ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๗๕-เปลี่ยนความคิดคนอื่นเหรอ...?




เราเปลี่ยนความคิดของคนอื่นไม่ได้ พอ ๆ กับการเปลี่ยนความคิดเห็นของตัวองนั้นก็ลำบากแสนลำบาก และถ้ายังเปลี่ยนความคิดตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีความสามารถไปเปลี่ยนความคิดของผู้อื่น ข้าพเจ้ามักจะละเลย ในการสนทนาเรื่องธรรมกับผองเพื่อนหรือคนรู้จักไปเสีย เนื่องด้วยเหตุผลของทิฏฐิหรือความเห็นดังกล่าวมันไม่ตรงกัน การเปลี่ยนความเห็นดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนปรับให้ตรงกับ ความเห็นของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นหลักใหญ่

ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า และเชื่อในการตรัสรู้ของพระองค์
เชื่อในบุญบาป และโลกหน้า สวรรค์ นรก รวมไปถึงนิพพาน นั้นว่ามีจริง ๆ เป็นต้น

จะว่าไปแล้วความเชื่อเหล่านี้ เป็นรากฐานของความเชื่อในคนทุกคนที่เป็นชาวพุทธอยู่แล้ว หากแต่มีความเข้มข้นไม่เท่ากัน หลายคนเชื่อแต่ก็ยังลังเลอยู่มาก ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้เต็มร้อยเปอร์เซนต์ และมีมุมมองเกี่ยวกับพุทธเกี่ยวกับนักปฏิบัติที่เคร่งครัดมากเกินไป จนดูขาดความอิสระเสรีในการดำเนินชีวิต

เหตุของความเห็นดังกล่าวนี้...

นั่นก็เป็นเพราะสิ่งที่ได้อบรมมาแล้วในอดีต มีความเข้มข้นไม่เท่ากัน ซึ่งในสังสารวัฏอันยาวไกลหาที่สุดไม่ได้นี้ จะมีสักกี่คนที่จะรู้ได้ว่าตนเองนั้นผ่านสิ่งใดมาบ้างในอดีต ผ่านความรัก ความชอบ ความชัง มามากมายเท่าไหร่กันอย่าว่าแต่ย้อนกลับไปยังอดีตชาติเลย แค่ให้เรานึกย้อนกลับไปเมื่อสัก สองถึงสามปีที่ผ่านมา เราก็ยังนึกกันไม่ออก แล้วจะเอาอะไรกับการเวียนว่ายตายเกิด อันหาเบื้องต้นหรือเบื้องปลายไม่ได้กันเล่า

ในทางพุทธศาสนานั้น ไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ต่อผู้ชักนำเองหรือแม้ตัวพุทธศาสนาเอง หากแต่ที่เหล่าสาวกที่ีแท้จริงทั้งหลายนั้น ทำไปด้วยความปรารถนา ต้องการอนุเคราะห์โลกอย่างแท้จริง คือทำงานโดยปราศจากสินจ้างรางวัล บุคคลใดที่ชักนำให้ผู้อื่นให้เชื่อเพื่อปรารถนาอามิสใด ๆ นั่นยังไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ครับ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 23:06:25 น.
Counter : 514 Pageviews.  

๑๗๔-สู้โลกร้อน



โลกเราทุกวันนี้ร้อนขึ้นทุกวัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปีนี้ร้อนกว่าทุกปีที่ผ่านมา สาเหตุใหญ่คงไม่ต้องพูดถึงกันให้มากเพราะที่ไปที่มาก็เกิดจากกิจกรรมของพวกเราทั้งหลาย หากเรายังรักความสะดวกสบาย อยากไปไหนมาไหนสะดวก หรือยังต้องการทำงานในห้องที่มีการปรับอากาศ เราก็ต้องร่วมกันเผชิญสิ่งที่เป็นสภาวะโลกร้อนร่วมกัน ไม่มีสิ่งไหนที่ได้มาโดยไม่ต้องสูญเสียอีกสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เป็นกฎง่าย ๆ ในวิชาเทอร์โมไดนามิกส์ สสารย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนสภาวะได้ตามปัจจัยที่มากระตุ้น และพร้อมจะปรับระบบให้เกิดความสมดุลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกละลาย การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเกิดจากการปรับตัวของธรรมชาติเพื่อความสมดุล

หากแต่โลกใบนี้มันเป็นโลกทั้งใบ และเราก็อยู่กับความเป็นจริงไม่ใช่อยู่ในบีกเกอร์ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับ และเผชิญชะตากรรมร่วมกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นข้าพเจ้าเรามานั่งทำใจกันดีกว่าครับ นั่งทำใจให้เย็น ๆ ระลึกสิ่งที่ผ่านที่แล้วมาในอดีต สิ่งที่เคยผิดพลาดไปแล้ว แล้วจะไม่ก่อให้เกิดขึ้นอีกในอนาคตเป็นต้น มีความรักต่อกัน ประหยัดในสิ่งที่ควรประหยัด เสพในสิ่งที่ควรเสพ และใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทต่อไป

โลกข้างนอกร้อน แต่อย่าให้โลกข้างในเราร้อนตามก็พอ...นะครับ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 22:54:22 น.
Counter : 330 Pageviews.  

๑๗๓-ขึ้นมาจากเหว ตอนที่ ๒(จบ)



โชคชะตานั้นลิขิตชีวิตมนุษย์และสัตว์ได้จริง ๆ ...หรือว่าเป็นเพราะการกระทำของมนุษย์และสัตว์เองกัน ที่กำหนดโชคชะตาอีกที บางครั้งการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเพราะว่าเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน เกินกว่าที่การกระทำของเราจะส่งผลให้เห็นในปัจจุบัน ชีวิตมนุษย์จึงต่างเข้าใจผิด และฝากชีวิตไว้กับการอ้อนวอนร้องขอมากกว่าที่จะดิ้นรนด้วยตัวเอง


“ผมว่าเราอย่ารอเวลาเลยน่ะครับ เราหาทางขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า” ชายนักเดินทางออกความเห็น
“จะดีเหรอครับ ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยน่ะ”
“ต้องมีสิครับ ก็พวกเราไง”

ทั้งสองคนพยายามหาทางปีนป่าย ขึ้นไปตามขอบหินทีละก้อน ๆ และช่วยเหลือกันเมื่อใครคนใดคนหนึ่งเหยียบพลาด และช่วยเหลือกันจนปีนขึ้นมายังปากเหวเบื้องบนได้สำเร็จ

แสงอาทิตย์ตอนบ่ายนี้ช่างน่าดูเสียเหลือเกิน เป็นความอบอุ่นที่ไม่นึกว่าจะได้สัมผัสอีกครั้งหนึ่ง

“ขอบคุณพ่อหนุ่มมาก ๆ เลยน่ะที่ช่วยพาผมขึ้นมา” ชายคนนั้นพูด
“จริง ๆ แล้วก็ขอบคุณกันทั้งสองคนน่ะครับ ผมคนเดียวก็ไม่อาจจะปีนขึ้นมาได้เช่นกัน”
“ผมสัญญานะครับ ว่าจะไม่ทำชั่วช้าให้พาตัวเองตกลงไปในเหวนี้อีก มันทรมาณเหลือเกินกว่าจะปีนขึ้นมาได้”
“ผมก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ แต่มนุษย์เรานี่มักจะมีความประมาทอยู่น่ะครับ มักจะหลงลืมอดีตกันอยู่ง่าย ๆ เมื่อได้รับความสะดวกสบายตามอัตภาพ ก็มักจะลืมเรื่องราวที่ตนเองได้รับทุกข์ทนในอดีต และนึกไม่ออกว่ากรรมอย่างใดที่ส่งผลให้เราต้องตกไปอยู่ในหุบเหวลึก มันคงเป็นอย่างนี้ไม่รู้จบสิ้น ตราบใดที่มนุษญ์ยังประมาทอยู่ครับ” ชายนักเดินทางพูด

“เฮ้อ ๆ พ่อหนุ่มพูดยังกับไม่ใช่คนในโลกนี้อย่างนั้นล่ะ แล้วพ่อหนุ่มจะเดินทางไปไหนต่อ” ชายคนนั้นถาม
“ผมจะเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่ต้องตกลงในเหวอีกครับ”
“มันมีดินแดนอย่างนั้นอยู่ด้วยเหรอ” ชายคนนั้นถามกลับ
“มีครับ อาจารย์ผมบอกว่ามี และให้ผมเดินทางไปหามันครับ” ชายนักเดินทางตอบ

“ผมอยากไปด้วยกับคุณจัง แต่ผมยังห่วงลูกเมียผม ไม่รู้ว่าป่านนี้จะอยู่กันอย่างไร เพราะผมก็จากพวกเขามานานแล้วเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ในอนาคตผมจะเดินทางไปกับคุณนะครับ แต่วันนี้ผมคงต้องเดินทางกับบ้านก่อน โชคดีน่ะครับ” ชายคนนั้นบอกลา แล้วหันหลังเดินจากไป

ในชีวิตของคนเราทุกคนต่างเคยผ่านความทุกข์ยาก ผ่านการปีนป่ายขึ้นมาจากเหวลึกคือ นรก ด้วยกันทั้งสิ้น แต่อนิจจา จะมีสักกี่คนที่รู้สึกสังเวชต่อการปีนป่ายเหล่านี้ แม้รู้ชัดในกรรมใด ๆ ที่จะพาเราตกต่ำ แต่ก็ไม่อาจจะฝืนต่อกิเลสเบื้องต่ำและสลัดความอยากขึ้นพื้นฐานออกไปได้ เพราะไม่ได้เชื่อมั่นในพระนิพพานอันเป็นดินแดนที่พ้นจากการตกลงไปสู่เหวนรกได้ตลอดกาล ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาตลอดชีวิตแล้วก็ตามที




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 12:10:48 น.
Counter : 408 Pageviews.  

๑๗๒-ขึ้นมาจากเหว ตอนที่ ๑




ชายนักเดินทางยังคงเดินทางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง อันที่จริงก็มีหยุดบ้างเป็นครั้งคราว เพราะในความเป็นจริงการเดินทางตรงอย่างเดียวนั้น แม้จะถึงจุดหมายเร็วแต่ไม่อาจจะชื่นชมธรรมชาติข้างทางได้มากนัก หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังติดอยู่ข้างทางก็ตามที

ดังเรื่องราวการเดินทางของชายนักเดินทางครั้งนี้ เกิดอุบัติเหตุขึ้นจากการเดินทาง ทำให้เขาต้องพลัดตกลงไปในหุบเหวลึก แม้ตัวเขาจะไม่ได้รับอันตรายมากมายนัก เพราะรากไม้ผุ ๆ คอยรองไว้ก่อนตกถึงพื้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่สามาถขยับตัวได้นานหลายชั่วโมง สายตาของเขามองขึ้นไปยังปากเหวเบื้องบน แสงสว่างนั้นดูลิบหรี่อย่างหมดหวัง เหวลึกเพียงนี้เขาเองน่าจะต้องบาดเจ็บถึงตายเลยทีเดียว

แต่ก็ยังโชคดีที่มีชีวิตรอดและยังมีลมหายใจอยู่

แสงสว่างลิบหรี่จากปากเหวค่อย ๆ เลือนหายไป ความมืดมิดที่แสนจะน่ากลัวจากภายนอกเริ่มเข้ามาปกคลุม ชายนักดินทางพยายามตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาก็รู้ดีว่าเส้นทางที่เขาผ่านมานี้ เป็นป่าเขาที่ไม่ค่อยมีใครอยู่อาศัยกัน ดังนั้นการตะโกนออกไปก็นับได้ว่าเสียแรงเปล่า มีเพียงอย่างเดียวนะเวลานี้คือการพึ่งพาตัวเองให้สามารถปีนขึ้นไปข้างบนได้

อย่างที่รู้กันว่า แขนซ้ายของเขานั้นต้องขาดไปตั่งแต่สมัยที่เผชิญกับไฟบรรลัยกัปล์ ในช่วงที่เดินทางสมัยแรก ๆ ดังนั้นการปีนขึ้นไปโดยอาศัยลำพังแขนข้างเดียวก็เป็นเรื่องยากมาก

ชายนักเดินทางใช้แขนข้างเดียวนั้นพยุงตัวลุกขึ้น หลังจากที่ร่างกายของเขาสามาถทนต่ออาการบาดเจ็บได้บ้างแล้ว เขาเลือกที่จะหากเศษกิ่งไม้มาเป็นไม้เท้าพยุงร่างกายตัวเอง เพื่อสำรวจก้นเหวนั้น

มีลมพัดมาจากซอกผนังหินใกล้ กับที่เขายืนอยู่ ในที่นี้คงต้องมีทางออกเป็นแน่ ชายนักเดินทางรู้สึกมั่นใจ
เขาเริ่มตั้งสติ และครุ่นคิดหาวิธีการอยู่นั่นเอง ทำให้เขารู้ว่าการบีบคั้น การอยู่ในที่คับแคบนั้นทรมาณเพียงใด ไม่ต่างอะไรกับจิตใจคน ที่คับแคบ แม้เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่คนที่เขาสัมผัสได้เขาจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด เรื่องนี้ทำให้ชายนักเดินทางเริ่มเข้าใจมากขึ้น

เขาก่อกองไฟให้ความอบอุ่นกับร่างกายก่อน และเพราะต้องการพื้นที่ที่ปลอดภัยในการหยุดพักความคิดสักครู่
แสงสว่างจากกองไฟช่วยสร้างความอบอุ่นและบรรเทาความหนาวเย็นลงไปได้บ้าง ชายนักเดินทางชำเรืองมองหาทิศทางที่ลมนั้นพัดมา แต่สิ่งที่แสงไฟส่องให้เห็นนั้นกับเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากขึ้นไปอีก มีล่องเหวอีกมากมายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน มองดูแล้วก็ไม่อาจจะคะเนได้ถึงความลึกของมันเลย ความน่ากลัวแผ่ซ่านเข้ามายังมโนจิตของชายนักเดินทาง

เขารู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีที่ตกลงมายังไม่ถึงก้นเหว ที่ที่เขาอยู่นี้เป็นเพียงแค่จุดพักของหรือขึ้นบันไดขึ้นแรกของเหวทั้งหมดเท่านั้น สถานที่แห่งนี้น่ากลัวจริงๆ หากเดินไม่ระวังมีหวังต้องหาทางขึ้นไม่ได้แน่ ๆ

“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ใครก่อกองไฟอยู่ข้างบนช่วยผมด้วยครับ” เสียงร้องขอคามช่วยเหลือดังมาจากล่องเหวลึก ชายนักเดินทางพยายามหาที่ไปที่มาของเสียง

กองไฟที่เขาก่อขึ้นอาจจะส่องแสงสว่างไปยังใครสักคนหนึ่งซึ่งพลัดตกลงไปในเหวเบื้องล่างก็ได้

“คุณอยู่ที่ไหนครับ ” ชายนักเดินทางร้องถาม
“ผมตกลงมาในล่องเหวใกล้ ๆ กับคุณครับ ช่วยดึงผมขึ้นไปด้วยเถอะครับ ” ในที่สุดชายนักเดินทางก็มองหาที่มาของเสียงนั้น ในที่สุดเขาก็เจอ ต้นเสียงเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมโซ เขาตกลงไปยังร่องเหวไม่ไกลจากชายนักเดินทางนัก แต่ชายคนนั้นก็ยังโชคดีที่มีเงื้อมหินที่ยื่นออกมารองรับร่างไว้ ทำให้ไม่ตกลงไปเบื้องล่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการยากทีเดียวที่เขาจะขึ้นมาด้วยยลำพังแรงของตัวเอง

ชายนักเดินทางช่วยเหลือชายคนนั้นให้ขึ้นมาจากล่องเหวได้อย่างปลอดภัย

“เฮ้อ ขอบใจพ่อหนุ่มมากเลยน่ะ ที่ช่วยเหลือ ไม่งั้นผมต้องตายอยู่ที่นี่แน่” ชายคนนั้นพูด
“แล้วคุณเป็นใครครับ ทำไมถึงตกลงมาที่นี่ได้” ชายนักเดินทางถาม
“จริง ๆ แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก คนที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ เมื่อทำผิดก็จะถูกลงโทษโดยการ ทิ้งลงมาในเหวแห่งนี้ล่ะ ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน”
“จริงเหรอ ครับ ใครกันครับที่ทำเรื่องอย่างนี้ได้ลงคอ ” ชายนักเดินทางถาม
“มันเป็นกฎของที่นี่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เมื่อทำผิด ก็จะถูกส่งลงมายังเหวนี้ทันที ไม่มีทางอื่น พ่อหนุ่มเห็นใช่มั้ยว่ายังมีหุบเหวลึกอีกมากมาย ไม่ต้องสงสัยหรอก ที่นั่นมีคนและสัตว์มากมายที่ตกลงไปเบื้องล่าง ที่ที่เราอยู่นี่เป็นที่สูงที่สุดของเหวแล้วน่ะ”
“คุณพูดอย่างกับว่าเคยมาที่นี่มาก่อนแล้ว” ชายนักเดินทางถาม
“ใช่ ผมตกลงมาในหุบเหวนี้มาหลายครั้งแล้ว ในที่นี่มันทรมาณมาก อาหารและน้ำก็แทบจะไม่มีกิน บางครั้งเราต้องกินเศษดิน เศษหิน รอกินหยดน้ำฝนที่นาน ๆ จะตกลงมาจากเบื้องบนเสียที บางช่วงเวลาก็ต้องได้ยินเสียงร้องครวญครางของคนที่ติดอยู่เบื้องล่างต่ำลงไป ผมฟังเสียงนั้นแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้งเลยน่ะ เพราะอย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าโชคดีกว่าคนเหล่านั้น”
“แล้วทำอย่างไรถึงจะพ้นจากที่นี่ไปได้ล่ะครับ” ชายนักเดินทางถาม
“เวลาเท่านั้น ที่จะปลดเราให้สามารถขึ้นไปสู่ข้างบนได้”
“หมายความว่าเราต้องรออย่างเดียวเหรอครับ” ชายนักเดินทางถาม
“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมีคนช่วยเหลือให้สามารถขึ้นไปข้างบนได้ เหมือนกับที่พ่อหนุ่มได้ช่วยผมยังไงล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องรอเพียงเวลาอย่างเดียวสิน่ะครับ” ชายนักเดินทางออกความเห็น
“ถูกต้องแล้ว”


*อ่านต่อตอนที่ ๒ ครับ




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 กรกฎาคม 2552 12:57:06 น.
Counter : 436 Pageviews.  

๑๗๑-ยิงปืนขึ้นฟ้า



เคยดูรายการสารคดีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เรื่องการยิงปืนขึ้นฟ้า แล้วดูผลทดลองว่าลูกปืนจะตกลงมาที่เดิมหรือไม่
ผลที่ได้จากการทดลอง ไม่มีแม้กระสุนสักนัดเดียวที่ตกลงมาที่เดิม หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง แม้จะทดสอบโดยการยิงปืนเป็นร้อย ๆ นัดก็ตาม

นั่นเป็นเพราะอะไร ธรรมดาเราโยนวัตถุขึ้นไปบนฟ้า มันก็ย่อมตกลงมายังตำแหน่งเดิมไม่ใช่เหรอ?

หรือว่ากระสุนปืนนั้นมีองค์ประกอบที่แตกต่างออกไป เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก เพราะคนทั่วไปก็จะเข้าใจว่าเมื่อยิงขึ้นไปแล้วก็ย่อมตกลงมาในตำแหน่งเดิมหรือใกล้เคียงที่สุด

เรื่องนี้ฟิสิกส์ เท่านั้นที่สามารถอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ได้

การยิงปืนเป็นการระบิดพลังงานชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นพลังงานที่มากพอที่จะดันลูกปืนให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สูงมาก เมื่อความเร็วมากก็ย่อมมีพลังงานโมเมนตัมมากตามไปด้วย ดังนั้นมันจึงสามารถทำลายวัตถุที่มาขวางทางมันได้เท่าที่พลังงานโมเมนตัมมันจะทำลายได้ อย่างที่อธิบายไปแล้วว่าโมเมนตัมนั้นเป็นพลังงานที่แปรผันกับความเร็วและมวลเป็นสำคัญ เมื่อลูกปืนถูกยิงขึ้นไปที่ตำแหน่งสูงที่สุดในอากาศ และก่อนที่จะถึงจุดสูงสุดนั้น ลูกปืนต้องเผชิญกับแรงอีกสองชนิดคือ
1.แรงดึงดูดของโลก ซึ่งคอยต้านไม่ให้วัตถุหลุดออกไปจากโลกได้ ในวิชาฟิสิกส์คือแรงจี(g)
2.แรงเสียดทานจากบรรยากาศของโลก เป็นแรงต้านจากโมเลกุลของอากาศ(f)

เมื่อลูกปืนถูกแรงต้านทั้งสองกระทำก็จะพบกับสภาวะที่หยุดนิ่งที่ความสูงระดับใดระดับหนึ่ง(v=0)
เมื่อลูกปืนหยุดนิ่งที่ความสูงเหนือผิวโลกในชั้นบรรยากาศ ด้วยมวลของลูกปืนที่เบามากๆ ก็ย่อมถูกแรงปฏิกิริยาจากภายนอกเช่น ลม ให้สามารถพัดเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิมได้ง่ายมาก เปรียบกับปุยนุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศแล้วมีแรงลมชุดใหญ่พัดมาอย่างนั้น ลูกปืนที่มีความเร็วเท่ากับศูนย์ที่ตำแหน่งสูงสุดก็มีลักษณะเช่นกัน

ดังนั้นด้วยเหตุปัจจัยนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่า เป็นเรื่องยากมากที่เรายิงปืนขึ้นฟ้าแล้วลูกปืนจะตกลงมายังตำแหน่งที่เรายิง ถ้าหากเราต้องการอย่างนั้น ก็คงต้องสามารถควบคุมลม ฟ้า อากาศ ได้เท่านั้น

อย่างนี้ไม่ต่างกันหรอกท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์ที่ปรารถนาการกลับมาเกิดยังภพ ภูมิ เดิมนั้น ย่อมเป็นการยากที่สุด ประหนึ่งเดียวกับการยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วต้องการให้ตกลงมายังตำแหน่งเดิม ฉันใดก็ฉันนั้น

ขอเราจงเป็นมนุษย์ มีโภคทรัพย์ มีบริวารอย่างนี้ตลอดไป อย่างนี้เป็นเรื่องยาก หากมนุษย์นั้นไม่ได้ประกอบกรรมอันเป็นสุจริต ไม่มั่นคงอยู่ในศีลธรรม ไม่ประกอบการให้ทานอยู่เป็นประจำ ไม่ละกรรมชั่วช้าลามกเสียได้แล้ว แม้จะปรารถนามากมายอย่างไรก็ยากที่จะสำเร็จผลได้

หลายท่านอาจจะเคยได้ยินการเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าเรื่องเต่าตาบอด ที่ทุก ๆ หนึ่งร้อยไปจะผุดขึ้นมาจากทะเลสักครั้งหนึ่ง แล้วจะมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่จะเอาหัวมุดเข้าไปสอดยังบ่วง(หรือขอนไม้)ในทะเลซึ่งมีอาณาเขตพื้นที่เท่ากับโลกใบนี้ทั้งใบ อีกทั้งบ่วงหรือขอนไม้นั้นก็ยังถูกคลื่นซัดไปทิศเหนือบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันออกบ้าง ทิศตะวันตกบ้าง

คำตอบคือเป็นเหตุการณ์ทีเป็นไปได้โดยยาก ไม่อาจจะคะเนถึงเวลานั้นได้เลย

อย่างนี้เอง เปรียบกับการปรารถนาการเกิดเป็นมนุษย์ของผู้ที่ไม่มีศีลธรรม ไม่ได้ประกอบคุณงามความดี กระทำกรรมชั่วช้า ดังนั้นการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งจึงเป็นเรื่องยากที่สุด
อีกอย่างหนึ่งที่เราพึงปฏิบัติกัน นั่นคือ หลักของศีล ๕ ประการอยู่เป็นประจำเสมอ เพราะนี้เป็นหลักใหญ่ที่สุดที่จะทำให้เราสามารถเกาะเกี่ยวสุคติภพ อันมี มนุษย์โลก และเทวโลกได้ไม่ยาก และเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย...นั่นเอง




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 23:11:39 น.
Counter : 453 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.