Photobucket

Iced Tea ที่ Nepal - ตอนที่ 2

หลังจากหลับสบายทั้งคืน
เราก็ถูกปลุกด้วยเสียงคุ้นเคยจาก iPhone ที่ชาร์จแบตไว้เต็มตั้งแต่เมื่อคืน
ใครจะไปเนปาล ต้องรู้ไว้นิดนึงว่า
ที่เนปาลเค้าจ่ายไฟฟ้าเป็นเวลาเพราะกำลังการผลิตไม่พอค่ะ
ตอนเย็นก็จะจ่ายประมาณ 6 โมงเย็น - 5 ทุ่มหรือเที่ยงคืน
ที่จำได้แต่ตอนเย็นเพราะต้องชาร์จแบตกล้องและมือถือ
ส่วนตอนเช้านี่ไม่แน่ใจ เพราะตื่นเช้าไปตะลุยเที่ยวทุกวัน
ถ้าให้ชัวร์ ถามพนักงานที่โรงแรมดูว่าเวลาการจ่ายไฟเป็นยังไง

ประมาณ 6.30 น. คุณไกด์ก็มารอรับที่ข้างล่างเกสเฮ้าส์ตามนัด
พวกเราเดินฝ่าลมหนาวไปที่คิวรถบัส Kathmandu - Pokhara ซึ่งจอดเรียงรายบนถนน Kantipath
คุณไกด์ก็ซื้อตั๋วไว้เรียบร้อย เราเลยกระโดดขึ้นรถแบบตัวปลิิวได้เลย
แถมได้ที่นั่งแถวหน้า มีพื้นที่ยืดขาวางกระเป๋าเพิ่มอีกนิด

ขอสารภาพว่า มีรูปแค่รูปเดียวในเมมโมรี่การ์ดตั้งแต่ Kathmandu ถึง Pokhara
นั้นคือรูปชานมแก้วแรกที่ดื่มในเนปาล
มันอร่อยล้ำกว่าชานมแบบไทยหรือไต้หวัน
หวานมันและมีกลิ่นเครื่องเทศหน่อยๆ ภาษาเนปาลเรียกว่า "Masala Tea"

01 Masala Tea แก้วแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจตระเวนชิม Masala Tea ตามร้านอาหารที่เข้าไปทาน :)

อย่างที่บอกว่าไม่ได้ถ่ายรูประหว่างการเดินทางไว้เลย
บรรยากาศก็ประมาณหมู่บ้านเล็กๆ สลับกับป่าต้นไม้เขียวๆ ลำธารกับน้ำใส บลาบลาบลา
ถึงจะไม่มีรูป แต่ก็มีเรื่องประทับใจระหว่างการเดินทาง...

...เป็นเรื่องราวแบบลืมไม่ลงถึงความติสท์ของผู้หญิงฝรั่งผมบลอนด์คนนึง

เราสนใจเธอเพราะเธอขึ้นมาบนรถประจำทางคนเดียว
เธอสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดา กางเกงขาพองๆแบบอินเดีย และไม่ใส่รองเท้า ย้ำ! ไม่ใส่รองเท้า
สะพายกระเป๋าย่ามแบบพาดไหล่ใบเดียวเหมือนย่ามของเด็กวัด
มัดผมบลอนด์แบบเซอๆ นั่งแถวหน้าสุดริมหน้าต่าง
ใกล้พอที่เราจะมองเห็นการเคลื่อนไหว

รถบัสเคลื่อนตัวไปตามถนนไม่นาน เธอก็ยกขาพาดหน้าต่างห้องคนขับ
แกะถั่ว แล้วทิ้งเปลือกออกไปนอกรถ (ไม่ควรเลียนแบบอย่างยิ่ง)
ด้วยความคิดว่าฝรั่งที่ขึ้นรถบัสคันนี้ น่าจะไปลง Pokhara กันหมด
เลยคุยกันกับลูกพี่ลูกน้องว่า นางจะไปเทรคกิ้ง? สะพายย่ามใบเดียว จะเอาอยู่เหรอ?

...เธอดูเป็นศิลปินขนานแท้ แบบผู้หญิงติสแตกเดินทางคนเดียว

มาถึงบางอ้อ ว่าเธอไม่ได้ไป Pokhara แบบพวกเรา
เธอลงที่สถานีชื่อ ดุมเร่ - Dumre (ประทับใจถึงขนาดจำชื่อเมืองได้เลยนะ)
สภาพเมืองตรงท่ารถก็เป็นตลาด อีกฟากถนนเป็นบ้านคนปลูกติดๆกัน

มาค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบว่าเป็นเมืองสำหรับการเทรคกิ้งเหมือนกัน
และสามารถต่อรถไปเมืองลุมพินีวัน อีกหนึ่งเมืองยอดฮิตของทัวร์คนไทยได้ด้วย
แต่ ณ ตอนนั้น เรารู้สึกว่าเมือง Dumre นี่มันช่าง out of nowhere
เราไม่เห็นใครลงจากรถนอกจากสาวผมบลอนด์คนนี้
มองออกไปเห็นแต่ชาวเนปาลีเดินไปมา ไม่ยักกะเห็นฝรั่งผมทองหรือชาวเอเชียชาติอื่น

...จนถึงตอนนี้ยังคิดถึงและเป็นห่วงเธออยู่
ที่สำคัญคือนับถือความกล้าหาญในการเดินทางของเธอมาก
ขอให้เธอเดินทางปลอดภัย และเจอกับสิ่งที่เธอเดินทางเพื่อแสวงหาด้วย...

02 วิวจากดาดฟ้าที่พักเมือง Pokhara ของเรา

นาฬิกาเดินทางเลยเลข 2 ไปนิดๆ เราก็มาถึงท่ารถบัสเมือง Pokhara แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ประมาณว่ารถจอดตรงลานดินโล่งๆ แล้วคนขับก็ประกาศว่า Pokhara !
แน่นอน คุณไกด์เราก็ทำหน้าที่ได้ดีด้วยการติดต่อรถแท็กซี่มารับไว้เรียบร้อย
หลังจากแวะไปทำเอกสารขออนุญาต trekking เรียบร้อย รถแท็กซี่ก็พาไปส่งที่เกสเฮ้าส์ในเมือง
วันนี้ทั้งบ่ายเป็นชั่วโมงอิสระ กะว่าจะไปทะเลสาบ Phewa ที่เค้าว่าสวยนักสวยหนากัน
ว่ากันว่าในวันฟ้าใสแดดดี จะเห็นทะเลสาบล้อมรอบด้วยภูเขา
ซึ่ง...



เราไม่เห็น -_-'''

03 วัว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู เพราะตามตำนานโคเผือกเป็นสัตว์พาหนะประจำพระศิวะ

เดินออกจากที่พักไม่นานก็เจอทะเลสาบเฟวา - Phewa Lake
เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีชื่อเสียงของเมืองโพคารา
เรียกว่าเป็น landmark สำหรับนักท่องเที่ยว

มีแม่บ้านชาวเนปาลีมารวมตัวกันเพื่อรอเรือข้ามฟากไปวัด Barahi ซึ่งเหมือนเป็นเกาะอยู่กลางทะเลสาบแห่งนี้
จินตนาการว่าถ้าอากาศดี ฟ้าเปิด แล้วเห็นเทือกเขาเป็นทิวยาวล้อมทะเลสาบ คงเป็นวิวที่จับจิตจับใจมากๆ
ว่าแล้วก็เปิดรูปใน google ดูย้อมใจไปก่อน T.T

04 เรือสีสันสดใส จอดเรียงรายรอผู้โดยสาร

รูปข้างล่างนี้ถ่ายด้วย iPhone แล้วอัพโหลดด้วย WiFi ที่ร้านอาหารตอนค่ำๆ
เรียก Like ใน Instagram ได้พอสมควร
เป็นรูปนึงที่ส่วนตัวชอบในบรรดารูปทั้งหมดที่ถ่ายมาจากทริปนี้
ต้องขอบคุณธรรมชาติที่สร้างสรรค์ความงามของภูเขากับน้ำ
และขอบคุณ Instagram ที่สร้าง filter มาเสริมความงามของภาพได้อีก 30%++

05 ทะเลสาบ Phewa ยามเย็น

06 คนเนปาลนี่เค้าชิวกันสมคำล่ำลือ ขนาดเรือก็ปล่อยให้น้ำขัง ปล่อยให้ลอยไปกลางทะเลสาบ
สมกับเป็นประเทศที่ no problem จริงๆ

07 คนละไม้คนละมือ


08 ไม่ต้องพึ่งพา แอ๊บ-โด-มิ-ไน-เซอร์ จากทีวีไดเร็ก
ฝีพายที่นี่ใช้เรือเป็นทั้งเครื่องมือทำมาหากินและเครื่องออกกำลังกาย
หนุ่มๆสาวๆคนไหนอยากฟิตแอนด์เฟิร์ม และอยากเปิดประสบการณ์แปลกใหม่
เชิญลองซิตอัพบนเรือดูได้ค่ะ


09 ถ้าจะชิวกันขนาดนี้....


10 คนเรามีวิธีผ่อนคลายจากความเครียดแตกต่างกัน

บางคนชอบดูหนัง บางคนชอบไปสปา
บางคนชอบวาดรูป บางคนกลับชอบถ่ายรูป
บางคนยิ่งทำงานหนักยิ่งพอใจในตัวเอง ในขณะที่บางคนชอบนอนกลางวันเป็นชีวิตจิตใจ

อย่างสองคนนี้ คนนึงอ่านหนังสือ อีกคนขอเพียงนั่งเฉยๆ

แต่ทั้งคู่น่าจะมีความสุขจากการได้พักผ่อนเหมือนๆกัน
การเลือกทำสิ่งที่เราชอบ แน่นอนว่าตัวเรา ไม่ใช่คนอื่น ที่จะมีความสุขมากที่สุด
"ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ก่อนที่จะไม่มีชีวิตให้ใช้" คำคมจากฝรั่งที่น่าจะคุ้นหูหลายๆคน

เห็นแล้วก็อิจฉานะ ได้อ่านหนังสือท่ามกลางลมเย็นๆไม่พอ
ได้เห็นวิวเทือกเขาหิมาลัยเป็นของแถมอีกต่างหาก

หมดภารกิจที่ทะเลสาบ Phewa ก็เดินไปที่ถนนเส้นหลักซึ่งมีร้านขายอุปกรณ์ trekking ตลอดทาง
เราไปเช่าไม้เท้าสำหรับ trekking ซึ่งพบว่าช่วยในการทรงตัวได้มาก
ใครที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยๆจนร่างกายปราดเปรียว แนะนำว่าเช่าไม้เท้าไว้ซักอันดีกว่าค่ะ
ถึงเวลาถ้าไม่ใช้ ก็พับเก็บไว้กับเป้เดินทางได้
ราคาที่เราเช่าตกอยู่ที่ 25 Rs/วัน หรือประมาณ 8 บาท
5 วันก็แค่ 40 บาท โอ้ว......นี่มันราคาก๋วยเตี๋ยว 1 ชามที่เมืองไทยชัดๆ


11 เมฆกับหมอกเหมือนจะจับคู่เดินเล่นไปทั่วเมือง Pokhara ทั้งวัน
และดูเหมือนน้องฝนจะอยากมาเดินเล่นที่นี่ด้วยอีกคน

เรากับลูกพี่ลูกน้องเห็นท่าว่าฝนจะตก เลยรีบเดินกลับที่พักเพราะซักผ้าทิ้งเอาไว้
มา trekking ชนิดสมบุกสมบัน จะจัดเสื้อผ้าชนิด 7 วัน 7 สีก็เกรงใจตัวเองค่ะ
เลยซื้อกางเกงของ Uniqlo เป็นแบบแห้งเร็ว ใส่สบาย มาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ 

ด้วยความที่ห้องพักเราอยู่บนชั้นดาดฟ้า เลยทำให้เห็นยอดเขา Machhapuchhre จากหน้าต่างห้องพัก
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะได้เห็นมันอีกมั้ย เพราะสภาพอากาศดูขมุกขมัว เลยรีบวิ่งไปหยิบกล้องมาถ่าย
ยอด Machhapuchhre ถือว่าเป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่คนเนปาลเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพระศิวะ
จึงไม่อนุญาตให้ trekking หรือปีนเขาค่ะ

ต้องขอบคุณทัวร์ที่เมืองไทย (ezytrekking) และคุณไกด์ Dharma ด้วยที่จัดการเรื่องที่พักให้ถูกใจขนาดนี้
เชื่อว่าทัวร์หลายสำนักก็จัดที่พักในลักษณะเดียวกัน คือมีดาดฟ้าให้ชมวิว
ถึงรูปจะไม่คมชัด แต่มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรากลับไปบันทึกภาพนี้ใหม่อีกครั้ง


12 กองทัพต้องเดินด้วยท้อง (...ถ้าท้องไม่แตกไปซะก่อนนะ)

ประมาณ 1 ทุ่ม เรากับลูกพี่ลูกน้องก็ออกไปหาอาหารเย็นใกล้ๆทาน
คุณไกด์แนะนำว่ามีร้านอาหารจีนใกล้ที่พัก เห็นคนเอเชียไปกันเยอะ
แล้วก็จริงดังกว่า มีทั้งคนจีน คนญี่ปุ่นมาฝากท้องไว้ที่นี่

อาหารก็จานใหญ่ยักษ์มาก รสชาติอร่อยดี แถมมี WIFI ให้เล่นด้วย
อัพโหลดรูป แชทใน Whatsapp อะไรกันเรียบร้อย
ก็ไม่ลืมส่งข่าวคราวให้ป่าป๊าม่าม้าว่าสบายดี

กลับถึงห้องพักประมาณสองทุ่มนิดๆ เราก็จัดการชาร์จแบตเตอรี่อุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างเป็นอันดับแรก
เพราะไม่รู้ว่าไฟฟ้าจะดับกี่โมง แล้วก็เป็นจริงดังคาด
22.30 น. เราเพิ่งจะกลืนวิตามินซีเข้าปาก ไฟก็ดับลง
เป็นอันว่าผ่านพ้นวันเดินทางไกลกว่า 200 กิโลเมตรจาก Kathmandu - Pokhara ได้ด้วยดี
ไม่มีท้องเสีย ไม่มีคลื่นไส้อาเจียร อุณหภูมิร่างกายยังปกติ

iPhone ถูกตั้งเวลาให้ส่งเสียงปลุกที่คุ้นเคยตอน 6.00 อีกครั้ง
เพื่อให้เราได้เจอกับประสบการณ์ trekking ครั้งแรกในชีวิตในวันพรุ่งนี้




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2556 12:12:20 น.
Counter : 1237 Pageviews.  

Iced Tea ที่ Nepal - ตอนที่ 1

ถ้าชื่อเรื่องคือบทสรุปของใจความสำคัญทั้งหมดของเนื้อเรื่อง
บันทึกการเดินทางของแต่ละคนที่ไปเนปาลก็น่าจะมีชื่อแตกต่างกันตามสิ่งที่แต่ละคนประทับใจมากที่สุด
สำหรับเรามีสิ่งที่ประทับใจอยู่สองอย่างหลักๆจากประเทศนี้ - ชา และ อากาศเย็นๆ
เลยเป็นที่มาของชื่อ "Iced Tea ที่ Nepal"
ที่นึกย้อนกลับไปทีไรก็ทำให้นึกถึงประสบการณ์โหด มัน ฮา
จากทริป backpacking และ trekking ครั้งแรกในชีวิต
ทริปที่เดินขึ้นบันไดมากที่สุด
ทริปที่ห่างบ้านนานที่สุด
ทริปที่ได้พูดภาษาอังกฤษมากที่สุด
และแน่นอน..เป็นทริปที่ประทับใจมากที่สุดสำหรับการเดินทางในปี 2555

ถ้าพร้อมแล้ว..ก็ไปจิบชาเย็นรสชาติหวานมันเคล้ากลิ่นเครื่องเทศจากดินแดนหิมาลัยกันดีกว่าค่ะ


01 รูปแรกที่ถ่ายที่เนปาลที่ย่าน Thamel, Kathmandu - เด็กนักเรียนกำลังเดินกลับบ้านตอนบ่าย
ตอนแรกนึกว่าเป็นแก็งค์โดดเรียน แต่เห็นเดินกันมาเป็นสายหลายระดับชั้นเลยทำให้รู้ว่านักเรียนที่นี่เลิกเรียนเร็วดีแท้

แผนการเดินทางของเรากับลูกพี่ลูกน้องคือการไป trekking เส้นทาง Poon Hill Trek 5 วัน เที่ยวใน Kathmandu เมืองหลวงของเนปาลอีก 3 วัน และมีวันเดินทางระหว่างเมือง Kathmandu กับ Pokhara อีก 2 วัน
รวมแล้วต้องจากที่นอนนุ่มๆที่กรุงเทพทั้งหมด 10 วัน
โดยเลือกฤกษ์สะดวกที่หยุดงานได้ทั้งคู่ คือระหว่างวันที่ 3-13 พฤษภาคม
ซื้อแพ็คเกจจากเมืองไทยซึ่งรวมค่าเกสเฮ้าส์, บริการรับส่งสนามบิน, ค่ารถบัสระหว่างเมือง, ค่าอาหารระหว่าง trekking
ส่วนที่ต้องจ่ายเองก็เป็นพวกค่าอาหารในเมือง Kathmandu/Pokhara, ค่าบริการลูกหาบ, ทิปให้คุณไกด์และค่าเช่าอุปกรณ์ trekking

แผนการเดินทางโดยรวมก็ตามข้างล่างนี่เลย

วันที่ 1: กรุงเทพ - Kathmandu
เดินเล่นในเมืองหลวงของเนปาล เข้าพักย่าน Thamel ถิ่นของแบ็คแพ็คเกอร์

วันที่ 2: Kathmandu - Pokhara
นั่งรถบัส 8 ชั่วโมง แล้วไปเดินยืดเส้นยืดสายริมทะเลสาบ Phewa แบบสบายๆ

วันที่ 3: Pokhara - Nayapul - Tikhedunga
เริ่มต้นการเดิน trekking แล้วหยุดพักผ่อนท่ามกลางภูเขาสีเขียว (เดินเท้าทั้งหมด 3 ชั่วโมง)

วันที่ 4: Tikhedunga - Ghorepani
วันวัดใจที่ต้องขึ้นบันไดหินกว่า 3,500 ขั้นติดต่อกัน แล้วต้องเดินขึ้นเขาอีกหลายชั่วโมง ก่อนจะหยุดพักผ่อนที่หมู่บ้านสีน้ำเงินใต้ปีก Poon Hill Viewpoint (เดินเท้าทั้งหมด 8-9 ชั่วโมง)

วันที่ 5: Ghorepani - Poon Hill - Tadapni
วันไฮไลท์ที่จะได้เดินขึ้น Poon Hill เดินลงตามเส้นทางป่าอุดมสมบูรณ์ แล้วพักผ่อนที่หมู่บ้านเล็กๆกับวิวที่ยิ่งใหญ่ของยอดเขา Machhapuchhre (เดินเท้าทั้งหมด 6-7 ชั่วโมง)

วันที่ 6: Tadapani - Ghandruk
วันเดินลงเขาที่ทำให้ความภูมิใจของเรามีมากขึ้น วันนี้หยุดพักผ่อนท่ามกลางหุบเขาและสายน้ำ (เดินเท้าทั้งหมด 5 ชั่วโมง)

วันที่ 7: Ghandruk - Nayapul - Pokhara
ได้เวลากลับเข้าเมือง มีเวลาทั้งบ่ายให้นวดเท้าที่ระบมจากการเดินทางหนัก (เดินเท้าทั้งหมด 4 ชั่วโมง)

วันที่ 8: Pokhara - Kathmandu
เดินทางกลับเมืองหลวงด้วยเครื่องบินลำเล็กซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วถี่ตอนแลนดิ้ง เดินเล่นใน Kathmandu ในบรรยากาศที่ร้านค้าปิดเพราะหนีขบวนประท้วง

วันที่ 9: Kathmandu Self-Sightseeing
เดินเที่ยวเองอีก 1 วันเพราะสหภาพแรงงานยังไม่หยุดประท้วง ไปได้แต่ที่ที่สองเท้าจะก้าวไปถึง เพราะถ้านั่งรถ มีสิทธิ์โดนทุบกระจกได้จ้า

วันที่ 10: Kathmandu Temple Tour
ทำสถิติชะโงกทัวร์ด้วยการไปวัดลิง (Swayambhunath Temple) + เมืองบักตะปูร์ (ฺBhaktapur) + เมืองปาตัน (Patan) + สถูปโพธะนาถ (Bodhanadh) ตั้งแต่ตี 5 ถึงสิบโมงครึ่ง ก่อนจะรีบไปสนามบิน


การเดินทางครั้งนี้ยังเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเรา ให้เตรียมเงินสำรองเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
โดยเฉพาะถ้าเดินทางไปประเทศที่ไม่มีตู้ ATM หรือระบบจ่ายผ่านบัตร credit
เพราะตอนที่เราไปคาบเกี่ยวกับวันดีเดย์ที่สหภาพแรงงานนัดประท้วงเพื่อเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้ไม่มีรถบัสวิ่งจากเมือง Pokhara กลับไป Kathmandu
จนต้องจ่ายเงินสดซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ ราคาประมาณ 2,800 บาท/คน
เพื่อให้เรามีเวลาพอเที่ยววัดใน Kathmandu และบินกลับเมืองไทยได้ตามแผนการเดินทางเดิม
ถ้าไม่มีเงินสำรอง เห็นทีต้องนอนตีพุงที่เมือง Pokhara แบบเหงาๆ เพิ่มอีก 2 วัน

อากาศช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงเข้าฤดูฝน มีฝนตกและเมฆเยอะบ้างบางวัน
ใครจะไปเนปาลเพื่อการถ่ายรูปให้ฟ้าใสกิ๊กแต่ไม่อยากหนาวเหมือนถูกแช่แข็ง
แนะนำให้ไปช่วงเข้าฤดูหนาวประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
หรือหลังฤดูหนาวประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน
เวลาเห็นรูปทีไรก็ยังเศร้าใจนิดๆที่เราเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ไม่เต็มเพราะมีเมฆเยอะ

03 บ้านเมืองย่าน Thamel

สายการบินที่เราใช้บริการก็คือการบินไทย ซึ่ง Fly Smooth as Silk อย่างที่เค้าเคลมไว้
เท่าที่ลองดูในเว็บไซต์ของการบินไทย
ตารางบิน Bangkok - Kathmandu มีเวลาเดียวคือ 10.25 - 12.25 น.
(ขออนุญาตพิมพ์ Kathmandu แทนภาษาไทยนะค่ะ สะกดยากพอสมควรเลย)
ส่วนตารางบิน Kathmandu - Bangkok ก็มีไฟล์ทเดียวต่อวันเช่นกัน คือ 13.30 - 18.15 น.
เรียกว่าไม่ต้องวุ่นวายเรื่องเลือกไฟล์ท เลือกเวลา เลือกราคาค่ะ

ไปถึงสนามบินตรีภูวันซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติของเนปาล ก็อะเมซิ่งกับระบบสายพานเลย
ที่นี่ยังเป็นระบบ manual ควบคุมโดย man จริงๆ เพราะยังต้องให้พนักงานหนุ่มร่างกายแข็งแรง
ขนกระเป๋าจากท้องเครื่องบินมาแจกจ่ายให้ผู้โดยสารแบบถึงเนื้อถึงตัว ส่งให้มือต่อมือ
รับกระเป๋าเสร็จ ก็เจอพนักงานจากเกสเฮ้าส์มารับเราไปเช็คอิน เล่าแผนการเดินทางให้ฟังแบบคร่าวๆอีกรอบ
พร้อมกับคำว่า No Problem และ Yeah เสียงไม้จัตวา ที่พรั่งพรูออกมาเกือบจะทุกท้ายประโยค
นอกจากนี้ก็ได้เจอคุณไกด์ ซึ่งเราต้องฝากชีวิตการเดินทางไกลกับเค้าเป็นเวลา 5 วัน

04 ป้ายโฆษณาแบบ limited edition ไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าด้วยนะ

คุณไกด์พาไปแลกเงินกับร้านที่เค้าเคลมว่าเรตดีเพราะรู้จักกัน (จำพิกัดไม่ได้ ตอนนั้นยังงงกับสถานที่อยู่)
เสร็จสรรพก็ให้คุณไกด์แนะนำร้านอุปกรณ์กันหนาวหน่อย
เพราะลูกพี่ลูกน้องอยากได้กางเกงและเสื้อกันหนาวเพิ่มเติม

ส่วนเรา ตอนแรกว่าจะไม่ซื้ออะไรเพิ่มเติมแล้ว แต่เห็นถุงมือยี่ห้อ Columbia (จริงหรือปลอมมิอาจทราบได้)
ดีไซน์สวย แถมราคาไม่แพงมากประมาณ 400 Rs = 140 บาท ก็เลยตัดสินใจซื้อ
ไฮไลท์อยู่ตรงตอนจ่ายเงิน คือเราจ่ายแบงค์ 1,000 Rs ไป 4 ใบ แทนที่จะเป็นแบงค์ 100 Rs 4 ใบ
เจ้าของร้านก็แอบเนียน ไม่ได้แสดงพิรุธอะไร
จนคุณไกด์หันมาถามเราว่า เค้าบอกว่าถุงมือราคาเท่าไหร่ เราก็บอกไปว่า 400 รูปี
คุณไกด์เลยหันไปหาเจ้าของร้าน พูดเป็นภาษาเนปาลีรัวๆ
แล้วเอามือเอื้อมไปหยิบแบงค์ 4 ใบที่กำลังจะเข้าลิ้นชักอยู่แล้วมาให้เรา
คุณไกด์ชี้ให้เห็นว่า แบงค์ที่เราเพิ่งจ่ายไปมันเท่ากับ 1,000 Rs นะ ดูให้ดีๆก่อนจ่ายเงินนะครับ
เราก็ตาโต พร้อมส่งสายตาพิคาดไปหาเจ้าของร้านทันที

เจ้าของร้านก็ยกสองแขนประหนึ่งโมเม้นท์ที่โจรถูกตำรวจจับแป๊ะ
พร้อมพูดว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมก็ไม่เห็นเหมือนกัน"
น่าเชื่อม๊ากมาก คนเราจับแบงค์ใช้แบงค์กันทุกวัน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกไม่ออก
คิดเปรียบเทียบว่าคนไทยเห็นแบงค์สีแดงกับแบงค์สีเทา ก็แยกได้ทันทีอยู่แล้ว
เราก็ไม่อยากเอาความเพราะเรื่องก็ลงเอยด้วยดี
คุณไกด์ก็มาหลังไมค์หลังออกจากร้านว่า เค้าแค่สงสัยว่าทำไมถุงมือราคาแพงมหาโหด
เลยถามเราให้แน่ใจ ไม่นึกว่าเจ้าของร้านจะตุกติก รับเงินเกินแล้วไม่บอกลูกค้า

จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราประทับใจคุณไกด์มาก
อ้อ ! ลืมบอกไปว่า คุณไกด์ชื่อ Dharma Pd. Lamichhane เราเรียกสั้นๆว่า "ดาม่า"
ถ้าไม่มี "ดาม่า" ชีวิตเราในเนปาลคงจะ "ดราม่า" มากกว่านี้แน่ๆ



05 สีแดงๆที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงไฟจากรถ หรือ สาวชาวเนปาลสะบัดสาหรี่ผ่านกล้องเราไปกันแน่
ตอนแรกว่าจะลบภาพนี้ทิ้งแล้ว แต่ชอบใจท่าโพสของคุณลุงร้านข้าวสารกับสีแดงอาร์ตๆแบบไม่ได้ตั้งใจ

06 รถสามล้อมีบริการนักท่องเที่ยวอยู่ทั่วพื้นที่ย่าน Thamel 
สังเกตว่าบางบ้านเอาน้ำมาราดพื้นเพื่อไม่ให้ฝุ่นคลุ้งตลบเวลารถแล่นแผ่นนั้นเอง

07 มาที่นี่ต้องทำใจเรื่องฝุ่นค่ะ ใครแพ้ฝุ่นควรพกผ้าปิดจมูกมาด้วยเลย 
สำหรับเราไม่ได้รำคาญมาก แต่เป็นกังวลกล้องมากกว่า ชนิดที่ว่ากลับที่พักจะเช็ดกล้องก่อนล้างหน้าตัวเอง :P

ออกจากร้าน 4,000 Rs ของเรา ก็แยกกันกับคุณไกด์ที่ขอกลับบ้านไปนอนเอาแรง
ส่วนเรากับลูกพี่ลูกน้องก็เดินตะลุยย่านทาเมลกันต่อ
เพราะลูกพี่ลูกน้องมีภารกิจหาของฝากกลับเมืองไทยเป็นเดิมพัน (ช็อปกันตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว)

พูดถึงย่าน Thamel กันซักนิด
หลายคนนิยามว่าเป็นแฝดพี่ที่จัดจ้านกว่าถนนข้าวสารบ้านเราหลายเท่านัก
จะว่าเป็นแฝดก็ยังไม่ค่อยเหมาะ เพราะ Thamel สลับซับซ้อนกว่ามาก
มีตรอกซอกซอยทะลุนู้นนี่ ตื่นตาตื่นใจว่าถนนเส้นตรงอย่างข้าวสาร


08 ของฝากสีสันจัดจ้าน


เราเดินตามลูกพี่ลูกน้องซึ่งเลือกเสื้อผ้ากันหนาว จนเห็นร้านหนังสือชื่อ The Pilgrims ก็ตัดสินใจเข้าไปดู
อาจจะเพราะสถานที่ของร้านหนังสือที่อยู่ในดินแดนแห่งการเดินทาง บวกกับบรรยากาศแบบอินดี้ฮิปปี้
ทำให้รู้สึกว่าชื่อร้านหนังสือแห่งนี้มีเสน่ห์มากมาย
เคยอ่านจากอินเตอร์เน็ตว่าหนังสือภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะหนังสือ Lonely Planet
ที่ขายในเนปาลราคาถูกกว่าเมืองไทยหลายบาทอยู่ เพราะไม่มีภาษีหนังสือภาษาต่างประเทศ

... ไม่รอช้าคว้ามาด่วน 1 เล่ม

09 ถั่วมั้ยจ๊ะนายจ๋า แอบอินเตอร์นิดๆด้วยป๊อปคอร์น

นอกจากหนังสือก็ลองซื้อถั่วข้างทางมากินดู
ถั่วรสชาติธรรมชาติมากๆ ..แปลไทยเป็นไทยว่า "รสชาติธรรมดามากๆ"
ตลกตรงที่เราเห็นตั้งแต่ซื้อแล้วว่าเค้าห่อใส่หนังสือพิมพ์มาให้
กินคำสองคำก็พอล่ะ ส่วนลูกพี่ลูกน้องคว้าไปหลายคำก่อนจะสังเกตเห็นลายขาวดำ
เป็นอันว่ากินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ขอทิ้งดีกว่า

หมดจากถั่วหนังสือพิมพ์ ก็หาอาหารเย็นกินกันแบบจริงจังพร้อมเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต
ซื้อขนมนมเนยติดกระเป๋าสำหรับการเดินทางไกล
เท่าที่เห็นมีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ร้านเดียวทั้งย่าน ขายตั้งแต่ของกินยันผ้าขนหนู (ซึ่งแน่นอนว่าเปื้อนฝุ่นจนดำแล้ว)
ของใช้ก็มีหลากหลายอย่าง ตั้งแต่แชมพู สบู่ ไปจนถึงครีมบำรุงผิว เรียกว่าของใช้พื้นฐานที่นี่มีหมด
นอกจากของกินของใช้ เราขอซื้ออาหารเช้าด้วยเลย
เป็นเบเกอร์รี่หน้าตาดีจากร้านบรรยากาศอบอุ่นเพราะคนแน่นร้านชนิดต้องรอซื่้อด้านนอก

10 เบเกอร์รี่หน้าตาอินเตอร์ 


กินข้าวก็แล้ว ซื้อของใช้ก็แล้ว ก็ได้เวลาเดินกลับที่พักซักที
เวลาสองทุ่มครึ่งโดยประมาณ ร้านค้าย่านทาเมลก็พากันปิด มีแสงไฟข้างทางประปราย
ที่เห็นจะสว่างหน่อยคงเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่ยังเปิดอยู่
ฝนตกปรอยๆ ยิ่งทำให้อากาศที่หนาวอยู่แล้วยิ่งหนาวขึ้นไปอีก
แต่สิ่งที่ทำให้เราหนาวใจกว่าคือ

...เราสองคนหลงทาง...

ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆที่เราสองคนเดินวกไปวนมาท่ามกลางแสงสลัว
แต่เพราะบรรยากาศบวกกับความเงียบ ก็นึกกลัวอยู่ไม่น้อย
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็บางตาลงทุกที
จนเดินดุ่มๆไปเจอซุปเปอร์มาร์เก็ตอันเป็นแหล่งรวมพลรวมเสบียง
เลยรีบคว้าแผนที่มาดูใหม่ พร้อมคลำทางกลับที่พักโดยสวัสดิภาพ

กลับถึงที่พักก็เช็ดถูกล้องอันเป็นที่รักซึ่งตอนนี้มีฝุ่นจับจนเห็นได้ชัด
ต่อด้วยจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อที่จะทิ้งสัมภาระบางส่วนไว้ที่นี่
และเอาเฉพาะสัมภาระจำเป็นสำหรับ 5 วันของการเดิน trekking ติดตัวไป
อาบน้ำ โปะมอยเจอร์ไรเซอร์ ทาอายครีม นี่ถ้าพกมาส์กมาด้วยก็คงจะโปะไปด้วยแล้ว
เพราะ ณ จุดนั้นรู้สึกโดนทั้งแดดทั้งฝุ่น กลัวหน้าแห้งแล้วลอกมาก
และแน่นอนกินวิตามินซี วิตามินบีบำรุงร่างกาย ก่อนล้มตัวลงนอน

คืนนี้ไม่ต้องพึ่งแอร์ แค่ลมหนาวเบาๆจากหิมาลัยก็ทำให้หลับสบายแล้ว :)




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2556 21:44:41 น.
Counter : 1718 Pageviews.  

Wandering Around Ho Chi Minh City

มีโอกาสได้ไปทำงานที่โฮจิมินซิตี้เป็นเวลา 2 วัน 1 คืนเมื่อกลางปี 2011 ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆแต่ก็ได้เดินสำรวจเมืองเองจนรอบ เพราะจุดประสงค์คือไปสำรวจตลาดโรงแรม 4-5 ดาวซึ่งก็กระจุกตัวในบริเวณเดียวกัน 

เวลา 2 วันนี่ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะมีโรงแรมที่ต้องไปประมาณ 10 ที่ ที่สำคัญคือเป็นการตะลุยเมืองคนเดียวเองหนึ่งวัน เพราะทีมที่ไปด้วยกันต้องไปทำงาน on site ที่เมืองตากอากาศชื่อ Ho Tram อยู่ห่างโฮจิมินซิตตี้ไปประมาณสามชั่วโมง ส่วนอีกวันก็เก็บตกโรงแรมที่ไม่ได้ไปในวันแรก พร้อมๆกับเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองแบบผ่านๆตา 

การมาโฮจิมินซิตี้รอบนี้ถือว่าเป็นการผจญภัยในเมืองใหญ่ มีหลงบ้าง งงแผนที่บ้างก็น่าจะเป็นเรื่องปรกติ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรสชาติชีวิต ส่วนเกร็ดข้อมูลการท่องเที่ยวหรือสถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีให้น้อยจริงๆ เพราะเป็นการไปทำงานและมีเวลาเตรียมตัวน้อย แต่อย่างนึงที่ประทับใจเมืองนี้คือผังเมืองเดินทางไม่ลำบากมาก ทุกอย่างเป็นบล็อกเป็นสี่เหลี่ยม และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้การเดินเท้ารอบเมืองไม่ร้อนมาก ที่สำคัญเราไม่ได้รู้สึกว่าถูกมอเตอร์ไซต์โจมตีเวลาข้ามถนน ถ้าเราเดินเป็นเส้นตรง ไม่วิ่งหรือตกใจ รถมอเตอร์ไซต์ก็จะกะระยะแล่นผ่านเราไปเอง

ส่วนที่พักได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าให้พักที่ Park Hyatt Saigon ซึ่งถ่ายรูปมาพอสมควร จะขอยกไปรีวิวใน entry ถัดไป :)


ขอชื่นชมบ้านเมืองโฮจิมินซิตี้เรื่องความร่มรื่นซักหน่อย เพราะมีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้เป็นระยะๆ
ถึงแม้ว่าจะทำให้ทางเดินฟุตบาทที่แคบอยู่แล้วแคบขึ้นอีกก็ตาม
แต่ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ก็ช่วยป้องกันแดดได้ดีเลย



ร้านกาแฟชื่อ CIAO CAFE น่าจะมีอยู่สองที่ในตัวเมือง
สังเกตได้ง่ายเพราะเค้าทาสีภายนอกเป็นสีเหลืองสด ที่นี่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ด้วย
เข้าไปพักทานกาแฟพร้อมๆกับดูคนเวียดนามมานั่งเล่นหมากรุกกันสนุกสนานหลายโต๊ะ



ไม่แน่ใจว่าเป็นโรงแรม Caravelle หรือ Sheraton เพราะทั้งสองที่อยู่ใกล้ๆกัน

Renaissance Riverside Hotel Saigon อันนี้อยู่ติดกับท่าเรือ
ห่างจากโรงแรมห้าดาวที่อื่นที่กระจุกตัวอยู่รอบๆ Ho Chi Minh City Square


InterContinental Asiana Saigon Hotel & Residence อยู่ใกล้กับโบสถ์ Notre-Dame และสถานีไปรษณีย์
ยิ่งวิวจากสระว่ายน้ำนี่มองเห็นยอดโบสถ์เลย



แค่สงสัยว่าช่องรูปสามเหลี่ยมตรงหน้าบ้านที่เค้าเอาไว้ทำอะไรกัน...ช่องระบายลม ?



บ้านหลังนี้น่าจะสะดุดตาใครหลายๆคนมาแล้ว




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2555 15:42:39 น.
Counter : 1140 Pageviews.  

ไร่แสงอรุณ - part 2

Part 2 - The Glorious Sunrise

โพสนี้รวบรวมรูปพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งถ่ายที่ไร่แสงอรุณ เป็นการหัดถ่ายพระอาทิตย์ครั้งแรกหลังจากที่ดูรูปของตากล้องเก่งๆเค้าถ่ายกัน พร้อมกับค้นคว้าวิธีการถ่ายรูปพระอาทิตย์แบบต่างๆในอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นถ่ายให้พระอาทิตย์ดูกลมโต ถ่ายให้แสงพระอาทิตย์กระจายเป็นแฉก หรือถ่าย silhouette เป็นช่วงที่มีความสุขในการถ่ายรูปมากครั้งหนึ่ง ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น เห็นหมอกบางๆกระจายทั่วทิวเขา เดินสูดอากาศยามเช้าที่ทุ่งนา และมีสลัดผักเป็นอาหารเช้า

เช้ามาก ขนาดน้องแมวยังนอนหลับอยู่เลย

อาหารเช้าที่นี่มีทั้งแบบไทยและเทศ

สลัดผักกับสตรอเบอร์รี่สดๆ โรยด้วยพาเมซานชีสและขนมปังอบกรอบ

ทางไร่มีน้ำสลัดให้เลือก 3-4 ชนิด ทั้งน้ำสลัดแบบข้น น้ำสลัดใส น้ำสลัดซีซ่าร์ แต่ที่ชอบมากที่สุดคือน้ำสลัดบีทรูท ตอนแรกคิดว่าจะมีกลิ่นเหม็นๆ แต่พอทานแล้วติดใจมาก ไม่มีกลิ่น รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว

It's time to go home...

ไร่แสงอรุณ
อยู่เลียบริมแม่น้ำโขงกึ่งกลางระหว่างเชียงแสนและเชียงของ
เดินทางประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงจากสนามบินเชียงราย
แนะนำว่าให้เที่ยวสถานที่ต่างๆที่จังหวัดเชียงรายก่อน แล้วค่อยขับรถไปพักที่ไร่แสงอรุณแบบเต็มๆวัน เพราะว่าอยู่ห่างตัวเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวดังๆของเชียงราย

สำหรับแผนที่การเดินทางและข้อมูลอื่นๆ แนะนำให้เข้าไปดูในเว็บไซต์หรือ
facebook page ของทางไร่แสงอรุณตามลิงค์ข้างล่างจะดีกว่าจ้า :)




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2555    
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 17:23:10 น.
Counter : 2001 Pageviews.  

ไร่แสงอรุณ - part 1

Part 01 Along the Khong River and the Rice Field
One of my very best moments

สำหรับคนไทยที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวน่าจะรู้จักชื่อ "ไร่แสงอรุณ" เป็นอย่างดี ไร่แสงอรุณเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ใน อ.เชียงของ จ.เชียงราย อาณาเขตของรีสอร์ทแห่งนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือฝั่งริมแม่น้ำโขงกับฝั่งบนเขา ซึ่งเรามีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศทั้งสองฝั่ง โดยคืนแรกเข้าพักที่บ้านริมโขง ได้ยินเสียงแม่น้ำไหลแรง ส่วนคืนที่สองเข้าพักที่บ้านแสงอรุณ ต้องเดินผ่านทุ่งนาและขึ้นบันไดประมาณร้อยกว่าขั้น เล่นเอาเหนื่อยก่อนที่จะได้พักสูดอากาศบริสุทธิ์และเก็บภาพภูเขาเคล้าหมอกจางๆแบบจุใจ
ตอนเข้าพักที่ไร่แสงอรุณเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก เพราะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์จริงๆ ได้ถ่ายรูปซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ชอบ ได้ฝึกหัดเทคนิคใหม่ๆ อย่างการถ่ายดวงอาทิตย์ให้มีแสงเป็นแฉกๆ หรือการถ่ายดวงอาทิตย์ให้กลมโต เป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองและครอบครัว ไม่ต้องเร่งรีบ อาหารที่นี้ก็ทำมาจากพืชผักสวนครัวที่ทางไร่แสงอรุณปลูกเอง แถมรสมืออร่อยมาก โดยเฉพาะน้ำสลัดบีทรูทซึ่งทำให้เราได้กินสลัดผักติดกัน 3 มื้อ
เชื่อว่าทุกคนที่ได้ไปไร่แสงอรุณจะต้องมีความสุขกลับมา ตามที่ทางไร่ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า อยากให้ทุกคนที่มาที่นี่ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ฟอกปอดให้บริสุทธิ์และฟอกใจให้เหลือแต่ความสุข ลบสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่ เพิ่มพลังในการใช้ชีวิต ตั้งใจว่าจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่นี่อีกแน่นอน
โพสนี้รวบรวมรูปในวันแรกที่เข้าพัก ซึ่งเป็นวิวริมแม่น้ำโขงกับทุ่งนา ส่วนรูปวิวบนภูเขาขอแยกเป็นอีกโพสหนึ่ง ต้องขอบคุณ bloggang.com / pantip ที่เป็นสถานที่ที่เราได้อ่าน ได้เห็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ทำให้มีแรงบันดาลใจวางแผนออกไปถ่ายรูปและท่องเที่ยวได้ดีขึ้น ตอนนี้มีบล็อคสองบล็อค คือ บล็อคของ bloggang เป็นภาษาไทย และบล็อคของ wordpress ซึ่งเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (//backliticonic.wordpress.com)  ตั้งใจว่าจะพยายามเก็บและแชร์ความทรงจำจากการท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ
ถึงแล้ว...ไร่แสงอรุณ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงจากสนามบินเชียงราย
ของประดับจากธรรมชาติ...ต้นข้าว
วิวแม่น้ำโขง
พืชผักสวนครัว
บ้านริมโขง 
หมดฤดูเก็บเกี่ยว
ระหว่างทางไปบ้านที่อยู่บนภูเขา
น้องแมวหาความอบอุ่น





 

Create Date : 22 ตุลาคม 2555    
Last Update : 22 ตุลาคม 2555 16:27:25 น.
Counter : 1920 Pageviews.  

1  2  3  

Backlit.Iconic
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ค้นพบว่าการถ่ายรูปและการเดินทางทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น เป็นงานอดิเรกที่ไม่เคยเบื่อ ชอบแวะเวียนไปชิมอาหารและขนมจากร้านบรรยากาศดีๆ ชอบงานสถาปัตยกรรมและการอ่านหนังสือ :)

ข้อความและภาพถ่ายทุกรูปในบล็อคนี้ขอสงวนลิขสิทธิ์ค่ะ ห้ามเผยแพร่ ดัดแปลง ลงในสื่ออื่นๆโดยไม่รับอนุญาต หากต้องการนำรูปหรือข้อความไปเผยแพร่หรือใช้ในทางพาณิชย์ กรุณาติดต่อเจ้าของบล็อคที่ backlit.iconic@gmail.com หรือทางกล่องข้อความนะค่ะ

รับชมบล็อค wordpress ได้ที่ http://backliticonic.wordpress.com ค่ะ
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Backlit.Iconic's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.