเหมือนกัน...


++---End เรื่องธรรมดาของคนรักกัน---++




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:21:19 น.
Counter : 796 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.