Bancha
Group Blog
 
All blogs
 

Netday เดินหน้าจัด Com Camp สานฝันเด็กไทยใช้อินเทอร์เน็ตเท่าเทียม



Netday เดินหน้าจัด Com Camp สานฝันเด็กไทยใช้อินเทอร์เน็ตเท่าเทียม



จากอดีตที่ผันผ่านสู่กาลเวลาปัจจุบัน ไอทีเริ่มเป็นที่ยอมรับ และเข้าถึงกลุ่มคนอย่างแพร่หลาย จนเกิดองค์กรขึ้นมาต่างๆนานา รวมไปถึงการจัดตั้ง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า กระทรวงไอซีที แต่กระนั้นยังมีอีกองค์กรหนึ่ง ที่ถือกำเนิดขึ้นมา ในยุคที่การสื่อสารบนโลกไซเบอร์เริ่มเข้ามาใหม่ๆ “มูลนิธิอินเทอร์เน็ตเพื่อโรงเรียนและชุมชน” หรือ เน็ตเดย์ กว่า 7 ปีที่ร่วมออกเดินทางและสร้างเสริมประสบการณ์ จนบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ชั้นดีได้อย่างมากมาย ตามโรงเรียนหรือสถาบันที่ขาดโอกาสให้ได้มีความเท่าเทียมกับโรงเรียนที่มีโอกาส

ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในการเรียนการสอนและ การพัฒนาชุมชน การเพิ่มทักษะและพัฒนาความสามารถของเด็กนักเรียน การส่งเสริมการรวมตัวของบุคลากรในรูปของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวัฒนธรรมไทยในระดับชุมชน ในปี 2548 นี้ ทางเน็ตเดย์ได้มีการจัดงาน “Netday Computer camp 2005” ที่แบ่งกิจกรรมออกเป็น 4 ค่ายใน 4 ภาค เพื่อให้แต่ละโรงเรียนได้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้และภาคกลาง

นายสมเกียรติ ปัทมากรโกมล ผู้จัดการมูลนิธิเน็ตเดย์ เปิดเผยว่า แรกเริ่มเน็ตเดย์ เป็นโครงการที่ทำหน้าที่ ช่วยติดตั้งอุปกรณ์ ให้กับโรงเรียนที่ขาดโอกาส แต่ปัจจุบันได้มีการ ประชุมและได้ปรับเปลี่ยนเป็น การเน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการ ให้แก่ครูอาจารย์ และนักเรียนโดยจะเน้นความยั่งยืน เกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต ที่จะนำไปสู่ความเสถียร (Stable)

สำหรับการจัดกิจกรรม Netday Computer Camp ในปี 2548 นี้ ได้เดินทางเข้าสู่ครั้งที่ 2 แล้ว และได้มุ่งสู่ภาคเหนือ ณ โรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม จ.เชียงใหม่ โดยมีโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 9 โรงเรียน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอีก 1 แห่ง หลังจากครั้งที่ 1 จัดเมื่อวันที่ 9-10 ก.ค.ที่ผ่านมาได้ออกเดินทางไปที่โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม จ.อุดรธานี ส่วนครั้งที่ 3 และ 4 จะไปจัดกิจกรรมที่ภาคใต้ที่โรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม “จุติ-ก้องอนุสรณ์” จ.ภูเก็ต ในวันที่ 10-11 ก.ย. 2548 และสุดท้ายโซนภาคกลาง ณ โรงเรียนพัฒนานิคม จ.ลพบุรี ในวันที่ 19-20 พ.ย.2548

“ปีนี้จะเป็นการเน้นไปที่การทำ Workshop Training ในส่วนของ Video on Demand และ Moodle โดยมูลนิธิฯคิดว่าจะช่วยให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้ Video on Demand ได้เร็วกว่าการไปอบรมในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน ที่ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนได้มีการลองใช้ ค้นหาวิธีผ่านเทคนิค Streaming Video เพื่อการดูหนัง สารคดีอย่างไม่ติดขัดผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนต รวมถึงการร่วมสร้าง Content ด้วย ขณะที่ในส่วนของ E-Learning นั้น Moodle จะเป็นตัวสำคัญที่ใช้ในการเรียนการสอนและต้องการ จะให้อาจารย์ที่เข้าอบรมนำไปใช้ยังโรงเรียนที่สังกัดอยู่ด้วย” ผู้จัดการมูลนิธิเน็ตเดย์ กล่าว

ส่วนในเรื่องของการต่อยอดการเรียนรู้ของมูลนิธิฯนั้น นายสมเกียรติ บอกว่า มูลนิธิจะมีการประชุมใหญ่ในเรื่องของการต่อยอดการเรียนรู้ด้านไอที ซึ่งในอนาคตมูลนิธิฯจะมีการเข้าสู่กลุ่มประชาชนมากขึ้น อาจจะเปิดเป็นการ ฝึกอบรมระดับประเทศ ส่วนทางด้านอาสาสมัครนั้น อยากจะให้มีการขยายเครือข่ายอาสาสมัครให้แข็งแรงขึ้นทั่วภูมิภาค เพื่อที่อาสาสมัครตามภูมิภาคเหล่านี้จะได้จัดเตรียมข้อมูลช่วยเหลือได้ทันท่วงที ซึ่งในขณะนี้ยังคงเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม มูลนิธิยังคงดำเนินโครงการต่อไป

ด้านนายทีปชัย วงษ์วรศรีโรจน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนน้ำบ่อหลวงวิทยาคม พูดถึงโครงการนี้ในฐานะเจ้าภาพว่า นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่โรงเรียน ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ เพราะโครงการ Netday Computer Camp เป็นเสมือนเวทีแห่งเครือข่าย ที่ได้มาสัมมนาให้ความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในโลกยุคปัจจุบัน ทั้งด้านการเรียนการสอนด้วย และขณะนี้ทางโรงเรียน ก็ได้เป็นหนึ่งในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝันด้วย โดยทางโรงเรียนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานอยู่ประมาณ 60 เครื่อง แต่กระนั้นทางโรงเรียน ก็มีแผนที่จะจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์มารองรับเด็กนักเรียนอีก 32 เครื่อง ภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนที่ขณะนี้มีทั้งสิ้น 378 คน

“ขณะเดียวกันทางกระทรวงศึกษาธิการก็จะมีการช่วยสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์อีก 27 เครื่อง เมื่อรวมแล้วจะได้ประมาณ 120 เครื่อง โดยอาคาร 1 ของโรงเรียนได้มีการพัฒนาการใช้ระบบเชื่อมต่อแบบ Wireless Lan รวมทั้งมีการปรับความเร็ว 512 Kb ส่วนในเรื่องอาจารย์ที่ทำการสอนในวิชาคอมพิวเตอร์ปัจจุบันมี 2 คนจากจำนวนทั้งหมด 31 คน ทั้งนี้โครงการของมูลนิธิเน็ตเดย์ นับว่ามีส่วนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาบุคลากรทั้งด้านนักเรียน และอาจารย์ในด้านไอทีให้กับโรงเรียนที่ขาดโอกาส” ผอ.ทีปชัย กล่าวเพิ่มเติม

เมื่อมองจากภาพรวมของการสร้างโอกาสให้กับโรงเรียน และชุมชนของมูลนิธิเน็ตเดย์ จะเห็นได้ชัดเจนว่า เน็ตเดย์ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่เกิดขึ้นเพราะการเห็นความสำคัญและความต้องการสร้างความทัดเทียม ด้านไอทีให้ใกล้เคียงกับโรงเรียนอื่นๆที่มีทรัพยากรมากกว่า เพื่อพัฒนาบุคลากรทั้งเด็กนักเรียนและอาจารย์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครขึ้นมาด้วย ซึ่งอาสาสมัครเหล่านี้เปรียบเสมือนกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้กิจกรรมรุดหน้าไปอย่างราบรื่น

การส่งเสริมการรวมตัวของบุคลากร ในรูปแบบของอาสาสมัครจึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอาสาสมัคร ของทางเน็ตเดย์ หรือแม้แต่กิจกรรมครั้งล่าสุด ที่ได้อาสาสมัครรุ่นใหม่ ที่เป็นนักศึกษา จากภาควิชาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้ามาช่วยดูแลด้านสันทนาการ

“การออกมาเป็นอาสาสมัครให้กับมูลนิธิ นอกจากจะทำให้เราได้ช่วยสร้างโอกาส ให้กับโรงเรียนทางด้านไอทีแล้ว ยังให้ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับไอทีที่ยังไม่รู้กลับไปด้วย ซึ่งทางอาจารย์ในภาควิชาก็สนับสนุนเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องการเรียนรู้ รวมไปถึงด้านค่าใช้จ่ายการเดินทาง” น.ส.วนิดา รัตนลาภไพบูลย์ นักศึกษาวิทย์-คอม ม.ขอนแก่น หนึ่งในอาสาสมัครของโครงการฯ กล่าว

ดังนั้น เมื่อมองจากความตั้งใจจริงของมูลนิธิอินเทอร์เน็ต เพื่อโรงเรียนและ ชุมชนแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะพัฒนางาน ของมูลนิธิออกไปสู่ สังคมมากขึ้น ส่วนใครที่อยากมีส่วนร่วมในการเป็นอาสาสมัคร ของโครงการ ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.netday.or.th ได้ตลอดเวลา ...

บุญเลิศ แซ่ลี้
itdigest@thairath.co.th




 

Create Date : 16 มีนาคม 2560    
Last Update : 16 มีนาคม 2560 14:23:57 น.
Counter : 1782 Pageviews.  

เพลงที่ สร้างพลังให้สู้ต่อไป

1.คนล่าฝัน....คาราบาว

2.ศรัทธา....หินเหล็กไฟ
3.ชัยชนะ....ป๊อด
3.1ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่..มอบให้บัณฑิตใหม่ สจล. โดย ป๊อด โมเดิร์นด็อก




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2558 1:58:25 น.
Counter : 780 Pageviews.  

“คนอย่างแกน่ะ ทำไม่ได้หรอก”

“คนอย่างแกน่ะ ทำไม่ได้หรอก”

“คนอย่างแกน่ะ ทำไม่ได้หรอก”
จากคำสบประมาทของคุณครู
สู่ผู้พัฒนาจรวดและดาวเทียมขึ้นไปบนอวกาศ
บนเวที TEDxSapporo มีคุณลุงท่าทางแข็งๆ คนนึงยืนเกาหัวอยู่
ท่าทางดูตื่นเต้นที่จะพูดต่อหน้าคนเป็นจำนวนมากที่กำลังรอฟังเค้าอยู่
เขาชื่อว่าคุณลุง Tsutomu Uematsu
(ผมขอเรียกต่อไปว่า “คุณลุง” นะครับ”)
.
คุณลุงเป็นเจ้าของกิจการหนึ่งอยู่ที่ฮอกไกโด
บริษัทนี้มีสินค้าหลักคือแม่เหล็กที่ใช้สำหรับกระบวนการรีไซเคิล
นอกเหนือไปกว่านั้นที่นี่ยังสามารถวิจัยคุ้นคว้า
พัฒนาจรวดที่ขึ้นไปในอวกาศ สร้างดาวเทียม
และสามารถผลิตเครื่องจำลองสภาพสูญญากาศ
ซึ่งเป็นเครื่องเดียวในญี่ปุ่น และหนึ่งในสามเครื่องของโลก
.
คุณลุงเล่าไปอีกว่า อดีตความฝันของเค้า
ไม่ใช่การไปอวกาศหรอก แต่จำได้แม่นว่า…
เคยดูทีวีกับคุณตาตอนที่ยานอะพอลโล่
กำลังจะลงจอดที่ดวงจันทร์ คุณตาหน้าตาดีใจสุดๆ
อย่างที่เด็กน้อย ณ ตอนนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน
“ดูสิ ดูสิ คนจะไปเหยียบดวงจันทร์ได้แล้ว หลานก็ไปได้เหมือนกัน”
คำนี้จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้
เด็กชาย Tsutomu หันมาสนใจวงการอวกาศและจรวด

rocket TEDx
เด็กชายคนนั้นมุ่งมั่น อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า
เกี่ยวกับอวกาศอย่างหลงใหล
จนวันนึง…คุณครูมาบอกว่า
“อย่ามัวแต่คิดเพ้อฝันไปเลย กลับไปตั้งใจเรียนดีกว่า”
“การจะไปถึงอวกาศ ถ้าไม่ฉลาดไปไม่ได้หรอก
แล้วต้องมีเงินเยอะๆ ด้วยที่แกคิดน่ะ มันคนละโลกกับที่อยู่เลย”
“อย่างแกน่ะ ทำไม่ได้หรอก”
.
คุณลุงรู้สึกเสียใจและได้ครุ่นคิดว่า
เราควรฝันเฉพาะ “ฝันที่มันน่าจะเป็นจริงได้” จริงๆ หรอ?
ใครล่ะที่เป็นคนมากำหนดว่า
“ฝันนี้อาจเป็นจริงได้ ฝันนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
.
แล้วลุงก็คิดได้อีกว่า..”ถ้าไม่ลองทำก็คงไม่รู้หรอก”
และเราก็ไม่ควรให้คนที่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำสิ่งนั้น
เลยมาตัดสินเรื่องนี้ให้เรานะ!
จริงๆแล้ว การที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
คือความฝันที่แท้จริงไม่ใช่หรอ!?
.
ระหว่างที่คุณลุงกำลังจะเดินตามความฝัน
เรื่องวิจัยพัฒนาทางด้านอวกาศ
มักจะมีคนรอบข้างเข้ามาบอกกับคุณลุงว่า
“โดเซ มุหริ”หรือที่แปลว่า “ยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก”
คำนี้เป็นคำที่คุณลุงรู้สึกว่า เป็นคำที่ร้ายแรงที่สุด
เพราะมันขโมยความเชื่อมั่นและความเป็นไปได้ของคนที่ถูกพูดถึง
.
คำพูดเหล่านี้มักจะออกมาจากปากคนที่ไร้ซึ่งความมั่นใจ
และพยายามจะบั่นทอนความตั้งใจ
และความหวังคนรอบข้างด้วย
…ครั้นคนรอบข้างหลายๆคน
พยายามจะทำลายความฝันของคุณลุงอีก
คุณลุงจึงตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าว่าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า
.
“ความฝันว่าจะไปอวกาศได้ต้องสำเร็จด้วยมือผมเอง”
.
แล้วแรงดึงดูดก็ทำงานครับ..
คุณลุงโชคดีไปเจอกับศาสตราจารย์นากาตะ
แห่งมหาวิทยาลัยฮอกไกโดที่วิจัยเพื่อสร้างจรวดที่ไม่เป็นอันตราย
แต่ยังขาดทุนทรัพย์
คุณลุง Tsutomu ก็ไม่มีเงินหรอกครับ
แต่มีทักษะในการรวบรวมวัตถุดิบและผลิตของขึ้นมา
ทั้งสองจึงร่วมกันทำโปรเจค ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน จนสุดท้ายก็มีผลงานจรวด
และดาวเทียมที่สามารถบินขึ้นไปบนอวกาศได้จริง!
.
บริษัทคุณลุง Tsutomuตอนนี้ยังมีพนักงานเพียงแค่ 17 คน
แต่คุณเชื่อมั้ยครับว่ามีเด็กๆ มาทัศนศึกษา
เพื่อเยี่ยมชมการสร้างจรวจของบริษัทนี้
ปีละมากกว่า 10,000คน
rocket TEDx
คุณลุงกลายเป็นแรงบันดาลใจของเด็กรุ่นใหม่ให้กล้าที่จะฝัน
คุณลุงจะคอยให้คำแนะนำและเน้นย้ำให้เด็กๆ ไม่ไหวหวั่น
ต่อคำสบประมาทของคนรอบข้าง
ขอเพียงแค่ “ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน”
แม้ทำได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็ยังดีกว่า ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
TEDx rocket
ย้อนกลับไป…หลายสิบปีก่อน
คุณครูคนที่เคยสบประมาทคุณลุงว่า
“โดเซ มุหริ”อย่างแกอ่ะ ทำอะไรไม่ได้หรอก
ถ้าวันนั้นคุณลุงเชื่อคำพูดคุณครู ก็คงไม่มีวันนี้
แทนที่จะคิดว่าทำไม่ได้หรอก เปลี่ยนมาเป็น
“ถ้าไม่ทำแล้วจะเสียใจไปตลอดชีวิต” น่าจะดีกว่านะครับ
ดูคุณลุงเป็นตัวอย่างกันนะครับ

สามารถดู TEDxSapporo คลิปนี้เต็มๆ ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=gBumdOWWMhY#t=876




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2558    
Last Update : 30 ตุลาคม 2558 3:55:32 น.
Counter : 916 Pageviews.  

แต่เดี๋ยวก่อน! แก้นิสัยผลัดวันประกันพรุ่งด้วย “กฎสองนาที”

แต่เดี๋ยวก่อน! แก้นิสัยผลัดวันประกันพรุ่งด้วย “กฎสองนาที”

doitdoit

… “เดี๋ยวค่อยเขียน” … “เดี๋ยวค่อยทำ” … “เดี๋ยวค่อยโทร” … “เดี๋ยวค่อยอาบ” … “เดี๋ยวค่อยวิ่ง”

สิ่งที่คุณผลัดวันประกันพรุ่งนั้นมักจะไม่ใช่สิ่งที่คุณทำไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรสิงอยู่ในตัว ทำให้ทำตอนนี้เลยไม่ได้?! อันที่จริงแล้วงานหรือว่าสิ่งจะทำนั้นเราจะเริ่มทำหรือทำให้เสร็จเลยก็ได้ แต่ก็หาทางอิดออดไปเรื่อย ด้วยเหตุผลแล้วแต่จะสรรหามาบอกตัวเอง

มีงานวิจัยทางประชากรและสังคมบอกว่าผลัดวันประกันพรุ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่บางครั้งผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นโรคด้วยหรือเปล่า ฮา แต่ก็ยอมรับว่าเป็นนิสัยที่เลิกยาก (ถึงยากมาก) จะทำยังไงให้ละเลิกได้ ก่อนอื่นก็ต้องยอมรับก่อนว่าเราเป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง 😛 จากการหาข้อมูลมาก็พอจะมีคนเขียนเกี่ยวกับวิธีที่จะแฮกนิสัยนี้อยู่บ้าง แต่อ่านๆไปก็ยังดูปฎิบัติยากอยู่ โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่ชอบอะไรเวิ่นเว้อดูเป็นนามธรรม ถ้าได้เป็นหลักการอะไรที่เข้าใจง่ายๆแล้ว แล้วนำไปฝึกฎิบัติดูและสัมผัสประสบการณ์จริงน่าจะดีกว่า

บังเอิญไปเจอหลักการง่ายๆที่จะกำหราบนิสัยนี้ให้ราบคาบ คิดโดยคุณ James Clear ซึ่งเค้าเรียกเทคนิคนี้ไว้ว่า “กฎสองนาที – The 2-Minute Rule“

มีกฎสั้นๆอยู่ 2 ข้อดังนี้

ข้อแรก อะไรที่ใช้เวลาน้อยกว่าสองนาที, ให้ทำเลยตอนนี้ เค้านำมาจากหนังสือของ David Allen ชื่อ Getting Things Done เป็นกฎที่ให้เราระลึกไว้ว่างานอะไรที่ใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีนั้นควรจะทำเป็นอันดับแรกๆ อาจะเป็นกินข้าวแล้วก็ล้างจานเลย เอาผ้าลงถังซัก จ่ายค่าโทรศัพท์ ทิ้งขยะ ส่งอีเมล์ (ระหว่างเขียนนี้ผู้เขียนก็นึกออกว่าต้องโทรไปถามเรื่องเอกสารธนาคาร อิดออดมาเป็นอาทิตย์ โทรเสร็จไม่ถึงสองนาทีจริงด้วย T_T)

ข้อสอง ถ้าจะฝึกนิสัยอะไรใหม่, ทำให้เสร็จภายในสองนาที กฎนี้เป็นการประยุกต์จากกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันกับวัตถุมาใช้กับชีวิต ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการสร้างนิสัยหรือฝึกอะไรใหม่ๆ อยู่ที่การเริ่มต้น หากได้เริ่มแล้ว การทำต่อๆไปก็จะง่ายขึ้น ด้วยแนวคิดนี้ เค้าก็เลยบอกว่าถ้าจะเริ่มทำอะไรใหม่ให้แบ่งงานย่อยๆ แล้วให้เลือกงานที่ทำเสร็จได้ในสองนาที เช่น อยากจะทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็เริ่มด้วยทานผลไม้ชิ้นนึงตอนนี้เลยไม่ต้องรอช้า กินต่อไปเรื่อยๆก็อาจจะพัฒนาไปกินอย่างอื่นที่ดีต่อสุขภาพเพิ่ม หรืออยากจะฝึกนิสัยรักการอ่าน ก็เริ่มอ่านหน้าแรกได้เลยวันนี้ อ่านทุกวันต่อไปก็อ่านเป็นได้หลายๆบท อยากนอนให้มีประสิทธิภาพ ก็เริ่มนอนตามเวลาที่ควรจะเป็นตั้งแต่คืนนี้เริ่มต้นก็อาจจะยังไม่หลับง่ายๆ นอนเวลาเดียวกันไปหลายๆวันซักพักก็หลับตามเวลาเอง เป็นต้น

ผู้เขียนคิดว่าเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ น่าจะลองนำไปใช้แฮกชีวิตกันครับ

ที่มา

//Hackerlife.in.th/





 

Create Date : 26 ตุลาคม 2558    
Last Update : 26 ตุลาคม 2558 1:59:28 น.
Counter : 617 Pageviews.  

6 อย่าง ก่อนนอน ที่คนประสบความสำเร็จสูงๆทำกัน

 6 อย่าง ก่อนนอน ที่คนประสบความสำเร็จสูงๆทำกัน

by HACKERLI on 06/10/2014 in INSPIRATION
5520610388_b3f5174ccf_z
แหล่งที่มา  //Hackerlife.in.th/6อย่างก่อนนอน/

เคยสงสัยกันมั้ยว่าคนกลุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงๆ ทำอะไรกันก่อนนอนบ้าง จะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า

วันนี้แฮกชีวิตสรุปมาให้ 6 อย่าง ลองอ่านกันดูครับ

1. อ่านหนังสืออย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง

ตัวอย่างเช่น บิล เกตส์ ( Bill Gates ) นั้นเป็นนักอ่านตัวยง อ่านก่อนนอน 1 ชั่วโมง เค้าอ่านทุกอย่างไม่เกี่ยงว่าจะเป็นเรื่องอะไร นอกจากจะได้ความรู้อะไรใหม่ๆแล้ว ยังช่วยคลายเครียดและพัฒนาความจำ อีกทั้งยังมีงานวิจัย ( University of Essex ) บอกว่าแค่อ่านวันละ 6 นาทีก็ช่วยทำให้ลดความเครียดได้ถึง 68% นอกจากนั้นการอ่านยังเป็นวิธีช่วยบำรุงสมองในระยะยาวอีกด้วย ( เปรียบได้กับการออกกำลังสมอง ) ลดอาการสมองเสื่อมลงในวัยชราได้ถึง 32% เลยทีเดียว

2. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ในห้องนอนให้หมด

มีงานวิจัยที่ฮาวาร์ดโดย Dr Charles Czeisle บอกว่าแสงสว่างจะทำให้ธรรมชาติของการนอนนั้นผิดไป โดยที่แสงจะไปทำให้ร่างกายเรานั้นตื่น จึงทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นในห้องนอนของเราจึงต้องมืดปราศจากแสงรบกวน ปิดทีวีและอุปกรณ์อื่นๆ โดยเฉพาะแสงจากอุปกรณ์พกพาอย่างมือถือ Arianna Huffington (นักเขียนและคอลัมนิสต์ ประธานและผู้ก่อตั้ง Huffington Post ) เป็นแฟนพันธุ์แท้เรื่องการไม่วางมือถือไว้ในห้องนอน โดยเธอจะวางให้ที่ห้องอื่นก่อนเข้านอนเสมอ

3. เดิน

Joel Gascoigne CEO ของ Buffer ชอบที่จะเดินก่อนนอน เพื่อที่จะทำให้เค้าเลิกคิดเรื่องานและทำให้ตัวเองอ่อนล้าเพื่อพักผ่อนได้เต็มที่ อีกทั้งมีการศึกษาด้วยว่าการเดินนั้นจะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เพราะขณะที่เดินนั้นสมองของเราจะคิดได้ไม่เต็มที่ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เรามีความคิดแปลกใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นการเดินก่อนนอนก็อาจจะช่วยผ่อนคลายและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้

4. นั่งสมาธิ

ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ในแต่ละวัน โอปราห์ วินฟรีย์ ก็จะใช้เวลาก่อนนอนของเธอนั่งสมาธิเพื่อผ่อนคลายจากการเครียดจากการทำงานมาทั้งวัน แต่เรื่องนั่งสมาธินั้น อาจจะมีคนที่ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องประโยชน์ของมัน แต่จากงานศึกษาล่าสุดใน 19,000 คน พบว่าประโยชน์ของการนั่งสมาธิอย่างชัดเจน โดยการนั่งสมาธิจะช่วยลดความเครียด ความกังวล หดหู่ และความเจ็บปวด ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่งานศึกษามีผลออกมาดังกล่าวแล้วเราก็คงเถึยงยาก

5. คิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ

Vera Wang แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวอเมริกันชื่อดัง เธอจะใช้เวลาทุกคืนก่อนนอนวาดหรือเขียนงานออกแบบของเธอ ซึ่งความเงียบของเวลากลางคืนนั้นได้ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ มีงานศึกษาจาก Albion College บอกอีกว่าไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบทำงานกลางคืนหรือกลางวัน การใช้เวลากลางคืนทำงานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์นั้นจะทำให้ทำออกมาได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยล้ามาทั้งวันก็ตาม

ถึงแม้ว่าคุณจะชอบทำงานตอนเช้าๆก็ตาม ไอเดียเชิงสร้างสรรค์นั้นจะมีมากที่สุดของคุณมัักจะมีตอนก่อนนอน นักวิจัยชี้ว่ามันเกิดจากที่สมองของเราจะไม่ค่อยประติดประต่ออะไรมากนักในตอนกลางคืน ดังนั้นงานอะไรที่ต้องใช้ตรรกะสูงๆทำกลางคืนมักจะแย่

6. วางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้น

Kenneth Chenault ซึ่งเป็น CEO ของ American Express เป็นคนที่ชอบจัดการเวลา สิ่งที่เค้าจะทำง่ายๆก่อนนอนคือคิดวางแผนว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องทำอะไรบ้าง โดยเค้าเลือกมา 3 อย่างที่จะทำ ดังนั้นวันรุ่งขึ้นพอตื่นมาเค้าก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ทำได้เลยทันที มีงานศึกษาช่วงต้นทศวรรษที่ 90 สนับสนุนพฤติกรรมการชอบวางแผนของ Chenault นักวิจัยได้ติดตามกลุ่มนักเรียนตั้งแต่มัธยม จนจบมหาวิทยาลัย โดยการทดสอบทักษะเรื่องการจัดการเวลาตั้งแต่มัธยม มีผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือกลุ่มนักเรียนที่มีทักษะการจัดการเวลาที่ดีกว่านั้น จบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดที่สูงกว่าเพื่อนที่เคยได้เกรดตอนมัธยมสูงกว่า ชี้ให้เห็นว่าการจัดการเวลานั้นมีผลมากกับการเรียนมาก

ที่มา – thetrentonline.com




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2558    
Last Update : 26 ตุลาคม 2558 1:33:25 น.
Counter : 772 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

rajasit
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add rajasit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.