ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๒๕๕-การก่อกวนของเสนามาร



ชายนักเดินทางยังคงก้าวเดินทางต่อไป เพื่อหวังไปให้ถึงดินแดนนิพพานตามที่หมายไว้ แต่ทว่าการเดินทางสายนี้นั้น มีสิ่งที่ทดสอบความตั้งใจรออยู่มากมาย ทุกครั้งที่เขาสามารถผ่านอุปสรรค หรือ รอดตายจากภัยอันตรายไปได้ คราวนั้นก็ยิ่งสร้างความร้อนใจให้กับเสนา อำมาตย์ของมาร ที่คอยขัดขวางการเดินทางของเขา

ณ สวรรค์ชั้นกามภพสูงสุด ซึ่งเป็นภพที่อยู่ที่อาศัยของเหล่ามารส่วนหนึ่ง ที่จริงแล้วก็มีเทพที่มีคุณธรรมสูงอาศัยอยู่ แต่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก

"พวกท่านมีเหตุร้อนใจอันใดกัน...” หัวหน้ามารกล่าวกับสมุน

“มีขอรับ บนโลกมนุษย์ บุรุษผู้หนึ่งกำลังจะหลุดจากอำนาจ การครอบงำของพวกเราขอรับ” ลูกน้องคนสนิทรายงาน

“อำนาจธรรม นี้ยังไม่เสื่อมไปจากอีกหรือ พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปเสียนานแล้ว เหตุใดธรรมที่พระองค์ทรงตรัสจึงยังคงอยู่...”

“เหตุนั้นเพราะยังมีสมณผู้สอนธรรมอยู่ขอรับ” ลูกน้องมารตอบ

“เอาล่ะ ๆ พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์แห่งมาร ผู้ครอบครองกามภพ รูปภพ ตั่งแต่โลกมนุษย์จนถึง พรหมโลกชั้นต้น ไม่มีเล่ห์กลใดจะหลอกล่อกิเลสของมนุษย์ ได้เก่งและดีเท่าพวกเราอีกแล้ว ไหนลองบอกข้าสิ บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน”หัวหน้ามารเปรย ลูกน้องมารอธิบาย ที่ไปที่มาของชายนักเดินทางให้หัวหน้ามารฟัง

“บุรุษผู้นี้รอดตายจากไฟบัลลัยกัลป์ แถมยังหนีรอดจากบ่วงที่พวกเราวางกับดักไว้ หลายต่อหลายคราว อีกทั้งยังรอดตายจากก้นหุบเหวมาได้อีก ” หลังจากนั้นหัวหน้ามารก็ใช้อตีตังสญาณ ย้อนอดีตกลับไปดูวาสนาของชายนักเดินทาง ย้อนหลังได้ถึง ๗ ชาติ ตามอำนาจที่พอจะทำได้

“บุรุษผู้นี้ อบรมบารมีมาพอควร แล้วยังเป็นอริคู่แค้นต่อ อำมาตย์มารผู้เป็นนายของพวกเราหลายต่อหลายชาติ ไม่ควรเลยที่เราจะปล่อยให้บุรุษนี้เดินทางได้อีกต่อไป สมุนแห่งข้าจงฟังไว้ กิเลสของมนุษย์นั้นมันฝังอยู่แน่นในสันดาน เราใช้ความสามารถหลอกล่อเพียงภายนอก ไม่อาจจะหวังผลได้เลย สำหรับบุรุษผู้สั่งสมบารมีมาเพียงนี้ วิธีที่จะสามารถหลอกล่อให้บุรุษผู้นี้หยุดการเดินทางได้ มีเพียงวิธีแห่งกามราคะเท่านั้น ไม่มีเครื่องร้อยรัดใดจะผูกใจบุรุษได้ดีเท่ากับ รูป เสียง กลิ่น รส แห่งสตีนารีอีกแล้ว

เหล่ามารเอย ฟังข้าอีกครั้ง บุรุษผู้นี้มีจุดอ่อนอยู่ที่สตีผู้หนึ่ง ผู้ที่ไฟบัลลัยกัลป์ครั้งนั้นพรากเธอไป จงตามเธอให้พบ และหาวิธีดลใจให้สองคนนี้ได้พบกันอีกครา เมื่อนั้นการเดินทางของบุรุษผู้นี้ก็จะพึงสิ้นสุดลง ” พูดจบหัวหน้ามารก็หัวเราะอย่างชอบใจ
หากแต่ภายในใจเบื้องลึกนั้น เขากลับเตรียมการวางแผนที่ซับซ้อนมากกว่าไว้รองรับ หากแผนนารีตรึงใจไม่อาจจะสำเร็จได้

วันนี้ชายนักเดินทางเดินผ่านหุบเขาลูกหนึ่ง จิตใจที่เคยมั่นคงของเขากับรู้สึกหวั่นใจอย่างน่าประหลาด แสงสว่างสลัว ๆ ในตอนบ่ายคล้อย ทอดแสงผ่านใบไม้อันหนาทึบของป่าดงดิบ ช่วยเพิ่มบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวงให้กับจิตของเขาเป็นอย่างมาก
เสียงหึ่ง ๆ คล้าย ๆ กับเสียงครางของอมนุษย์ดังมารอบทิศ ประหนึ่งดังมีสายตาของปิศาจคอยจับจ้องร้องข่มขู่อยู่

ชายนักเดินทางรู้สึกกลัวกับสภาพแวดล้อมที่ปรุงแต่งจิต ให้เกิดความหวาดกลัวเป็นที่สุด เบื้องหน้าของเขามีเงาของบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว มันกำลังพุ่งมาหาร่างของเขาอย่างรวดเร็ว และพุ่งเฉียดตัวของเรา ลอยขึ้นไปวนตามกิ่งไม้หลายรอบ จากนั้นก็วนกับมาหวังปะทะร่างของชายนักเดินทางอีกครั้ง

ชายนักเดินทางกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เขาจำได้ว่าร่างสีดำนั้น คงเป็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวร ที่ตามเขาตั่งแต่ครั้งที่รอดมาจากเหวลึกครั้งก่อน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเสนามารผู้มีฤทธิ์ ชายนักเดินทางพยายามข่มจิตให้เป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาอีกหลายครั้ง

แต่ทว่าวิญญาณนั้น มีหลายประเภท บางประเภทก็ไม่อาจจะรับกระแสแห่งความเมตตาได้ เพราะความอาฆาตแค้น ริษยา และอำนาจกรรมาบดบัง
ทันใดนั้นความมืดมิดก็ปกคลุมฝืนป่าจนหมดสิ้น เหตุด้วยอำนาจแห่งเสนามาร จากนั้นก็บังเกิดลมพายุพัดกระหน่ำมาอย่างไม่มีทิศทาง ต้นไม้รอบ ๆ บิดเกรียวจนแทบจะยืนต้นไม่ไหว

จากนั้นก็มีเสียงขู่ก้องกังวาลดังก้องป่า จากเสนามาร

“บุรุษผู้เดินทาง เราขอเตือนเธอให้หยุดเดินทางเสียแต่เดี๋ยวนี้เถิด ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเดินทางต่อ นิพพานที่ท่านเสาะหานั้น ไม่มีอีกต่อไปแล้ว กลับหลังไปยังที่ที่เจ้าจากมาเถอะ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกอีกต่อไป ”

“ดูก่อนมาร เราเห็นท่านแล้ว เล่ห์กลอันใดที่ท่านหลอกล่อเรา เรารู้ทันท่านหมดแล้ว ขอท่านจงหลีกทางให้เราเถิดอย่าได้ก่อกวนเราอีกเลย” นักเดินทางตอบกลับ ทำให้สร้างความละอายต่อเสนามาร ซึ่งไม่สามารถหลอกชายนักเดินทางได้

'แม้บุรุษผู้นี้จะเป็นเพียงสาวกปรายแถว แต่ยังมีอานุภาพแห่งญาณทัศนะถึงเพียงนี้ การใช้กำลังบังคับคงไม่สำเร็จอย่างที่หัวหน้ามารเรากล่าวไว้ ...ฮึ ๆ ๆ ๆ เอาเถอะ วันนี้เราคงต้องปล่อยบุรุษผู้นี้ไปก่อน รอเวลาในกาลข้างหน้าเป็นตัวตัดสินดีกว่า...' เสนามารนึก

-จบ-

มารนั้นมีอยู่หลายประเภท เช่น กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร มัจจุมาร แต่มารที่น่ากลัวคือ กิเลสมาร เพราะมันได้ฝังแน่นอยู่ในจิตของสัตว์ทั้งหลาย ไม่เว้นแม้นักบวช หรือ โจรชั่ว นอกจากพระอริยบุคคล ชั้น อนาคามี เป็นต้นไป จึงจะพ้นวิสัยแห่งมารไปได้

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก

//img.winner.co.th
มากมาย ครับ





 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2553 8:27:25 น.
Counter : 919 Pageviews.  

๒๕๔-การสูญเสีย



ชีวิตหลังจากสร้างภพ และสืบเนื่องการกำเนิด(ชาติ) เติบโตมาด้วยการโอบอุ้มของกิเลส และเสื่อสลายไป เพราะความพรากไปแห่งความเสื่อมของสังขาร ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำตาของผู้ที่อยู่ภายหลัง

น้ำตาที่สูญเสียไปนะ...เพื่อนเอ๋ย

มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งนี้ เป็นครั้งแรกดอก มันเป็นอยู่ มีอยู่อย่างนั้นเอง เหตุเพราะความไม่รอบรู้ เหตุเพราะความอาลัยในความรัก และความติดยึดต่อสิ่ง ๆ นั้น ทำให้เรามองข้าม เหตุ และ ผลของโลกไปหมดสิ้น

ไปงานศพของคนอื่น เหตุใดเราจึงไม่สูญเสียน้ำ แต่งานศพที่เกิดจากญาติ พ่อ แม่พี่น้องของเราเอง เรากลับสูญเสียน้ำตา

เหตุนั้นเพราะศพผู้อื่นนั้น เราไม่มีความห่วงหา และมีเยื่อใยผูกพันมากพอที่จะทำให้เราสูญเสียน้ำตาออกมาได้ ซึ่งผิดไปจากญาติ พ่อ แม่ พี่น้อง และผู้มีบุญคุณของเรา

ทั้งที่ก็ความตายเหมือนกัน...

สิ่งนั้นแล เรียกว่าความยึดติด ต่อให้เรารัก หรือ เกลียดกันมากสักเพียงใด วันหนึ่งเราก็ต้องจากกันโดยดี แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องจากไป เราพบกันนั้นเพราะเหตุผลของกรรมโดยแท้ ไม่มีสิ่งอื่นและวันหนึ่งข้างหน้าเราก็จากกันไป ด้วยผลของกรรมอีกเช่นกัน

ทุกชีวิตของสัตว์ต่างตกอยู่ในเขื่อนไขที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม
อย่าเสียเวลากับน้ำตาเลยเพื่อนเอย วันข้างหน้าของเรายังมี ไม่มีใครในโลกดอกที่ไม่เคยเสียน้ำตา

หากแต่เราพึงเอาน้ำตาที่ไหลออกมานั้น สอนตัวเองให้ตัวเองเข้มแข็ง ให้รู้จักเรียนรู้โลกได้มากขึ้น เพื่อเข้าใจกลไกแห่งสังสารทุกข์ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อย่างนั้นเอง...(ตถตา)

ขอขอบคุณรูปภาพงาม ๆ จาก //xchange.teenee.com มากมายครับ




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 8:17:01 น.
Counter : 486 Pageviews.  

๒๕๓-ความปรารถนาของวันวาน




เราต่างมีเส้นทางเลือกเดินด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ความคิดและความคาดหวังของแต่ละคน หากแต่สายน้ำที่หลุดนิ่งนั้น ไม่ไหลต่อ น้ำนั่นก็มีโอกาสเน่าเหม็นได้สูง ทุกชีวิตที่เดินอยู่บนโลก จึงต้องเดินทางตามเป้าหมายของตัวเองที่วางไว้

เพื่อน ๆ หลายคนต่างเริ่มทยอยแต่งงานกันไปทีละคู่ ผิดกับตัวข้าพเจ้าเองที่หันหลังให้กับสิ่งนั้น และพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เหตุนั้นเพราะไม่อยากโกหกใครอีก ในใจลึก ๆ เราปรารถนาการบวชเป็นที่สุด แต่นั่นคงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

การบวชนั้นเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกให้มรรค ผล นิพพานเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ เหตุนั้นเพราะเพศบรรพชิต ย่อมเอื้อประโยชน์ให้เกิดความสงบได้ง่ายกว่าเพศฆราวาส ซึ่งวิสัยของฆราวาสนั้น เป็นทางคับแคบต่อมรรค ผล นิพพาน เป็นทางที่เต็มไปด้วยผงฝุ่น และมีเครื่องสร้างความหมองเศร้าของจิตอย่างมากมาย หากนับวันยังพัวพันอยู่กับโลกอีกต่อไป สังสารวัฎของเราต้องยืดยาวไปอีกเป็นแน่

การกลับมาทำงานยังกรุงเทพเมื่อสองปีก่อน ก็มาด้วยความจำใจเป็นที่สุด เหตุเพราะหนี้สินยังพะลุงพะลัง และเพื่อตอบแทนคุณของมารดา และหมู่ญาติ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกลับมา ทั้งที่ในใจลึก ๆ กลับคิดออกหนีไปบวช อยู่ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ครั้งที่ก่อนนอนหลับ หรือ หลังจากตื่นนอน

ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจวิสัยของอนาคามีริก บุคคลผู้ไม่มีเรือน บุคคลผู้ไม่สามารถครองคู่ได้อีกต่อไป บุคคลผู้มีวิสัยความสงบ อยู่ป่า อยู่กับความวิเวก อยู่กับความสงบในสมาธิ อยู่กับการรักษาศีลแปดตลอดชีพ บุคคลผู้ตัดความห่วงหาอาลัยในญาติ มิตร เพื่อน สหาย และความอยากใด ๆ ในโลกได้ บุคคลที่สามารถสละได้ และไม่ยึดติดในวัตถุ สิ่งของที่ชอบที่พอใจได้ทุกอย่าง ฯ นั่นก็แค่เข้าใจนะครับ ไม่ได้หมายว่าตัวเอง กลายเป็นพระอนาคามีไปแล้ว (เดี๋ยวจะกลายว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดไปใหญ่)

"การเข้าอยู่ป่าแม้จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง เจ็ด วันก็นับว่าเป็นเลิศ กว่าการมีชีวิตอยู่ในเมืองกรุงกว่าเจ็ดปี " ข้าพเจ้าเปรย ๆ ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง หลังจากได้รับคำถามว่า

ถ้าให้ไปอยู่ป่าจะอยู่ได้ไหม ?...

เพื่อนคงรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าข้าพเจ้าจะตอบไปอย่างนั้น... แต่เขาก็คงคิดว่าเป็นคำตอบกวน ๆ ตามนิสัยของข้าพเจ้า ซึ่งชอบขัดชอบแย้งต่อความคิดของคนอื่นเสมอ ๆ

เหตุเพราะว่า อยู่ที่ไหนก็อันตราย และตายได้ไม่ต่างกัน จะในเมืองหรือในป่า สิ่งสำคัญอยู่ที่ก่อนตายต่างหาก ว่าเราได้กระทำลด ละ กิเลสลงได้มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญมันอยู่ตรงนั้น

ขอขอบคุณรูปภาพงาม ๆ จาก //www.oknation.net มากมายครับ




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 9:34:09 น.
Counter : 343 Pageviews.  

๒๕๒-ความฝันของวันวาน



“ท่านจะไปที่ใดหรือ...” ชายลึกลับคนหนึ่งถามข้าพเจ้า

“ผมจะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า” ข้าพเจ้าตอบ

“เห็นจะไม่ได้โดยง่ายดอกสหาย ใครก็ตามที่ผ่านมาทางนี้ แล้วปรารถนาจะเข้าหาพระพุทธเจ้า ผู้นั้นต้องผ่านคมธนูของพวกข้าไปให้ได้ก่อน” ชายผู้นั้นข่มขู่

“ใครเป็นผู้ออกคำสั่งกัน” ข้าพเจ้าถาม

“มีคนจ้างข้ามาอีกที อย่าโกรธ หรือซักถามพวกข้าเลยท่านเอย...” ข้าพเจ้ามองเห็นชายชุดดำอีกหลายคน ต่างเล็งธนูมาทางข้าพเจ้า และเชื่อว่าพวกเขาคงไม่อาจจะให้ผ่านทางไปโดยง่ายเป็นแน่

“มีทางอื่นอยู่อีก จงไปทางอื่นเถิดท่าน อย่ามาทางนี้เลย ” ชายคนนั้นกล่าวเตือนอีกครั้ง ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวต่อคมธนูที่อยู่เบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้หวั่นแม้ว่าความตายอยู่เบื้องหน้า เพราะจุดหมายปลายทางคือการได้พบพระศาสดาเท่านั้น ความตายข้างหน้าจึงดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย

ชายคนหนึ่งเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ยอมถอยโดยง่าย เขาง้างธนูหมายจะยิงศรนั้นมาปลิดชีวิตของข้าพเจ้า แต่ก็ถูกใครบางคนห้ามไว้ ก่อน

“ขอร้องนะท่าน เส้นทางนี้ท่านไปไม่ได้จริง ๆ ข้าได้รับคำสั่งมา ไม่ให้ใครก็ตามที่จะไปพบพระพุทธเจ้าผ่านไปได้เด็ดขาด หากท่านยังดึงดันก็จะพลอยเอาชีวิตมาทิ้งไว้เสียเปล่าประโยชน์ ยังมีอีกทางนะท่าน อ้อมไปอีกทางเถิด” ชายคนดังกล่าวพูดเชิงขอร้อง ซึ่งอย่างน้อยเขาเองก็ยังคงมีความเมตตาอยู่บ้าง ทำให้ข้าพเจ้า เปลี่ยนเส้นทางโดยจำยอม

ระหว่างทางที่หันหลังกลับโดยที่อีกทางก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนระหว่างทางคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเอ่ยปากชวนให้ไปพบพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ชายผู้ก็ตอบตกลงที่จะเดินทางไปพร้อมกับข้าพเจ้า

หลังจากทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้า ท่านเสด็จมายังเมือง ๆ หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าก็รีบออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนคนนั้น

ระหว่างทางนั้น เกิดมีน้ำท่วมอย่างกระทันหัน มาทุกทิศทุกทาง ช่วงแรกกระแสนั้น ไหลไม่ค่อยแรง พอค่อย ๆ เดินลุยไปได้
ข้าพเจ้ามองไปทางไหน ก็มีแต่น้ำ ความสูงประมาณเลยหัวเข่า รอบ ๆ ด้านนั้นมีต้นไม้ขึ้นประปราย เนื่องจากอยู่เขตชายป่า

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง น้ำป่าค่อย ๆ สูงขึ้น และไหลแรงมากขึ้น จนเราสองคนไม่อาจจะเดินต่อไปได้อีก ข้าพเจ้าจึงบอกให้เพื่อน ซึ่งเดินอยู่ข้างหลัง ว่ายน้ำเอาดีกว่า โดยข้าพเจ้าจะว่ายนำหน้า

ปริมาณน้ำค่อย ๆ สูงขึ้นอีก ข้าพเจ้ายังพอมีแรงที่จะว่ายน้ำต่อได้เรื่อย ๆ แต่สภาพเพื่อนที่อยู่ข้างหลังน่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะเขากำลังจะจมน้ำ ข้าพเจ้าจึงบอกให้เขาเกาะเอวของข้าพเจ้าไว้ พอเพื่อนเกาะที่เอวข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความหนักอึ้ง เพราะน้ำหนักที่มากกว่าปกติ แต่ก็ยังพอมีกำลังว่ายน้ำต่อไปได้

ข้าพเจ้าพาเพื่อนว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ว่าฝั่งนั้นอยู่ที่ใด เพราะมองไปทางใดก็มีแต่น้ำป่า สักพักหนึ่งเพื่อนข้าพเจ้า ร้องเอ๊ะขึ้นมา




“น้ำวน....”

ข้างหน้าของข้าพเจ้า ปรากฎเป็นตาน้ำวนขนาดใหญ่ สีน้ำซึ่งเป็นสีเหลืองขุ่น ดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก ซ้ำร้ายเราทั้งสองคนก็กำลังถูกดูดลงไปยังตาน้ำวนเสียด้วย ข้าพเจ้าใช้กำลังกายทั้งหมดที่มี วายน้ำเพื่อทวนกระแสน้ำวน เพื่อพาเพื่อนออกไปให้ได้ แต่กำลังนั้นก็น้อยกว่า แรงดึงของกระแสน้ำ

'ไม่ไหวแน่ๆ …' ข้าพเจ้านึก

จากนั้นก็ตะโกนบอกเพื่อนให้ระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้าเอาไว้

“พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระพุทธ….!” และแล้วร่างของพวกเราก็ถูกกระแสน้ำกลืนหายไป


ข้าพเจ้าลืมอีกครั้งหนึ่งปรากฎตัวเองนอนอยู่บนฝั่ง เหลียวมองดูเพื่อนซึ่งก็นอนอยู่ข้าง ๆ นับว่าพวกเรารอดตายมาได้อย่างปาฏิหารย์ เพื่อนของข้าพเจ้ารู้สึกตัว และร้องเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ว่ามีอานุภาพ มีความอัศจรรย์ถึงเพียงนี้...

-จบ-


นานนับปีทีเดียว ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันถึงพระพุทธเจ้าอีก คืนก่อนที่ผ่านมานั้น หลังจากนั่งสมาธิได้ประมาณ ยี่สิบนาที ก็ถึงเวลาล้มตัวลงนอนตามเวลาปกติ ความฝันของเราเป็นดั่งนิมิต แจ้งเตือนเหตุล่วงหน้า

ในอนาคตเส้นทางสู่ธรรมนั้น ไม่อาจจะเดินไปเสียโดยง่ายเสียแล้ว จะมีผู้คนกีดกัน และไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียเวลาเบี่ยงเส้นทางไปทางอื่น ซึ่งอ้อมและยากลำบากกว่า และทางอ้อมนั้นเอง ก็เป็นการบอกนัย ๆ ว่าเราจะได้เจอกัลยาณมิตร ผู้ที่แสวงหาธรรมด้วยกัน เป็นสหธรรมมิก

กระแสน้ำนั้นจะหมายถึงกระแสกิเลสก็ได้ แต่น่าจะเป็นกระแสโลกมากกว่า เพราะเป็นช่วงของการเดินทาง จะเป็นการเดินทวนกระแส ซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องใช้กำลัง สติปัญญา ศรัทธามากกว่าปกติ

ตาน้ำวน เป็นกับดักทางโลกขั้นสุดท้าย เป็นจุดที่ไม่ให้สัตว์โลกผ่านไปได้ง่าย แม้ข้าพเจ้าเองก็ยังถูกดูด แต่ที่รอดตายมาได้ คงเป็นเพราะศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้าโดยแท้...


เป็นเพียงความฝันนะครับ...

ขอขอบคุณรูปภาพงาน ๆ จาก //statics.atcloud.com และ //i10.photobucket.com/albums/a115/takern มากมายจริง ๆ ครับ




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2553    
Last Update : 27 มิถุนายน 2553 20:59:44 น.
Counter : 1968 Pageviews.  

๒๕๑-ข้าวโพดฝักนั้น



วันนี้เดินไปกินข้าวที่ตลาดหน้าปากซอย ซึ่งเป็นไปตามปกติเหมือนเช่นทุก ๆวัน ที่ผ่านมา บางทีก็มีความรู้สึกเบื่อเช่นกัน กับรายการอาหารที่จำเจที่สุด แต่ก็ต้องกินเพื่อดำรงชีพนะครับ

เดินไปก็คิดฟุ้งซ่านไป นึกถึงตอนสมัยเด็ก (ย้อนเวลากลับไปเกือบ ๆ ยี่สิบปี) คิดถึงสมัยเรียนประะถม ตามประสาโรงเรียนบ้านนอกครับ ชีวิตเด็กบ้านนอกที่ต้องดิ้นรนกันตามสภาพ ข้างโรงเรียนก็เป็นทุ่งนา หลังโรงเรียนก็เป็นสระน้ำ ด้านเหนือก็เป็นวัด

วันหนึ่งคณะครูผู้ชายก็ครึ้มใจอะไรกันก็ไม่ทราบ เกิดอยากกินไก่อบฟางขึ้นมา อุปกรณ์ทุกอย่างนั้นก็มีครบแล้วขาดแต่ฟางข้าวน่ะสิ ทุกสายตามองมาที่เด็กชาย สอง สามคน หนึ่งในนั้นก็มีข้าพเจ้าปนอยู่ด้วย

ไม่ทันไร ครูก็อนุญาตให้กลุ่มของข้าพเจ้า ไม่ต้องเข้าเรียนในตอนบ่าย ให้เอาสุ่มไก่ ไปขนฟางที่ปลายนา มาสุมเพื่อทำไก่อบฟาง ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้ปลายท้องนายังคงมีเศษฟางข้าวหลงเหลืออยู่บ้าง

พวกเราสามคนขนฟางมาประมาณสามรอบได้ เรียกว่าเหนื่อยเอาเรื่องเลย เพราะกองฟางที่ใกล้ที่สุดนั้น อยู่ห่างจากโรงเรียนรวมเป็นระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตรได้

พอได้ฟางมาพอสมควรแล้ว พวกข้าพเจ้าก็หวังว่าจะได้ ไก่สักชิ้นเป็นรางวัล เพราะตั่งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นหรือได้ชิมรสของไก่อบฟางเลย แต่แล้วก็ผิดหวังเพราะอาหารชนิดนี้ ไม่เหมาะกับเด็กอย่างพวกเรา แต่ก็ได้ข้าวโพดดิบ ๆ จำนวนหนึ่งเป็นรางวัล

พวกเราอาศัยกองไฟเผาถ่าน ย่างข้าวโพดกินกัน โดยมีน้ำกระทิ ที่เหลือจากการทำอาหารของครู เป็นส่วนประกอบทำให้ข้าวโพดย่างดูหอมน่ากินมากขึ้น รสชาดตอนนั้นบอกได้เลยว่าสุดยอดจริง ๆ พวกเราพยายามหลบมุมเพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่นเห็น ตั้งใจว่าจะแอบกินกันเพียงสามคนอย่างนั้น แต่ก็ไม่อาจจะพ้นสายตาเพื่อนคนอื่น ๆ ไปได้

พอย่างข้าวโพดเสร็จ ก็มีคนมาขอ จนข้าวโพดเหลืออยู่เพียงฝักเดียว ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าฝักสุดท้ายนี้ จะเก็บไว้กินคนเดียว ไม่แบ่งให้ใครอีกแล้ว เพราะตัวเองก็ย่างจนเหนื่อย ได้กินไปนิดหน่อยก็ถูกเพื่อนขอไปหมด

ฝักสุดท้ายแล้ว ก็ขอถือกลับไปที่ห้อง เดินไปกินไปเพีงนิดเดียว ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาขอกิน ข้าพเจ้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจให้ข้าวโพดฝักนั้นกับเพื่อนคนนั้นไป

และก็รู้สึกมีความสุขมากที่มีโอกาสได้ทำของอร่อยให้เพื่อนได้กิน แม้ว่าตัวเองจะได้กินเพียงเล็กน้อยก็ตาม

มันเป็นความภูมิใจแบบเด็ก ๆ ที่น่าประหลาดคือ แม้เวลาผ่านมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ความอิ่มใจจากการให้เพียงเล็กน้อยนั้น มันยังคงค้างอยู่ในใจของข้าพเจ้าได้ จนถึงทุกวันนี้

เช่นกัน ความอิ่มและรสชาดของอาหาร แม้เพียงชั่วข้ามคืน ก็หายไปหมดสิ้น แต่ความอิ่มใจจากการให้นั้น แม้เวลาผ่านไปนานนับสิบ ความอิ่มใจนั้น ก็ยังคงเหลือตกค้างอยู่ เท่าที่ความทรงจำของเรา จะนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง

ขอขอบคุณรูปภาพน่ารัก ๆ จาก //www.foodsafety.bangkok.go.th มากมายครับ




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2553    
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 7:47:10 น.
Counter : 955 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.