ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๐๖๕-รถไฟขบวนที่ ๔ (โบกี้ที่ ๑)



เสียงเคว้ง ๆ จากระฆังแว่วดังเข้ามายังโสตประสาทข้าพเจ้า ในตอนเช้าตรู่ของวันนั้น อันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการจากไปของ ขบวนรถไฟขบวนเที่ยวที่ ๔ ข้าพเจ้าพยายามเหยียดกายจะลุกขึ้นจากที่นอนอันแสนอบอุ่น แต่จากความอ่อนเพลียจากการหลับใหล มาอย่างยาวนาน
ทำให้ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะ ลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน และตัดสินใจหลับต่อในตอนเช้ามืดนั่นเอง

“ตื่น ตื่น ได้แล้ว…” มีเสียงกระซิบแว่วมาไกล ๆ

ข้าพเจ้าพยายามบังคับตัวเอง ให้ฟังเสียงกระซิบนั้น และเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งออก เนื่องด้วยถูกแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงในตอนสายส่องผ่านม่านตา ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจจะนอนต่อไปได้อีก และพยายามตั้งใจฟังเสียงกระซิบที่แผ่วเบานั้น ซึ่งมันกำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ

“ท่านไปแล้ว ท่านไปกันหมดแล้ว คุณจะมัวนอนอยู่ทำไม…”

ไปแล้ว ไปแล้วหรือ…ไปไหนกัน? ข้าพเจ้านึกไม่ออก

ไม่ช้าเสียงระฆังในตอนเช้าเมื่อครู่ก็ แวบเข้ามาในสมอง

“รถไฟเที่ยวที่ ๔….” ข้าพเจ้าอุทานออกมาอย่างตกใจ

“ตายแล้ว ๆ ไม่ทันอีกแล้วเหรอนี่ … เราพลาดมาหลายขบวนมากแล้วนะ” ข้าพเจ้านึกอย่างท้อใจ

และกว่าจะลุกขึ้นจากที่นอนได้ก็เที่ยงวันกว่า ๆ รีบจัดแจงแต่งตัวกินข้าว หิ้วกระเป๋า วิ่งออกไปยังชานชลา ที่นั่นมีคนออกันอยู่อย่างหนาแน่น บางคนสบถถึงความพลาดหวังที่ไม่ทันขึ้นรถไฟ

บางคนก็จับกลุ่มวิพากษ์ วิจารณ์ความงดงามของรถไฟขบวนนั้น ทั้งที่ตนมีโอกาสแต่ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้ บางคนร้องไห้หลั่งน้ำตาเมื่อรู้ว่าต้องรอขบวนต่อไป

ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่าทุกคนนั้นต่างก็กำตั๋วรถไฟกันแน่น แต่บางคนมีตั๋วรถไฟแล้วกลับฉีกตั๋วทิ้งอย่างผิดหวัง และเดินกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ

ข้าพเจ้าวางกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ๆ ลงกับพื้น ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความหวัง คราวนี้มันมีน้ำใส ๆ หลั่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว มือขวาที่กำตั๋วรถไฟ เกิดสั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั่งใจ ขาทั้งคู่ที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแอลงอย่างคนหมดอะไรตายอยากในชีวิต

ข้าพเจ้าทรุดลงกับพื้น พยายามจะไม่ให้น้ำตานั้นไหลออกมา แต่ก็ไม่อาจจะห้ามมันไว้ได้ยังไง เสียงร้องไห้ดังระงมอยู่ทั่วไปทั้งชานชลา หนึ่งในนั้นก็มีข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย

“ถ้าเพียงแต่เรา… ไม่ห่วงนอนเกินไป ก็คงจะมาทัน…” ข้าพเจ้านึกโทษความขี้เกียจของตัวเอง ความเกียจคร้านเอาแต่นอน ทำให้พลาดหวังจากสิ่งที่มีค่ามากที่สุดไป นึกแล้วก็โมโหตัวเองอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป


ภายในเมืองที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัยนี้ มีประชากรอยู่กันอย่างหนาแน่น ทุกคนต่างทำมาหากินกัน บางพวกมีความสุขจากการทำงาน บางพวกชอบการร้องรำทำเพลง บางพวกเป็นนักการเมือง บางพวกก็เป็นคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ มาตอบสนองความต้องการ บางพวกก็เป็นขโมย บางพวกก็เป็นคน… (อีกมากมาย)

แต่ถึงอย่างนั้น ประชากรจำนวนมากของที่นี่ ก็ยังอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ เพราะมีความสะดวกสบายมากมาย ถึงแม้ทุก ๆ อาทิตย์ จะเกิดแผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติ เกิดน้ำท่วม บางครั้งก็มีอุกกาบาตตกลงมา ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ได้บั่นทอนชีวิตของคนในเมืองนี้ ให้ล้มหายตายจาก และต้องพลัดพรากจากของที่รัก ที่ชอบใจ อย่างไม่มีวันจบสิ้น

ข้าพเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สูญเสียคนรักและทรัพย์สินมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าจะมีค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัยอย่างคุ้มค่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอุุ่นใจได้เลยสักนิดเดียว


*อ่านต่อใน โบกี้ที่ ๒




 

Create Date : 22 กันยายน 2551    
Last Update : 22 กันยายน 2551 7:28:36 น.
Counter : 342 Pageviews.  

๐๖๔-อาณาจักรของ…ตัวเงินตัวทอง



สองปีก่อนได้นั่งรถเมล์ ไปทำธุระแถว ๆ สนามหลวง ขากลับผ่านสวนสัตว์ดุสิต สะพานแดง และกองทัพบก บริเวณใกล้ ๆ นั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็น คลองระบายน้ำ มีน้ำเน่าเหม็น สีดำ ๆ ไหลออกมาจากท่อระบายน้ำ ทำให้ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เหลือ จากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งหลาย ที่เรารังเกียจกัน

ข้าพเจ้ามองไปเห็น เจ้าตัวเงินตัวทองตัวหนึ่ง กำลังว่ายน้ำเน่าไปมา โดยที่มันไม่รังเกียจ ความเน่าเหม็นเลยสักนิด หรือบางทีมันอาจจะชอบก็เป็นไปได้ เพราะตั่งแต่มันเกิดมา มันคงไม่ได้เห็นได้สัมผัสกับน้ำที่สะอาด สดชื่น ตามธรรมชาติ แต่นั่นมันคงไม่ได้อยากเรียกร้องอะไร ขอให้มีที่อยู่ มีอาหาร มีการผสมพันธุ์ ออกลูกผลิตหลานให้เยอะที่สุดก็เพียงพอ
จนบัดนี้ประชากรตัวเงินตัวทอง คงแผ่ขยายนับหลายหมื่นตัว ภายใต้กรุงเทพ ฯ (เคยได้ยินข่าวงานวิจัยกันว่าอย่างนั้น)

ลองมานั่งนึกดูว่า ถ้าเราเกิดเป็นตัวเงินตัวทองบ้าง เราจะรู้สึกรังเกียจ สภาพแวดล้อมแบบนี้หรือเปล่า

'คำตอบ' คือ เราจะไม่รู้สึกว่าน้ำเน่า คือน้ำเน่าน่ารังเกียจเลยสักนิด และพร้อมจะยินดี ที่จะอยู่ในสภาพแบบนั้น และจะมองหาตัวเมียผสมพันธุ์ ตามสัญชาติญาณเป็นแน่ และคงจะรู้สึกตัวเองโชคดีที่เกิดมาเป็นตัวเงินตัวทองเท่านั้น

สิ่งนี้เองเป็นธรรมชาติจัดสรรค์ ในทางพุทธศาสนาก็คือกรรมนั่นเองเป็นตัวจัดสรรค์ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นธรรมชาติ ตามความเป็นจริง
ไม่ต่างอะไรกับที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเองก็ยังรักใน ภพภูมินี้ ไม่อยากจากไปไหน และมักจะอธิษฐานให้ได้เิกิดเป็นมนุษย์อีก เราเองก็มองไม่สามารถมองเห็นความสวยงาม และน่าอยู่ของภพอื่น

เทวดาเองก็ต้องรังเกียจ มนุษย์ไม่น้อย เขาไม่ได้รังเกียจเพราะเหตุที่มนุษย์นั้นเป็นศรัตรูแต่ที่เขาเกียจคือ สภาพการดำเนินของชีวิตบางพวก(ส่วนใหญ่) เต็มไปด้วยอกุศลกรรม ซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจของเทวดา เพราะพวกเขารู้ดีว่าการเข้าใกล้ มนุษย์จำพวกนี้ จะทำให้เขาติดมลทินไปด้วย ประมาณว่าเหมือนกับเราลงไปคลุกน้ำเน่ากับพวกตัวเงินตัวทองอย่างนั้น

ดังจะเห็นได้จากพระสูตรที่กล่าวที่ว่า หากมีพวกมนุษย์อยู่ ณ สถานที่ใด เทวดาผู้มีศักดิ์ จำต้องหลีกให้ไกลออกไปถึง ๑๒ โยชน์(ถ้าจำตัวเลขไม่ผิด) คือไม่กล้าเข้าใกล้เลย จะยกเว้นก็เพียงเทวดาชั้นต่ำ ๆ ชั้น จาตุมหาราชิกา ที่เลือกที่อยู่เองไม่ได้ ต้องอาศัย ต้นไม้ บ้านเรือน ซุ้มประตู ของมนุษย์เป็นที่อยู่ที่อาศัยแทนเท่านั้น

ดังนั้นการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นเราควรที่จะพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เทวดา ต้องไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนต่างก็รักภูมิ ภพ ของตัวเองไม่ต่างกัน...อย่างนั้น




 

Create Date : 18 กันยายน 2551    
Last Update : 18 กันยายน 2551 8:41:42 น.
Counter : 1526 Pageviews.  

๐๖๓-เมื่อไม่เกิดก็ไม่สนุก…(จริงหรือ)



แต่ก่อนเคยมีคำถามประเภทนี้อยู่ในใจข้าพเจ้าหลายปีเช่นกัน เขาว่ากันว่านิพพาน คือความดับ ความสูญจากกิเลส และไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
สำหรับคนทั่วไป พอรู้ว่าไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ก็รู้สึกสะดุ้งโหยง เพราะคิดว่าคงต้องจากครอบครัว จากคนที่เรารักใคร่ ของที่ชอบใจไปชั่วนิรันดร์
ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะนิพพานหรือไม่ เราก็ต้องจากสิ่งนั้น ๆ ไปอยู่ดี

นี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่งซึ่งบังตาเราไม่ให้เห็นสัจธรรม ความเป็นจริงของชีวิต
ทำให้เราไม่รู้สึกรักคำว่านิพพาน เพราะเราไม่รู้ว่าจะดับทุกข์ไปเพื่ออะไร
เพราะก็มีบางคนก็ชอบทุกข์เหมือนกัน เช่น ชอบเวลาอกหัก มันรู้สึกเจ็บ รู้สึกชีวิตมีรสชาติดี อะไรประมาณนั้น ชอบทรัพย์สิน สมบัติ ชอบการเยินยอ ชอบนินทาว่าร้าย รวมถึงชอบความสวยความงาม และอีกมากมาย ฯลฯ

ช่วงที่ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาแนวทางพุทธอย่างเอาจริงเอาจังนั้น หนังสือเล่มแรก ๆ เลย ก็คือเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ แนว ๆ ไตรภูมิพระร่วงนั่นแหละ ถ้ามีหนังสือแนวสวรรค์นี้ จะตัดสินใจซื้อมาอ่านเลยโดยไม่ลังเล ว่าเนื้อหาจะซ้ำกับที่เคยอ่านหรือไม่

เพราะอ่านไป มันได้ทั้งความสุข ความเพลิดเพลิน ตามที่ผู้เขียน หรือพระผู้ทรงญาณ เล่าให้ฟัง อ่านจบเราก็อยากจะไปสวรรค์ บางครั้งยังอฐิษฐาน ว่าตายแล้วขออให้ขึ้นไปอยู่สวรรค์ ชั้นนี้ ๆ ด้วยเถิด ตกเย็นก็ตั้งวงกินเบียร์ที่ร้านประจำหลังออฟฟิศเหมือนทุกวัน
ก็เลยมานั่งนึกว่า เราอยากไปสวรรค์ ชลอยว่าที่เราทำอยู่นี่มันทางไปนรกชัด ๆ เลย ทั้งนินทา ว่าร้าย ใส่ร้าย ผู้ร่วมงาน กินเหล้า เที่ยวผับ(ไม่ใช่เที่ยวผู้หญิงนะ)

หลายครั้งที่จะเลิกแต่ทำใจไม่ได้ เพราะสวรรค์ก็อยากไป แต่ก็ไม่อยากเลิกในสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ สังเกตตัวเองว่า หนังสือเกี่ยวกับนรกนั้นจะไม่แตะต้องเลย ไม่อยากอ่าน ไม่อยากรับรู้
มันอาจจะเป็นเพราะไม่กล้าอ่านก็ได้ กลัวว่าอ่านไปแล้ว จะตรงกับตัวเองเสียทุกเรื่อง แล้วเราต้องเลิกสิ่งที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน

แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องหาอ่านเพราะว่า อ่านเรื่องสวรรค์จนจำได้หมดแล้ว ฟังพระเทศน์ เรื่องสวรรค์แค่ท่านพูดประโยคแรก ข้าพเจ้าก็ทายได้แล้วว่าท่านจะพูดถึงเรื่องอะไร ใครทำอะไร ที่ไหน สวรรค์ชั้นไหนเป็นอย่างไร จึงรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงหาหนังสือเกี่ยวกับนรก เปรต อสุรกาย อ่านดูบ้าง แต่นรกนั้น ท่องจำยาก ยากต่อการอยากจะจดจำ เพราะมันมีแต่ความทรมาณ ยิ่งอ่านมากขึ้น ก็ทำเกิดความเบื่อหน่ายการทำชั่วทั้งปวง เพราะเราไม่อยากตกนรก นี่เอง เราก็ไม่อยากเกิดเป็น เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หรือมนุษย์ที่พิการ เบาปัญญา จึงทำให้เริ่มศึกษาและปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา รักษา ศีลอย่างเคร่งครัด มากขึ้น ๆ ๆ ทุกวัน

อุบายหนึ่งที่ใช้ได้ผลตลอดคือ นึกในใจว่า

“ชีวิตเรา ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งนี้นั้นสั้นนัก ชลอยจะอยู่ไม่ถึง ๕๐ ปีเสียกระมัง หากทำชั่วต้องตกนรกและชดใช้กรรมอยู่ในนั้น เวลาในขุมนรกนั้นก็เนิ่นนานเป็น เวลาหลายร้อยล้านปีโลกมนุษย์ กว่าผลกรรมจะชดใช้หมด มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะเสี่ยงกลับไปนรกอีก และไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาเป็นมนุษย์มีสติปัญญาดีเช่นนี้อีกครั้ง อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำเวลาอันน้อยนิดของเราให้เป็นประโยชน์ ทำกุศลความดีให้มากที่สุด ไม่ขอทำความชั่วทั้งหลายทั้งปวง อีกต่อไป ”

ทุกวันอาทิตย์จะเข้าวัดมากกว่าเดินห้าง ตอนเย็นจะสวดมนต์ ทำสมาธิ และตอนเช้า(บางวัน)จะตื่นเช้าลงใส่บาตรที่ตลาด อยู่ประมาณ ๒ – ๓ เดือน กว่าจะทำใจให้มีความรัก สิ่งที่เรียกว่า “นิพพาน” ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดำเนินเป็นไปตามขั้นตอนของมัน เราไม่อาจจะรักคำว่า นิพพานได้อย่างบริสุทธิ์ใจ หากเรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม รักษาศีล และเจริญสมาธิ แม้จะมีคนชักชวนสักกี่ร้อยหน แต่หากไม่ปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตนเอง ก็ยังไม่มีความรักในนิพพาน ข้าพเจ้าใช้คำว่า ความรักในนิพพาน ไม่ได้แปลว่า ข้าพเจ้าถึงแล้วซึ่งนิพพาน แต่เป็นความรักที่ปรารถนาการเข้าถึงนิพพาน และเชื่อว่ามีอยู่จริงและพิสูจน์ให้เห็นได้ในปัจจุบัน ณ ชาตินี้เอง

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คนปกติ พอได้ยินเรื่องการไม่ต้องกลับมาเกิดนั้น จะรู้สึกกลัว เพราะเขายังไม่เข้าใจว่านิพพานนั้นวิเศษแค่ไหน และเขาโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เกิดทันยุคแห่งความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในครั้งนี้




 

Create Date : 16 กันยายน 2551    
Last Update : 16 กันยายน 2551 7:42:05 น.
Counter : 362 Pageviews.  

๐๖๒-แรงดึงดูดของ…เงากิเลส



แรงดึงดูดของโลกนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก มันทำให้เราได้รู้จักคำว่า กระโดด การตก
การลอยตัว ทำให้เราเป็นผู้ที่อยากเอาชนะแรงดึงดูด มนุษย์จึงเิริ่มต้นเรียนรู้ ศึกษาเก็บข้อมูล ดูพฤติกรรม ของสัตว์และธรรมชาติ ข้อมูลที่ได้จากการอบรมเรียนรู้นั่นเอง ทำให้มนุษย์รู้จักคำว่าเทคโนโลยี จนวิวัฒนาการเป็นเครื่องบิน และยานอวกาศในที่สุด ชี้ให้เห็นว่าในเบื้องลึกของมนุษย์เรานั้น มีความดิ้นรนทะเยอนอยากที่จะเอาชนะขนาดไหน

กิเลสและตัณหานั้นก็ไม่ต่างกัน มันเป็นแรงดึงดูดที่มีกำลังมหาศาล มากกว่าแรงดึงดูดของโลกซึ่งเป็นรูปธรรมหลายล้านเท่า หากแต่แรงดึงดูดนี้ ทุก ๆ วันเรามักจะมองไม่เห็นดูไม่ออก มันเหมือนกับเงาที่ติดตามเราทุกที่ ไม่ว่าที่ที่มีแสงน้อย หรือแสงมาก

หากแต่ใครจะมองเห็นหรือสนใจเงาของตัวเอง หรือหากมองออกก็คงมองว่านั่นเป็นธรรมดาของมัน ซึ่งกิเลส เงา และแรงดึงดูด มันก็มีอยู่กับโลก

หากแต่เราเอาทั้งสามสิ่งมาพิจารณาให้ดีจะพบว่า แรงดึงดูดนั้นเป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ เรามองเห็น คนอื่นก็มองเห็น เราพิสูจน์ได้ คนอื่นก็พิสูจน์ได้ ว่าแรงดึงดูดนั้นมีตัวตนจริง ๆ และเราก็สามารถเอาชนะแรงดึงดูด ขึ้นไปลอยเคว้งอยู่ในอวกาศได้ด้วย แต่จำไว้ว่าในอวกาศก็ยังมีแรงดึงดูดที่ท้าทายปัญญาของมนุษย์ อีกนั่นคือหลุมดำ มันมีกำลังมหาศาลแม้แต่แสงสว่างยังไม่อาจวิ่งผ่านมันได้ มันจึงถูกเรียกว่าหลุมดำ

เงา เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครสนใจกัน ทุกคนที่รูปร่าง มีกายที่สัมผัสได้ และมีแสงสว่างที่พอเหมาะ แค่เท่านี้ทุกคนก็จะมีเงากันได้แล้ว เงาจึงไม่ใช่สิ่งที่วิเศษอะไร แม้แต่โลกเราก็ยังมีเงา และมนุษย์เราก็มักจะตื่นเต้นกัน เมื่อเวลามันปรากฏขึ้นบนดวงจันทร์ ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรไปจากเงา ของคนเราเลย มีแต่เราไปให้ค่าให้ราคากับเงาโลกเท่านั้น

แล้วเราจะสามารถเอาชนะเงาของตัวเองได้ไหม ?
นั่นอาจจะเป็นคำถามที่ตื้น ๆ ที่สุด และ ปัญญาอ่อนที่สุดก็ได้ คุณอาจจะหัวเราะ และบอกว่าไม่มีทางหรอก ตราบใดที่เรายังมีร่างกาย มีรูปร่างทึบแสง และมีฉากรองรับ เราก็จะมีเงาอยู่ตราบนั้น

มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เราพยายามเอาชนะ แรงดึงดูด เอาชนะธรรมชาติหรอก เพราะวัตถุภายนอกที่เราไม่รู้จักในสากลจักรวาลนี้ มีมากมายมหาศาล ต่อให้เราเรียนรู้หมด เราก็ไม่อาจจะเรียกว่าผู้ชนะอยู่ดี เพราะเรายังมีความอยากอยู่นั่นเอง เมื่อได้สิ่งหนึ่งก็อยากจะแสวงหาอีกสิ่งหนึ่ง ไม่มีวันจบสิ้น ไม่ต่างอะไรกับที่เราพยายามจะหาวิธีทำลายเงาของตัวเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย

กิเลส เป็นตัณหา ความทะเยอนอยากของมนุษย์ สัตว์ เทวดาทั้งหลาย รวมความถึงสัตว์ที่เกิดอยู่ใน ๓ ภพ มี กามภพ รูปภพ อรูปภพด้วย ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ขั้น ตามกำลังของศีล สมาธิ ปัญญา นั่นคือขั้นหยาบ ขั้นละเอียด และละเอียดที่สุด เท่าที่ปัญญาจักษุผู้ใดจะมองเห็น

ผู้ใดที่เห็นกิเลสขั้นละเอียดที่สุด ผู้นั้นจึงเป็นผู้ชนะที่แท้จริง คือชนะทั้งตนเอง เงา แรงดึงดูดของโลก และ ของหลุมดำ เป็นผู้ที่เป็นสุขนิรันดร์ ขาดจากกาลเวลา ไม่ต้องกับมาเกิด ถูกดูดติดอยู่กับโลกใบแคบ ๆ ใบนี้…อีกต่อไป




 

Create Date : 13 กันยายน 2551    
Last Update : 13 กันยายน 2551 14:46:45 น.
Counter : 590 Pageviews.  

๐๖๑-ครบรอบ ๗ ปี ๑๑-กันยา




ขอไว้อาลัยกับวิญญาณทุกดวงที่จากไป จากเหตุก่อการร้ายที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
เมื่อ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ และนั่นทำให้เราเรียนรู้ว่า...
สิ่งมีชีวิตทุกชีต ไม่เว้นแต่มนุษย์ มีสิทธิที่จะเกิดมาใช้ชีวิตร่วมกันบนโลกใบนี้
หากแต่ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ของคนบางจำพวก
ทำให้ชีวิต ๆ เหล่าต้องดับสิ้นไป อย่างไม่น่าจะเป็น
การทะเลาะ การเอาชนะ ก่อสงคราม มันมีแต่ผลเสีย
ซึ่งทุกคนต่างก็ทราบดีอยู่ในสามัญสำนึกอยู่แล้ว
แต่เราก็ไม่อาจจะห้ามเหตุการณ์ ความรุนแรงไปได้

มีคำถามว่า...ถึงวันนี้เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง
เรามีความรักต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่าเดิมหรือเปล่า
เรามีความเอื้ออาทรณ์ต่อคนที่เรารัก และรักเรามากขึ้นหรือไม่
หรือว่าเรารู้สึกเฉย ๆ คิดว่าเหตุการณ์นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเรา
หรือไม่ก็อยู่ห่างไกลเรา เลยไม่สนใจ เพราะคิดว่าอยู่เมืองไทยก็สงบดีอยู่แล้ว

วันนั้นข้าพเจ้าจำได้ดี เพราะเป็นวันที่ข้าพเจ้าต้องสูญเสียบุคคลท่านหนึ่ง
ท่านจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก
ท่านคือปู่ของข้าพเจ้าเอง ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุวินาศกรรมหรอก
แต่ท่านเสียชีวิต ด้วยโรคชราตรงกับ ๑๑ กันยา พอดี

หลายต่อหลายบทความแล้ว ที่ข้าพเจ้ามักจะอ้างอิงถึงเรื่องปู่
ปู่เป็นคนโบราณที่อยากจะเลี้ยงหลานให้ได้ดี
ปู่เป็นอดีตครูสอนช่างไม้ช่วงสั้น ๆ แล้วต้องผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร
ปู่เป็นคนที่ยุติธรรมกับหลานเสมอ ๆ สมัยที่ข้าพเจ้ายังเด็ก
ปู่มักจะเก็บเงินออม ใส่ธนาคารออมสินให้ทุกปี
ปู่หวังว่าเงินนั้นมันจะงอกเงยกับข้าพเจ้าในอนาคต
ปู่ไม่ได้สอนธรรมะกับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเรียนรู้ธรรมะจากปู่
ปู่สอนสวดมนต์ บทหนึ่ง ที่เป็นปริศนามาเกือบ ๒๐ ปี
ปู่ไม่ได้บอกอะไรมาก ขอให้สวด สวดไว้กันผี
ปู่จะรู้หรือไม่ ว่าบทสวดนั้น ข้าพเจ้ายังสวดก่อนนอนเสมอ
ปู่จากไปนานแล้ว ข้าพเจ้าเพิ่งทราบความหมายของบทสวด
ที่แท้มันไม่ได้ใช้กันผีหลอก...
แต่มันทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นคนดี และอยากทำความดีครับ



*หมายเหตุ
บทสวดสั้น ๆ บทนั้นน่าสนใจมากครับ ถ้าหากข้าพเจ้าเรียบเรียงเสร็จแล้ว
จะนำมาให้อ่านต่อไป




 

Create Date : 11 กันยายน 2551    
Last Update : 11 กันยายน 2551 14:00:19 น.
Counter : 332 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.