Group Blog
 
All blogs
 
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


“พี่รงค์ เดี๋ยวมีประชุมทีมที่ห้องขาวนะพี่”

เสียงเนือยๆ จากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชะงักมือที่กำลังขยับเม้าส์ ใบหน้าคมคายละสายตาเพื่อหันไปทางคนเรียก ทำให้เห็นอิสรา รุ่นน้องในทีมกำลังยืนพิงขอบโต๊ะทำงานของเขาพร้อมสีหน้าเซ็งๆ

“อ้าว นี่เขาเรียกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นมีใครอีเมล์มาบอกพี่เลยล่ะ?”

ณรงค์ซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ถามอย่างแปลกใจพลางเซฟงานที่ทำค้างไว้ ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกและปากกาแล้วลุกตามรุ่นน้องเพื่อไปที่ห้องประชุมด้วยกัน เนื่องจากบริษัทที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งและก่อสร้าง ดังนั้นแม้แต่ในออฟฟิศซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารก็จะมีห้องประชุมหลายห้องหลายขนาดซึ่งได้รับการออกแบบด้วยธีมสีต่างกัน ‘ห้องขาว’ ที่เขากำลังจะไปนั้นเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับการประชุมภายในและตั้งอยู่ด้านในสุด ส่วนห้องที่เอาไว้รับรองลูกค้าหรือแขกทั่วไปจะสีสันจัดจ้านกว่าและตั้งอยู่ด้านหน้าบริษัท

“พอดีไรอันเพิ่งกลับจากฮ่องกงก็เลยเรียกประชุมด่วน ก็คงไอ้โครงการรีโนเวทโรงพยาบาลที่คู่แข่งเรามันได้ไปน่ะแหละ เห็นพี่วิตรบอกว่าไรอันหัวเสียน่าดูเพราะตอนแรกเหมือนทางลูกค้าเปรยๆ ว่าจะเอาแบบของเราอยู่แล้ว นี่ก็คงเรียกไปฟังแกระเบิดลงเพราะช่วงนี้เราไม่ค่อยมีโปรเจ็กต์ใหญ่กันเลยนี่นา”

รุ่นน้องหนุ่มอธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงที่บ่งให้รู้ว่ากำลังเบื่อจัด ณรงค์จึงยักไหล่ เนื่องจากเขาทำงานที่นี่มานาน ทำให้ได้ยินเสียงลือด้านความเจ้าอารมณ์ของหนึ่งในผู้บริหารลูกครึ่งไทย - ออสเตรเลียซึ่งเพิ่งมาประจำตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปีพอสมควร เพียงแต่ตามหน้าที่แล้วเขาไม่ค่อยจะได้เจอระเบิดที่ว่าโดยตรงนัก และที่สำคัญไรอันก็ไม่ค่อยอยู่เมืองไทย แต่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ เนื่องจากต้องคอยตรวจตราโครงการและลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ

เมื่อมาถึงห้องประชุม ณรงค์ก็พบว่าสมาชิกคนอื่นๆ มานั่งรอกันพร้อมแล้ว เนื่องจากบริษัทของเขาใช้นโยบายแบ่งทีมงานเป็นหลายทีมย่อยๆ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต่างกัน ในทีมของณรงค์นั้นนอกจากเขาซึ่งเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ก็มีประวิตร หัวหน้าทีมวัยกลางคนซึ่งรั้งตำแหน่งผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจของบริษัท ยุพดีและอิสราซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์ และแก้วกานต์ซึ่งเป็นเลขาของทีมผู้คอยจดรายละเอียดการประชุมและประสานงานทั่วไป ณรงค์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างประวิตรแล้วก็หันไปยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างเห็นใจ

“ท่าทางวันนี้จะยาวสินะครับ”

ประวิตรเบนสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คที่นำติดตัวเข้ามาแล้วยิ้มตอบอย่างเซียวๆ “ช่วยไม่ได้ว่ะ ตอนแรกไรอันนึกว่ายังไงก็ได้โครงการนี้แน่ๆ นี่นา พอโดนคู่แข่งฉกไปก็ต้องแค้นเป็นธรรมดา”

ณรงค์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงแล้วบริษัทของเขามีผู้บริหารดั้งเดิมทั้งสิ้นสามคนก่อนที่สำนักงานใหญ่ที่เมลเบิร์นจะส่งไรอันเข้ามาเพิ่ม และคนที่ได้รับการติดต่อจากลูกค้ารายที่เพิ่งหลุดมือไปนี้คือหนุ่มลูกครึ่ง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการที่โปรเจ็กต์ในฝันถูกแย่งไปต่อหน้า เนื่องจากลูกค้ารายนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีชื่อในหมู่คนไข้ชาวต่างประเทศที่กำลังวางแผนจะปรับปรุงภายในครั้งใหญ่ ดังนั้นหากได้โครงการนี้มาก็หมายถึงเงินก้อนโตและชื่อเสียงที่จะช่วยเบิกทางให้ลูกค้ารายอื่นๆ สนใจติดต่อเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากนั่งรอกันครู่หนึ่ง ทุกคนก็ได้ยินเสียงสืบฝีเท้าเร็วๆ ตรงมาทางห้องประชุม จากนั้นตัวเจ้าของเสียงก็ผลักประตูกระจกเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึงราวกับพร้อมจะงับหัวคนใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ ทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นประวิตรกับณรงค์ต่างสะดุ้งและนั่งตัวตรงขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านจากผู้มาใหม่ ฝ่ายประวิตรเพียงแต่ปิดฝาเครื่องโน้ตบุ๊คลงพลางกลอกตา (แบบแอบๆ) ส่วนณรงค์เพียงแต่ยกมือหนึ่งขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มเล็กน้อย สองตาของเขาจับจ้องที่การเคลื่อนไหวของผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไรอันเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่ได้ผอมแห้ง นัยน์ตาที่กลมโตและผมหยักศกซึ่งสั้นเพียงต้นคอเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีอำพัน จมูกที่โด่งกำลังดีรับกับริมฝีปากที่ไม่บางเฉียบแต่ก็ไม่ถึงกับอิ่มเต็ม เรียวคิ้วที่อยู่เหนือดวงตาเข้มหนาแต่ก็ไม่ถึงกับรก เครื่องหน้าและรูปร่างดูแล้วเหมาะจะไปเป็นนายแบบได้อย่างสบายๆ ประวิตรเคยเล่าให้ณรงค์ฟังว่าแม่ของไรอันเป็นอดีตนางงามการประกวดเวทีหนึ่งเมื่อสมัยสาวๆ จึงไม่น่าแปลกที่เจ้าตัวจะได้รับการถ่ายทอดเครื่องหน้าที่ดูคมเข้มแบบไทยมาหลายส่วนเช่นนี้ แม้ว่านิสัยโผงผางพูดตรงและบางครั้งก็ลืมตัวเปลี่ยนภาษาพูดจากไทยกลับไปเป็นอังกฤษคงจะได้รับมาจากพ่อ สาวๆ หลายคนในบริษัทยังเคยแอบบ่นกันด้วยความเสียดายหน้าตาและฐานะของเจ้าตัว ค่าที่ไรอันค่อนข้างจะทำตัวเย็นชาและห่างเหินกับคนอื่นๆ จนยากจะทำความสนิทสนมด้วย

ทันทีที่ผู้บริหารหนุ่มวางแฟ้มในมือลงบนโต๊ะและหันไปเปิดเครื่องโปรเจคเตอร์ ภาพสไลด์พรีเซนเทชันของแบบโครงการที่บริษัทของเขาเคยยื่นให้ลูกค้าไปก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนจอไวท์บอร์ด ร่างสูงโปร่งกวาดตามองใบหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมอย่างช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงต่ำเหมือนพูดลอดไรฟัน

“เอาล่ะ...พวกคุณอธิบายให้ผมฟังซิว่าสาเหตุที่พวกเราพลาดโปรเจ็คต์ครั้งนี้มันเกิดจากอะไร?”

ณรงค์รู้สึกเหมือนได้ยินความเงียบดังไปทั่วห้องแทนคำตอบ (ถ้าความเงียบสามารถดังได้) ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะกวาดตามองไปทั่วโต๊ะอีกครั้ง ต่อจากนั้นการประชุมที่น่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็แปรเปลี่ยนเป็นห้องระบายอารมณ์ของผู้บริหารหนุ่มที่พร่ำสาธยายถึงความเป็นไปได้และสิ่งที่พวกเขาควรจะทำล้านแปดประการที่น่าจะช่วยให้จับโปรเจ็คต์นี้ได้อยู่หมัด มิไยว่าประวิตรจะพยายามช่วยกล่อมให้สงบลงด้วยการอ้างถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ตาม และเนื่องจากไรอันเปลี่ยนกลับไปพูดภาษาอังกฤษหลังผ่านไปสิบนาทีซึ่งสมาชิกทีมส่วนใหญ่ก็ฟังกันไม่ค่อยแตกฉานอยู่แล้ว แถมนี่ยังเป็นสำเนียงออสเตรเลียจ๋าเสียอีกด้วย หลายคนจึงยิ่งนั่งเอ๋อกันมากเข้าไปอีก ฝ่ายณรงค์เองไม่ถึงกับฟังไม่ทันเพราะเขาเคยทำงานกับชาวต่างชาติมาบ้าง แต่กระนั้นสกิลด้านภาษาของเขาก็ยังนับได้ว่าห่างจากความสามารถด้านการออกแบบหลายขุม และต่อให้เขาคิดคำโต้แย้งให้กับข้อกล่าวหาบางข้อของไรอันได้จริงๆ เขาก็คิดว่าคงพูดแทรกไม่ทัน หรือทันแต่ไม่เข้าหูเจ้าตัวเป็นแน่

สุดท้ายการประชุมในเช้าวันนั้นก็ผ่านไปอย่างตึงเครียด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเลขาฯ ของไรอันเข้ามาลั่นระฆังช่วยด้วยการเตือนเจ้านายว่ามีนัดทานข้าวกับลูกค้าในตอนบ่าย ณรงค์คาดว่าพวกเขาก็คงยังต้องทนนั่งฟังการอบรม (และใส่อารมณ์) อย่างถึงพริกถึงขิงจากผู้บริหารหนุ่มไปอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีงานเร่งด่วนให้ต้องรีบทำให้เสร็จในวันนี้ แต่ถ้าต้องให้มานั่งเสียเวลาทนฟังหนุ่มลูกครึ่งบ่นเอานานๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

“โอย...แค่นั่งฟังไรอันบ่นชั่วโมงเดียวนี่รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังชีวิตออกไปเกลี้ยงเลย พี่รงค์ทนได้ไงฟังไปยิ้มไป ผึ้งเห็นเขาเหล่มองพี่รงค์เหมือนจะกินหัวให้ตั้งหลายที”

ยุพดีเอ่ยขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังทานข้าวกลางวันด้วยกัน เนื่องจากประวิตรเห็นว่าลูกทีมทำท่าละเหี่ยใจกันมากหลังประชุมเสร็จ จึงหยิบเงินส่งให้ณรงค์เพื่อพาเหล่าสมาชิกมาเลี้ยงข้าวโดยที่ตัวเองแยกไปทำธุระ

ณรงค์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ตอบยิ้มๆ “ก็คิดว่านั่งฟังเขาให้พรไปเสียสิ พวกเราก็ไม่ได้ฟังเขารู้เรื่องกันทุกคำไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเรื่องนี้ไรอันแค่คิดไปเองว่าเราน่าจะได้โปรเจ็คต์เพราะสนิทกับลูกค้า ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะต้องเลือกงานของเราแหงๆ นี่นา ดีเสียอีกที่จะได้บทเรียนเสียบ้างว่าโลกธุรกิจมันก็ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้แหละ”

ยุพดีกับอิสราสบตากันไปมา อาจเพราะทั้งสองยังผ่านการทำงานมาไม่นานจึงยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของธุรกิจดีนัก และคิดว่าใครจะไปรู้ดีกว่าผู้บริหารได้ (แม้ทุกคนในบริษัทจะรู้ว่าไรอันเพิ่งอายุแค่ยี่สิบหก) แต่ณรงค์ที่อายุยี่สิบเก้าแล้วและผ่านโลกมาพอสมควรมองออกว่าไรอันเพียงแต่ผิดหวังที่ไม่ได้โปรเจ็คต์ที่เล็งไว้ ก็เลยมาระบายอารมณ์เอากับพวกเขาเหมือนเด็กที่ขัดใจเมื่อไม่ได้ของที่ต้องการ

“จริงสิ พี่กานต์จะลาไปเที่ยวลำปางตั้งแต่พรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า? ถ้างั้นก็อดมาปาร์ตี้คริสต์มาสกับพวกผมสิ”

อิสราเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปถามแก้วกานต์ คนถูกถามจึงเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นพยักหน้า “อื้ม พี่ก็เสียดายเหมือนกัน แต่แฟนพี่เขาอยากพาลูกไปเยี่ยมปู่กับย่าช่วงปีใหม่ ปีที่แล้วยังอ่อนอยู่เลยพาไปไม่ได้ ตอนนี้ขวบกว่าแล้ว พาไปเที่ยวไกลๆ ได้เสียที”

“นี่ๆ...ผึ้งเคยได้ยินพี่สาวเล่าให้ฟังว่างานเลี้ยงบริษัทเขาทีไร พวกผู้บริหารที่ปกติดุนักหนาเขายอมแต่งหน้าแต่งตัวแปลกๆ แล้วมาแสดงอะไรตลกๆ ให้ลูกน้องดูด้วยล่ะ ทำไมของบริษัทเราไม่มีแบบนั้นบ้างน้า”

ยุพดีเอ่ยพลางจุ๊ปากอย่างเสียดาย อิสราจึงยิ้มแยกเขี้ยว “อยากได้แบบนั้นเธอคงต้องย้ายบริษัทแล้วล่ะผึ้ง เจ้านายเราแต่ละคนทั้งเขี้ยวทั้งสุขุมกันจะตาย ขนาดไรอันแก่กว่าเราแค่ไม่กี่ปียังทำอย่างกับเป็นตาแก่ไปแล้วเลย เขาคงยอมมาเล่นปาหี่ให้เธอดูหรอกนะ”

ณรงค์ทานข้าวต่อโดยไม่ใส่ใจฟังบทสนทนาที่เหลือของรุ่นน้องนัก เพราะเขาคิดว่าพอจะเข้าใจไรอันอยู่เหมือนกันที่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เนื่องจากที่เจ้าตัวถูกส่งมารับตำแหน่งที่เมืองไทยนี่ก็เพราะพ่อเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมลเบิร์นนั่นเอง จึงไม่แปลกหากเขาจะถูกมองว่าเป็นคุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเพราะเป็นลูกครึ่งซึ่งเติบโตในเมืองนอก ในขณะที่ผู้บริหารที่เหลืออีกสามคนต่างเป็นชาวไทยและอายุสี่สิบกว่ากันแล้ว และร่วมหัวจมท้ายผลักดันบริษัทตั้งแต่เริ่มตั้งสาขาที่เมืองไทยจนกระทั่งไต่ขึ้นมามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งอย่างเช่นทุกวันนี้

เมื่อนึกถึงผู้บริหารหนุ่ม ภาพใบหน้าของเจ้าตัวก็แวบเข้ามาในหัวของณรงค์โดยอัตโนมัติ เขายอมรับว่าชอบมองหน้าของไรอันเวลาที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ตอนแรกๆ นั้นก็ตามประสาอยากรู้อยากเห็นเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยู่ที่ออฟฟิศ แต่ผ่านไปนานเข้าเขาก็ยิ่งชอบที่จะมองอีกฝ่ายให้นานขึ้น อาจเพราะเมื่อเทียบกับเขาที่ใจเย็นและไม่ค่อยถูกกระตุ้นให้โมโหง่ายๆ จนเคยมีเพื่อนแซวว่าเป็นพวก ‘ตายด้าน’ ไรอันกลับเต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาถึงแม้จะหนักไปทางร้อนแรงและเอาแต่ใจ ความแตกต่างนี้ทำให้เขานึกเอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนกำลังมองน้องชายซนๆ คนหนึ่ง แต่เขาก็คิดว่าไรอันอาจจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขาอยู่เหมือนกัน เพราะบางโอกาสเขาก็เห็นเจ้าของนัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนส่งประกายหาเรื่องมาให้ยามที่เขาแอบมอง ซึ่งเวลาที่ถูกจับได้เขาก็จะเพียงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปทางอื่นเท่านั้น

ความที่มัวแต่ใช้ความคิดเพลิน ณรงค์จึงไม่ทันรู้สึกตัวว่าถูกถามจนกระทั่งยุพดีเขย่าแขนเขาเบาๆ ชายหนุ่มจึงหันไปยิ้มให้ “อะไรเหรอผึ้ง?”

“พี่รงค์นั่งเหม่อไปไหนแล้วเนี่ย เมื่อกี้พวกหนูคุยกันว่าวันนี้วันศุกร์ทั้งทีเลยจะไปเดินเล่นหลังเลิกงานที่ข้าวสาร สนใจจะมาปล่อยแก่กับพวกหนูป่าว?”

“ไอ้นี่ปากเสีย...เชิญไปกันเองเหอะ พี่ไม่ค่อยนิยมแถวนั้น”

“แหมพี่รงค์ ทำงานเหนื่อยๆ มันก็ต้องไปเฮฮาปาร์ตี้กันมั่งสิ พี่ก็ชอบบอกปัดพวกผมเรื่อยเลย คราวหน้าชวนแล้วต้องไปนา”

อิสราเอ่ยพลางห่อปากพ่นลม ณรงค์จึงตบหลังรุ่นน้องอย่างเอาใจ “เออๆ เอาไว้คราวหน้าถ้าหาร้านที่ถูกรสนิยมพี่ได้แล้วจะพิจารณา คืนนี้ก็ไปเที่ยวกันเองก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไว้โบนัสออกเมื่อไหร่พี่จะพาไปเลี้ยง”

คำสัญญานั้นตามมาด้วยเสียงเฮรอบโต๊ะ เมื่อทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วทุกคนก็ต่างกลับขึ้นไปทำงานต่อ หลังจากเลิกงานเล็กน้อยณรงค์ก็ลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด ชายหนุ่มนั่งดูโทรทัศน์พลางรอเวลาไปเรื่อยๆ เมื่อดึกพอสมควรจึงคว้าแจ็คเก็ตหนังมาสวมแล้วออกจากห้อง สาเหตุที่เขาปฏิเสธคำชวนของรุ่นน้องเมื่อตอนกลางวันก็เพราะว่าคืนนี้เขามีสถานที่ที่อยากไปอยู่แล้ว

ชายหนุ่มขับรถออกจากคอนโดไปยังถนนแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงที่หมาย ณรงค์จอดรถที่ลานจอดก่อนจะเดินเข้าไปในผับขนาดใหญ่ซึ่งประดับแสงไฟเป็นชื่อผับอยู่เหนือประตูทางเข้า ความจริงแล้วเขาไม่ถึงกับเป็นขาเที่ยว และก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยครั้งนัก แต่ถ้าหากเทียบกับผับบาร์ย่านข้าวสารที่รุ่นน้องของเขาชวนเมื่อตอนบ่ายแล้ว ที่นี่ ‘ตรง’ กับรสนิยมของเขามากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

ณรงค์ไม่ได้ชอบผู้หญิง เขารู้ตัวมานานแล้วและไม่ได้พยายามจะปกปิด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศถึงรสนิยมของตัวเอง ดังนั้นคนที่ไม่ได้สนิทกันจริงๆ ก็จะไม่รู้เรื่องนี้ ประกอบกับเขาเป็นคนรักอิสระและไม่เคยคิดผูกมัดตัวเอง ทำให้ไม่เคยเริ่มสานสัมพันธ์กับใครก่อนอย่างจริงจัง และนานทีปีหนเท่านั้นที่จะนึกอยากออกไปเที่ยวผับ ‘เฉพาะรสนิยม’ เช่นในคืนนี้

สงสัยเพราะเมื่อกลางวันได้สบตาหนุ่มลูกครึ่งถี่ไปหน่อย...เลยนึกอยากมาส่องเด็กเป็นอาหารตาเล่นๆ ล่ะมั้ง...

ณรงค์คิดกับตัวเองยิ้มๆ ขณะแสดงบัตรประชาชนกับยามหน้าประตูเพื่อเป็นหลักฐานว่าเขาบรรลุนิติภาวะแล้ว (แถมยังเกินไปหลายปี) ถึงแม้ผับที่เขามาจะค่อนข้างชัดเจนว่ารองรับลูกค้าแนวไหนเป็นพิเศษ แต่ก็มีลูกค้าชายหญิงหรือหญิงล้วนเข้ามาเที่ยวเหมือนกัน และคงเพราะราคาเครื่องดื่มและอาหารที่ถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับผับแนวนี้ ดังนั้นจึงเหมือนเป็นการกลั่นกรองลูกค้าที่มาใช้บริการไปกลายๆ ว่าไม่ใช่วัยรุ่นรักสนุกทั่วไปก็เข้ามาเที่ยวได้

เนื่องจากเขาไม่ใช่นักเต้นเท้าไฟและไม่ชื่นชอบการเบียดเสียดร่างกายกับคนไม่รู้จัก ณรงค์จึงตรงไปสั่งเบียร์ที่เคาน์เตอร์แล้วก็ยืนจิบพลางดูบรรยากาศรอบตัวอยู่ตรงนั้น เสียงดนตรีในผับค่อนข้างดังจนลูกค้าที่มากันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มต้องตะโกนคุย แต่เพราะณรงค์มาคนเดียวจึงไม่เดือดร้อน ชายหนุ่มเพียงโยกศีรษะและเคาะนิ้วเบาๆ บนหลังเคาน์เตอร์ตามจังหวะเพลงที่ดีเจเปิด ระหว่างที่สอดส่ายสายตาไปทั่วฟลอร์เผื่อว่าจะมีอะไรน่ามอง นัยน์ตาคมกริบก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งซึ่งกำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ท่ามกลางทะเลของนักเต้นอย่างเมามัน แต่เนื่องจากร่างนั้นไม่ได้หันมาทางเขา เขาจึงเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเจ้าตัวท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่สาดส่ายไปมาทั่วฟลอร์เท่านั้น

รูปร่างไม่เลว...ไรอันก็น่าจะสูงประมาณนี้...

เขาเคยขึ้นลิฟต์พร้อมกับผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งตอนอยู่ที่บริษัท ทำให้รู้ว่าไรอันสูงประมาณปลายจมูกเขาพอดี ณรงค์ยกเบียร์ขึ้นจิบอีกอึกโดยไม่ละสายตาจากร่างที่กำลังเคลื่อนไหวยักย้ายไปตามจังหวะดนตรีอย่างเร่าร้อน ไม่แน่ถ้าหากเขามีหนุ่มน้อยหน้าตาถูกใจมาเต้นยั่วแบบนี้ต่อหน้า แม้แต่คนตบะแข็งอย่างเขาก็อาจจะเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ร่างสูงโปร่งที่เขาจับจ้องนั้นใส่แจ็คเก็ตผ้าบางค่อนข้างเข้ารูปและไว้ผมสั้น ถึงแม้ว่าแสงไฟหลากสีที่สาดส่องไปมาจะทำให้ไม่สามารถระบุสีผมได้ว่าเป็นสีดำหรือสีอะไรก็ตาม วูบหนึ่งณรงค์เผลอคิดไปว่าเจ้าของร่างที่กำลังดึงดูดสายตาเขาคือผู้บริหารหนุ่มที่เพิ่งทำตาดุใส่ที่ห้องประชุมเมื่อกลางวัน แต่แล้วก็ส่ายหน้าแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ คงยากที่จะจินตนาการว่าคนที่กำลังวาดลวดลายในฟลอร์นั้นเป็นไรอันไปได้...ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะดูแล้วเป็นคนเจ้าอารมณ์ก็ตาม แต่นอกจากจะดุแล้วยังเอาจริงเอาจังเวลางานขนาดนั้น คงจะมาเต้นสะบัดแถมยั่วขนาดนี้ไม่ได้หรอก

ไม่มีทาง...

“เฮ่ย!”

ณรงค์แทบสำลักเบียร์ที่เพิ่งกรอกเข้าปากเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่หมุนตัวกลับมา และแสงไฟที่สาดผ่านไปวูบหนึ่งก็ทำให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัด ถึงแม้จะแค่วูบสั้นๆ แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่มีทางจำผู้บริหารของตัวเองผิดแน่

ชายหนุ่มใช้มือหนึ่งถือขวดเบียร์ขณะอีกมือยกขึ้นเช็ดคราบเบียร์ที่เลอะอยู่บนปาก ความบังเอิญที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ณรงค์ช็อคตาแทบค้างที่ได้เห็นผู้บริหารหนุ่มที่นี่ เพราะจริงอยู่ที่ผับแห่งนี้ต้อนรับลูกค้าทุกประเภท แต่พวกชายแท้จะไม่นิยมลงไปเต้นกลางฟลอร์เพราะรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่สงวนสำหรับใคร ดังนั้นคนที่จะกล้าไปยืนอยู่บริเวณนั้นได้นอกจากพวกผู้หญิงก็เท่ากับประกาศกลายๆ ว่า ‘ฉันเป็นอะไร’ แล้วเท่านั้น

ณรงค์พยายามบังคับริมฝีปากที่อ้าค้างเพราะความคาดไม่ถึงให้หุบลง ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่อาจละสายตาจากร่างตรงกลางฟลอร์ที่เดี๋ยวก็ผลุบเดี๋ยวก็โผล่ท่ามกลางฝูงคนที่เต้นโยกย้ายไปมามากเข้าไปอีก ใจหนึ่งเขาให้นึกสงสัยว่าไรอันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน และอีกใจก็เกิดคำถามว่าเจ้าตัวมากับใคร แต่จากท่าเต้นสุดเหวี่ยงที่ดูเหมือนไม่ได้หันไปหาใครเป็นพิเศษก็ทำให้เขาสันนิษฐานเอาเองว่าหนุ่มลูกครึ่งน่าจะมาคนเดียว

หลังจากความช็อคระลอกแรกผ่านไป ณรงค์ก็ส่ายหน้าแล้วเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องตกใจนี่นา...หากจะว่ากันแล้วผู้บริหารของเขาก็อายุเพียงยี่สิบหกเท่านั้นเอง ซึ่งหนุ่มๆ วัยนี้หากจะยังออกเที่ยวผับบาร์ตอนกลางคืนบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก เผลอๆ ตอนอยู่ที่เมลเบิร์นไรอันอาจจะยิ่งปาร์ตี้หนักกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เพราะหน้าที่การงานที่เมืองไทยทำให้เจ้าตัวต้องรักษาภาพพจน์ และคงเพราะเรื่องเครียดที่เพิ่งเจอก็เลยทำให้อยากมาปลดปล่อยบ้างก็เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวนอกเวลางานของอีกฝ่ายและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียจะดีกว่า

ยังไม่ทันที่ณรงค์จะคิดตกและตั้งใจว่าจะเพียงแต่แอบมองไรอันไปเงียบๆ จู่ๆ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นตรงกลางฟลอร์ที่ผู้บริหารหนุ่มของเขาเต้นอยู่จนคนที่อยู่รอบๆ พากันหยุดเต้นและหันไปมองเป็นตาเดียว ณรงค์เลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะร่างสูงโปร่งที่ควรจะอยู่ตรงกลางฟลอร์หายไปไหนก็ไม่รู้ ความเอะใจทำให้เขารีบวางขวดเบียร์ซึ่งยังดื่มไม่หมดลงบนเคาน์เตอร์แล้วก็รีบแหวกฝูงคนเข้าไปตรงกลางทันที

“Don’t you ever dare touch my ass again, you son of a bitch!”

ทันทีที่แหวกคนเข้าไปถึงตรงกลางได้ (เพราะดูทุกคนจะตกใจจนไม่มีใครขวาง) ณรงค์ก็ได้ช็อคอีกรอบเมื่อเห็นว่าผู้บริหารหนุ่มของเขากำลังนั่งคร่อมเอวผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ตะบันกำปั้นลงไปบนหน้าของหมอนั่นอย่างไม่ออมแรง ฝ่ายคนถูกต่อยซึ่งคงจะเมาหนักพยายามจะยกมือขึ้นปัดป้องอย่างไม่เป็นผลพลางส่งเสียงครางอย่างน่าสงสาร ณรงค์จึงรีบสาวเท้าเข้าไปแล้วล็อคแขนร่างสูงโปร่งจากด้านหลังให้ลุกขึ้นและออกห่างจากอีกฝ่าย

“Who the fuck are you? Fucking let me go you motherfucker!!”

กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่ฟุ้งจากลมหายใจของคนพูดทำเอาณรงค์นิ่วหน้า เมื่อประกอบกับน้ำเสียงที่ไม่ได้อ้อแอ้แต่ฟังแล้วพันกันจนแทบไม่เป็นคำก็ยิ่งทำให้รู้ว่าไรอันเมามาก และในอีกทางหนึ่งเขาก็นึกขอบคุณตัวเองที่แกะความสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ออกทุกคำ ไม่อย่างนั้นความรู้สึกอยากช่วยเหลือของเขาอาจจะลดน้อยลงกว่านี้ ชายหนุ่มรีบเอามือหนึ่งรวบเอวสอบของหนุ่มลูกครึ่งมาใกล้ตัวแล้วหันไปขอโทษขอโพยชายหนุ่มผู้น่าสงสารที่กำลังถูกคนช่วยให้ลุกขึ้นนั่ง

“ขอโทษนะครับ แฟนผมคงจะเมามากไปหน่อย เดี๋ยวผมจะรีบพากลับเดี๋ยวนี้เลยครับ”

“ใครเป็นแฟนแก? I’m not your bloody boyfriend you shit hole!”

ดูเหมือนว่าถึงจะเมามาก แต่สติสัมปชัญญะของหนุ่มลูกครึ่งก็ยังทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะฟังเขาออกท่ามกลางเสียงดนตรีกระหึ่มแล้วยังสามารถโต้ตอบได้อย่างถึงใจทั้งสองภาษา ทว่านัยน์ตาที่หยีมองเขาเหมือนมองคนแปลกหน้าก็ทำให้ณรงค์มั่นใจว่าไรอันคงเมาจนจำเขาไม่ได้

“Come on honey, you always say that when you’re angry.”

สกิลภาษาอังกฤษของณรงค์ดูจะพัฒนาขึ้นแบบปุบปับ ชายหนุ่มแสร้งเล่นบทคู่รักของเจ้าตัวต่อขณะกึ่งลากกึ่งประคองไรอันออกมาจากผับอย่างทุลักทุเล เพราะดูเหมือนหนุ่มลูกครึ่งจะไม่อยากให้ความร่วมมือด้วยสักเท่าไหร่ และจากรูปการณ์แล้วหากพวกเขายังอยู่ต่อคงไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มโชคร้ายเมื่อครู่จะไปตามพรรคพวกมารุมประชาทัณฑ์พวกเขาหรือไม่ ณรงค์จึงคิดว่าน่าจะพาไรอันกลับไปส่งที่บ้านเลยจะปลอดภัยที่สุด

“เดินดีๆ สิ คุณเมามากแล้วรู้มั้ย? เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่บ้านให้”

“ปล่อย...”

จู่ๆ คนที่ถูกรั้งเอวให้เดินมาด้วยก็ชะลอฝีเท้าลงกะทันหันและพยายามจะดันตัวออกจากอกเขา แต่เพราะณรงค์คิดว่าไรอันเพียงแกล้งทำเป็นหมดฤทธิ์เพื่อจะได้กลับเข้าไปด้านใน จึงไม่ยอมปล่อยแล้วก็ยิ่งรัดแขนข้างที่โอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“ไม่ได้ ขืนปล่อยคุณก็ได้หนีกลับเข้าไปในผับอีกล่ะสิ โตป่านนี้แล้วอย่าทำตัวเป็นเด็กช่างงอแงน่า”

นัยน์ตาคมสีน้ำตาลอ่อนตวัดขึ้นมองเขาอย่างฉุนเฉียว แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะอ้าปากพูด ณรงค์ก็ยืนตัวแข็งเมื่อมือเรียวสองข้างคว้าจับสาบเสื้อเขาแน่นก่อนไรอันจะก้มหน้าลงแล้วโก่งคออาเจียนอย่างแรง ครู่หนึ่งกลิ่นบูดเฉพาะตัวของอาหารที่ยังย่อยไม่หมดคละเคล้ากับกลิ่นแอลกอฮอลล์ก็ลอยฟุ้งขึ้นช้าๆ จากจุดที่เสื้อของเขาถูกกระทำชำเรา ชายหนุ่มทำตาโตขณะที่ตัวต้นเหตุค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวแล้วเอ่ยเสียงอ่อย (แต่ดูเหมือนไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยสำหรับคนฟัง)

“See? …I told ya.”


++------++


ณรงค์ถอนหายใจขณะปล่อยให้สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงบนร่างกายและเรือนผม มือแข็งแรงหยิบสบู่แบบก้อนขึ้นมาขยี้ฟองแล้วถูไปตามตัวเพื่อชำระคราบไคลและกลิ่นตัวที่ติดมาจากผับและอ้วกของใครบางคน สายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงมากระทบผิวช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องลากใครคนนั้นขึ้นรถและพากลับมาที่คอนโดได้เป็นอย่างดี

ตอนแรกณรงค์ไม่ได้ตั้งใจจะพาไรอันกลับมาด้วย แต่เพราะหลังจากอาเจียนจนหมดตับไตไส้พุง ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็หมดสติแล้วไม่สามารถชี้บอกเขาได้อีกว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ครั้นจะไปเปิดโรงแรมให้นอน ณรงค์ก็คิดว่านอกจากจะดูไม่ดีแล้วเขายังไปขอเบิกค่าห้องกับใครไม่ได้ จึงถือวิสาสะพาอีกฝ่ายกลับมาที่คอนโดเพราะถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ หากไรอันอยากจะนอนตื่นสายแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเลยเวลาเช็คเอ๊าท์แน่นอน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ณรงค์ก็เอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมขณะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน กลางเตียงขนาดดับเบิ้ลเบดในห้องที่เปิดไว้เพียงโคมไฟคือร่างของหนุ่มลูกครึ่งที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เจ้าของห้องจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยยังขยี้ผมไปด้วย

เนื่องจากตอนที่อาเจียนนั้นไรอันเล็งไม่ค่อยดี ดังนั้นนอกจากจะทำเสื้อและกางเกงของเขาเลอะแล้วก็ยังทำให้ทั้งเสื้อและกางเกงของตัวเองเปรอะไปด้วย ตอนแรกณรงค์ก็คิดว่าถ้ากลับมาถึงห้องแล้วหนุ่มลูกครึ่งได้สติก็จะปล่อยให้อาบน้ำเอง แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายไม่หือไม่อือทั้งสิ้นไม่ว่าเขาจะจับเดินไปทางไหน แถมพอเห็นเตียงก็ทำท่าจะล้มลงนอนทันทีอีกต่างหาก ร้อนถึงเขาต้องรีบรั้งให้มานั่งกับพื้นพรมแล้วจับปอกเปลือก เอ๊ย ถอดเสื้อผ้าที่เลอะเทอะออกให้ก่อน แต่เนื่องจากเสื้อผ้าที่ไรอันใส่มีเนื้อผ้าค่อนข้างบาง ตอนที่นั่งมาในรถจึงถูกอาเจียนที่เลอะซึมเข้าไปถึงกางเกงชั้นในเรียบร้อย ณรงค์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจับผู้บริหารของเขาถอดเสื้อผ้าเปลือยล่อนจ้อนแล้วเช็ดตัวให้อย่างกับเด็กทารก จากนั้นก็หยิบเสื้อยืดสีขาวสำหรับใส่นอนกับกางเกงบ็อกเซอร์ของเขาให้ใส่เพื่อจะได้ไม่เป็นหวัด เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงค่อยอุ้มคนที่หลับไม่รู้เรื่องราวขึ้นนอนบนเตียงก่อนจะไปอาบน้ำบ้าง

แสงสีส้มอ่อนจากโคมไฟตั้งพื้นตรงมุมห้องส่องสะท้อนผิวสีงาช้างของคนที่กำลังหลับใหล ใบหน้าที่ไร้การป้องกันตัวเองทำให้หนุ่มลูกครึ่งดูเด็กลงกว่าอายุจริงราวกับเป็นหนุ่มแรกรุ่น ณรงค์นั่งเท้าคางมองใบหน้าที่ผิวใสเกลี้ยงจนเหมือนจะเปล่งแสงได้เองแล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมให้ และพบว่าเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกที่เขาเคยคิดว่าน่าจะสากกลับลื่นนิ้วจนทำให้ไม่อยากหยุดสาง เมื่อครู่ตอนที่ช่วยเช็ดตัวนั้นเขามีเวลาให้พินิจพิจารณาเรือนร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอย่างเหลือเฟือ แต่ณรงค์เพียงแต่รีบทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่สบาย สำหรับเขาการแอบดูเรือนร่างของคนที่ไม่รู้ตัวก็ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิต มิสู้ให้เจ้าตัวมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี และเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เขาเชยชมร่างกายอย่างเต็มใจยังจะน่าตื่นเต้นมากกว่า

ชักจะฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว...รีบๆ ไปนอนจะได้ล้างหูไว้รอฟังคำโวยวายพรุ่งนี้ดีกว่ามั้ง...

คิดได้ดังนั้นณรงค์ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวมาสวม จากนั้นก็ปิดโคมไฟในห้องแล้วเดินออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ถึงแม้ว่าการนอนร่วมเตียงกับหนุ่มลูกครึ่งหุ่นสูงโปร่งหน้าตาดีจะเย้ายวนแค่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดสั้นถึงกับจะปล่อยให้ตัวเองถูกบีบคอตายบนเตียงหลังจากเจ้าตัวตื่นขึ้นมาหรอก


++------++


ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นเกินคาด ณรงค์ถึงกับแปลกใจด้วยซ้ำที่หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้ยินเสียงโคร้งเคร้งหรือเสียงบริภาษเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ของคนในห้องนอน เมื่อลองแง้มประตูดูก็พบว่าไรอันยังหลับไม่ตื่น เพียงแต่จากท่านอนหงายธรรมดาที่เขาจัดให้เมื่อวาน เช้านี้หนุ่มลูกครึ่งนอนงอตัวและดึงผ้าห่มไปคลุมจนเป็นก้อนกลมปุ๊ก เห็นเพียงปอยผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงที่โผล่ออกมาด้านบนเท่านั้น ดูแล้วเหมือนก้อนขนมปังไส้หมูหยองที่เขาชอบซื้อจากร้านใต้คอนโดไม่มีผิด

ณรงค์ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ตื่นเอาเสื้อผ้าซึ่งใส่เครื่องซักและอบแห้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาวางพาดบนเก้าอี้ให้ จากนั้นก็เดินย่องกลับไปที่ครัวเพื่อทำอาหารเช้าทาน ปกติเขาจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายได้เล็กน้อยเมื่อถึงวันหยุด แต่ต่อให้นอนเพลินแค่ไหนเขาก็ไม่ค่อยตื่นสายกว่าเก้าโมงเช้า เนื่องจากเสียดายเวลาที่จะได้เอาไปทำอย่างอื่น และหลังจากจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งดูโทรทัศน์ที่โซฟาเช่นเดิม

เวลาผ่านไปจนเกือบบ่ายสามจึงมีเสียงความเคลื่อนไหวจากในห้องนอน ณรงค์ที่กำลังนั่งดูการแข่งฟุตบอลอยู่หันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ใจหนึ่งก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าจะโดนด่าว่าอะไร แต่อีกใจหนึ่งก็เฉยๆ เพราะเขานั่งรอให้อีกฝ่ายตื่นมานานหลายชั่วโมงจนเริ่มไม่ตื่นเต้นแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจคือภาพของหนุ่มลูกครึ่งที่เดินขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆ ของตัวเองออกมาจากในห้องแล้วมองซ้ายขวาอย่างงงๆ จากนั้นก็หยีตามองเขาเหมือนกำลังเพ่งอะไรที่อยู่ไกลมากๆ และนั่นก็ทำให้ณรงค์นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรอยู่หลายวินาที

“เอ่อ...ตื่นแล้วเหรอครับ?”

หลังจากตั้งสติได้ ณรงค์ก็ลุกจากโซฟาแล้วเอ่ยทักทายก่อน แต่ว่าไรอันก็เพียงแต่มองตามการเคลื่อนไหวของเขาโดยไม่หยุดหยีตา หนุ่มลูกครึ่งเอียงคอพร้อมกับประกายในแววตาที่บ่งว่าเหมือนจะนึกอะไรออก แต่ก็เหมือนไม่แน่ใจเสียทีเดียว

หรือว่า...ไม่จริงน่ะ...

ณรงค์เริ่มเดาได้เลาๆ ว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมองเขาอย่างกับเขาอยู่ห่างไปสักห้าร้อยเมตรแทนที่จะเป็นสองเมตรอย่างในความจริงนั้นเพราะอะไร จึงลุกเดินเข้าไปหาใกล้ๆ และทันทีที่เขาอยู่ห่างในระยะไม่ถึงเมตร นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างทันที

“นาย! นายณรงค์!!”

สายตาสั้นขั้นรุนแรงจริงๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อ...

ชายหนุ่มพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะเมื่อได้ค้นพบความลับอีกอย่างของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่ง แต่แล้วก็ต้องรีบเบี่ยงตัวหลบเมื่อจู่ๆ ร่างสูงโปร่ง (แต่เตี้ยและผอมกว่า) พุ่งหมัดมาโดยเฉียดปลายจมูกเขาไปนิดเดียว ณรงค์อาศัยความไวรีบคว้าจับข้อมือข้างนั้นแล้วก็ยึดไว้แน่น

“เฮ่ย! เดี๋ยวก่อนสิ! จะไม่ฟังก่อนหรือไงว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่ห้องผมน่ะ!?”

“ไม่ฟัง! ไอ้โรคจิต! What the hell did you do to me!?”

เมื่อหมัดหนึ่งไม่ได้ผล หมัดสองก็ตามมา ณรงค์จึงต้องคว้าจับมืออีกข้างไว้ด้วย ทั้งสองยักแย่ยักยันกันครู่หนึ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร และสัญชาตญาณก็บอกณรงค์ว่าไรอันต้องยกเข่าขึ้นมาอัดท้องเขาแน่ จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเหลือบตาลงรีบบิดแขนเรียวข้างหนึ่งแล้วดึงตัวเข้ามากอดโดยให้แผ่นหลังชนกับอกของเขา จากนั้นก็ใช้แขนอีกข้างล็อกตัวเอาไว้แน่นเพื่อให้อยู่นิ่งๆ

“You fucking pervert!! Let go of me!!”

“นี่! ฟังกันให้รู้เรื่องก่อนได้มั้ย? ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรกับคนเมาที่อ้วกใส่ผมแล้วยังต้องให้พากลับมาที่ห้องอีกหรอกนะ รู้ตัวซะบ้างว่าถ้าเมื่อคืนผมไม่ช่วยล่ะก็คุณมีหวังโดนลากไปรุมกระทืบแล้ว!”

ดูเหมือนสิ่งที่ณรงค์พูดไปจะกระตุ้นต่อมความทรงจำซึ่งยังไม่ตื่นขึ้นมา ไรอันจึงค่อยๆ หยุดดิ้นรนในวงแขนของเขา และความเงียบที่ตามมาก็ทำเอาณรงค์แทบจะคิดว่าสามารถได้ยินเสียงฟันเฟืองในหัวของคนตรงหน้าเลยทีเดียว

“Oh…”

เสียงอุทานเบาๆ เหมือนเจ้าตัวระลึกความได้แล้วทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยมือ แต่พอร่างกายเป็นอิสระ ร่างสูงโปร่งก็รีบดีดตัวออกห่างแล้วหันมามองเขาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น

“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่ห้องคุณได้?”

สงสัยจะจำได้แต่ไม่หมด...ณรงค์คิดในใจ จากนั้นก็มองคนผมยุ่งตรงหน้าที่ดูแล้วเหมือนเด็กกำลังจ้องจะหาเรื่องด้วยนัยน์ตายิ้มปนเอือมหน่อยๆ

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ยังไงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้ทาน”

ถึงจะบอกว่าเป็นข้าวเช้า แต่โดยเวลาแล้วก็นับว่าเลยมื้อกลางวันมามากโข แถมเพราะเมื่อคืนนี้ไรอันอาเจียนออกไปชุดใหญ่ ณรงค์จึงตัดสินใจต้มโจ๊กซองใส่ไข่ให้สำหรับมื้อแรกของวัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งเดินกลับมาหลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าชุดเดิมที่ซักสะอาดแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็หรี่ลงมองถ้วยโจ๊กตรงหน้า

“นี่มันบ่ายสามแล้วนะ จะให้ผมกินแค่นี้เหรอ?”

ณรงค์เลิกคิ้ว “นี่คุณ เมื่อคืนคุณอ้วกหนักแค่ไหนรู้ตัวหรือเปล่า ถึงจะหิวก็กินของอ่อนๆ เข้าไปก่อนดีกว่า เกิดคลื่นไส้หรือท้องเสียขึ้นมาไม่คุ้มกันหรอก ถ้าหากกินแล้วยังไม่อิ่มเดี๋ยวผมต้มเพิ่มให้อีกซองก็ได้”

พูดจบแล้วเจ้าของห้องก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และจากระยะที่ห่างกันเพียงเส้นผ่านศูนย์กลางของโต๊ะกลมตัวเตี้ย ไรอันจึงเห็นนัยน์ตาคมกริบของณรงค์ที่จ้องมาเหมือนรอให้เขาทานอาหารที่ทำให้ได้อย่างชัดเจน หนุ่มลูกครึ่งจึงยอมนั่งแล้วยกช้อนขึ้นมาตักโจ๊กร้อนๆ ขึ้นทานแต่โดยดี และณรงค์ก็เพียงแต่มองอีกฝ่ายทานอาหารมื้อแรกอย่างเงียบๆ

เวลาดูแบบนี้แล้วเหมือนเด็กจริงๆ ด้วย...

ณรงค์คิดขณะมองคนตรงหน้าก้มลงเป่าโจ๊กซึ่งร้อนจนเห็นไอสีขาวลอยกรุ่น และไรอันก็ดูเหมือนจะจับได้ถึงรอยยิ้มในแววตาของคนจ้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงตวัดขึ้นมองเขาอย่างระวังระไว

“ไหนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังไง ทีนี้ก็เล่าเสียทีสิ”

“อ้อ ครับๆ”

ชายหนุ่มตอบรับแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง เริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปในผับและเริ่มสังเกตเห็นอีกฝ่ายอยู่กลางฟลอร์ ยิ่งพอเล่าถึงตอนที่ไรอันเมาจนชกคนแปลกหน้าและอ้วกใส่เสื้อเขาตอนเดินออกมาจากผับ สีหน้าของคนฟังก็ซีดเผือดลงเรื่อยๆ พอณรงค์เล่าถึงตอนที่พาขึ้นมาถึงบนห้องแล้วและกำลังจะถอดเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ หนุ่มลูกครึ่งก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที

“พอแล้ว! I get it! ไม่ต้องเล่าแล้ว!”

ณรงค์กะพริบตา จากนั้นก็หัวเราะหึๆ คนที่ใช้มือปิดปากเขาอยู่จึงสะดุ้งแล้วก็รีบชักมือกลับ พลันใบหน้าเนียนที่เมื่อครู่ซีดเผือดก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน (และตอนนี้ผมไม่ยุ่งแล้ว) ก้มลงตักโจ๊กทานต่อโดยดูจะหลีกเลี่ยงการสบตากับเขาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มเจ้าของห้องเห็นท่าทางแบบนั้นจึงตัดสินใจไม่แซวอีก

“ว่าแต่ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณสายตาสั้นมากขนาดนี้ ตอนอยู่ที่ออฟฟิศไม่เห็นเคยใส่แว่นสักครั้ง”

ณรงค์ทักขึ้น จึงได้รับคำตอบกลับแทบจะทันควัน “รู้จักคอนแทคต์เลนส์มั้ย? ผมไม่ชอบใส่แว่นก็เลยใส่คอนแทคต์ประจำ แต่ที่เมื่อเช้าตื่นมาเห็นคุณไม่ชัดคงเพราะมันหลุดไปตอนต่อยไอ้หมอนั่นเมื่อคืน”

“อ้อ...ก็เป็นไปได้”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีกและปล่อยให้อีกฝ่ายทานโจ๊กต่ออย่างสงบ

รู้สึกแปลกๆ ดีเหมือนกันแฮะ...ความจริงมีคนมานั่งกินข้าวในห้องเดียวกันก็ไม่เลวนี่นะ...

ณรงค์จับจ้องสายตาบนปลายนิ้วเรียวที่กระชับอยู่รอบช้อนสแตนเลส มองตามมือนั้นที่ลดลงใช้ช้อนตักโจ๊กสีขาวขุ่นขึ้นเป่า ไล่สายตาตามไปจนโจ๊กคำนั้นถูกส่งเข้าไปในริมฝีปากได้รูปสีสดที่เผยออ้า รวมทั้งช่วงคอเรียวที่ขยับยามกลืนโจ๊กอุ่นๆ ลงไป และเฝ้ามองการเคลื่อนไหวที่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเผลอไผลโดยไม่รู้เบื่อ

“แค่คนนั่งกินโจ๊ก จะมองอะไรกันนักกันหนา?”

คำถามนั้นทำให้ณรงค์ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มกะพริบตาแล้วก็รู้สึกตัวว่าคนพูดยังถือช้อนอยู่แต่หยุดตักโจ๊กแล้ว ตอนแรกเขานึกว่าคงเผลอทำให้อีกฝ่ายรำคาญที่เอาแต่จ้องอย่างเสียมารยาท แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นก็เห็นผิวแก้มอีกฝ่ายเป็นสีสุกปลั่ง แล้วยังไม่นับรวมนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่จดจ่ออยู่กับชามโจ๊กโดยไม่สบตาเขานั่นอีก

กำลังเขินงั้นเหรอ...

ณรงค์อ่านท่าทางของอีกฝ่ายออกอย่างง่ายดาย บางทีการได้พูดคุยกันเมื่อครู่อาจทำให้ไรอันรู้ตัวแล้วว่าการที่ทั้งสองไปเที่ยวผับเดียวกันเมื่อคืนหมายความว่าอย่างไร แล้วนี่เขายังมานั่งจ้องอีกฝ่ายเอาแบบไม่เกรงใจกันอีก ไม่รู้ว่าจะทำให้พาลนึกไปถึงเรื่องที่เมื่อคืนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วยหรือเปล่า

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ณรงค์ก็ชักรู้สึกร้อนๆ หน้าขึ้นมาเหมือนกัน ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้ก็ใช่ว่าเขาจะทำทุกอย่างด้วยใจบริสุทธิ์ผุดผ่องไปเสียหมด เพราะยอมรับว่าบางขณะที่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามผิวกายของอีกฝ่าย เขาก็อดจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ว่า...ผู้ชายอะไรผิวเนียนลื่นมือชะมัด

ชายหนุ่มกระแอมแล้วก็ลุกขึ้น จากนั้นก็ชงกาแฟแล้วเอามาวางบนโต๊ะพร้อมกระปุกน้ำตาลทรายและครีมเทียม เขาไม่พูดอะไรสักคำแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าชงมาให้จึงพยักหน้าขอบคุณ ณรงค์จึงเดินออกจากครัวแล้วก็รีบอาศัยเวลานี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จและเดินกลับออกมาอีกครั้งก็พบว่าหนุ่มลูกครึ่งกำลังเก็บล้างชามโจ๊กกับถ้วยกาแฟอยู่หน้าอ่างล้างจาน ร่างสูงโปร่งใช้เท้าข้างหนึ่งเขี่ยข้อเท้าอีกข้างเหมือนจะเกา ณรงค์เห็นท่าทางดังนั้นก็เผลอหัวเราะจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหันมาหยีตามองเขาตาขุ่น (แต่หยีตาแล้วยังทำตาขุ่นได้ยังไงณรงค์ก็จนปัญญาจะเลียนแบบ)

“ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันคริสต์มาส ถ้าคุณไม่รีบกลับจะไปเดินเล่นดูไฟในเมืองด้วยกันไหม?”

“หา?...ผมกับคุณ?”

หนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้วถามเหมือนไม่เชื่อหู ณรงค์จึงพยักหน้า แล้วก็ย้ำคำชวนด้วยการชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วชี้กลับหาตัวเองอยู่สองสามครั้ง

“I haven’t got my contact lens today…”

จู่ๆ ไรอันก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษ แต่นับตั้งแต่เมื่อคืนณรงค์จึงรู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะกลับไปพูดภาษาที่ถนัดเวลาที่โมโหหรือประหม่า และเขาเชื่อว่ากรณีนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากข้อหลังมากกว่าข้อแรก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แสงไฟเขาติดแผงใหญ่เบ้อเริ่ม ต่อให้สายตาสั้นยังไงก็ดูไม่ลำบากหรอก หรือถ้าคุณกลัวจะเดินชนอะไรเดี๋ยวผมคอยจูงมือก็ได้”

“That’s not fucking funny, but...ไปก็ได้”

หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจณรงค์ก็ได้คำตอบ ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างแล้วก็เดินเข้าไปหยิบชามที่ยังเปียกโชกในมือของอีกฝ่ายขึ้นวางที่ตะแกรงพักข้างอ่าง จากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ผอมทั้งสองข้างแล้วดันให้เดินไปทางห้องนอน

“งั้นคุณเอาแจ็คเก็ตกับข้าวของคุณออกมาก่อนแล้วกัน ผมวางโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเงินของคุณไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก เดี๋ยวไปนั่งรถเล่นกันก่อนแล้วค่อยไปดูไฟ”

ร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่ถูกสั่งอย่างกับเป็นเด็กๆ แต่พอเห็นนัยน์ตาวาววับของณรงค์ก็รีบเบี่ยงตัวออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง ณรงค์หัวเราะในคอก่อนจะเดินไปที่ตู้เก็บรองเท้าข้างประตูแล้วหยิบรองเท้าหนังหุ้มข้อทรงคล้ายรองเท้าคอมแบทขึ้นมาสวม จากนั้นก็หยิบแจ็คเก็ตหนังที่แขวนอยู่บนขอข้างประตูขึ้นมาพาดบ่า ถึงแม้อากาศยามค่ำในกรุงเทพฯ จะไม่ถึงกับหนาว แต่การเตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า ชั่วอึดใจไรอันก็เดินออกมาโดยสวมแจ็คเก็ตเนื้อบางของตัวเองทับเสื้อเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งเลิกคิ้วเมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นเขายิ้ม

“ยิ้มทำไม?”

“เปล่าครับ...ไปกันเถอะ”

ณรงค์เอ่ยแล้วก็เปิดประตูค้างไว้เหมือนรอให้หนุ่มลูกครึ่งออกไปก่อน ไรอันจึงสวมรองเท้าแล้วก็หันมามองเขาพร้อมกับทำสายตา...เหมือนจะค้อนก็ไม่เชิง แต่ก็สรุปได้ว่าแสดงถึงความหมั่นไส้อย่างแน่นอน แต่เจ้าของห้องก็เพียงแต่ยิ้มอย่างไม่นำพาก่อนจะล็อกห้องแล้วเดินตามอีกฝ่ายไปที่ลิฟต์



Create Date : 10 มกราคม 2554
Last Update : 18 เมษายน 2554 9:58:12 น. 19 comments
Counter : 1584 Pageviews.

 

เนื่องจากคอนโดของณรงค์อยู่ชานเมือง บวกกับเขาคำนวณผิดว่าบ่ายวันเสาร์รถไม่น่าจะติดจึงไม่ขึ้นทางด่วน กลับกลายเป็นว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นรถติดสนั่น แถมมีแยกไฟแดงแทบจะทุกๆ หนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นแม้คนขับจะใจเย็นแค่ไหน แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับกอดอกแล้วเคาะนิ้วไปมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ทำไมไม่เลือกขึ้นทางด่วนแต่แรกนะคุณ ถ้าไม่อยากจ่ายค่าผ่านทางก็ให้ผมออกก็ได้ แต่ค่าน้ำมันที่มาติดแหง็กอยู่แถวนี้น่ะผมไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ”

ไรอันหันมาบ่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งนานครั้งที่ณรงค์จะได้ยินผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งพูดภาษาไทยฉะฉานเป็นประโยคยาวแบบนี้โดยไม่มีภาษาอังกฤษเจือปน ชายหนุ่มจึงหรี่เสียงวิทยุแล้วหันไปตอบ

“ก็มองในแง่ดีว่ากว่าเราจะไปถึงเขาก็คงเปิดไฟพอดีไงคุณ โชคดีว่าหน้าหนาวฟ้ามืดเร็วอยู่แล้วด้วย หรือนั่งในรถกับผมสองคนนานๆ แล้วอึดอัดมากเหรอ?”

ดูเหมือนคำถามสุดท้ายจะเป็นหมัดเด็ดเพราะไรอันทำท่าผงะไป จากนั้นก็หันไปเท้าคางมองหน้าต่างอีกด้านแล้วบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษซึ่งณรงค์ฟังไม่ออก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่คำดีๆ แน่ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้ว่าโดนแขวะว่าอะไรบ้าง ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับอารมณ์ดีจนฮัมเพลงตามวิทยุเสียด้วยซ้ำ

กว่าทั้งสองจะมาถึงสี่แยกที่ประดับประดาด้วยไฟนีออนหลากสีเพื่อฉลองเทศกาลส่งท้ายปีก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง (โดยที่ไรอันไม่รู้ว่าณรงค์แกล้งขับรถอ้อม) แสงอาทิตย์ถูกฟ้ายามเย็นดูดซับจนเหลือเพียงสีส้มจางที่พร้อมจะกลืนไปกับความมืดสลัวของยามสนธยา ณรงค์เลือกจะไม่เข้าไปหาที่จอดในห้างสรรพสินค้าเพราะรู้ดีว่าคงหายากและเสียเวลานาน จึงเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมแถวนั้นแทนแม้ว่าค่าจอดจะแพงก็ตาม จากนั้นจึงค่อยเดินนำหนุ่มลูกครึ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเนื่องจากเขาจอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดิน

ตอนเดินขึ้นบันไดนั้นณรงค์เดินนำไปก่อน จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคนข้างหลังค่อนข้างประสบความลำบากในการคลำทางเนื่องจากไม่ได้ใส่คอนแทคต์เลนส์และแสงในลานจอดใต้ดินก็ค่อนข้างสลัว เขาได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ที่ฟังคล้าย “Shit!” ครั้งหนึ่งจึงหันหลังกลับไปมอง แต่ก็เห็นอีกฝ่ายเพียงแต่จับราวบันไดแล้วเดินตามเขามาอย่างไม่มีปัญหา แต่พอจะหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้งก็ได้ยินเสียงหกล้มชัดเจน คราวนี้เขาจึงรีบถอยลงไปหาทันที

“สะดุดขั้นบันไดเหรอ? ทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะว่ามองทางไม่เห็น ปล่อยให้ตัวเองลำบากอยู่ได้”

ณรงค์ลืมไปชั่วขณะว่าเขาเป็นลูกน้องและไรอันเป็นผู้บริหาร เพราะจากท่าทางดื้อแพ่งและลักษณะการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นน้องเป็นนุ่งที่ต้องคอยดูแลเสียมากกว่า พอเขาเห็นว่าไรอันเม้มปากแล้วเอามือหนึ่งลูบมืออีกข้างจึงรีบคว้ามือนั้นมาดู ทำให้เห็นว่าฝ่ามือข้างที่เจ้าตัวใช้ยันพื้นบันไดตอนสะดุดเมื่อครู่เป็นรอยถลอกบางๆ

“Shut up.”

ไรอันตอบพลางดึงมือตัวเองกลับโดยไม่สบตาเขา ยิ่งณรงค์เห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึก...เอ็นดูแกมมันเขี้ยว ดูเหมือนว่ายิ่งเขาได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับหนุ่มลูกครึ่งมากเท่าไหร่ ภาพของผู้บริหารขี้โวยวายเมื่อวานก็ยิ่งดูจะห่างไกลจากคนตรงหน้ามากขึ้นทุกที

“เอางี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นอีกแล้วเดี๋ยวคุณจะมาฟ้องร้องผม ผมจะจูงมือคุณเดินตลอดทางก็แล้วกัน เพราะข้างนอกพอยิ่งมืดคงยิ่งเดินลำบากเข้าไปใหญ่ ว่าแต่ตอนนี้ขึ้นไปหาห้องน้ำแล้วล้างมือกันก่อนดีกว่า จะได้ดูให้ชัดด้วยว่าเลือดออกหรือเปล่า”

ดูเหมือนไรอันจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือเมื่อถูกณรงค์ฉุดแขนให้ลุกขึ้นแล้วประคองขึ้นบันได พอขึ้นมาถึงชั้นล็อบบี้แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็รีบสะบัดมือเพราะไฟสว่างพอที่เขาจะเดินเองได้ แต่ก็ยังต้องก้าวช้าๆ และระมัดระวังอยู่ดีเพื่อไม่ให้ชนอะไรก่อนจะถึงห้องน้ำ ฝ่ายณรงค์ก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากรักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่บ้าง จึงไม่เอ่ยขัดและเพียงแต่เดินช้าๆ เคียงข้างอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำแต่โดยดี

โชคดีว่ารอยครูดบนฝ่ามือของไรอันไม่หนักหนา เมื่อล้างมือแล้วก็แทบจะไม่เห็นรอยแม้เจ้าตัวจะทำท่าเหมือนแสบอยู่บ้างตอนฟอกสบู่ หลังจากเช็ดมือแห้งแล้วทั้งสองจึงเดินออกมาจากโรงแรมทางด้านหน้าด้วยกัน และคราวนี้ถึงเวลาที่หนุ่มลูกครึ่งต้องยอมลดศักดิ์ศรีให้คนตัวสูงกว่าจูงจริงๆ เนื่องจากภายนอกสลัวจนเขาแทบจะมองทางเดินที่ต่างระดับไม่เห็น

ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงสองคน คนหนึ่งสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้มแต่ผิวสีอ่อนและผมหยักศกแบบลูกครึ่ง ขณะที่อีกคนคมคายแบบชายไทย ผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย ส่วนสูงและช่วงตัวกว้างกว่าที่เดินจูงมือกันดูจะเรียกความสนใจของคนทั่วไปพอสมควร ถึงแม้ไรอันจะไม่เห็นสายตาเหล่านั้นได้ถนัด แต่เงาลางๆ ของคนที่มองมาก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งพอจะเดาปฏิกิริยาของคนรอบตัวได้

“ถ้าเกิดเจอคนที่บริษัท สัญญานะว่าคุณต้องปล่อยมือผม”

ไรอันเอ่ยขึ้นหลังจากออกเดินกันได้สักครู่ ณรงค์จึงเหลือบตาลงมองคนข้างตัวแล้วก็พึมพำรับในคอ แต่ว่ามือที่กุมมืออีกฝ่ายไว้กลับกระชับแน่นมากขึ้น ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแผงขายของข้างทางแล้วก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงฉุดไรอันให้เดินตามไป

“เอางี้แล้วกัน เอ้านี่...ทีนี้ถึงใครเห็นก็จำไม่ได้หรอกว่าเป็นคุณ”

ณรงค์ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายชั่วคราวเพื่อหยิบเลือกของที่ต้องการและจ่ายเงินให้แม่ค้า จากนั้นก็สวมสิ่งที่ได้มาลงบนหน้าของไรอัน เมื่อหนุ่มลูกครึ่งยกมือขึ้นคลำจึงรู้ว่ามันคือแว่นตัวตลกแบบไม่มีเลนส์และมีจมูกพลาสติกอันใหญ่ยื่นต่อลงมา ความโมโหทำให้เขากระชากแว่นนั้นออกแล้วก็ตวาดใส่ณรงค์ทันที

“มันจะมากไปแล้วนะ! ผมบอกแค่ว่าถ้าเจอคนรู้จักให้ทำเหมือนเราไม่ได้มาด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าผมอยากเล่นปลอมตัวปัญญาอ่อนแบบนี้!”

ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว “เอ้าๆ ใจเย็นๆ ไม่เอาก็ไม่เอา ผมแค่เห็นคุณไม่อยากให้คนที่ออฟฟิศรู้นักว่ามากับผมก็เลยกะให้คุณใส่บังหน้าไว้แค่นั้นเอง งั้นเปลี่ยนเป็นแบบอื่นก็ได้ ขอโทษนะครับป้า ขอเปลี่ยนอันแล้วกันครับ”

ณรงค์คืนแว่นที่เพิ่งซื้อให้แม่ค้าแล้วขอเปลี่ยนเป็นแว่นพลาสติกกรอบหนาไม่มีเลนส์แทน แล้วก็ซื้อผ้าพันคอแบบลายตารางมีพู่ห้อยแบบที่วัยรุ่นชอบใช้กันมาพันคอให้ด้วย ถึงแม้หนุ่มลูกครึ่งจะบอกเขาเมื่อตอนบ่ายว่าไม่ชอบใส่แว่น แต่ดูเหมือนการปลอมตัวนี้จะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์หนุ่มนักบริหารให้กลมกลืนกับเหล่าวัยรุ่นที่มาเดินเล่นย่านนั้นได้พอสมควร สุดท้ายไรอันจึงยอมแม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม

เวลายิ่งเย็นย่ำ ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดลงเช่นเดียวกับอากาศที่เย็นสบายขึ้นกว่าช่วงบ่าย และความมืดก็ยิ่งช่วยขับให้แสงไฟที่ประดับประดาเป็นรูปร่างต่างๆ ตามถนนและห้างสรรพสินค้าสว่างจับตายิ่งขึ้น ผู้คนมากมายที่หลั่งไหลกันออกมาเดินเล่นและถ่ายรูปดูไฟในค่ำวันเสาร์ทำให้พวกเขาสองคนไม่ค่อยต้องกังวลเรื่องการกุมมือกันเดิน และพอผ่านไปครู่หนึ่งก็ดูเหมือนไรอันจะชินกับการถูกจูงมือจนเผลอกุมมือณรงค์กลับ เวลาเห็นอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษก็จะกระตุกมือเขาแล้วบอกให้พาไปทางนั้น แต่ณรงค์สังเกตว่าหนุ่มลูกครึ่งจะไม่แสดงท่าทางตื่นเต้นออกนอกหน้าเมื่อเห็นอะไรถูกใจ เพียงแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะเบิกกว้างขึ้นและริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย จนเมื่อได้ดูสิ่งที่ต้องการจนพอใจแล้วก็จะกระตุกมือเขาเหมือนเป็นสัญญาณว่าให้พาไปจุดอื่นได้ และทั้งๆ ที่เขากำลังถูกทำเหมือนเป็นสุนัขนำทาง แต่ณรงค์กลับไม่รำคาญเลยสักนิดที่ถูกกระตุกมือให้หมุนไปทางนั้นทางนี้ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสนุกและกระตือรือร้นตามไปด้วยเมื่อเห็นไรอันแสดงความสนใจในสิ่งไหน

หลังจากดูไฟบริเวณสี่แยกหมดแล้ว ณรงค์ก็พาไรอันขึ้นทางเดินลอยฟ้าเพื่อไปดูไฟที่ประดับตรงจุดอื่นๆ ต่อ ลมกลางคืนที่เย็นสดชื่นทำให้ทั้งคู่ไม่เหน็ดเหนื่อยและเดินเคียงกันบนทางเดินไปได้เรื่อยๆ ระหว่างทางณรงค์มองลงไปเห็นเหล่าแผงขายของที่เรียงกันแน่นขนัดอยู่บนฟุตปาธตรงข้ามห้างสรรพสินค้าใหญ่ จึงนึกสนุกพาไรอันลงไปเดินดูของด้วยกัน ถึงแม้ว่าข้าวของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะหนักไปทางสินค้าสำหรับผู้หญิง แต่ณรงค์ก็สังเกตได้ว่าคนที่กุมมืออยู่กับเขาเหลือบมองนั่นนี่รอบตัวด้วยความสนใจเหมือนกับไม่เคยได้มาเดินตลาดกลางคืนเช่นนี้มาก่อน

กว่าทั้งคู่จะเดินย้อนกลับทางเดิมหลังจากดูไฟที่ประดับประดากันจนอิ่มและไรอันเริ่มบ่นว่าร้อน เวลาก็ผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง เมื่อกลับไปถึงโรงแรมณรงค์จึงพาอีกฝ่ายไปนั่งที่เล้าจน์ด้วยกันก่อนเพื่อพักเหนื่อยและสั่งเครื่องดื่มมาแก้กระหาย

หลังจากต่างได้เครื่องดื่มที่สั่งและซดกันเข้าไปอึกใหญ่เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ดื่มน้ำเสียนาน ความเงียบก็โรยตัวลงมาคลี่คลุมทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกัน สำหรับณรงค์ เขาคิดว่าความเงียบนี้มาจากความรู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองกับคนที่นั่งอยู่ด้วยโดยไม่ต้องสื่อออกมามากกว่า

“Thank you. วันนี้ผมสนุกมาก”

ไรอันเอ่ยพลางถอดแว่นพลาสติกออกวางบนโต๊ะ จากนั้นก็แกะผ้าพันคอแล้วม้วนลงวางทับ ชายหนุ่มยกมือหนึ่งขึ้นสางผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงหลังจากไปเดินโต้ลมมาจนกลับเป็นทรง และวูบหนึ่งที่ณรงค์อยากจะยื่นมือออกไปขยี้ให้มันยุ่งเหมือนเมื่อครู่ก่อนมากกว่า

แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น...

“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่วันนี้ได้พาคุณออกมาเที่ยว ตอนคุณอยู่เมลเบิร์นน่าจะมีงานฉลองใหญ่กว่านี้ล่ะสิ?”

ณรงค์เอ่ยพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เขาไม่ค่อยชอบใช้หลอดมาแต่ไหนแต่ไรเพราะรู้สึกว่าทำให้ลิ้นไม่ทันได้ละเลียดรสของเครื่องดื่มเท่าที่ควร ไรอันมองสบตาเขาครู่หนึ่งก็หลุบตาลง

“ปกติครอบครัวผมก็ไม่ค่อยได้ฉลองวันคริสต์มาสหรอก พ่อผมเป็นพุทธถึงจะเป็นคนออสซี่ก็เถอะ แต่อย่างน้อยพวกเราก็จะทานดินเนอร์ด้วยกันเป็นประจำ ปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

ณรงค์ได้ฟังก็เลิกคิ้ว “ความจริงคุณใช้สิทธิ์ลาพักร้อนบินกลับไปเยี่ยมก็ได้นี่ ถึงยังไงช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลอยู่แล้ว ชาวต่างชาติคนอื่นเขาก็ลางานกลับไปบ้านเกิดกันเยอะแยะ”

หนุ่มลูกครึ่งส่ายหน้า “ที่นี่มีอะไรให้ต้องดูแลเยอะมาก พ่อวางใจให้ผมมาทำหน้าที่ที่นี่ ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำผลงานให้ได้สำเร็จสักชิ้นก่อนจะยอมบินกลับไปเยี่ยม ผมอยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจว่าผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่ฝากฝังอะไรไม่ได้”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนเพิ่งได้รู้จักชายหนุ่มตรงหน้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และวิธีทำงานที่ดูโผงผางเจ้าอารมณ์ รวมทั้งการวางตัวที่ห่างเหินเย็นชาจะทำให้ใครๆ เข้าใจว่าไรอันเป็นหนุ่มน้อยที่ดวงหนุนจึงได้มารับตำแหน่งสำคัญนี้ แต่เบื้องหลังนั้นเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาก ถึงกับสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเยี่ยมบ้านถ้ายังไม่ได้สร้างผลงานเพื่อกลับไปเล่าให้ฟัง และเขาก็รู้สึกราวกับถูกความมุ่งมั่นในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอดมองมานั้นดึงดูดให้จมดิ่งลงไปทุกที

ความรู้สึกนี้...มันคืออะไรกัน...

ทั้งสองนั่งดื่มเครื่องดื่มแกล้มกับคุ้กกี้ที่พนักงานนำมาเสิร์ฟจนหมดโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เพียงแต่นั่งเงียบๆ มองทิวทัศน์ภายนอกซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟประดับประดาและเสียงเพลงที่บรรเลงโดยนักเล่นเปียโนตรงบริเวณเล้าจน์เท่านั้น จวบจนเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ไรอันจึงโบกมือเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ณรงค์จึงรีบห้ามไว้

“ไม่ต้องหรอก ผมจ่ายเอง”

ไรอันเพียงเหลือบตาขึ้นมองเขาก่อนจะหยิบบัตรเครดิตกับบัตรอีกใบยื่นส่งให้พนักงาน เมื่อลับหลังบริกรสาวจึงค่อยเอ่ยขึ้น

“It’s nothing. ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ผมทำให้คุณต้องลำบากช่วยดูแลเมื่อคืนกับที่พาออกมาเที่ยวก็ได้ อีกอย่างผมมีบัตรสมาชิกของโรงแรมนี้อยู่แล้วด้วย”

ณรงค์อยากจะแย้ง แต่ติดที่พนักงานสาวคนเดิมเดินนำบิลกลับมาให้ไรอันเซ็นต์ชื่อแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ และเมื่อไรอันลุกขึ้นเขาก็หยิบผ้าพันคอกับแว่นพลาสติกบนโต๊ะมาถือในมือหนึ่งแล้วลุกเข้าไปยืนข้างๆ หนุ่มลูกครึ่งที่กำลังเก็บกระเป๋าสตางค์ลงกระเป๋ากางเกงจึงเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ

“คุณยังไม่ต้องจูงผมตรงนี้ก็ได้ ไฟตรงล็อบบี้สว่างพอ”

“เดี๋ยวพอไปถึงบันไดคุณก็ต้องให้ผมช่วยอยู่ดี งั้นก็จูงตั้งแต่ตรงนี้เลยดีกว่า”

ผู้บริหารหนุ่มเผยอริมฝีปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่อาจเพราะเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของณรงค์ ชายหนุ่มจึงยอมปิดปากและส่งมือให้อีกฝ่ายจับแต่โดยดี แต่แทนที่ณรงค์จะกุมมือนั้นไว้เฉยๆ แล้วออกเดิน เขากลับจับมือข้างนั้นขึ้นมาให้คล้องไว้กับศอกของเขา ร่างสูงรู้สึกเหมือนคนข้างตัวสะดุดฝีเท้าในก้าวแรก แต่หลังจากนั้นไรอันก็เพียงแต่ปล่อยให้เขาเดินนำเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทางต่อต้านหรืออยากดึงมือออกจากท่อนแขนของเขาอีก

ตอนขับรถออกจากโรงแรม แม้ว่าจะมีตราประทับแล้วแต่ณรงค์ก็ยังต้องเสียค่าจอดในส่วนของเวลาที่เกินขึ้นมา และเขาก็หยิบเงินออกจ่ายเองทันทีโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนข้างตัวสักนิด จวบจนออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว ไรอันจึงถามเขาเสียงอ่อน

“ผมทำอะไรให้คุณโกรธเหรอ?”

เสียงนั้นสะท้อนถึงความสำนึกผิดโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าทำอะไรพลาดไป และเมื่อณรงค์ชำเลืองมองเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองเขาอย่างขอคำตอบ คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิดจนต้องรีบเบนสายตาหนีเสียเอง

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ดึกแล้วคุณหิวหรือเปล่า? จะว่าไปเรายังไม่ได้ทานมื้อเย็นกันเลยนี่”

ณรงค์ถามโดยทำทีเป็นพูดเปรยๆ ทั้งที่ในใจอยากให้อีกฝ่ายตอบรับ ยังสั้นเกินไป...ค่ำคืนนี้ดูเหมือนกำลังจะจบเร็วเกินไปทั้งที่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังคาดหวังอะไรอยู่ รู้แต่ว่าอยากจะยืดเวลาที่ได้ใช้กับคนข้างตัวให้มากขึ้น ใครจะรู้ว่าพอค่ำคืนนี้จบลงแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเขาสองคนก็จะกลับไปเป็นแค่ผู้บริหารกับลูกน้องที่นานๆ จะได้คุยกันสักคำอย่างนั้นนะหรือ

“...ผมไม่หิว ผมอยากกลับไปนอนพักผ่อนมากกว่า ถ้าไม่รบกวนก็ไปส่งผมที่คอนโดหน่อยก็แล้วกัน จากนี่ไปไม่ไกลหรอก”

ดูเหมือนคนพูดจะไม่ได้รับรู้เลยว่าที่คนข้างตัวชวนไปทานข้าวต่อนั้นเพราะมีความหมายอย่างไร หรือเพราะรู้จึงได้บอกปัดก็สุดที่ณรงค์จะเดา แต่ประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ‘จากนี่ไปไม่ไกล’ ก็เท่ากับบอกกลายๆ ว่าเวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันกำลังจะหมดลงแล้ว

ณรงค์หักเลี้ยวรถไปตามทิศทางที่ไรอันบอก แต่นอกจากการสอบถามเส้นทางแล้วทั้งสองก็ไม่พูดคุยถึงเรื่องอื่นแม้แต่คำเดียว กระทั่งเสียงเพลงแผ่วหวานจากแผ่นซีดีที่ณรงค์เปิดไว้ก็ไม่อาจช่วยสลายบรรยากาศอึมครึมได้ เมื่อเขาเทียบรถเข้าจอดที่ด้านหน้าคอนโดแล้วไรอันจึงเพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ แล้วรีบลงจากรถ แต่แล้วเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อณรงค์ก็เปิดประตูลงมาด้วย

“ผมจะขึ้นไปส่ง จะได้แน่ใจว่าคุณถึงห้องแน่”

หนุ่มลูกครึ่งอ้าปากจะแย้ง แต่พอเห็นประกายตาแน่วแน่ของณรงค์ที่เหมือนจะบอกว่าห้ามปฏิเสธก็เลยหุบปากเงียบ ร่างสูงโปร่งอาศัยแสงสว่างจากด้านหน้าทางเข้าและความคุ้นเคยเดินตรงไปที่ประตูด้วยตัวเอง และณรงค์ก็เพียงแต่สาวเท้าตามไปโดยไม่เสนอความช่วยเหลือหรือเซ้าซี้ จนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่ต้องการและไรอันเดินนำไปถึงหน้าประตูห้องพักแล้ว หนุ่มลูกครึ่งจึงค่อยหันกลับมาหาเขา

“ขอบคุณที่มาส่ง ขอโทษด้วยที่ผมคงเชิญคุณเข้าห้องไม่ได้”

ณรงค์เลิกคิ้ว แต่ดูเหมือนไรอันจะอ่านความหมายในแววตาเขาออก โหนกแก้มของอีกฝ่ายจึงเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะหลบตา

“ผมไม่เคยให้ใครเข้าห้องผมมาก่อนนอกจากแม่บ้าน ต่อให้วันนี้คุณดีกับผมมากก็เถอะ ขอโทษด้วยจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำตอบ ร่างสูงใหญ่จึงค่อยระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา อย่างน้อยเขาก็ได้รับการยืนยันที่ทำให้สบายใจขึ้นเปลาะหนึ่งแล้วในตอนนี้

“งั้นก็ช่างมันเถอะ ได้เห็นว่าคุณมาถึงห้องเรียบร้อยดีก็พอแล้ว แล้วก็นี่...ถือว่าเป็นของขวัญคริสต์มาสจากผมก็แล้วกัน”

ไรอันเลิกคิ้วเมื่อณรงค์ยื่นผ้าพันคอลายตารางกับแว่นพลาสติกที่ซื้อให้เขาปลอมตัวเมื่อช่วงค่ำมาให้ เมื่อเหลือบตาขึ้นสบกับนัยน์ตาของเขา หนุ่มลูกครึ่งก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ

“ขอบคุณมาก ผมจะเก็บไว้อย่างดีเลย”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์รู้สึกว่าชอบนิสัยพูดจาตรงไปตรงมาของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาคู่กับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกายยิ่งกว่าแสงไฟประดับดวงไหนๆ ยามที่อีกฝ่ายยิ้มให้เขา ชายหนุ่มยืนมองเจ้าของห้องไขประตูเงียบๆ จนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปและจะปิดประตูแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงยื่นแขนข้างหนึ่งออกดันประตูที่กำลังจะปิดไว้จนเจ้าของห้องตกใจ

“ไรอัน คุณมีชื่อเล่นภาษาไทยหรือเปล่า?”

“หะ...หา?”

หนุ่มลูกครึ่งแสดงสีหน้าว่าจับต้นชนปลายไม่ถูก ณรงค์จึงอธิบายโดยที่ยังใช้มือยันประตูเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางว่าจะบุกรุกเข้าไปในห้อง “ชื่อเล่นภาษาไทยไง ไรอันนี่ชื่อจริง แต่อย่างน้อยแม่คุณก็น่าจะตั้งชื่อเล่นภาษาไทยให้คุณด้วยใช่ไหมล่ะ?”

ณรงค์พยายามระงับความตื่นเต้นที่กำลังหมุนวนราวกับพายุในอก เขายังอยากรู้จักคนคนนี้มากกว่านี้ อยากรู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับไรอันมากกว่านี้ อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างทั้งคู่หดแคบลงมากกว่าที่เป็นอยู่บ้าง

ไรอันกะพริบตาปริบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหายไปด้านหลังประตูเหมือนกำลังวางของขวัญที่ได้รับลงบนพื้นหรือโต๊ะใกล้มือ จากนั้นร่างสูงโปร่งจึงก้าวออกมายืนหน้าห้องอีกครั้งแล้วพิงหลังกับประตูเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เชื่อมแสงมองเขาด้วยประกายเขินอายก่อนจะหลุบตาลง

“...รัก”

“หือ?”

ณรงค์คิดว่าตัวเองหูฝาด หนุ่มลูกครึ่งหลับตาเหมือนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาแล้วสบตาเขาตรงๆ อีกครั้ง

“It’s Rak. แม่ตั้งชื่อเล่นให้ผมว่ารัก นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็คุณยายแล้วไม่มีใครรู้ว่าผมชื่อเล่นชื่อนี้”

ไรอันพูดจบแล้วก็ก้มลงหลบตาเขาอีก และคราวนี้สีชมพูจางๆ ซึ่งอยู่แค่บนโหนกแก้มในตอนแรกดูเหมือนจะซ่านไปทั่วทั้งผิวหน้า และภาพที่เห็นก็ทำเอาณรงค์ต้องใช้ความควบคุมตัวเองอย่างมหาศาลที่จะไม่รวบคนตรงหน้าเข้ามากอดให้แน่นๆ เพราะความน่ารักที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ว่ากำลังแสดงออกมา ร่างสูงใหญ่กำมือแน่นสลับคลายพลางหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อระงับหัวใจที่เต้นถี่จนเกินพอดีให้สงบลง

“รัก...แม่คุณเข้าใจคิดนะ”

หนุ่มลูกครึ่งยังคงไม่เหลือบตาขึ้นมองเขา ร่างสูงโปร่งเพียงแต่หันกลับไปเปิดประตูแล้วก็ทำท่าจะเดินเข้าไป และคราวนี้ณรงค์ก็ผลักประตูที่กำลังจะปิดลงอีกครั้งจนเจ้าของห้องขมวดคิ้ว

“มีอะไรอีก?”

“เอ่อ...คืนนี้คุณไม่หิวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพรุ่งนี้เราไปทานข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นด้วยกันมั้ย? คราวนี้ผมจะเลี้ยงเอง ตอบแทนที่คุณเลี้ยงผมที่โรงแรมวันนี้”

คราวนี้ไรอันมองสบตากับเขาตรงๆ และคราวนี้ดูเหมือนนัยน์ตาคู่นั้นจะฉาบไปด้วยประกายขำปนระอาทั้งที่สีเลือดฝาดบนแก้มยังไม่จางลง

“ผมจะลองคิดดูก็แล้วกัน แต่ยังไม่สัญญานะ คืนนี้คุณกลับได้แล้วล่ะ ดึกแล้วขับรถระวังด้วย Good Night and Merry Christmas.”

ณรงค์ยอมปล่อยมือและให้เจ้าของห้องปิดประตูโดยไม่ขัดขวางอีก คลื่นกระแสความอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวในอกและกำจายไปทั่วร่างจนเขารู้สึกเหมือนแทบจะเดินบนอากาศได้ ณรงค์จำไม่ได้แล้วว่าเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือแม้แต่ความรู้สึกอิ่มเอมที่ทำให้หุบยิ้มไม่ลงนี้เคยเกิดกับเขามาก่อนบ้างไหม แต่รอยยิ้มที่ไรอันมอบให้ก็ยังติดตาจนเขามั่นใจว่าคืนนี้คงจะเก็บภาพนั้นไปฝันถึงทั้งคืนอย่างแน่นอน ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทาบมือลงบนประตูไม้สีขาวตรงที่ใครบางคนเคยยืนอยู่ก่อนจะแนบหน้าผากลงแล้วเอ่ยเสียงเบา ถ้าหากใครบางคนยังยืนอยู่อีกฟากของประตูและได้ยินเสียงของเขาก็คงดี

“ราตรีสวัสดิ์...รัก...ยินดีที่ได้รู้จัก”


++--- End ---++


A/N: เอาเรื่องที่มีกลิ่นคริสต์มาสมาแปะตอนนี้อาจเลทไปนิด แต่เนื่องจากเราเขียนเรื่องนี้เพื่อส่งเข้าร่วมเทศกาลนิยายของบอร์ดแห่งหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องปิด identity ของคนเขียน ก็เลยยังเอามาลงที่นี่ไม่ได้จนกระทั่งผ่านวันเฉลยมาแล้วนี่ล่ะค่ะ ก็สนุกดีเพราะได้เขียนตัวละครแบบที่ไม่เคยเขียนมาก่อน และขอสารภาพว่าเรื่องนี้เป็น เรื่องแรก ที่เราถูกใจชื่อเรื่องมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบชื่อนิยายเรื่องอื่นนะ แต่เพราะชื่อเรื่องอื่นเท่าที่เคยคิดมาจะไม่มีความหมายซ้อนเหมือนชื่อเรื่องนี้น่ะค่ะ แบบว่าเป็นคนชอบอะไรสองแง่สองง่าม 555

สาเหตุที่ไม่ถอดความประโยคภาษาอังกฤษของไรอันให้เป็นภาษาไทย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้คนอ่านไม่ได้อรรถรสเต็มที่ค่ะ (แต่คาดว่าคงไม่มีปัญหากันอยู่แล้วเนอะ? XD) สารภาพว่าตอนแรกกะให้ณรงค์กับไรอันอายุเยอะกว่านี้อีกนิดหน่อย แต่ประเดี๋ยวคนอ่านที่วัยละอ่อนจะรู้สึกว่า...ตัวละครอายุเยอะจัง เลยปรับให้ลงมาอยู่ในพิกัดยี่สิบกว่ากันทั้งคู่ และไปๆ มาๆ ก็รู้สึกว่าเข้ากับโทนเรื่องมากกว่านะ เพราะถ้าเราเขียนโดยให้ตัวละครอายุเท่าที่คิดไว้ตอนแรกจริงๆ คาดว่าการดำเนินเรื่องคงต่างไปจากนี้พอสมควรเลย

หวังว่าอ่านเรื่องนี้แล้วคงอิ่มอุ่นกันทุกคนนะคะ แล้วก็อาจเพราะเราจบเรื่องนี้แบบปลายเปิด เลยมีคนยุให้เขียนต่อเป็นเรื่องยาวอีกแร้วววว เอาเป็นว่าถ้าหากเขียนต่อจริงๆ ก็ได้อ่านกันละค่ะ แต่ตอนนี้ขอเอาภารกิจเฉพาะหน้าให้จบก่อนเถอะน้า

ปล. มีคนอ่าน 2-3 ท่านของอีกบอร์ดคอมเม้นต์ว่าอ่านจนจบแล้วเดาไม่ถูกว่าใครพระ-ใครนาย ความจริงเราก็อยากเขียนเรื่องที่ตัวเอกทั้งคู่ดูแมนเท่าๆ กันเหมือนกันนะ แต่ที่ผ่านมายังทำไม่สำเร็จสักกะเรื่อง แล้วสำหรับคู่นี้ก็คิดว่าเขียนออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าคนไหนน่าจะเป็นอะไร มีใครที่อ่านจบแล้วเกิดคำถามนี้กันมั่งไหมคะ?


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:16:36:57 น.  

 
ตอนแรกเห็นเรื่องนี้ที่เล้าค่ะ แต่แอบตามมาเม้นที่บล็อกพี่รินแทน ฮ่าา :)
ชอบจังเลยค่ะ ชอบอ่านอะไรที่มันไม่หวือหวาแต่ก็ได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอะไรแบบนี้
คหสต.รู้สึกว่าเรื่องนี้น่ารักไปอีกแบบที่มันไม่ใช่รักแบบวัยรุ่นที่ว่าชอบปุ๊บก็ตามจีบเทือกนั้นอะค่ะ แต่ชอบที่พี่รินทำให้ค่อยๆรู้จักไรอั้นหรือนายรักคนเจ้าอารมณ์นี่ไปพร้อมๆณรงค์ด้วย :)
ชอบชื่อเรื่องด้วยเหมือนกันค่ะ ตีความได้สองแบบด้วย อิอิ อ่านแล้วก็อยากอ่านต่ออีกจังค่ะ อยากรู้ว่าพี่รงค์จะมีโอกาสสานต่อหรือเปล่า แล้วคุณเจ้านายเค้าจะมีอะไรให้แปลกใจอีกมั้ย?
ยังไงถ้าพี่รินว่างจากเรื่องหลักแล้วไม่รู้จะทำอะไร ก็รบกวนสงเคราะห์คนอ่านตาดำๆทีนะคะ 5555
ขอบคุณมากค่ะพี่ริน อ่านจบแล้วยิ้มเลยค่ะ :D


โดย: milphinne* IP: 124.120.105.204 วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:18:10:11 น.  

 
แหม นายเอกออกจะเคะราชินีซะขนาดนี้ แยกออกค่า~


โดย: NannY IP: 182.52.198.238 วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:20:16:58 น.  

 
น่ารักดีค่ะ ค่อยๆดู ค่อยๆซึมซับความรู้สึกกันไป แต่นายเอกวีน วีน อย่างนี้ต้องโดนปราบพยศบ้าง อุ อุ...

รอให้คุณเชษฐ์กับภัทรกรลงเอยกันแล้ว คุณรินค่อยมาต่อเรื่องนี้ให้ยาวอีกนิดก็ได้...ไม่ได้ทวงเล้ยคนเรา...



โดย: Moddy IP: 58.11.24.68 วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:22:04:02 น.  

 
" ยินดีที่ได้รู้จัก... รัก " พี่ชอบคำนี้จัง (เมื่อคืนเพิ่งดูกวน มึน โฮ ไป เกี่ยวกันมั้ย เหอๆๆๆ )

น้องรักน่ารักนะคะ ตอนแรกพี่มองว่าออกจะดูวีนๆ แต่พออ่านดูดีๆพี่ว่า ออกไปทางดื้อดึงแบบเด็กๆมากกว่า น่าเอ็นดูดีค่ะ ส่วนตารงค์เนี่ยพี่ว่าบุคลิคเค้าดูออกจะเป็นผู้ใหญ่เกินอายุนะคะเนี่ย ( เอ.. หรือคิดไปเองหว่า ) แต่แบบนี้แหละดีแล้ว ถ้าไม่เป็นผู้ใหญ่ก็เอาเด็กแก่นอย่างน้องรักไม่อยู่แน่เลยเนอะ อ่านบรรยากาศตอนไปดูไฟกันแล้วอยากไปบ้างจัง ไม่เคยได้ไปไกลจากบ้านเลยซักที พรรคพวกชอบบอกว่าเดี่ยวรถติด ดูใกล้ๆเนี่ยแหละ เฮ้อ...เลยไม่ได้ดื่มด่ำบรรยากาศแบบนั้นซักครั้งเลย แอบอิจฉาน้องรัก กับ ตารงค์นะเนี่ย รินแต่งได้เก่งนะคะ ให้บรรยากาศคริสมาสต์ควบปีใหม่ได้ชัดเจนมากเลย ขอบคุณนะคะ ที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านกัน

ปล. พี่ว่าเรื่องนี้ท่าจะยาวนะคะ ความรู้สึกมันบอกว่า " ไม่ควรจะสั้นแบบนี้ " ฮ่าๆๆๆๆ สร้างความลำบากใจให้หนูรินอีกแล้วซิเรา อย่าไปซีเรียสน้า พี่พูดไปงั้นเองแหละ เพราะชอบงานเขียนของเราทุกเรื่อง อ่านแล้วหายเครียดไปได้เยอะ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องตลกเฮฮาอะไร แต่ไม่รู้ทำไมอ่านแล้วรู้สึกอารมณ์มันเบาลง (ยกเว้นน้องต้นกะน้องไผ่ตอนก่อนหน้านี้ ยังไม่ลืมนะคะว่าตอนนั้นพี่เสียน้ำตาไปเพียงใดกะหนูริน เหอๆๆๆ ) อย่างนี้เรียกคลายเครียดได้ใช่มั้ยค่ะ

อ้อ.. ลืมบอกไป พี่เดาออกด้วยน้าว่าใครพระ ใครนาย เหอๆๆๆ วีนเหวี่ยงซะขนาดน้าน... เนอะ


โดย: aew IP: 125.27.87.25 วันที่: 11 มกราคม 2554 เวลา:16:02:27 น.  

 
อ่านแล้วชอบมากนู๋ริน...แต่มันสั้นไป เขียนต่อเถอะนะจ๊ะ อยากรู้หน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักแล้ว จะทำยังไงต่อไป


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.57.6 วันที่: 11 มกราคม 2554 เวลา:19:53:46 น.  

 
น้องนุ่น ดีใจที่อ่านแล้วยิ้มจ้า เรื่องที่โทนไม่ค่อยหวือหวาคงเพราะพี่ชินกับแนวผู้ใหญ่ๆ มั้งคะ? XD แต่เรื่องนี้ก็ตั้งใจให้คนอ่านได้เห็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาจากไม่มีอะไรเลยของณรงค์กับไรอันไปสู่คนเริ่มรู้จักจริงๆ ด้วยล่ะ แต่ว่าจะคุ้นเคยกันไปมากกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า...ขอมีเวลาว่างๆ เยอะๆ ก่อนอาจจะได้เอามาต่อให้อ่านกันนะคะ


น้องแนน ราชินีเลยเหรอ ^^" เห็นคำนี้แล้วแอบสะดุ้งค่ะ ฮ่าๆๆ


คุณมด ดูท่าณรงค์จะอยากปราบพยศเจ้านายอยู่เหมือนกันค่ะ ส่วนคุณเชษฐ์กับภัทร จ๊ากกก ไม่ได้ทวงเลยจริงๆ เนาะ


พี่แอ๋ว มาอ่านทวนก็รู้สึกว่าณรงค์เป็นผู้ใหญ่เกินอายุเหมือนกันแฮะ (หรือเพราะอยู่ในวัยไล่ๆ กับรินก็ไม่รู้สิ เอิ้กๆ) ส่วนน้องรักต่อไปสงสัยคงวีนน้อยลงถ้าถูกคุมบ่อยๆ ดีใจที่อ่านแล้วได้บรรยากาศนะคะ เพราะรินเขียนแบบพยายามถ่ายทอดให้คนอ่านเห็นภาพได้ เลยบรรยายซะเยอะเลย แต่สารภาพว่าตัวเองก็ไม่ค่อยไปดูไฟอะไรอย่างนี้ในวันที่ตรงกับเทศกาลเพราะคนเยอะเกิ๊น จะชอบไปช่วงก่อนนั้นสักอาทิตย์นึงจะได้เก็บบรรยากาศโดยไม่ต้องเบียดผู้คนมากกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าคลายเครียดคงเพราะรินชอบเขียนเรื่องที่เบาๆ อ่านแล้วมองโลกในแง่ดีและยิ้มได้ ถ้าหากว่าอ่านแล้วชอบสไตล์นี้ก็ดีใจค่า :))


พี่เอิง หลายคนทักเหมือนกันเลยค่ะว่าสั้นไป...สงสัยเพราะจบแบบไม่มี conclusion ละมั้ง ท่าทางคงต้องเขียนต่ออกมาจริงๆ...แต่จะได้เขียนเมื่อไหร่นี่คงต้องเอาให้เรื่องที่ลงอยู่จบก่อนละค่ะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:14:33:14 น.  

 
กรี๊ดดดน่ารักมากกก
ชื่อเล่นไรอันก็น่ารัก
หวานอ่ะ อ่านแล้วรู้่สึกว่าหวานๆ ยิ้มๆ
เอาใจช่วยไรอันในการทำงาน เอาใจช่วยณรงค์ถ้าจะจีบผู้บริหารหนุ่ม 555+


โดย: both^^ IP: 125.24.165.239 วันที่: 19 เมษายน 2554 เวลา:18:29:08 น.  

 
ตาล ขอบคุณสำหรับกำลังใจจ้า ดูท่าทางแล้วคาดว่าณรงค์อาจจะต้องการกำลังใจเยอะกว่าไรอันล่ะ อิอิ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 20 เมษายน 2554 เวลา:9:33:36 น.  

 
ตามมาจากบอร์ดฝูค่ะ โอยยย น่ารักมากกกกก
ชอบจังเลย ไรอันนิสัยโคตรน่ารักเลย ฮ่าๆๆ ขัดกับบุคลิกภายนอกจริงๆ เขียนต่อไปเรื่อยๆ นะคะ ^^


โดย: SiNa IP: 61.7.213.5 วันที่: 6 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:40:56 น.  

 
SiNa ไรอันจะเป็นประเภทไม่ค่อยถนัดการเข้ากับคนอื่นเท่าไหร่ นิสัยกับบุคลิกเลยขัดกันเป็นบางครั้งแบบนี้ละ สำหรับเรื่องนี้จะพยายามทยอยเขียนเรื่อยๆ ค่า คอยติดตามได้เลย


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:48:35 น.  

 
ไม่ลงในบอร์ดฝูด้วยหรอคะ ถนัดตามอ่านในโน้นมากกว่าแฮะ


โดย: SiNa IP: 61.7.213.5 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:57:55 น.  

 
พอดีตอนแรกของเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อส่งประกวดเทศกาลคริสต์มาสที่บอร์ด luscious น่ะค่ะ แล้วมันก็ตรงกับที่ฝูก็จัดประกวดด้วยเหมือนกัน ถ้าส่งไปฝูด้วยก็จะแปลกๆ สุดท้ายเลยไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปลงน่ะ ^^"

น้อง SiNa มี facebook ไหมเอ่ย เพราะปกติเวลาพี่อัพตอนใหม่เรื่องนี้จะบอกทาง facebook ตลอด เสิร์ชหาด้วยชื่อ Bellbomb Rin ได้เลยค่ะ มีอัพเดทข่าวอย่างอื่นด้วยเหมือนกัน


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:17:57 น.  

 
แอดไปแล้วนะคะ ชื่อ Ni ค่ะ


โดย: SiNa IP: 61.7.213.5 วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:13:07:39 น.  

 
รับแอดเรียบร้อยค่า~


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:02:52 น.  

 


ยินดีที่ได้รู้จัก ไรอัน

ชื่อเล่นไรอัน น่ารักกกกกกมาก

อ่านแล้วยิ้มๆๆๆๆๆๆ มีความสุขที่เรียกว่าอิ่มใจค่ะ




โดย: ภัทร IP: 171.96.0.247 วันที่: 10 กรกฎาคม 2555 เวลา:12:52:03 น.  

 
คุณภัทร ดีใจที่อ่านแล้วอิ่มค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2555 เวลา:21:10:40 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จัก อิอิ


โดย: ต้อม IP: 180.183.108.159 วันที่: 27 กรกฎาคม 2555 เวลา:13:01:55 น.  

 
เดี๋ยวเจอกันเต็มๆ ในเล่มนะคะคุณต้อม


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 27 กรกฎาคม 2555 เวลา:14:18:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.