Veritatem dies aperit. เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเสมอ

Justice of the Peace
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Justice of the Peace's blog to your web]
Links
 

 

12. ฝ่าลมหนาวไปชม Light Up ที่วัดเอะอิคังโด

หลังจากที่พวกเราทานอาหารที่สถานีเกียวโตเสร็จแล้ว ก็เดินทางกลับไปที่โรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya เพื่อ Check in ขณะนั้นเพิ่งประมาณ 5-6 โมงเย็นเท่านั้น ประกอบกับดาวและเรายังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเที่ยวในวันนี้สักเท่าไร เลยคิดว่า น่าจะไปหาที่เที่ยวตอนกลางคืนกันต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจึงตัดสินใจไปดู Light Up ที่วัดเอะอิคังโด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปิดให้ชมตอนกลางคืน และเดินทางไปง่ายที่สุด

วัดเอะอิคังโด (Eikan-do) มีชื่อเสียงมากในฐานะสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโต เนื่องจากมีต้นโมมิจิ หรือ ต้นเมเปิ้ล จำนวนมาก ถึงกับมีสมญาว่า “วิหารแห่งใบเมเปิ้ล” ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายน วัดแห่งนี้จะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว เพื่อการมาชมต้นโมมิจิที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะแต่ในตอนกลางวันเท่านั้น แต่ตอนกลางคืน ทางวัดก็จะจัดประดับไฟหรือ Light Up ให้ชมต้นเมเปิ้ลด้วย ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.00 น. ซึ่งค่าเข้าชมก็จะแพงกว่าปกติ คือ ตอนกลางวัน ค่าเข้าชม 500 เยน แต่ตอนกลางคืน ค่าเข้าชม 600 เยน

การเดินทางมาวัดเอะอิคังโด ง่ายมาก โดยนั่ง City Bus สาย 5 จากหน้าสถานีเกียวโต แป๊บเดียวก็ถึงป้าย Nanzenji-Eikando Michi เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับซอยเล็ก ๆ ทางด้านขวามือ ที่ไม่มีป้ายใด ๆ บอกทั้งสิ้น แต่จะมีตำรวจคอยยืนโบกรถให้ และมหาชนที่เดินกันให้ขวักไขว่ในซอยเล็ก ๆ มืด ๆ ทำให้เราแน่ใจว่า เรามาถูกทางแล้ว ...

อุณหภูมิของเกียวโตจะต่ำมากกว่าที่เมืองอื่น ๆ เนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา ตอนกลางคืนอากาศจึงหนาวเย็นมาก ต่ำกว่า 10 C แน่นอน... พวกเรามันคนเมืองร้อน จึงมีอาการค่อนข้างหนักกว่าคนท้องถิ่นที่เขาดูสบาย ๆ ชิล ๆ กับอากาศเย็นยะเยือกขนาดนี้ ก่อนที่จะเข้าวัด เราเลยแวะพักหาขนมร้อน ๆ ทานรองท้องให้กระเพาะอุ่นสู้ความหนาว เจ้าของร้านขายขนมนี้ยังใจดี เห็นพวกเราสองคนยืนกินกันปากสั่นงั่ก ๆ ก็ชวนให้พวกเรามานั่งทานข้างเตาผิงของเขาด้วย



เมื่อเข้าไปในวัดแล้ว ต้องยอมรับว่า ที่วัดนี้มีต้นเมเปิ้ลเยอะมากจริง ๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แถมมีลมพัดมาให้ยะเยือกประปราย ปกติกล้องเราถ่ายรูปตอนกลางคืนก็ไม่ค่อยสวยอยู่แล้ว แถมยังเจออากาศหนาวๆ แบบนี้อีก ทำให้มือสั่น เบลอ ถ่ายรูปไม่ได้อย่างที่ใจคิด แต่ขอบอกว่า ของจริงสวยกว่าที่เห็นในรูปมาก ... ถ้ามีโอกาส ต้องกลับไปชมในตอนกลางวันอีกครั้ง









 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 7:36:11 น.
Counter : 767 Pageviews.  

11. พระราชวังเกียวโต (Kyoto Gosho)

พระราชวังเกียวโต (Kyoto Gosho)



พระราชวัง ที่เป็นทรัพย์สินของสำนักพระราชวังญี่ปุ่น ที่อนุญาตนักท่องเที่ยวให้เข้าชมได้มี 5 แห่ง เฉพาะที่เกียวโต มีอยู่ถึง 4 แห่ง คือ พระราชวังเกียวโต (Kyoto Imperial Palace), พระราชวังเซ็นโตะ (Sento Imperial Palace), พระตำหนักชุคะคุอิน (Shugakuin Imperial Villa) และพระตำหนักคัตสึระ (Katsura Imperial Villa) ส่วนแห่งที่ 5 คือ พระราชวังอิมพีเรียล ที่กรุงโตเกียว (The Imperial Palace)

แม้ว่าจะเข้าชมฟรี แต่ก็ต้องขออนุญาตเข้าชมล่วงหน้าจากสำนักพระราชวัง(The Imperial Household Agency Office) ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ หรือคนญี่ปุ่น การจองรอบเข้าชมผ่านทาง Website ของสำนักพระราชวัง ที่//sankan.kunaicho.go.jp/english/index.html จะสะดวกกว่าไปเขียนใบคำร้องที่สำนักงานในพระราชวัง เพราะจะต้องตรวจ VISA และต้องใช้เวลาในการพิจารณาคำร้อง 2-3 วัน แต่ถ้าจองผ่าน Internet แล้ว ถ้าจองได้ และเรา Confirm Date to Visit ระบบก็จะส่งใบอนุญาต เข้า Mail ของเราทันที เราก็แค่ Print out ใบอนุญาตที่เราได้รับมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ได้เลย โดยไม่ต้องตรวจอะไรอีก ซึ่งการเข้าชมในแต่ละวันจะมีการจำกัดจำนวนคนเข้าชม เต็มแล้วเต็มเลย อย่างเช่น พระราชวังเกียวโต จะมีรอบสำหรับคนต่างชาติ มีเจ้าหน้าที่นำเที่ยวบรรยายให้เป็นภาษาอังกฤษ วันละแค่ 2 รอบ คือ รอบ 10.00 น. และ 14.00 น. ใช้เวลารอบละประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนพระตำหนักแห่งอื่นในเกียวโต เท่าที่ดูจะมีแต่รอบภาษาญี่ปุ่น เวลาเข้าชมก็จะแตกต่างกันไป


ถนนโรยกรวดในเขตพระราชวัง


เราเดินทางไปถึงพระราชวังเกียวโต ในเวลาที่กระชั้นชิดมาก ๆ คือใกล้ 14.00 น. เต็มที แถมตามเอกสารก็บอกว่า ต้องมาถึงที่พระราชวัง 10 นาที ก่อนออกรอบ แต่เราออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินตอน 14.00 น. พอดี ดูจากแผนที่ ก็นึกว่า ประตูพระราชวังอยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว คงเดินอีกไม่เท่าไร น่าจะยังทัน แต่ความจริง มันเป็นเพียงแค่ประตูพระราชวังชั้นนอกเท่านั้น ยังต้องผ่านถนนในเขตพระราชวังอันกว้างขวาง ไปยังประตูพระราชวังชั้นในอีก เราเห็นท่าไม่ดี เลยต้องรีบวิ่งแล้ว เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าต้องไปติดต่อ ต้องทำอะไร ต้องเสียเวลาไปอีกแค่ไหนบ้าง กลัวว่าถ้ามาสายแล้วเขาจะตัดไม่ให้เข้าชม


ประตูเซอิโชมง


พอไปถึงที่ Office สำนักพระราชวัง เขาก็บอกว่า เราจองผ่าน Internet แล้ว ให้เอาใบจองไปขอเข้าทางหน้าประตูพระราชวังชั้นใน คือ ประตูเซอิโชมง (Seishomon) เลย เพราะเขามี List คนที่จะเข้าชมพระราชวังในวันนั้นอยู่แล้ว และก็มีเจ้าหน้าที่ใส่สูทมารอรับเราอยู่แล้ว เขารู้ด้วยว่า เราคือนักท่องเที่ยวอีก 2 คนที่ยังขาดตาม List แล้วเขาก็รีบพาเราตามคณะที่เพิ่งออกเดินทางไปได้สักพัก...

ระหว่างที่วิ่งตามคณะให้ทัน พอดีเราเห็นซุ้มประตูหนึ่งสวยดี เราเลยหยุดถ่ายรูป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ใส่ชุดเหมือนตำรวจ เห็นเราหยุดถ่ายรูปก็หันมาดุเราทันที แต่ก็ดุเป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะนะ คงประมาณว่า ไอ้พวกนี้มาสาย แล้วยังชักช้า มัวโอ้เอ้ถ่ายรูปอยู่อีก แล้วก็โบกไม้โบกมือเร่งให้เรารีบ ๆ วิ่ง แต่ว่าเจ้าหน้าที่คนที่ใส่สูทที่มารอรับเราไม่ได้ว่าอะไรเราเลยนะ แต่ยิ้มแล้วก็ก้มหัวให้เรานิดนึง แบบว่า เตือนด้วยรอยยิ้มและสายตา... เรารู้สึกอายมาก ๆ เลย ที่เผลอทำเรื่องที่ไม่สมควร ไม่รู้กาละเทศะ จนถูกดุ ถูกตำหนิ อย่างนั้น แล้วเรากับดาวก็รีบวิ่งไปจนในที่สุดก็ทันกับคณะนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ

เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ตลอดการชมพระราชวัง เราไม่ได้ฟังที่เจ้าหน้าที่นำเที่ยวบรรยายให้ฟังเลย เพียงแค่เดิน ๆ ตาม แล้วก็ถ่ายรูป เท่านั้น และก็ดูเหมือนว่า นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ก็ทำเหมือนกัน…

ประวัติของสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่าง เราก็อาศัยอ่านเอาจากแผ่นพับที่เขาแจกให้ ซึ่งในบล็อกนี้ เราก็จะขอเรียบเรียงเอาไว้ให้เผื่อว่าจะมีผู้สนใจ และเป็นประโยชน์สำหรับท่านอื่น ๆ บ้างไม่มากก็น้อย โดยเราจะเรียงลำดับไปตามสถานที่ได้ชมนะ...


โอคุรุมะโยเซะ (Okurumayose) เป็นทางเข้าสำหรับขุนนางหรือพระราชอาคันตุกะซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิอย่างเป็นทางการ


โชไดบุโนะมะ (Shodaibunoma) เป็นห้องรับรองสำหรับขุนนางหรือพระราชอาคันตุกะที่รอเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ ด้านในจะมีห้อง 3 ห้อง คือ ห้องเสือ, ห้องนกกะเรียน และห้องซากุระ ซึ่งตั้งชื่อตามภาพที่วาดบนประตูบานเลื่อน และผู้ที่จะเข้าเฝ้าจะต้องนั่งรอในห้องที่แตกต่างกันไปตามลำดับชั้นยศ


ประตูเค็นเรอิมง (Kenreimon) เป็นประตูใหญ่ของรั้วกำแพงวังชั้นในที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุด (ทิศใต้) ของพระราชวังเกียวโต ใช้เป็นทางเสด็จเข้าออกของพระจักรพรรดิ


ประตูเก็กคะมง (Gekkamon) เป็นประตูเล็กด้านซ้าย (ทิศตะวันออก) ของพระที่นั่งชิชินเด็น


ประตูโจเมอิมง (Jomeimon) เป็นประตูเล็กด้านหน้า (ทิศใต้) ของพระที่นั่งชิชินเด็น


ประตูนิกคะมง (Nikkamon) เป็นประตูเล็กด้านขวา (ทิศตะวันตก) ของพระที่นั่งชิชินเด็น


พระที่นั่งชิชินเด็น (Shishinden) เป็นพระที่นั่งที่สำคัญที่สุดของพระราชวังเกียวโต เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระที่นั่งสร้างชั้นเดียว สร้างด้วยไม้ ยกพื้นสูง หลังคาปูด้วยไม้สน ด้านขวาของพระที่นั่ง (ตะวันออก) ปลูกต้นซากุระ ส่วนซ้ายของพระที่นั่ง (ตะวันตก) ปลูกต้นทาจิบานะ หรือต้นส้ม ด้านใน มีพระราชบัลลังก์ของพระจักรพรรดิ และพระจักรพรรดินี พระที่นั่งชิชินเด็นองค์เดิมนั้น ถูกไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1854 องค์ปัจจุบันนี้สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ.1855 (ตอนที่เราไป เจ้าหน้าที่ให้ชมพระที่นั่งชิชินเด็นด้านนอกผ่านประตูโจเมอิมงเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในลานหน้าพระที่นั่ง)


ประตูเค็นชุนมง (Kenshunmon) เป็นประตูใหญ่ของรั้วกำแพงวังชั้นในด้านทิศตะวันออกของพระราชวังเกียวโต


ชุนโคเด็น (Shunkoden) เป็นห้องเก็บของ หรือทรัพย์สินของพระราชวัง หลังคาที่เห็นเป็นสีเขียวนั้นคือทำด้วยทองแดง


เซอิเรียวเด็น (Seiryoden) เป็นพระตำหนักที่ประทับ หรือที่บรรทมของพระจักรพรรดิ


สะพานเคยะคิบะชิ (Keyakibashi)



สวนโออิเคะนิวะ (Oikeniwa)



พระที่นั่งโคโงะโช (Kogosho) เป็นสถานที่ประกอบพิธีเก็มปุคุ หรือ พิธีบรรลุนิติภาวะ และเป็นที่ที่พระจักรพรรดิเสด็จออกประทับรับโชกุน หรือไดเมียว ที่มาเข้าเฝ้า


พระที่นั่งโองะคุมนโจ (Ogakumonjo) เป็นสถานที่ทรงพระอักษรของพระจักรพรรดิ และเป็นสถานที่ที่รวมเหล่าขุนนางมาแต่งกลอนกัน


พระที่นั่งโอทสึนะโกะเท็น (Otsunagoten) เป็นที่เก็บรักษาพระแสงดาบ และตราพระราชลัญจกร และเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิ




สวนโกนะอิเทย์ (Gonaitei)



พระที่นั่งโอมิมะ (Omima) เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะอย่างไม่เป็นทางการ และใช้ประกอบพิธีในช่วงเทศกาลทานาบาตะ หรือเทศกาลแห่งดวงดาว และเทศกาลโอบ้ง หรือเทศกาลไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ




...ความจริงแล้ว แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้เราอยากที่จะมาพระราชวังเกียวโตแห่งนี้ คือ อยากมาดูศูนย์กลางการปกครองของญี่ปุ่นที่มีอายุยาวนานนับพันปี ว่าเป็นอย่างไร จะใหญ่โตโออ่าขนาดไหน... แต่พอได้มาดูของจริงแล้ว บรรยากาศทั่วไปของพระราชวังเกียวโต จัดได้ว่าเป็นพระราชวังขนาดค่อนข้างเล็ก ธรรมดา และเรียบง่ายมาก ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอย่างที่พระราชวังกู้กง กรุงปักกิ่ง หรือไม่ได้หรูหราฉูดฉาดอย่างพระราชวังแวร์ซายส์ ที่ฝรั่งเศส

แต่ถึงกระนั้น เราก็รู้สึกประทับใจกับสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งองค์ต่าง ๆ ที่แม้จะดูเคร่งครึม มืด ๆ ทึม ๆ ด้วยสีของเนื้อไม้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสง่างาม น่าเกรงขาม ที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ อย่างที่สามารถทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกเคารพเลื่อมใส และอ่อนน้อมถ่อมตนลงได้…

...สอดรับกับสวนญี่ปุ่นสวย ๆ ที่ทำให้เราหลงใหลไปกับความงดงามของธรรมชาติที่เมื่อได้ดูแล้วก็สบายตา พาให้สบายใจ ทำให้รู้สึกสงบนิ่ง และจิตใจได้ผ่อนคลายลง... สะพานหินกลางสระน้ำใสแจ๋ว ที่โรยรอบด้วยกรวดหินอ่อนสีขาวนวล โดยมี Background เป็นสีสันของต้นไม้ใบหญ้า ต้นสนดัดทั้งใหญ่และเล็กชูช่อสีเขียวอ่อน ประสานกับใบสีแดงสดของต้นโมมิจิ ใบสีส้มของต้นซากุระ และใบสีเหลืองของต้นโออิจิ ทำให้ดูงามราวกับภาพในความฝัน...





หลังจากชมพระราชวังเกียวโตเสร็จแล้ว ก็ไปซื้อของที่ระลึก ที่ร้านค้าของพระราชวัง จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นถ่ายรูปรอบ ๆ แถว ๆ ถนนหน้ากำแพงพระราชวังที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากสี...





...จากนั้น ก็นั่งรถบัสกลับไปสถานีเกียวโต เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ Porta วันนี้ เราได้ทานอาหารญี่ปุ่นที่เราชอบมากที่สุด แต่ว่าตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่นเราก็ยังไม่มีโอกาสได้ทานเลย นั่นก็คือ ซูชิ นั่นเอง...

อิอิ...วันนี้ Happy มาก ๆ ที่ได้ทั้งเที่ยวในที่ ๆ ใฝ่ฝันมานาน และได้กินของโปรดสุดอร่อย.




 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 14:31:52 น.
Counter : 3742 Pageviews.  

10. ปู๊น ปู๊น ไปเกียวโต

วันที่ 5 : วันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 : เกียวโต

เช้านี้พวกเราเดินทางออกจากโอซาก้า เพื่อมุ่งหน้าสู่เกียวโต ซึ่งถือเป็น Hi-Light ในการเดินทางมาญี่ปุ่นของเราในครั้งนี้เลยทีเดียว

เกียวโต เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่มีอายุยาวนานที่สุด ถึง 1,075 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.794 ถึง ค.ศ.1869 โดยเมื่อปี ค.ศ.784 ในสมัยพระจักรพรรดิคัมมุเท็นโนะ ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเฮโจเคียว หรือ นาระ มายังเมืองนางาโอกะเคียว แต่ต่อมาอีกเพียง 10 ปี เกิดอุทกภัยร้ายแรง พระจักรพรรดิคัมมุเท็นโนะ จึงโปรดให้หาที่สร้างเมืองใหม่ ซึ่งก็คือ บริเวณที่เรียกว่า ยะมะชิโระ โนะ คุนิคะโดะโนะ ต่อมาได้ตั้งชื่อใหม่ว่า “เฮอันเคียว” เมื่อ ค.ศ.794 มีการสร้างเมืองโดยวางผังเมืองเป็นตารางสี่เหลี่ยมแบบเมืองฉางอัน เมืองหลวงของจีน สมัยราชวงศ์ถัง

เกียวโต ผ่านเหตุการณ์สำคัญ ๆ และไฟสงครามมาหลายครั้งหลายหน มีทั้งช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดและตกต่ำที่สุด แต่ก็ยังคงเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น มาได้นานถึง 1,075 ปี จนกระทั่ง ค.ศ.1869 เมื่อมีการปฏิรูปประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ในสมัยพระจักรพรรดิเมอิจิ จึงทรงย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองเอโดะ ซึ่งก็คือ กรุงโตเกียว ในปัจจุบันนี้



เวลาประมาณ 09.30 น. พวกเราเดินทางกันด้วยรถไฟ Hankyu Kyoto Line ซึ่งเป็นรถไฟของเอกชน มีสถานีต้นทางอยู่ใกล้ ๆ กันกับโรงแรมที่เราพัก คือ Toyoko Inn Umeda-Nakatsu โดยต้องเดินย้อนลงไปทางใต้ระยะหนึ่ง ก็จะเป็นสถานี Umeda ซึ่งเป็นสถานีต้นทาง และจะไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานี Karawamachi ที่เกียวโต แต่เราจะไปลงเพียงแค่สถานี Omiya ซึ่งเป็นสถานีเกือบสุดทาง ราคาตั๋วคนละ 390 เยน



รถไฟต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Katsura ก่อน แล้วก็วิ่งไปจนถึงสถานี Omiya ซึ่งก็จะอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่เราจะไปพัก ก็คือ โรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya ซึ่งเราจะพักที่นี่ 3 คืน



จากโอซาก้า ถึงเกียวโตใช้เวลาประมาณ 50 นาที ขณะเมื่อเราไปถึง เป็นเวลาเกือบ 11.00 น. แล้ว หลังจากจัดการเรื่องโรงแรม และฝากของไว้แล้ว พวกเราก็เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองเกียวโต นั่นก็คือ สถานีเกียวโต (Kyoto Station) เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวต่อในช่วงบ่าย


สถานีเกียวโต


Kyoto Tower Hotel


เจ้าหนูอะตอมหน้าสถานีเกียวโต


จุดเริ่มต้นท่องเที่ยวในเมืองเกียวโต 99 % ต้องมาเริ่มที่สถานีเกียวโต เพราะการเดินทางที่เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวในเกียวโตที่สะดวกที่สุด ก็คือ รถบัส ซึ่งจะมีชุมทางใหญ่ที่สุดอยู่ที่หน้าสถานีเกียวโต ส่วนการเดินทางประเภทอื่น ๆ เช่น รถไฟ หรือ Subway ไม่สู้จะสะดวกมากนัก เพราะไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ที่เกียวโต มี Subway เพียง 2 สาย คือ Karasuma Line วิ่งในแนวจากเหนือไปใต้ และ Tozai Line วิ่งในแนวตะวันออกไปตะวันตก แต่สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง การเดินทางด้วยรถไฟ JR หรือ Subway ก็อาจจะสะดวกมากกว่ารถบัส ซึ่งก็ต้องดูเป็นที่ ๆ ไป ว่าควรเดินทางด้วยอะไรจะสะดวกและง่ายที่สุด เพราะเกียวโต มีแยกไฟแดงเยอะมาก บางทีก็อาจเจอรถติด (แต่ไม่นานเหมือนเมืองไทย) และสถานท่องเที่ยวในเกียวโตหลาย ๆ แห่ง ต้องเดินเท้าต่อไปจากสถานีรถไฟ หรือป้ายรถบัสไปอีกไกลโข ดังนั้น ก่อนจะเริ่มเที่ยวในเกียวโต ต้องศึกษาหาข้อมูลการเดินทางกันให้ดีเสียก่อน เพื่อที่เราจะได้ประหยัดเวลา และแรงงาน ให้มากที่สุด



พวกเราขึ้นไปที่ชั้น 2 ซึ่งเป็น Tourist Information Office เพื่อซื้อบัตร City Bus One Day Pass และรับ แผนที่ Bus Navi Map ซึ่งจะบอกเส้นทางเดินรถบัสสายต่าง ๆ ถือเป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญที่สุดในการเที่ยวเกียวโต ซึ่งแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ต้องมีติดตัวไว้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็อาจถึงกับไปไหนมาไหนไม่ได้เลยทีเดียว

Link Kyoto Bus Navi Map : //www.city.kyoto.lg.jp/kotsu/cmsfiles/contents/0000019/19770/busnavi_e_090401.pdf

แต่ว่าวันนี้เรามีโปรแกรมเข้าชมพระราชวังเกียวโต ตอน 14.00 น. ซึ่งเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินจะสะดวกมากกว่ารถบัส เพราะใกล้ประตูทางเข้ามากกว่า เรามีเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงไปหาข้าวกลางวันรับประทาน ที่ใต้สถานีเกียวโต ทำเป็นศูนย์การค้า เรียกว่า Porta เป็นแหล่งรวมร้านค้า และร้านอาหารมากมาย ซึ่งเราได้อาศัยฝากท้องไว้หลายมื้อ



เมื่อพวกเรารับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางด้วย รถไฟใต้ดิน Karasuma Line จากสถานี Kyoto ไปยังสถานี Imadegawa เพื่อเข้าชมพระราชวังเกียวโต.






 

Create Date : 29 เมษายน 2553    
Last Update : 29 เมษายน 2553 7:42:31 น.
Counter : 902 Pageviews.  

9. ตะลุยราตรี แสงสีโอซาก้า ชินไซบาชิ-โดทงโบริ

ชินไซบาชิ - โดทงโบริ - นัมบะ (Shinsaibashi-Dotonbori-Namba)



ที่ถนนชินไซบาชิซึจินี่ก็เป็นที่รู้ ๆ กันดีอยู่ว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งหลักของโอซาก้า ทัวร์ไทย คนไทยคนไหนมาโอซาก้า แต่ไม่ได้มาช้อปปิ้งที่ชินไซบาชิก็ถือว่ายังมาไม่ถึงโอซาก้ากันเลยทีเดียว โดยเฉพาะจำพวก เครื่องสำอาง เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น ของน่ารัก ๆ กระจุ๊กกระจิ๊ก ชวนให้เสียตังค์ ไว้คอยหลอกล่อให้คุณผู้หญิงเลือกเข้า ๆ ออก ๆ กันแบบว่า เข้าร้านซ้ายที ร้านขวาที ไปตลอดทาง มีเวลาให้ 1 ชั่วโมง ก็หมด 1 ชั่วโมง มีเวลาให้หนึ่งวัน ก็หมดหนึ่งวันนั่นแหละ...



กองทัพเดินด้วยท้องครับ...เป็นเครปจากร้านโอจิซัง น่าทานมาก เห็นคนเข้าคิวยาวทีเดียว ของเราซื้อเครปใส่กล้วย+สตรอเบอร์รี ของดาวเป็นเครปใส่กล้วย+ช๊อคโกแลต รสชาติโอเคครับ คุ้มราคา 400 กว่าเยน



ช่วงนี้ก็เป็นเวลาของคุณผู้หญิงแล้ว เราเที่ยวตามใจชอบมาทั้งวัน เราก็ต้องให้เวลาดาวได้มีความสุขกับ Happy Time ของดาวบ้าง เราเองก็ต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่ดี คอยถือตะกร้าใส่ของให้คุณผู้หญิงสิครับ !!!

...ซึ่งกว่าพวกเราจะหลุดจากดงร้านค้ามาได้ ก็หมดไปหลายชั่วโมงทีเดียว รับรองว่า ถ้ามาเที่ยวกับบริษัททัวร์ที่ให้เวลาช้อปแค่ชั่วโมงครึ่ง คงจะไม่พอแน่ ๆ เพราะว่า เราอยู่ที่โอซาก้า 3 วัน ก็ต้องมาช้อปปิ้งที่ชินไซบาชิ ทั้ง 3 วันเลยทีเดียว



พอเดินมาสุดถนนชินไซบาชิ ก็จะเจอกับคลองโดทงโบริ ซึ่งมีมุมบังคับมหาชน ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปกันที่นี่คือ ป้ายกูลิโกะ อันเป็นสัญลักษณ์ของโอซาก้า นั่นเอง



เดินผ่านร้านคะนิโดระคุ หรือที่คนไทยมักจะเรียกกันว่า ร้านปูยักษ์ ซึ่งก็ถือเป็นร้านยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ที่เมื่อมาโอซาก้าแล้ว ก็ต้องมาทานให้ได้สักครั้ง ดู ๆ เมนูหน้าร้านแล้ว ราคาออกจะแพงเอาการอยู่เหมือนกัน แต่ไหน ๆ เราก็มาถึงญี่ปุ่นแล้ว จะขอลองกินให้เป็นบุญวาสนาแก่กระเพาะอาหารของเราสักมื้อนึง ให้ได้ชื่อว่าได้มากินของขึ้นชื่อหรูที่สุดของโอซาก้าแล้ว ก็เลยอาฆาตเอาไว้ว่า ช่วงวันท้าย ๆ ที่กลับจากเกียวโตมาโอซาก้า จะต้องมาทานร้านนี้ให้จงได้




พอเราเดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปเจอกับร้านในตำนานของห้องก้นครัวเข้าร้านหนึ่งโดยบังเอิญ นั่นก็คือ ร้านทาโกะยากิ ที่ได้รับคำนิยมจากบรรดาเซียนญี่ปุ่น ประจำห้องก้นครัว ว่าอร่อยขึ้นชื่อนักหนา โดยเฉพาะดาว ซึ่งชอบทานทาโกะยากิ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีหรือที่จะพลาด... ว่าแล้วพวกเราก็ขอทดลองความอร่อยตามคำร่ำลือในราคา 6 ลูก 400 เยน



ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ ทาโกะยากิร้อน ๆ ลูกโต ๆ ปลาหมึกชิ้นใหญ่เบ้อเริ่มเต็มปากเต็มคำ ราดซอส และมายองเนส กำลังพอดี พร้อมกับโรยหน้าด้วยผงสาหร่าย และปลาแห้ง อืม...รสชาติของทาโกะยากิของจริงแท้ ๆ ที่อร่อยสมคำร่ำลือ ทำเอาพวกเราลืมรสชาติทาโกะยากิปลอม ๆ ที่ร้าน...ในเมืองไทยไปซะสนิทเลยทีเดียว



เมื่อเราอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว ตอนนั้นน่าจะประมาณ 4 ทุ่มได้แล้วล่ะ บรรดาร้านรวงก็ทยอยปิดร้านแล้ว คงเหลือแต่พวกร้านที่เป็นคลับ ผับ บาร์ ที่เริ่มคึกคัก... แต่คนเดิน ๆ แถวนั้นก็ยังไม่ลดลงไปเท่าไรนะ จากนั้น เราก็เดินต่อไปถึงสถานีนัมบะ เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินกลับโรงแรม พรุ่งนี้พวกเราต้องเดินทางไปเที่ยวเมืองหลวงเก่าเกียวโตกันแล้ว...




 

Create Date : 28 เมษายน 2553    
Last Update : 28 เมษายน 2553 8:06:29 น.
Counter : 5339 Pageviews.  

8. ไปไหว้พระที่วัดชิเท็นโนจิ

วัดชิเท็นโนจิ (Shitenno-ji)


แผนผังวัดชิเท็นโนจิ


ภาคบ่ายวันนี้ เราตัดสินใจไปกันที่ วัดชิเท็นโนจิ เพราะตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น ยังไม่ได้ไหว้พระให้เป็นสิริมงคลกันเลย ที่สำคัญก็คือ วัดชิเท็นโนจิ ก็อยู่ใน Package ของ Osaka Unlimited Pass 2009 ด้วย (ไหน ๆ ก็ซื้อมาแล้ว) โดยเราขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Tanimachi ไปลงสถานี Shitennoji-mae ซึ่งดูจากแผนที่แล้วก็น่าจะใกล้ที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าถึงหน้าประตูวัดเลยทีเดียวนะครับ ต้องเดินไปอีกไกลเอาเรื่องเลยทีเดียว...

พวกเรายังไม่ได้ทานข้าวกลางวันกันเลย หิวมาก ๆ กะว่าจะไปหาอะไรทานกันแถว ๆ หน้าวัด แต่ตอนนั้นก็ 13.30 น.แล้ว ร้านขายอาหารส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว



แต่เราก็ยังมีโชคอยู่บ้าง ที่ระหว่างทางเดินไปวัด มีร้านราเม็งเปิดอยู่ร้านเดียว แม้จะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ แต่ดาวก็ใช้วิธีถ่ายรูปภาพอาหารที่ติดหน้าร้าน เอาไปให้คนในร้านดู เขาก็เข้าใจดีนะ



ดาวสั่งราเม็ง เราสั่งชุดข้าวกับกุ้งชุบแป้งทอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราหิวมาก หรือว่าอาหารอร่อยกันแน่นะ เพราะเรารู้สึกว่ากินได้จนเกลี้ยงจาน และเท่าที่สังเกต ดาวเองก็ประทับใจรสชาติราเม็งของร้านนี้มากเลยทีเดียว ขนาดที่ว่า ไปทานราเม็งที่อื่น ก็ยังอดเอามาเปรียบเทียบกับราเม็งของร้านนี้ไม่ได้





วัดชิเท็นโนจิ (Shitenno-ji) เป็นวัดเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตาม หนังสือนิฮนหงิ (Nihongi) ซึ่งเป็นบันทึกพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุด เล่าว่า เจ้าชายโชโตกุไทชิ (Shotoku-Taichi) ผู้สำเร็จราชการในสมัยพระจักรพรรดินีซุอิโกะ (Empress Suiko) โปรดให้สร้างขึ้น เมื่อ ค.ศ.593 วัดนี้จึงมีอายุเก่าแก่ถึงกว่า 1,400 ปี มาแล้ว



ตามรูปศัพท์ คำว่า ชิเท็นโนะ แปลว่า กษัตริย์แห่งสวรรค์ 4 องค์ หมายถึง ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธเจ้า นั่นเอง ประกอบด้วย บิฉะมอนเท็น (ท้าวเวสสุวรรณ) , โซโชเท็น (ท้าววิรุฬหก), ชิโคะคุเท็น (ท้าวธตรฐ) และ โคโมะคุเท็น (ท้าววิรุฬปักษ์)







จุดเด่นของวัดนี้ คือ วิหารโทคอนโดะ (Tokondo) และเจดีย์ 5 ชั้น ศิลปกรรมสมัยอาสึกะ (Asuka Period) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจีน สมัยราชวงศ์ถัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และเจ้าแม่กวนอิม พุทธลักษณะงามมาก แล้วก็มีภาพพุทธประวัติซึ่งวาดตามแบบอินเดีย ซึ่งสวยงามแปลกตาไปจากที่เราเคยเห็นในวัดไทย แต่ดู ๆ แล้วเนื้อหาไม่แตกต่างกัน เลยเข้าใจได้ง่าย แต่น่าเสียดายที่ภายในวิหารห้ามถ่ายรูป


ยักษ์อะเงียว (Agyo) และ ยักษ์อุงเงียว (Ungyo) รักษาหน้าประตูนิโอมง



เจดีย์ห้าชั้น



วิหารโทคอนโดะ


แต่ถ้าใคร ไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น พุทธศาสนา และศิลปกรรมสวย ๆ งาม ๆ การมาวัดนี้ก็คงจะน่าเบื่อมิใช่น้อย เพราะที่นี่เป็นวัดจริง ๆ เงียบ ๆ ไม่มีของที่ระลึกขาย ไม่มีมุมถ่ายรูปเด่น ๆ หรือกิจกรรมที่ น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเหมือนวัดอื่น ๆ




ศาลาโคโด


แต่ถึงแม้ว่า วัดนี้จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษในแง่สถานที่ท่องเที่ยว แต่พวกเราก็หมดเวลาไปกับวัดนี้โดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว


ได้ดื่มเป๊ปซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกจากตู้หยอดเหรียญที่วัดชิเท็นโนจิ
ยืนยันเลยครับว่าเป๊ปซี่ญี่ปุ่นไม่อร่อย แต่โค้กญี่ปุ่นบนเครื่อง JL อร่อยกว่า...


เวลาตอนนั้นประมาณ 15.30 น.แล้ว ซึ่งโปรแกรมต่อไป คือ เราจะต้องไปลงเรือ Santa Maria ล่องอ่าวโอซาก้า รอบสุดท้ายเวลา 16.00 น. ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่า คงจะต้องไปไม่ทันแน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังแอบหวังนิด ๆ ว่าอาจจะไปทัน

ดังนั้น เราจึงลงรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Osakako เพื่อไปที่ Tempozan Habour Village แต่ระยะทางจากสถานีไปถึงที่ขึ้นเรือไกลไม่ใช่เล่น ๆ กว่าเราจะเดินไปถึงก็ 16.20 น. แล้ว พอเราไปถึงที่บู้ทรับจองตั๋ว ก็ปิดป้ายว่า Closed แล้วเราก็เห็นเรือ Santa Maria ค่อย ๆ แล่นผ่านหน้าเราออกอ่าวโอซาก้าไปเรียบร้อย... เฮ้อ...

เรากับดาวก็ได้แต่ปลอบใจให้ตัวเองกันว่า เท่าที่อ่าน ๆ มา ก็มีแต่คนบอกว่า เรือนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไร วิวก็ไม่สวย อากาศก็หนาว ไม่ได้ลงเรือก็ไม่เป็นไรหรอก ...แต่เราก็แอบเสียดายเล็ก ๆ นะ เพราะค่าตั๋วลงเรือ ถ้าไม่มี Pass ราคาคนละตั้ง 1,600 เยน เราเลยรู้สึกว่าใช้ Pass ยังไม่ค่อยคุ้มเท่าไรเลย แถมวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการใช้ Pass แล้วด้วย



เมื่อไม่รู้จะทำอะไร พวกเราก็เลยเดินเล่น ๆ อยู่แถว ๆ ร้านค้าของ Aquarium Kaiyukan ซึ่งอยู่แถว ๆ นั้น ได้ของที่ระลึกพวกพวงกุญแจ ตุ๊กตาสัตว์ทะเลน่ารัก ๆ มาหลายตัว แล้วก็เดิน ๆ ถ่ายรูปบ้าง แต่ด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร แถมลืมถ่ายรูปด้านหน้า Kaiyukan มาด้วย แถมฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถ่ายรูปไม่สวยเลย

จากนั้นเราก็เดินจะกลับไปขึ้นรถไฟกลับ แวะทานข้าวที่ร้านข้างทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทดงบุริ หรือ ข้าวราดหน้า ได้ข้าวราดหน้าหมูทอดร้อน ๆ คนละหนึ่งชาม ก็พอช่วยให้พวกเรามีเรี่ยวแรงฝ่าลมหนาวไปเที่ยวต่อในคืนนี้ได้



จากนั้น พวกเราก็เดินทางต่อ เพื่อไปเที่ยวเดินดูแสงสีโอซาก้ายามค่ำคืนกันที่ย่านชินไซบาชิ และนัมบะ เราจึงวางโปรแกรมว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Shinsaibashi แล้วจะเดินไปเรื่อย ๆ จนทะลุ Dotonbori แล้วก็ Namba แล้วค่อยขึ้นรถไฟใต้ดินที่ Namba กลับโรงแรมที่สถานี Nakutsu ทีเดียวเลย.




 

Create Date : 27 เมษายน 2553    
Last Update : 27 เมษายน 2553 8:27:22 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

1  2  3  4  5  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.