Iced Tea ที่ Nepal - ตอนที่ 6
วันที่ 6: Tadapani Ghandruk วันของเส้นทางขาลงซึ่งสวนทางกับระดับความภูมิใจที่แต่จะมากขึ้น
เป็นเวลานานมากแล้วที่เราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า แถมพระอาทิตย์วันนี้มากับยอดเขาหางปลาหรือมัชฉาปูชเรย์ (Machapuchare)
เช้าวันนี้พิเศษกว่าวันอื่นๆในการเดินเทรคกิ้ง เพราะไม่ต้องมองหาพระอาทิตย์ แค่เปิดประตู ก้าวออกมาจากห้องนอน ก็ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตพอดี แถมเป็นช่วงที่เค้าเพิ่งจะทักทายดาวเคราะห์โลกพอดี
ด้วยความที่เรายังเป็นมือสมัครเล่นสำหรับการถ่ายรูป พอรู้พื้นฐานและเทคนิคการถ่ายพระอาทิตย์ให้กลมโตบ้าง แต่ดูเหมือนคราวนี้จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ถ่ายออกมาเบี้ยวๆบ้าง เป็นหกเหลี่ยมไปเลยบ้าง สรุปว่าถึงมีความรู้แต่ไม่ค่อยได้ฝึกปรือ ก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นความชำนาญหรือทักษะได้ (..จากพระอาทิตย์ขึ้น ออกทะเลไปถึงเรื่องทักษะเลย..)
เวลาตอนเช้า มักเป็นช่วงเวลาพิเศษที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน สำหรับคนชอบถ่ายรูป ก็มีศัพท์ที่เรียกชั่วโมงตอนเช้าไว้ว่า Golden Hour คือ เป็นช่วงของพระอาทิตย์ขึ้น มีแสงสีทองสาดไปทั่วท้องฟ้า พอได้ยินคำนี้ครั้งแรกก็พานนึกถึงโฆษณาของกาแฟสำเร็จรูป Nescafe ที่ชอบโปรยคำว่า "ช่วงเวลาอันแสนอบอุ่น" พร้อมมีพรีเซ็นเตอร์นั่งดื่มกาแฟท่ามกลางขุนเขาและสายหมอก เคลิ้ม...
วันนี้เราก็ได้เห็น "ช่วงเวลาอันแสนอบอุ่น" ที่หมู่บ้าน Tadapani เช่นกัน นักท่องเที่ยวต่างเปิดประตูห้องนอนมาดูพระอาทิตย์ขึ้น บ้างก็ลงไปนั่งจิบน้ำชากาแฟ บ้างก็เก็บเสื้อผ้าที่ตากกันไว้ ชาวบ้านเริ่มทะยอยแบกโต๊ะมาวางสินค้าที่ระลึก ภูเขาหิมะเริ่มโผล่หน้าออกมาทักมาย กลิ่นอาหารค่อยๆลอยมาแตะจมูก เป็นสัญญาณว่าอาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟแล้ว กลายเป็นว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่เราชอบมากที่สุดในบรรดา 4 หมู่บ้านที่พักระหว่างเดินทาง
นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นกับความตั้งใจในการเก็บภาพภูเขาหิมะกับพระอาทิตย์
เสร็จจากการเก็บกระเป๋า ทานอาหารเช้า ก็เริ่มออกเดินทางกัน เส้นทางวันนี้คุณไกด์บอกว่าเป็นขาลงมากกว่าเมื่อวาน เรากะเอาเองว่าเป็นเส้นทางลงแบบชัน 50%, ทางลงเป็นบันไดเดินง่าย 30% อีก 20% เป็นป่าและเส้นทางเรียบ ช่วงเช้าของการเดินทางเป็นป่าดิบชื้น สายถึงบ่ายเป็นทางลงลาดชัน ชนิดต้องขอบพระคุณและกราบไม้เท้าที่เช่ามางามๆ ที่ช่วยในการทรงตัวได้ดีเยี่ยม ตอนเย็นถึงจะเข้าเขตหมู่บ้านและเส้นทางเรียบๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเดินสบายเท้าขึ้นอย่างมาก...
ศิลปะในป่า ชอบมุมแบบนี้จัง ระหว่างที่เดินทางในป่าดิบชื้น มีเหตุการณ์ที่กระตุ้นสมองเราให้กระปรี้กระเปร่าแต่เช้า นั้นคือ การพบเจอสัตว์น้อยร่วมโลกที่พากันขึ้นมาบนดินเมื่อความชื้นสูง .. สัตว์น้อยที่ว่าคือ ไส้เดือน มากันเต็มป่าเลย ชนิดไม่รู้จะเดินไปทางไหนไม่ให้เหยียบ ต้องท่องแผ่เมตตาไปหลายจบ แล้วก็รู้สึกจั๊กจี้พิลึก อีกอย่างคือ เราได้พบเจอกับหนูน้อย 7 ขวบอีกครั้งตามที่ได้เขียนไปในบันทึกวันที่ 4 น้องยังเดินลัลล้าอย่างกับหนูน้อยหมวกแดงเดินเก็บผลไม้ในป่า แถมยังร้องเพลงไปด้วย สังขารหนอสังขาร...
ภูมิทัศน์เปลี่ยนแปลงไปหลายแบบในการเดินทางวันนี้ จากที่เจอภูเขาหิมะ อากาศเย็นจนฟันกระทบกันเวลาแปรงฟันตอนเช้า ก็กลายเป็นป่าดิบชื้น เต็มไปด้วยเฟิร์นกับเสียงสัตว์ที่ได้ยินมาแต่ไกล จากป่าก็กลายเป็นหมู่บ้าน เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดคล้ายกับวิววันแรกที่เราเจอ นี่คงเป็นสัญญาณว่าการเดินทางกำลังจะเวียนไปจบที่จุดเริ่มต้นแล้ว
พี่ม้าพี่ลากลุ่มนี้น่ารัก มีที่คาดผมด้วย >.< แต่กล้องดัน autofocus ไปที่สัมภาระซะงั้น
เพิ่งรู้ระหว่างการเดินทางวันนี้ว่า คนที่คุมขบวนสินค้านี่เค้าสามารถสื่อสารกับม้าลาได้ด้วยนะ คือแค่ส่งเสียง ปี๊ดๆ พวกม้าลาก็เหมือนจะรู้ว่าต้องเดินไปซ้าย หรือเดินไปขวา
นักเดินทางที่มากันเองก็สามารถใช้เส้นทางนี้ไปยังหมู่บ้าน Ghorepani หรือ Poon Hill ได้ ซึ่งก็ได้อธิบายไปในการเดินทางวันที่ 5 แล้วถึงเส้นทางโดยรวมของ Poon Hill Trek ส่วนตัวคิดว่าถ้าเดินขึ้นทางนี้ ต้องผ่านโขดหินสูงๆและลาดชันกว่าเส้นทาง standard ที่บริษัททัวร์จัดกัน ค่อนข้างกินแรงและอาจทำให้กล้ามเนื้อเจ็บกว่า
คำแนะนำอีกอย่างที่เจอจากการเดินทางจริงก็คือ "ไม้เท้า" มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับเส้นทางขาลง เพราะไม้เท้าช่วยค้ำและพยุงร่างกายให้ทรงตัวได้ดีขึ้น เวลาที่ต้องปีนป่าย หรือก้าวลงจากโขดหินสูงๆ ส่วนคุณไกด์กับลูกหาบนั้น เหมือนฝึกวิทยายุทธกันมาหลายปี ทรงตัวได้ดีไม่ต้องพึ่งไม้เท้า แถมยังเพลิดเพลินไปกับการเก็บสมุนไพรและนำต้นไม้กลับบ้านด้วย :3
ความสามารถอีกอย่างของคุณลูกหาบที่เราเพิ่งจะรู้ระหว่างเดินทางในป่า ก็คือ การเลียนเสียงสัตว์ มาทั้งลิง กวาง หมา แมว หมู โดยเฉพาะลิง เหมือนจนลิงตัวจริงขานรับกลับ !
ถึงตรงนี้เป็นชาวบ้านกำลังช่วยกันทำไร่ทำนาก็อดเก็บภาพไม่ได้ แต่..
..
คุณป้าคนนึงดันหันมาเห็นกล้อง แล้วก็บ่น $#@^%& คุณป้าท่านอื่นๆก็พากันส่งเสียงเอะอะ จนคุณไกด์ต้องตอบกลับเป็นภาษาเนปาลีไปสองสามประโยค
จนกระทั่งเราเดินผ่านพ้นสายตากลุ่มคุณป้าการเกษตรไปนี่ล่ะ คุณไกด์ถึงจะเล่าว่า เหล่าคุณป้าต่างบ่นว่าจะเก็บค่าถ่ายรูป เพราะเห็นนักท่องเที่ยวเดินผ่านกี่คนๆก็ถ่าย เห็นเด็กๆยังได้ลูกอมกันคนละเม็ด ต้องกราบขอประทานโทษอย่างงามๆที่รบกวนคุณป้า
เด็กๆที่ว่านี่คือเด็กๆในโรงเรียน ซึ่งอยู่ถัดไปจากบ้านนี้เพียงไม่กี่เมตร จริงอย่างที่คุณป้าการเกษตรว่า เด็กๆพวกนี้ถ้าไม่ได้ลูกอมก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว เล่นกรูกันมาขอเลย เราเดินผ่านนี่กะจะไม่ให้ล่ะ เพราะเหมือนจะมาแย่งของกันมากกว่า แต่สุดท้ายก็ให้ไป 1 คนเพราะเห็นว่าไหนๆก็จะจบการเดินทาง ให้แต่ลูกอมฮาร์ทบีทนะ ส่วนช็อกโกแลตคิท-แคท ยังคงเก็บไว้กินเอง :P
ตามแผนการเดินทางจริงๆ เราต้องได้พักที่บ้านพักซักหลังในรูป แต่เพราะที่พักเต็ม จึงต้องย้ายที่มาพักอีกแห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างอับ เต็มตอนเย็นฝนตก ทำให้เปิดหน้าต่างถ่ายเทไม่ได้ จะมีช่องทางให้อากาศถ่ายเทก็แค่ช่องระบายอากาศในห้องน้ำ
เห็นนักเดินทางหลายคนฝ่าแรงลมและฝนไปไม่ไหว ต้องตัดสินใจหยุดพักที่บ้านพักเดียวกันกับเรา ที่บ้านพักนี้เราได้เห็นห้องครัว และการทำครัวชนิดติดตาไปหลายวัน นั้นคือ การเห็นการเชือดไก่เป็นๆ ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้จะเกี่ยวพันกับ "ไก่" อยู่ไม่น้อย ตั้งแต่วันแรกที่เราถ่ายภาพซีรี่ย์ไก่ วันที่ 4 ของการเดินทางที่เห็นกลุ่มเซี่ยงไฮ้นั่งกินไก่ย่างตัวใหญ่ และวันนี้ที่เห็นการปรุงอาหารแบบตื่นตาตื่นใจ
ขาเราวันนี้เป๋หนักกว่าเดิม แม้จะใส่รองเท้าแตะสบายๆ ยังเดินเหมือนเป็ด ใครเห็นก็รู้ว่า กล้ามเนื้อปวดร้าวไปถึงสะโพก เวลาเดินลงบันไดเจ็บกว่าเวลาขึ้นบันได
ความทรงจำตอนกลางคืนในวันนั้นเหมือนจะถูกลบเลือนไป คงจะเป็นเพราะกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นในคืนแรกๆของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการกินวิตามินซี, นวดเท้า, ทา counter pain, ปิดพลาสเตอร์ยาและปิดแผ่นคลายกล้ามเนื้อ มันถูก repeat ซ้ำไปซ้ำมาจนหมดความน่าตื่นเต้นและกลายเป็นกิจวัตร
ตื่นมาพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว
Create Date : 02 เมษายน 2556 |
Last Update : 2 เมษายน 2556 19:24:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1511 Pageviews. |
|
|