นั่งๆ นอนๆ
กลับเมืองไทยมาได้สามอาทิตย์มากิน นอน นั่ง จนน้ำหนักขึ้นมาสามกิโล ไอ้ที่เพรียวๆ ตอนกลับมาใหม่ๆ ก็อยู่ให้เชยชมแค่สองสามวันเท่านั้น (ทำไมความอ้วนจึงไม่ปราณีกันบ้างนะ) แถมกลับมานั่งดูน้ำท่วม จะไปไหนก็ไม่ได้ จะไปบางกอกถนนก็ขาด จากเดิมนั่งรถห้าชั่วโมงถึง ตอนนี้สิบชั่วโมงจะถึงมั้ยยังไม่รู้เล้ย จะขึ้นเหนือไปเชียงใหม่อย่างที่คิดไว้ตอนแรกก็ล้มเลิก เพราะแรกน้ำยังท่วมอยู่ ดินถล่มอีก ถามเพื่อนติ๊กที่นัดกันไว้ตั้งแต่อยู่ฝรั่งเศส เพื่อนว่ามาเหอะ ตอนฉันมาก็เจอดินถล่มเหมือนกัน ตอนนั้นหลับอยู่ แต่ตื่นเพราะคนเสียงดังรบกวนการนอนของหล่อน อ้าว...แล้วฉันควรจะไปมั้ยนี่ เวิ่นเว้อจนในที่สุดก็ยกเลิก ด้วยใจอยากอยู่บ้านกับพ่อแม่นั่นแหล่ะ ไม่ได้กลับมาปีกว่า อยู่กับแม่แค่สามสิบวันรู้สึกจะน้อยนิด เลยขอใชเวลาให้คุ้มค่า เพื่อนฝูงคงต้องเอาไว้ก่อน ไม่เป็นไร เฟสบุ๊คคุยกันก็ได้มั้ง...

บล็อกที่แล้วเล่าถึงเมือง Mas d’Agenais ค้างไว้ ที่ทิ้งไว้นานไม่ใช่ไม่ว่าง แต่ไม่มีอารมณ์ซะมากกว่า ตอนแรกเคยคิดว่า เฮ้ย...ต่อให้เวลาผ่านไปนานแล้วค่อยกลับมาเล่าก็คงอินเหมือนกันแหล่ะ ที่ไหนได้ อารมณ์ตอนนั้นมันไม่สามารถถ่ายถอดได้อย่างที่รู้สึก เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านมาเกือบสองเดือน บางทีก็ชักนึกไม่ออก รึฉันจะยกเลิกแล้วค่อยว่ากัน หรือจะรวบรัดตัดตอนเอาถึงตอนจบ (ก่อนกลับเมืองไทย) ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นบทเรียนว่า อัพสดๆ ใหม่ๆ ร้อนๆ แบบทันเหตุการณ์มันอินกว่ากันเยอะ คราวหน้าฉันจะเขียนใส่กระดาษไว้ก่อน ต้องเลี้ยงแบตโน๊ตบุ๊กไว้เพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ ที่เรือมีแต่ไฟจากแบตเตอรี่เครื่องยนต์ ต้องใช้ตอนติดเครื่องเท่านั้น ใฝ่ฝันอยากได้แผงโซล่าเซลล์ แต่งบประมาณยังเดินทางมาไม่ถึง เลยต้องใช้พลังงานกันแบบประหยัดที่สุด




จริงๆ แล้วช่วงหนึ่งเดือนก่อนกลับเมืองไทย ทริปคลองแสนแสบ เอ้ย....คลอง Canal de Garonne กับ Canal du Midi ไม่ได้ราบรื่นดั่งหวัง (อีกตามเคย) ช่วงสองอาทิตย์แรกทุกอย่างดูดี ค่อยๆ ล่องกันไป ชมเมืองเล็กๆ ริมคลอง กันไป มีอยู่วันกำลังเข้าประตูน้ำ เจอคนเอเชียมีอายุเข้ามาทักทาย ที่ไหนได้คนไทยด้วยกัน อะไรจะบังเอิญขนาดน๊าน ก็คุยกันไป น้ำในประตูก็เติมเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนสามีอิฉันก็แซวว่าเจอคนไทยเม้าท์กันเมามันส์เชียวนะ แต่สุดท้ายสองหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยต่างหากที่เม้าท์กันสนั่นคลอง ไม่ยอมขยับ สรุปว่าใช้เวลาที่ประตูน้ำนี้เกือบชั่วโมง ตอนออกมาเห็นเรือลำนึงรออยู่ โถ...คงรอพวกฉันอยู่นาน (การจะเข้าประตูน้ำ ถ้ามีเรืออยู่ในประตู เรือที่มาทางตรงข้ามจะต้องรอให้ประกอบกิจในประตูให้เสร็จก่อน ประตูจึงจะเปิดให้เข้าได้) อ้อ...ลืมบอกไปว่าคืนก่อนหน้านั้นพวกฉันสองคนพากันดำผุดดำว่ายในคลองแบบไม่เต็มใจหน้าประตูน้ำเมือง Valence d่’Agen (ประตูนี้จะจนวันตาย) ด้วยสามีดันทำแว่นกันแดดอันโปรดของตัวเองหล่นลงไปในน้ำ อันนี้รักมาก ถึงขนาดทุ่มเทยอมโดดลงน้ำไปหาทั้งๆ ที่เท้าถูกน้ำไม่ได้ ดำหาอยู่พักใหญ่ๆ ก็หาไม่เจอ ฉันสงสารเลยยอมเสนอตัวลงไปหาอีกคน (ในใจได้แต่คิดว่า ไม่น่าเลยตรู) สรุปว่าเปียกมะร่อกมะแร่ก แถมแว่นก็หาไม่เจอ ฟ้ามืดเลยต้องตัดใจยอมขึ้นจากน้ำ คืนนั้นสามีนอนไม่หลับกระสับกระส่ายคิดถึงน้องแว่น ส่วนฉันขอนอนดีกว่า...เช้ามาสามีไม่ย่อท้อ ขอหาอีกที ไปขอยืมเสียมจากคนเฝ้าประตูน้ำมัดกับไม้ถูพื้นเอาไปแหย่ๆ แทงๆ ใต้น้ำ จนในที่สุดก็ตกแว่นอันโปรดกลับมาได้ โอ้ว...เหลือเชื่อจริงๆ ยังจะเจออีก

ค่อยๆ ไปกันต่อ จนถึงเมืองตูลูสช่วงต้นเดือน ผ่านประตูน้ำสามบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูกั้นคลองทั้งสองคลอง ตอนนี้พวกฉันเข้าสู่คลองมิดีเรียบร้อย แต่ไอ้ประตูสามบานนี้มันอะเมซซิ่งมากมาย บานแรกก็ว่าสูงแล้ว เจอบานที่สามพวกฉันอึ้งไปเลย ปกติฉันจะเป็นคนโดลงเรือไปรอรับเชือกข้างบน แต่บานนี้ฉันมุ่งมุ่นวิ่งอ้าวขึ้นมากลัวไม่ทันสามี พอโผล่หน้าลงไป เอ่อ...นั่นน่ะไม่ต่ำกว่าห้าเมตร สามีคงโยนเชือกไม่ถึง จำต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะ ฉันได้แต่ลุ้นอยู่ข้างบน พอออกมาก็จอดเรือหน้าสถานีรถไฟ จุดนี้สามีรีเควสมาก ดูจากคู่มืออายุสามสิบปี เค้าบอกว่าต้องจอดที่นี่เท่านั้น ใกล้ใจกลางเมือง เดินเที่ยวสะดวก แต่ลืมคิดไปว่าสามสิบปีผ่านไป มันเปลี่ยนไปแล้ว จุดนั้นมีเรือขนสินค้าลำใหญ่ที่เอามาเปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึกจอดอยู่ พอพวกฉันเตรียมจอดเจ้าของร้านก็มาบอกว่าจอดไม่ได้ เพราะจะมีเรือร้านอาหารมาจอด แต่ด้วยความหน้าด้านของพวกฉัน มีรึจะไม่จอด พวกฉันเลยจอดแอบๆ พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ช่วงสายๆ ของวันรุ่งขึ้นเรือร้านอาหารก็เข้ามาจอดได้ พวกฉันเลยเข้าไปแย๊บๆ จนได้จอดอยู่ตรงนั้น 5 วัน



Create Date : 15 ตุลาคม 2554
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 0:11:57 น.
Counter : 610 Pageviews.

1 comments
  
สวัสดีปีใหม่ครับ

มีความสุขมากๆ นะครับ
โดย: bayesian วันที่: 3 มกราคม 2557 เวลา:23:22:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tibou
Location :
Phisanulok  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เด็กอ้วนถือกำเนิดกลางตลาดเมืองสองแคว เมื่อ 31 ปีที่แล้ว จากนั้นก็ชีพจรลงเท้าไปเรียนประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างชีพจรก็พาสองเท้าเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังเมืองน้ำหอมพร้อมกับความตั้งใจที่จะพูดภาษาฝรั่ีงเศสที่ใฝ่ฝันอยากเรียนสมัยมัธยมให้ได้ แล้วอุบัติรักกับหนุ่มเมืองน้ำหอม(สามีสุดเลิฟ)ก็เกิดขึ้น ปัจจุบันย้ายกลับมาอยู่ฝรั่งเศสอีกครั้งพร้อมทำหน้าที่แม่บ้าน กรรมกร(บนเรือ)กับสามีอันเป็นที่รัก พร้อมกับพยายามสานฝันอาชีพนักแปลให้สำเร็จ เพื่อให้นักอ่านบ้านเราได้มีโอกาสสัมผัสวรรณกรรมฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น สองคนผัวเมียตั้งฝันเดินทางรอบโลกด้วยเรือลำน้อยของเราในอีกสามปีข้างหน้า จุดหมายไปทางยังไม่ระบุ ที่แน่ๆขั้วโลกอยู่นอกเส้นทาง