มาพร้อมกับสาระ ความสนุก บันเทิง ลับเฉพาะ และครอบครัวสุดที่รักครับท่าน....
Group Blog
 
All blogs
 

ปรับแต่ง Firefox



วิธีปรับแต่ง Firefox ให้แรงโดนใจ







สำหรับเรื่องราวไอทีในวันนี้จะมาแนะนำกัน ในเรื่องของโปรแกรม เว็บบราวเซอร์
หรือที่เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ...โปรแกรมที่ใช้เล่นเน็ต ที่ใช้เปิดหน้าเว็บเพจต่าง ๆ นั่นเองค่ะ
วันนี้เราจะขอกล่าวถึง Web Browser ที่มีชื่อว่า Firefox ซึ่งเป็นโปรแกรมที่นักท่องอินเตอร์เน็ต
หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดี สำหรับเรื่องความสามารถ และความโดดเด่นของโปรแกรมนี้
หลายๆ ท่านคงจะได้รู้กันมาบ้างแล้ว
วันนี้...เราจึงขอนำเสนอเกี่ยวกับวิธีปรับแต่ง Firefox ให้เร็วทันใจขึ้นไปอีก มาเริ่มกันเลยดีกว่า..


ก่อนอื่นให้เปิดโปรแกรม Firefox ขึ้นมาก่อน (จะต่อเน็ตหรือไม่ต่อก็ได้ค่ะ)
ไปที่ช่อง URL >> พิมพ์คำว่า about:config ลงไป
เพื่อทำการเข้าไปปรับค่าต่างๆ ของโปรแกรม
ให้ทำการแก้ไขค่าต่างๆ ดังนี้

network.http.proxy.pipelining
จะเห็นว่าค่าเดิมเป็น false ให้ทำการแก้ไขให้เป็นtrue
การแก้ไขทำได้โดย ดับเบิ้ลคลิกที่บรรทัดนั้นๆ ได้เลย

network.http.pipelining.maxrequests
ให้แก้ไขโดยการดับเบิ้ลคลิก จากนั้นจะมีหน้าต่างแสดงขึ้นมา เพื่อให้เราได้แก้ไขค่า
(ซึ่งการแก้ไขในส่วนอื่นๆ ก็จะทำแบบเดียวกันนี้)
ค่าเดิมจาก 4 แก้เป็น 200


network.http.max-connections
จาก 24 แก้เป็น 64


network.http.max-connections-per-server
จาก 8 แก้เป็น 20


network.http.max-persistent-connections-per-proxy
จาก 4 แก้เป็น 10


network.http.max-persistent-connections-per-server
จาก 2 แก้เป็น 10


network.http.request.max-start-delay
จาก 10 แก้เป็น 0 ในส่วนนี้เป็นช่วงกำหนดเวลา


network.http.proxy.version
ค่าเดิมๆ คือ 1.1 แก้เป็น 1.0




จากนั้น คลิกขวาบนพื้นที่ว่าง เลือกที่ New แล้วเลือกที่Integer
จะมีหน้าต่างปรากฏขึ้นมาให้เราใส่ชื่อเป็นnglayout.initialpaint.delay
จากนั้นจะให้เราใส่ค่า value ให้เราใส่ค่าเป็น 0


สร้างตัวแปรใหม่ขึ้นมา เป็นแบบIntegerด้วยวิธีเดียวกับวิธีข้างบน
ใส่ชื่อตัวแปร เป็นbrowser.sessionhistory.max_total_viewers
ส่วนการกำหนดค่า ของตัวแปรตัวนี้นั้น
จะเป็นในส่วนของการเก็บแคช ดังนั้นจึงควรใส่ตามปริมาณแรมของเครื่องนั้นๆ

แรม 32 MB ให้ใส่ 0
แรม 64 MB ให้ใส่ 1
แรม 128 MB ให้ใส่ 2
แรม 256 MB ให้ใส่ 3
แรม 512 MB ให้ใส่ 5

ถ้าหากว่า มีปริมาณแรมเกินกว่านี้ ให้ใส่ 8 และห้ามกำหนดค่าตัวแปร เกิน 8
เพราะถ้าใส่ค่ามากกว่านี้ Firefox จะปิดการทำงานของแคช


สร้างตัวแปรใหม่ขึ้นมา เป็นประเภทInteger
ชื่อตัวแปรBrowser.cache.memory.capacity
สำหรับค่าของตัวแปร จะแปรผันตามวิธีด้านบน หรือจะกำหนดค่าตัวแปร
เท่ากันกับตัวบนเลยก็ได้


สร้างตัวแปรใหม่ โดยเลือกที่Booleanชื่อของตัวแปรใส่เป็นconfig.trim_on_minimize
กำหนดค่าของตัวแปรเป็นTrue



จากนั้นก็ปิด Firefox แล้วทำการเปิดขึ้นมาใหม่ ทดลองเข้าเว็บต่างๆ ดู
จะพบว่าสามารถเปิดเว็บได้อย่างไหลลื่นขึ้น นอกจากนี้...
ให้คลิกขวาที่Shortcut ของ FirefoxเลือกProperties
ที่แถบด้านบนเลือกเป็น Shortcut สังเกตในช่อง Target ให้เราเคาะเว้นวรรคก่อน 1 ครั้ง
แล้วใส่นี้ /Perfect:1 อย่างเครื่องของเรา ก็จะได้เป็น


"C:Program FilesMozilla Firefoxfirefox.exe" /Perfect:1



เพียงเท่านี้ Firefox ของเรา ก็จะท่องเว็บได้อย่างไหลลื่นยิ่งขึ้น

copy มาอีกที ขอบคุณ รักษ์บ้านเกิด




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2552 11:24:31 น.
Counter : 1102 Pageviews.  

เมื่อฉันแก่ตัวลง


“เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ได้รับเรื่องนี้จากเพื่อน และเห็นว่าน่าจะเป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่เป็นลูกทุกคน ทั้งที่อยู่ใกล้พ่อแม่และห่างไกลกับท่าน เพราะบ่อยครั้งที่เรามักลืมตระหนักถึงความรักของพ่อแม่ และอาจเผลอทำร้ายความรู้สึกของท่านโดยไม่ตั้งใจ....

เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นต้องมีภารกิจเดินทาง และตั้งถิ่นฐานอยู่ไกลจากพ่อแม่ แต่ก็มักติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับแม่อยู่เสมอ...

มักจะบอกเขาว่า “ไม่ต้องห่วงแม่” ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่า แม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนึง ที่แม่มีอายุครบ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยสัก 1 เดือน ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว

พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ รื้อเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย...

พอลูกกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่ คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย...แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์ และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม...

เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เขาพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง
โดยเฉพาะสายตา บางครั้งเขาพยายามชวนแม่
ไปกินอาหารนอกบ้าน
แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด
เมื่อเขาบอกแม่ว่า จะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน
แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานได้

เขาเลยพูดไม่ออก พอเขาจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน ไม่ได้ซื้ออะไรเลย

เมื่อเขาคุยกับเพื่อนในเรื่องทันสมัย... แม่ก็หาว่าพวกเขาเพี้ยน เขาก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ก็ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆ บ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ เขาเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่แม่ลูกเขาก็ไม่เคยทะเลาะกันนะ พอเขาขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา นัยน์ตามีแววเหม่อลอย – โรคซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ ....

ได้เวลาที่เขาจะเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ ในช่วงที่เขาไม่อยู่ แม่เริ่มสนใจข่าวสารบ้านเมือง ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในจังหวัดนั้นๆ แม่จะต้องตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้เขา ตอนที่เขากลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่ไกลบ้านต้องระวังตัวให้มากๆ...

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือเขาเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก เขาเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะเขาไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เขารู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้...

ทันใดนั้น มีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง เขารู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

เขาหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่เขาเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนี้คัดมาจาก นิตยสารฉบับหนึ่งของแม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน เขาอ่านบทความนั้น รวดเดียวจบทันที...

เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น...
ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง...
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า...
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง....

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ...
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ
ที่เธอชอบฟังจนหลับไป...

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดอ้อน ทั้งปลอบ
เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม..

ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทน ตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม...

ตอนฉันเหนื่อยล้า จนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน...
ในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด...
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว...

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน...
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ
ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ...
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน
เดินไปให้สุดเส้นทาง...
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉัน...มีแต่ความรัก
อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉัน
ที่มีให้กับเธอ...

สุดท้าย...เท่าที่ทราบ ลูกชายก็ตัดสินใจไม่ขนสัมภาระบางอย่างกลับไป แต่ขนหนังสือพิมพ์ที่แม่เขาตัดไว้ให้ทั้งหมดไปด้วย...

ทุกคนทราบ ทุกคนรู้ดี ทุกคนเห็นด้วย พ่อแม่รักเรา...
แต่จะสักกี่คน...ที่สามารถดูแลท่านได้ดีเสมือนหนึ่ง
ที่ท่านได้ให้เรา หรือกระทำต่อท่านให้ดีกว่าที่เราได้รับ

ขอให้ลูกกตัญญูทุกคน....โชคดีมีความสุขตลอดไป




 

Create Date : 16 มีนาคม 2551    
Last Update : 16 มีนาคม 2551 17:11:27 น.
Counter : 579 Pageviews.  

92 สถานการณ์ในการใช้รถยนต์ น่าอ่านมากๆ

92 สถานการณ์ในการใช้รถยนต์ น่าอ่านมากๆ
92 สถานการณ์ เชี่ยวชาญขับรถ
1. เติมน้ำมันล้นถังไม่เป็นผลดี
ในสภาพอากาศร้อนจัดอย่าเติมน้ำมันจนล้นถัง เพราะความร้อนจะทำให้เพิ่มความดัน มีผลทำให้น้ำมันขยายตัวลื่นไหลออกจากถังเกิดอันตราย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
2. ลากเกียร์ทำให้คลัตช์เสียเร็ว
การใช้เกียร์ควรทำให้เหมาะสมและถูกจังหวะ อย่าลากเกียร์บ่อย จะทำให้คลัทช์เสียเร็วและยางหมดอายุเร็วขึ้น
3. อย่าขับรถจนน้ำมันหมดถัง
การขับรถจนน้ำหมดถัง จะทำให้เครื่องกรองน้ำมันมีโอกาสเสียได้มาก เนื่องจากตะกอนบางอย่างที่สะสมอยู่ในถังจะไปค้างที่เครื่องกรอง
4. อย่าใช้อิฐแทนแม่แรงรถ
อิฐสร้างบ้านก้อนที่แข็งที่สุดยังสามารถแตกได้ อย่าใช้รองหรือหนุนรถแทนแม่แรงต่างหาก เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
5. ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดกระจก
แอลกอฮอล์มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อโรคและยังใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เป็นแก้วหรือกระจกได้ กระจกรถของคุณที่มีคราบสกปรก จะถูกขจัดได้อย่างง่ายดายด้วยแอลกอฮอล์
6. สำรวจกระจกอย่าให้มีรอยร้าว
รอยร้าวที่กระจกเพียงเล็กน้อย จะทำให้ขยายวงกว้างไปสู่การแตกใหญ่ได้ต้องหมั่นสำรวจอยู่เสมอ การเปิดแอร์เย็นจัดในขณะอากาศภายนอกร้อนจะทำให้กระจกหดตัวอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกของกระจกได้
7. เครื่องเป่าผมก็มีประโยชน์
รถที่สตาร์ทไม่ติดอันเนื่องมาจากปัญหาความชื้นลองใช้เครื่องเป่าผมเป่าความร้อนบริเวณเครื่องยนต์ที่คิดว่ามีความชื้นจนกว่าจะแห้ง แล้วลองสตาร์ทใหม่ดูอีกครั้ง
8. การควบคุมอารมณ์
การขับรถจำเป็นที่จะต้องควบคุมอารมณ์ด้วยความอดทนยิ่งในสภาพรถติดแสนสาหัส แบบบ้านเรายิ่งต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่สวมวิญญาณร้ายขณะขับรถ ไม่ใช้วาจาหยาบคาย และอย่าพยายามสั่งสอนบทเรียนต่อผู้อื่น
9. โกรธและหงุดหงิดอย่าขับรถเด็ดขาด
อารมณ์โกรธและหงุดหงิด มีผลเสียอย่างยิ่งต่อการใช้รถใช้ถนน ความกดดันทางอารมณ์จะทำให้มีผลต่อเนื่องไปยังผู้ขับขี่รถคนอื่น และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงได้
10. อย่าตอบโต้กับผู้ขับขี่รายอื่น
หากคุณอารมณ์เสียเนื่องจากผู้ขับขี่รถคันอื่น ต้องพยายามเก็บกดอารมณ์ไม่ตอบโต้ การตอบโต้จะทำให้เกิดผลร้ายต่อเนื่อง อย่างน้อยจะทำให้เราขาดสมาธิขาดการสังเกต สุดท้ายก็ลงเอยด้วยอุบัติเหตุ เป็นไปได้น่าจะจอดรถสงบสติอารมณ์สักครู่
11. หลีกเลี่ยงการเดินทางในสภาพอากาศเลวร้าย
เรามั่นใจแค่ไหนในการขับขี่รถในสภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด ทางที่ดีควรจะงดการขับรถ หันไปใช้บริการของรถสาธารณะจะดีกว่า ทั้งนี้ต้องติดตามการพยากรณ์ของอุตุนิยมวิทยา
12. การปรับพวงมาลัย
รถรุ่นใหม่สามารถปรับแกนพวงมาลัยให้เข้ากับสภาวะร่างกายของผู้ขับขี่ได้ อย่าปรับให้พวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งที่มองแผงหน้าปัดยาก ล็อคแกนพวงมาลัยให้มั่นคงหลังจากปรับตำแหน่งจนได้ที่แล้ว ห้ามปรับพวงมาลัยในขณะรถเคลื่อนที่เด็ดขาด
13. เกียร์สูงสุด
เป็นเกียร์ที่ใช้กับอัตราเร็วสูง แต่ให้กำลังน้อยที่สุดเราจะใช้เกียร์สูงสุดกับอัตราเร็วของรถยนต์ที่แตกต่างกันได้มา คุณสามารถใช้แล่นด้วยความเร็วคงที่บนถนนทางตรง
14. อย่าให้ไฟดวงหนึ่งดวงใดขาด
การใช้สัญญาณไฟจะทำให้รถคันอื่นที่ตามหลัง หรือสวนทางเข้าใจในเจตนาของเรา แต่หากไฟสัญญาณดวงหนึ่งดวงใดขาดไป จะทำให้เป็นอันตรายแก่การใช้รถใช้ถนน ควรตรวจสอบและหาฟิวส์ หรือไฟอะไหล่ไว้ในรถบ้าง
15. ไฟเตือนภัยมีความสำคัญ
อย่าขับรถยนต์ออกไปเด็ดขาด กรณีที่มีการเตือนของไฟบนแผงหน้าปัดขึ้น เช่น ไฟเตือนความดันน้ำมันหล่อลื่น เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
16. กระพริบไฟหน้าแทนแตร
การใช้ไฟสูง-ต่ำของไฟหน้า ทำให้เกิดการกระพริบสามารถเตือนผู้ขับขี่รายอื่นด้วย ที่คาดว่าจะไม่ได้ยินเสีสยแตรจากรถของเรา
17. อย่าปล่อยเกียร์ว่างให้รถเคลื่อนลงทางลาดเองไม่ถูกต้อง
การปล่อยให้รถไหลไปเองโดยไม่ใช้การขับเคลื่อนจะทำให้ควบคุมรถยนต์ยาก โดยเฉพาะพวงมาลัยและเบรคเกียร์จะเข้ายากขึ้นอีกด้วย
18. ลดเกียร์ไม่จำเป็นต้องไล่ตามลำดับ
การลดลงเกียร์ต่ำไม่จำเป็นต้องไล่ตามลำดับ เช่น จากเกียร์ห้ามาเกียร์สาม จากเกียร์สามมาเกียร์หนึ่ง เช่นนี้ จะทำให้เรามีเวลามองถนน และจับพวงมาลัยได้นานขึ้น
19. ใกล้ทางแยกอย่าเปลี่ยนเลนกะทันหัน
ต้องตัดสินใจให้ดีว่าคุณกำลังจะไปทางไหน ซ้าย-ขวา หรือตรง อย่าตัดเลนซ้ายมาขวา หรือขวามาซ้าย บริเวณใกล้ทางแยกจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ถูกตำรวจจับแน่นอน
20. จะไม่มีการชนท้ายรถคนอื่นเด็ดขาด
ไม่ขับชิดคันหน้าเกินไปหรือกะระยะการทำงานของเบรคได้ถูกต้อง
21. สิ่งกีดขวางกลางถนน
บังเอิญสิ่งกีดขวางอยู่ในช่องจราจรของเรา ตามหลักเราต้องให้รถยนต์วิ่งสวนทางมาผ่านไปก่อน กรณีสิ่งกีดขวางอยู่ฝังตรงข้ามอย่าผลีผลามเหยียบคันเร่งเลยไป เพราะรถคันสวนทางเราอาจไมยอมหยุดรถและหลบสิ่งกีดขวางออกมาในเลนของเราหน้าตาเฉย
22. สิ่งกีดขวางอยู่บนเนิน
นับว่าเป็นเรื่องท้าทายให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้เบรคจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาจัดการแก้ปัญหานี้
23. แซงรถที่กำลังวิ่ง
ต้องเข้าใจว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วหนึ่งหากเราคิดจะแซง แน่นอนว่าความเร็วของรถเราต้องมากกว่า เมื่อหักลบกับความเร็วคันหน้าก็จะได้ระยะทางที่ต้องใช้ในการแซง นั่นก็คือ แซงรถกำลังวิ่งครั้งหนึ่งต้องใช้เวลามากกว่าปกติ ทางที่ดีไม่แน่ใจอย่าแซงจะดีกว่า
24. แซงระทางชัน
หากเป็นรถที่บรรทุกของหนักและวิ่งช้ากว่าเรา การแซงจะใช้เวลาสั้นลงอย่างมาก แต่พึงระวังรถสวนเลนตรงข้าม ซึ่งจะวิ่งลงทางลาดด้วยความเร็วสูง
25. อย่าเร่งรถหากกำลังถูกแซง
จะเป็นการผิดมารยาทอย่างยิ่ง หากรถของคุณที่กำลังถูกแซงเร่งเครื่องหนีด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นว่ารถคันขวาของคุณกำลังจะถูกแซง ต้องชะลอความเร็วรถของคุณ เพื่อให้รถของเขาแซงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
26. ขับรถขึ้นเขา
กรณีขับรถขึ้นเขาหรือเนิน แน่นอนว่ารถของคุณต้องใช้กำลังเพิ่มมากขึ้น การขับต้องเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำกว่าเดิมเพื่อรักษาความเร็วของรถ การเปลี่ยนเกียร์ต้องเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพราะขณะที่เรายกเท้าออกจากคันเร่งแล้วเหยียบคลัตช์เปลี่ยนเกียร์
27. ขับรถลงทางลาด
ขึ้นเนินใช้เกียร์ต่ำเพื่อรักษาความเร็วของรถ ลงทางลาดก็ต้องใช้เกียร์ต่ำ เพื่อลดอัตราเร็วของรถแทนการใช้เบรค เพราะหากใช้เบรคในทางลาดมากไป จะทำให้เบรคลื่นและจับไม่อยู่เนื่องจากมีความร้อนสูง
28. ออกตัวของรถขึ้นทางชัน
ผู้ขับขี่มือใหม่มักมีปัญหาการออกตัวขึ้นเนินแล้วรถเคลื่อนที่ถอยหลัง ต้องฝึกให้มีความสามารถในการใช้คันเร่งคลัตช์และเบรคมือพร้อมกัน โดยใช้เท้าซ้ายกดแป้นคลัตช์ลง โยกคันเกียร์จากเกียร์ว่างไปยังเกียร์หนึ่ง ใช้เท้าขวากดแป้นคันเร่ง โดยกดให้มากกว่าการออกตัวบนพื้นระดับ และต้องกดอย่างสม่ำเสมอตามปริมาณชองความชัน
29. จดรถหันหน้าขึ้นเนิน
หลีกเลี่ยงได้ควรหลีก แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดให้ชิดขอบขวาทางด้านซ้ายมากที่สุด หมุนพวงมาลัยให้ล้อหันไปทางขวาป้องกันการเคลื่อนที่ถอยหลังเป็นเกียร์หนึ่งและใช้เบรคมือให้มั่นคง
30. จอดรถหันหน้าลงเนิน
หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายให้ล้อหันเข้าหาขอบทางเท้า ป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่เดินหน้าใส่เกียร์ถอยหลังและเบรคมือไว้
31. ทางโค้งนะ
ให้สังเกตป้ายจราจรว่า โค้งไปทางขวาหรือทางซ้าย การเข้าโค้งให้ใช้เบรคเท้าควบคุมความเร็วของรถ เลือกเกียร์ให้เหมาะสมใช้คันเร่งอย่างระมัดระวังและบังคับรถให้ชิดเส้นแบ่งถนนทางขวาไว้จนตลอดทางโค้ง
32. ระวังหลุดโค้ง
ปรกติทางโค้งจะมีทั้งป้ายจราจรเตือนล่วงหน้าและมีเสาหลักปักตามระยะโค้ง แต่หากผู้ขับขี่ไม่ควบคุมความเร็วเข้าโค้งด้วยความโค้ง โค้งธรรมดาก็จะกลายเป็นโค้งหักศอกให้ได้รับอันตรายให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ
33. ความดันลมของยางสัมพันธ์กับพวงมาลัย
ยางรถยนต์จะต้องมีความดันลมในปริมาณพอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไปถ้ามากไปทำให้ยากสึกหรอ ไม่ยึดถนนและลื่นไถลทางโค้งแต่หากความดันลมยางน้อยไปจะทำให้ยางร้อนจัดยางไม่เกาะถนนและสึกหรอง่าย สังเกตว่าความดันลมยางน้อยไปเมื่อพวงมาลัยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
34. เบรคบนทางโค้งอันตราย!
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคบนถนนทางโค้ง เพราะจะทำให้รถยนต์เสียการทรงตัวและมีแนวโน้มลื่นไถลหลุดโค้งออกไป
35. รถใหญ่บังรถเล็ก
รถใหญ่ที่วิ่งตามทางแยกอาจบังรถเล็กอีกคันที่กำลัง แซงขึ้นมา หากเราตัดสินใจเลี้ยวออกจากทางแยกแบบปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ระวังให้ดี อาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
36. ถอยหลังทางไหนหมุนพวงมาลัยทางนั้น
การถอยหลังรถแรก ๆ อาจจะดูไม่ถนัด ต้องอาศัยประสบการณ์ โดยมีเคล็ดลับอยู่ว่าจะให้ส่วนท้ายของรถหันไปทางไหนก็หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น ส่วนผู้ขับก็เอี้ยวตัวไปดูข้างหลังโดยมือถือพวงมาลัยมือหนึ่ง อีกมือพาดบนพนักพิงผู้โดยสาร
37. ข้อห้ามของการถอยหลัง
อย่าใช้วิธีกลับรถโดยการถอยหลังจากถนนซอยสู่ถนนใหญ่ เมื่อไม่แน่ใจว่าปลอดภัย อย่าถอยหลังและอย่าถอยหลังเป็นระยะทางไกล ๆ โดยไม่จำเป็น
38. ไฟเขียวให้รีบไปแน่หรือ
การขับรถบริเวณทางแยกที่มีไฟจราจรกำกับและเป็นไฟเขียวอยู่ ไม่ตะบี้ตะบันเหยียบคันเร่งให้ทันสัญญาณไฟ ควรสังเกตดูว่าไฟเขียวนั้นนานแค่ไหน แล้วสังเกตดูว่ารถจากถนนฝั่งหนึ่งมีแถวยาวเท่าใน และควรขับรถเว้นระยะกับรถคันหลังดูว่าหากเบรคกะทันหัน กรณีไม่ทันไฟเขียว แล้วคุณจะไม่ถูกชนท้าย
39. รีบร้อนไปไหนยังไฟแดงอยู่เลย
ผู้ขับขี่หลายรายต้องเสียอกเสียใจทุกวันนี้ เพราะประสบอุบัติเหตุ เนื่องจากชอบออกรถในขณะที่สัญญาณไฟยังเป็นไฟแดงหรือเหลืองอยู่ โดยคาดเดาล่วงหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจร ในขณะที่รถอีกฝั่งยังไฟแดงอาศัยลูกติดพันจากไฟเขียว ผลก็คือ ประสานงากันจังเบ้อเริ่ม เดือดร้อนกันทั่วหน้า
40. ถูกจี้ท้ายและเตือนด้วยไฟสูงต่ำ
หลายคนคงเคยเจอนักเลงกลางถนน โดยขับขี่อยู่ ดี ๆ ก็มีรถคันอื่นมาจี้ท้ายแถมใช้ไฟสูงต่ำยิงใส่ท้ายรถ อย่าตกใจและห้ามตอบโต้เด็ดขาด เพียงแต่ค่อย ๆ เปลี่ยนช่องจราจรไปทางซ้าย เพื่อให้เกิดช่องว่างให้รถคันหลังผ่านไปได้
41. กระจกหน้ารถต้องสะอาดอยู่เสมอ
กระจกหน้ารถที่สะอาด เมื่อเวลาฝนตก ใบปัดน้ำฝนจะทำความสะอาดได้เร็วมากขึ้นมาก ควรลดอัตราเร็วลงหากอุปกรณ์ปัดน้ำฝนทำงานไม่ทันกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
42. ไม่แตะเบรคขณะรถลื่นไถล
กรณีรถขาดการทรงตัว เมื่อเจอสภาพถนนมีน้ำมันเกลื่อนกลาดอย่าตกใจยกเท้าออกจากคันเร่งและหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางเดียวกับทิศทางการลื่นไถลโดยห้ามแตะเบรคโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
43. อย่าเพิ่งดับไฟขณะรุ่งสาง
การรีบดับไฟเมื่อขับรถตอนรุ่งสางไม่เป็นผลดีต้องให้แน่ใจว่าคุณสามารถมองเห็นถนนและผู้ขับขี่คันอื่นอย่างชัดเจนเสียก่อนจึงค่อยดับไฟ กรณีรถมีสีคล้ำ ดำ หรือน้ำเงิน ซึ่งไม่ค่อยสะท้อนแสงต้องเปิดไฟแต่เนิ่น ๆ เมื่อเริ่มจะมือและปิดไฟช้ากว่าคันอื่นเมื่อเวลารุ่งสาง
44. การใช้น้ำมันหล่อลื่น
การเติมน้ำมันหล่อลื่นต้องรักษาปริมาณให้ถึงขีดกำหนดของรถเสมอ น้ำมันหล่อลื่นเป็นสารอันตรายต่อผิวหนัง ควรล้างมือทันทีและเก็บภาชนะบรรจุน้ำมันให้ห่างไกลจากมือเด็ก
45. รถเสียระวังเสียงรถ
เมื่อรถคุณเกิดเสียกลางทางแล้วมีอาสาสมัครเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ หากคุณไม่แน่ใจพฤติกรรมอย่าลงจากรถเด็ดขาด ให้ผู้ผ่านกระจกแล้วล็อคประตูไว้วานให้ช่วยไปโทรศัพท์หาผู้ที่คุณต้องการจะติดต่อด้วยจะดีที่สุด
46. อุปกรณ์พยาบาลที่ควรจะมีในรถ
เพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉน คุณควรมีสิ่งเหล่านี้ไว้ในรถ พลาสเตอร์, ผ้าพันแผล ขวดพลาสติคใส่น้ำสะอาดไว้ กรรไกร คีม ผ้าพันแผลแบบยืดหดได้ โคมไฟฟ้า เหรียญ(สำหรับโทรศัพท์)
47. เด็กเล็กก็ควรคาดเข็มขัด
อุบัติเหตุหลายครั้งเด็กเล็กต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจำนวนมาก ในเมืองนอกได้ออกแบบที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กไว้อย่างมาตรฐาน โดยเฉพาะมีเข็มขัดนิรภัยให้เด็กคาดเข็มขัดด้วย สำหรับเมืองไทยที่ยังไม่มีที่นั่งเด็กแพร่หลาย ก็อาศัยพี่เลี้ยงหรือผู้โดยสารไปด้วยคอยดูแล อย่าปล่อยให้เด็กเป็นอิสระเด็ดขาด
48. ทำยังไงเมื่อกระจกหน้ารถแตกละเอียด
อุบัติเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้เมื่อรถแล่นด้วยความเร็วสูง ต้องควบคุมสติให้ได้ผ่นอคันเร่งหาที่จอดอย่าปลอดภัย หากระดาษหนังสือพิมพ์มาคลุมหน้าปัดรถและกระโปรงรถใกล้กระจกหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เศษกระจกปลิวเข้ามา แล้วจึงหาอะไรมาค่อย ๆ ทุบกระจกที่แตกค้างออก แล้วขับรถไปหาอู่ซ่อมโดยเร็ว
49. เบรคจม
อุบัติเหตุบางครั้งเกิดจากการที่อยู่ดี ๆ คันเบรคก็จมซึ่งทำให้การหยุดรถทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เป็นเช่นนี้ให้ลดความเร็วลงค่อย ๆ ปั๊มเบรคสองสามครั้งเพื่อให้ความร้อนไปไล่ฟองอากาศและความชื้นจากนั้นจึงค่อย ๆ ขับไปด้วยควมเร็วเป็นปกติ
50. น้ำมันท่วม
รถที่จอดนิ่งอยู่สตาร์ทหลายทีก็ไม่ติด แถมยังได้กลิ่นฉุนของน้ำมันแสดงว่าน้ำมันได้ท่วมคาร์บูเรเตอร์ แล้วควาคอยอย่างน้อยสิบนาที เพื่อให้น้ำมันระเหยแล้ว เริ่มติดเครื่องใหม่อีกครั้ง
51. อาการแบตเตอรี่หมด
อีกกรณีที่สตาร์ทเครื่องรถไม่ติด แล้วไฟหน้ารถไม่สว่างให้สันนิษฐานได้ว่าแบตเตอรี่หมดให้ชาร์จใหม่ได้ทันที หากทำไม่เป็นก็ตามช่างหรือติดต่อศูนย์ที่คุณซื้อรถก็ได้
52. ความร้อนสูงผิดปกติ
สังเกตุได้จาก เข็มชี้ระดับความร้อนที่หน้าปัดขึ้นสูงกว่าธรรมดา อย่าขับรถต่อไป เพราะจะทำให้รถได้รับความเสียหายร้ายแรงได้ ต้องหาที่ร่มจอดรถ เปิดฝากระโปรงทิ้วไว้รอจนกว่าเครื่องยนต์จะเย็นลงในระดับปรกติจึงค่อยเดินทางต่อไป กรณีที่เกิดจากน้ำมในหม้อน้ำพร่องไป ต้องรออย่างน้อย 10 นาทีถึงจะเปิดฝาหม้อน้ำเติมน้ำได้
53. เบรคเสียกะทันหัน
เบรคที่ถูกใช้มากในบางกรณี อาจทำให้เสียหรือผ้าเบรคสึกมีผลให้รถเบรคไม่ค่อยอยู่ วิธีแก้ไขคือ ให้จอดรถชั่วคราวเพื่อให้เบรคพักการทำงานระยะหนึ่ง
54. หัดเปลี่ยนยางไว้บ้างก็ดี
กรณีที่เราขับรถออกทางไกลที่เปลี่ยว ๆ ห่างจากปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วเกิดยางรั่วยางแตก การเปลี่ยนยางอะไหล่ต้องใช้ความสามารถของตนเอง การศึกษาวิธีการเปลี่ยนจากคู่มือ และหัดลองเปลี่ยนขณะจอดรถอยู่ให้คล่อง มิฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว มีหวังคุณได้นอนหง่าวอยู่ในรถคนเดียวทั้งคืนแน่
55. ฟิวส์ซองบุหรี่
ระบบไฟฟ้าของรถใช้ฟิวส์เป็นตัวเชื่อมไฟ หากฟิวส์เกิดขาดกะทันหัน แก้ปัญหาได้โดยใช้กระดาษตะกั่วห่อซองบุหรี่หรือกระดาษห่อช็อกโกแล็ตมาหุ้มฟิวส์นั้นแล้วนำไปใช้ต่อฟิวส์นั้นก็จะทำงานได้ชั่วคราว
56. ยางโดนตะปูเจาะ
ประการแรกให้เปลี่ยนยางอะไหล่ทันที ถ้าไม่มียางอะไหล่ สำรวจยางเส้นนั้นว่ามียางในหรือไม่ ประการสำคัญไม่ควรดึงตะปูออกก่อนจะทำให้เวลาขับเคลื่อนรถ ยางจะแตก ระเบิดได้ ควรขับออกไปช้า ๆ อย่างระมัดระวังประคับประคองให้ไปถึงอู่หรือปั๊ม ทำการปะให้เรียบร้อย
57. ตรวจสนิมรถด้วยแม่เหล็ก
รถปัจจุบันส่วนใหญ่ตัวถังจะฉาบด้วยยากันสนิม ซึ่งเป็นฉนวน บริเวณที่กระเทาะแล้วเกิดสนิม จะทำให้เกิดแรงดึงดูดกับแม่เหล็ก
58. เรื่องของสีรถ
หากสีรถเกิดถลอกและเป็นสนิม หรือมีปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับสีรถไม่ควรลงมือแก้ไขเอง เช่น เช็ด ขูด ควรนำรถเข้าอู่ ให้ช่างที่มีความชำนาญดูแล มิฉะนั้นจะทำให้เกิดรอยด่างของสีรถได้
59. รถติดอย่าหยุดติดรถ
ปัญหารถติดบ้านเราเลี่ยงกันไม่พ้น ขณะขับรถไปต่อคันที่หยุดข้างหน้าควรเว้นช่วงไว้ให้ห่างพอที่รถจะเคลื่อนตัวไปซ้ายขวาได้ เป็นการเผื่อเอาไว้หากเกิดอุบัติเหตุรถชนท้ายด้านหน้ารถจะได้ไม่ถูกอัดก๊อปปี้เสียหายทั้งรถและชีวิต
60. ยางอะไหล่ต้องพร้อมเสมอ
รถเกือบทุกคันก็มักมียางอะไหล่ติดไว้เสมอ อย่าลืมที่จะตรวจสอบสภาพของยางอะไหล่บ้าง เป็นต้นว่าลมยางต้องมีความดันมาตรฐานเสมอ ไม่อ่อนจนเกินไป เพราะหากเกิดฉุกเฉินขึ้นมา ยางอะไหล่รั่วหรือแตก สถานการณ์จะเลวร้ายไปกันใหญ่
61. กรวยเติมน้ำมันฉุกเฉิน
น้ำมันแห้งสนิทกลางทาง ซื้อน้ำมันใส่แกลลอนมาแต่ดันลืมติดกรวยมาด้วย ไม่ยากเลย เพียงหาถ้วยใส่น้ำอัดลมพลาสติค ผ่าแล้วม้วนเป็นรูปกรวยมาเป็นที่เติม หรือใช้กระดาษทบกันหลาย ๆ ชั้น มาพับเป็นรูปกรวยก็ได้พอจะแก้ขัดไปครั้งหนึ่ง
62. รอยเปื้อนกระจกหน้ารถจากตัวแมลงหรือน้ำที่กระเด็นใส่
แก้ไขด้วยใช้ฟองน้ำชุปเบ็คกิ้งโซดา แล้วเอาฟองน้ำสะอาดเช็ดกระจกจนแห้ง ผงเบ็คกิ้งโซดาจะไม่ทำให้กระจกเป็นรอยใช้ทำความสะอาดไฟหน้าไฟท้ายและกันชนได้
63. ยางรถยนต์เก่าก็มีประโยชน์
ยางรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้แล้ว นำไปผูกแขวนไว้ในโรงรถตรงที่หัวรถจะแล่นเข้าจอด ยางจะเป็นกันชนเมื่อเวลาเราถอยรถเข้าเก็บในที่จอดรถ
64. ตรวจเบรคก่อนจะไม่ได้เบรค
จะรู้ว่าเบรคใช้งานได้หรือไม่ ก็ต้องออกรถเคลื่อนที่ ซึ่งอันตรายมากหากรถไปอยู่บนท้องถนน แต่มีวิธีตรวจสอบขณะรถอยู่กับที่ โดยลองเหยียบเบรคประมาณ 1 นาที เมื่อเริ่มติดเครื่องยนต์ หากแป้นเหยียบเบรคอยู่ในตำแหน่งใกล้ติดพื้น เบรคของเรามีปัญหาแน่ ๆ เข้าอู่แก้ไขก่อนจะดีที่สุด
65. อย่าปล่อยให้โรงรถมีกลิ่นอับ
มีหลายบ้านที่ทำโรงเก็บรถเป็นโรงทึบ กรณีนี้หากโรงรถมีกลิ่นอับให้ใช้ถุงผ้าใส่ถ่านไม้ผูกให้แน่น นำไปแขวนไว้จะช่วยขจัดกลิ่นเหม็นได้อย่างดี
66. เทคนิคล้างรถไม่ต้องเช็ด
หลังจากล้างรถแล้ว น้ำสุดท้ายที่จะล้างให้ผสมน้ำยาล้างจานลงในถังด้วย ใช้ฟองน้ำชุบถูให้ทั่วคันรถทิ้งไว้ให้แห้งเองไม่ต้องใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหมือนวิธีเก่า เท่านี้รถก็จะขึ้นเงาเอง
67. กลิ่นเหม็นอับในรถยนต์
ขจัดให้หายได้ โดยใส่เบ็คกิ้งโซดาลงในที่เขี่ยบุหรี่ของรถ 1 ช้อนโต๊ะ หลังจากทำความสะอาดแล้ว หรืออาจใช้เบ็คกิ้งโซดาเช็ดถูเบาะ พรม ให้สะอาดได้ด้วย เบ็คกิ้งโซดาจะช่วยขจัดหลิ่นไม่ดีออกได้หมด
68. กำจัดแมลงที่ติดฝาครอบรถยนต์และตะแกรงหน้ารถ
ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้สเปรย์พ่นยุงพ่นที่ฝาครอบรถและตะแกรงหน้ารถตัวแมลงเล็ก ๆ ก็จะหลุดออกง่าย และไม่ทำลายความเป็นเงาของสีรถ
69. ขจัดคราบน้ำมันบนตัวถังรถ
ใช้ฟองน้ำจุ่มลงในน้ำผสมเบ็คกิ้งโซดาทาตรงบริเวณที่มีคราบน้ำมันจับ คราบน้ำมันจะหลุดออกอย่างง่ายดายไม่กระทบกระเทือนสีรถด้วย
70. ยางมะตอยติดล้อรถ
หากคุณเผลอไผลหรือหลบเลี่ยงไม่ได้ ต้องขับรถเข้าไปในบริเวณที่มีการซ่อมถนนอยู่และมีการราดยางมะตอยใหม่ ๆ ยางมะตอยหรือน้ำมันดิบที่เปรอะเปื้อนล้อรถและตัวถัง ให้ใช้เบ็คกิ้งโซดาละลายรอยเปื้อนต่าง ๆ ก็จะออกได้
71. คลื่นรบกวนวิทยุ
เกิดขึ้นหลายกรณี เพราะรถของเราเคลื่อนที่ตลอดเวลา โอกาสที่จะจับให้คลื่นคงที่คงเป็นไปได้ยาก แต่อาจเกิดจากเสาอากาศวิทยุเป็นสนิม คงต้องหมั่นดูแลโดยใช้น้ำมันหล่อลื่นเช็ดด้วยความระมัดระวังให้ทั่ว วิทยุก็อาจมีคลื่นรบกวนน้อยลง ฟังดูชัดขึ้นก็ได้
72. อย่าใช้น้ำทำความสะอาดไฟรถ
น้ำจะทำให้เกิดความชื้นและทำให้เกิดสนิม เป็นปัญหาต่อเนื่องให้เกิดไฟช็อต จึงควรใช้เมทิลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแทนซึ่งจะขจัดคราบสกปรกและรอยต่าง ๆ ได้ดีกว่าอีกด้วย
73. บำรุงรักษาแอร์รถ
รถที่จอดไว้เฉย ไม่ติดเครื่องนานหลายสัปดาห์ นอกจากจะมีปัญหาที่เครื่องยนต์ แอร์ก็มีปัญหาด้วย ควรเปิดแอร์ทิ้งไว้บ้างอย่างน้อย 10 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำยาทำความเย็นไหลแยกออกมาจนต้องเสียค่าใช้จ่ายเติมน้ำยาใหม่
74. ฝาน้ำมันควรใช้แบบที่ล็อคได้
เป็นการป้องกันการที่ผู้อื่นจะนำรถของคุณออกไปใช้การล็อคฝาน้ำมันจะทำให้เติมน้ำมันไม่ได้ เมื่อน้ำมันหมดถัง ขโมยไปก็ไม่มีประโยชน์
75. ท่อไอเสียชำรุด
มักเกิดขึ้นบ่อย ๆ เมื่อออกรถไปได้ขณะหนึ่ง แล้วท่อไอเสีสยขาดครูดไปกับท้องถนน ต้องซ่อมเดี๋ยวนั้นโดยผูกมัดด้วยลวดให้ใช้งานได้ชั่วคราวก่อน อย่าใช้เชือกผูกเด็ดขาด เพราะความร้อนจะทำให้เชือกขาดอีกครั้ง
76. ระดับของน้ำมันเครื่อง
ควรเติมให้ต่ำกว่าระดับขีดของด้ามวัดเล็กน้อย หากเครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ มิฉะนั้นหากเมื่อคุณติดเครื่อง น้ำมันเครื่องอาจขยายตัวล้นออกมาได้
77. ป้องกันสีรถจากโรงรถ
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ผู้ขับขี่ที่มีโรงรถแคบ ๆ ใหญ่กว่ารถไม่เท่าไหร่ให้มีฝีมือยังไงสักวันก็ต้องพลาดเฉี่ยวขูดสีรถถลอกทางที่ดีควรหาโฟมบาง ๆ มาติดกาวข้างกำแพงรถไว้สองข้าง ป้องกันไว้ดีกว่าแก้
78. ดินโคลนเจ้าปัญหา
อย่าปล่อยให้ดินโคลนติดอยู่กับรถตลอดเวลา ควรเอาใจใส่ทุก ๆ จุดแม้ใต้ท้องรถที่คิดว่าดินโคลนจะไปจับเกาะติดไว้ ต้องล้างและฉีดด้วยสายยางออกให้หมดเพราะดินโคลนจะทำให้รถเป็นสนิมได้
79. ขัดสีรถให้เงางามอยู่เสมอ
รถที่ซื้อมาใหม่ ๆ สีเงางามน่าใช้ ขับไประยะเวลาหนึ่งสารเคมีที่ใช้ล้าง และแสงแดดจะทำให้สีของรถหมองไปควรนำรถไปขัดสีตามอู่หรือศูนย์อย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง สีของรถคุณก็จะเงางามอยู่เสมอ
80. ดอกยางมาตรฐาน
ดอกยางที่ดีที่ถือว่าเกาะถนนได้เยี่ยม ต้องมีขนาดอย่างน้อย 3-5 มม.หากน้อยกว่านี้ถือว่าใช้ไม่ได้และผิดกฏหมาย เพราะจะจับถนนไม่ได้มีผลให้ตอนเบรคมไม่สนิทอยู่กับที่
81. ถนอมยางรถให้ใช้งานได้นาน
ล้อรถสามารถสลับตำแหน่งกันได้ ควรเปลี่ยนตำแหน่งของมันจากข้างหน้ามาข้างหลังทุก ๆ 10,000 กม. แต่ไม่ควรสลับจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งจะเกิดอันตรายเวลารถเคลื่อนที่เร็ว ๆ ได้
82. ล้างรถอาทิตย์ละครั้ง
ผู้ใช้รถบางคนมีปัญหากับการล้างรถ ไม่มีเวลาบ้างขี้เกียจบ้าง ควรล้างรถอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพื่อขจัดเศษดินและหินที่เกาะติดกับรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถอยู่บริเวณที่อยู่ในเขตอุตสากรรมหรือใกล้ชายทะเลควรล้างบ่อยครั้งขึ้น เพราะเกลือและความเค็มจากชายทะเลจะจับผิวของรถทำให้รถเสียหายเร็วขึ้น
83. ขจัดกลิ่นรถใหม่
รถใหม่ป้ายแดงคุณอาจจะรำคาญกลิ่นพลาสติกที่เหม็นรุนแรงแก้ปัญหาได้โดยใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำมาชโลมให้ทั่วภายในรถแล้วเช็ดให้สะอาด
84. คราบสติ๊กเกอร์บนกระจก
รถบ้านเราชอบตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ตามกระจกหลังหากต้องการเลาะออกให้เป็นสภาพดังเดิม ใช้มีดโกนหนวดบางมารีดเลาะออก แล้วใช้สำลีชุบน้ำยาทาเล็บมาล้างคราบสติ๊กเกอร์ ครู่เดียวก็จะละลายออกหมด จากนั้นจึงใช้เมทิลแอลกอฮอล์เช็ดกระจกอีกทีแค่นี้ก็เรียบร้อย
85. ป้องกันขนสุนัขร่วงในรถ
หากคุณมีความจำเป็นต้องพาสุนัขไปกับคุณด้วยการใช้เสื้อผ้าสำหรับสุนัขที่มีขายตามท้องตลาด จะแก้การใช้เสื้อผ้าสำหรับสุนัขที่มีขายตามท้องตลาด จะแก้ปัญหาไม่ให้ขนสุนัขร่วงลงรถชั่วขณะ แม้มันจะรำคาญบ้างก็อย่าไปยอมถอดให้มัน
86. กุญแจสำรอง
ไม่มีใครที่ขับรถแล้วไม่เคยลืมกุญแจไว้ในรถ กุญแจสำรองจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรนำติดตัวไว้อยู่เสมอ เมื่อเวลาคุณล็อกหรือทำกุญแจหายก็จะไม่เดือดร้อน
87. ปล่อยให้เขาแทรกบ้างเพื่อน้ำใจ
การขับรถบนท้องถนน โดยเฉพาะบริเวณที่มีรถติดการขอเข้าแทรกของรถคันอื่นข้างหน้าเราจะเจอบ่อยครั้งหากเราอารมณ์เย็นสักหน่อย พยายามมองโลกในแง่ดีปล่อยให้เขาแทรกเข้าไปบ้าง ก็จะทำให้การใช้ถนนของคุณวันนั้นราบรื่น ไม่ต้องคอยฟังเสียงอาฆาตมาดร้ายจากรถคันอื่นให้เสียอารมณ์เปล่า ๆ
88. ขจัดกลิ่นของเบาะหนัง
เบาะหนังในรถของคุณใช้ไปนาน ๆ อาจมีกลิ่นไม่ดีออกมาให้ผสมโซดาไบคาร์บอเนตหนึ่งช้อนโต๊ะกับน้ำ 500 มล. มาทำความสะอาดให้ทั่วจะช่วยลดกลิ่นเบาะให้ทุเลาลง
89. หม้อน้ำรั่วกะทันหัน
การแก้ไขหม้อน้ำรั่วแบบชั่วคราว โดยการหาอะไรก็ได้มาอุดรอยรั่วไม่ให้น้ำรั่วซึมออกมา โดยใช้คลั่ง ดินน้ำมันหรือหมากฝรั่งที่เราเคี้ยวแล้วก็ได้
90. มีปัญหากับจราจร
การใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหากับตำรวจจราจรนั้นยากมาก เมื่อถูกเรียกให้รถคุณหยุดข้างทาง และกำลังจะแจ้งข้อกล่าวหา คุณไม่ควรแสดงอาการต่อต้านโต้เถียงรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ควรพูดคำสุภาพควบคุมมารยาทเอาไว้ เหตุร้ายอาจกลายเป็นดีได้
91. ทำความสะอาดเบาะผ้ากำมะหยี่
รถสมัยนี้เฟอร์นิเจอร์ข้างในใช้วัสดุหลายชนิด เบาะนั่งเป็นผ้ากำมะหยี่เวลาทำความสะอาด ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่น ไม้กวาดหรือไม้ขนไก่ทำความสะอาดได้ไม่หมด
92. ลบรอยขีดข่วนบนกระจกหน้ารถ
ใช้บราสโซขัดทองเหลืองหรือยาสีฟันทาให้ทั่วรอยขีดข่วน แล้วใช้ผ้าแห้งถูออก อาจต้องทำหลายครั้งจะดูดีขึ้น จากนั้นก็ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะได้กระจกหน้ารถที่ดูใสแวววาว

ที่มา หนังสือ 100 สถานการณ์ เชี่ยวชาญขับรถ (สำนักพิมพ์บูรพา)




 

Create Date : 11 มีนาคม 2551    
Last Update : 11 มีนาคม 2551 23:09:58 น.
Counter : 417 Pageviews.  

Blessing



1. อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
"กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก"

คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส "จิตประภัสสร" ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี
"แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข"

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา

"แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน"
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น "ไฟสุมขอน" (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี "แผ่เมตตา" หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา
แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง

90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ "ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น"
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ "อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน"
"อยู่กับปัจจุบันให้เป็น" ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

"ตัณหา" ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ
ธรรมชาติของตัณหา คือ "ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม"
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้
ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า "เิกิดมาทำไม" "คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา "แก่น"
ของชีวิตให้เจอ

คำว่า "พอดี" คือ ถ้า "พอ" แล้วจะ "ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข




 

Create Date : 11 มีนาคม 2551    
Last Update : 11 มีนาคม 2551 22:54:43 น.
Counter : 394 Pageviews.  

สรุปคำว่า “ เสียดาย ” ของอดีตมนุษย์เงินเดือน

บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย” ของรุ่นพี่หรืออดีตมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 1)


คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมาณเพียงใด คนที่ไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีกครั้ง

แต่.....เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ ผมจึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆอดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นที่ผ่านๆมาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก “ เสียดาย ” อะไรบ้าง หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา

วันนี้จึงอยากจะสรุปคำว่า “ เสียดาย ” ของอดีตมนุษย์เงินเดือน เพื่อฝากเตือนใจมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันดังนี้

เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน

ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก เจ้าใจจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆบางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน(เพราะยังไม่ได้กลับบ้านหรือที่พัก) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆแทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว

เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ

ความเสียดายข้อนี้ผมเชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน(เหตุผลเดิมคือรอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้(เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆก็ได้

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ๆสักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว

มาติดตามกันต่อไปในวันพุธหน้านะครับว่ายังมีเรื่องอะไรอีกบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนรู้สึก “ เสียดาย" ” กับชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนในอดีตที่ผ่านมา ความเสียดายนั้นจะตรงกับชีวิตจริงของท่านหรือไม่ และควรจะทำงานอย่างไรจึงจะไม่รู้สึก “ เสียดาย ” เหมือนอดีตมนุษย์เงินเดือนหลายๆคน



บทเรียนจากคำว่า “ เสียดาย” ของรุ่นพี่หรืออดีตมนุษย์เงินเดือน (ตอนที่ 2)

วันนี้เรามาดูกันต่อนะครับว่ามนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆและอดีตมนุษย์เงินเดือนเขารู้สึกดายอะไรบ้างในชีวิตของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา

เสียดายที่มัวแต่ละเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน

มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหาคนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย

ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตเพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น

เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ

“ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี ” เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ

เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย

มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว

ถ้าย้อยเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร

เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป

คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอี่นๆ(แถมเงินเดือนเดิมสูงอีกต่างหาก)

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า "เสียดาย" ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆหรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากจะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆหรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2550 23:02:39 น.
Counter : 627 Pageviews.  

1  2  3  

bonzai_s
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Hakeem Saiwaree

Create Your Badge : Online รวมทั้งหมด คน <
Friends' blogs
[Add bonzai_s's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.