ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๐๕-แสวงหาโลกใบเก่า




ภาพล้อเกวียนที่ค่อย ๆ เคลื่อนตามถนนลูกรังเส้นนั้น ยังคงติดตาข้าพเจ้าอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มันเคลื่อนผ่านลำคลองเล็ก ๆ ข้าพเจ้ากับน้องสาวจะรีบวิ่งไปอยู่ที่ปลายเกวียนและใช้เท้าแกว่งน้ำเล่นสนุก ตามประสาเด็กวัย ๓ – ๔ ขวบ มีวัวลากเกวียนอยู่สองตัว ข้าพเจ้าเคยตั้งชื่อให้มัน แต่ตอนนี้จำชื่อนั้นไม่ได้แล้ว

เมื่อความเจริญมาเยือน ข้าพเจ้าเข้ามาเรียนในเมือง ในที่ที่เขาเรียกว่ากลุ่มคนชั้นสูงของสังคม และมักจะถูกเรียกว่าในความหมายของเด็กบ้านนอกเสมอ ข้าพเจ้ามักจะรู้สึกว่าเป็นแกะดำในหมู่เพื่อน ๆ บ่อยครั้งที่ความไม่มีสิ่งของ เครื่องเล่น ทำให้เราเลือกที่จะพูดโกหก กุเรื่องเพื่อให้สังคมในกลุ่มยอมรับ
แต่ที่โกหกไม่ได้นั่นคือ จิตใจ ของเราเอง ข้าพเจ้าเรียนรู้จักคำว่าไม่มี แต่ก็ทำได้เพียงแค่อดทน ๆ ไว้ในใจเสมอ ตลอดเวลาเกือบ ๑๐ ปี ที่ผ่านมา

ข้าพเจ้าและวัยรุ่นตามสมัยนี้เติบโตมาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยี เป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง ของข่าวสาร ข้อมูล แต่สิ่งที่เสื่อมสลายไป นั่นคือ ความดี และศีลธรรมในหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ข้าพเจ้าเรียนรู้เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และการทำงานของอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ซอฟแวร์ จนเข้าใจในหลักการทำงาน แล้วจึงรู้ว่า

‘มันก็แค่นั้น…’

ทุกอย่างสร้างมาเพื่อสนองตอบ แก่ตัณหาของคน ซึ่งมันไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันจบสิ้น ต่อให้คอมพิวเตอร์เรามี แรมเป็นหลักร้อยกิกไบต์ เราก็ยังไม่พอใจอยู่ดี

วันหนึ่งจึงเริ่มรู้สึกเบื่อ นั่งเขียนโปรแกรมอยู่ก็รู้สึกเบื่อ เบื่อในความปรารถนาของคนที่ไม่รู้ว่ามันจะจบสิ้นเมื่อไหร่ ข้าพเจ้าจึงไม่อยากสร้างภาระ ความยุ่งยากให้กับตัวเองอีกต่อไป และออกไปแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ และอยากหลุดพ้นไปจากสังคมเน่า ๆ นี้เสียที

การกลับตัว กลับใจหันมาแสวงหาโลกใบเก่า อยากกลับไปเกิดในสมัยของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของพระกรรมฐาน อยากกลับไปสู่ยุคสมัยพุทธกาล ข้าพเจ้าอยากย้อนเวลาได้จริง ๆ การเกิดในยุคนี้มันสะดวกสบายก็จริง แต่มันไม่สบายจิตใจเท่าไหร่ มันมีแต่ความรีบเร่ง แก่งแย่งของคน ทำให้ไม่ได้รับความอบอุ่นแห่งจิตใจ ศีลธรรมก็เสื่อมลงทุกวัน

อินเตอร์เนตก็อย่างนั้น ๆ แม้ในสายตาคนอื่นมันจะวิเศษ เลิศเลอสักเพียงใด แต่มันก็เท่านั้นเอง ยิ่งนานวันเรายิ่งขาดมันไม่ได้ หลายคนเริ่มหงุดหงิดเมื่อ การเชื่อมต่อ อินเตอร์เนตมีปัญหา นี่แหละเรากำลังถูกครอบงำโดยบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้สึกตัวและได้ปล่อยตัวปล่อยใจ เคลิบเคลิ้มไปกับมันอย่างคนที่ติดยาเสพติด

เชื่อว่าหลายคนคงไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้าพเจ้านัก แต่เชื่อเถอะความคิดความรู้ที่คุณมีต่อโลกทุกวันนี้ ข้าพเจ้าได้สัมผัสและพิจารณามาโดยตลอด มันไม่มีอะไรที่จะวิเศษ และสงบเยือกเย็นเท่ากับธรรมะของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว… (เชื่อสิ)




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2551    
Last Update : 3 ธันวาคม 2551 8:47:08 น.
Counter : 761 Pageviews.  

๑๐๔-ไฟป่ากับต้นสัก



ในผืนป่าอันร่มรื่นแห่งหนึ่ง เป็นดินแดนที่แสนสงบไร้ผู้คน หรือมนุษย์ผู้มีจิตใจหยาบเข้ามารบกวน สัตว์ พืช ต่างอาศัยอยู่ และมีชีวิตพึ่งพากันโดยดี หาสิ่งใดมาเบียดเบียนให้ได้รับความทุกข์ร้อน มาเป็นเวลานานแสนนานทีเดียว
ต้นสักใหญ่ต้นหนึ่ง มันเติบโตอยู่ในป่าใหญ่นี้มานานนับพันปี ลำต้นที่สูงใหญ่เป็นสิ่งที่ป้องกันภัยแก่บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงา
ต้นสักผ่านประสบการณ์ของการมีชีวิตรอดในป่าใหญ่นี้มามากแล้ว ทุกครั้งที่มันสัมผัสได้ถึงแสงแดดในมุมที่เปลี่ยนไป นั่นแสดงว่าฤดูกาลได้เปลียนผ่านไปเช่นกัน
น้ำฝนจะลดน้อยลง ความแห้งแล้งย่อมมาเยือน
ต้นสักใหญ่รู้กาลเวลาที่เหมาะสมครั้งนี้ มันเริ่มทิ้งใบลงบนพื้น ทีละใบสองใบ ก่อนบรรดาเพื่อนต้นไม้ด้วยกัน
ใบสักที่หลุดร่วง ปลิวไปตามทิศทางลม ในไม่ช้าต้นสักก็เหลือเพียงกิ่งก้าน ไม่มีร่มเงาให้สัตว์ต่าง ๆ ได้พักพิงอีกต่อไป
กาดำตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ ปลายกิ่งของต้นสัก แล้วร้องทักว่า
“เหตุใดท่านจึงรีบผลัดใบนัก สัตว์ต่าง ๆ ยังต้องพึ่งร่มเงาของท่านอยู่นะ”

หากแต่ว่าต้นสักนั้นเป็นต้นไม้ มันไม่สามารถโต้ตอบกับเจ้ากาได้
แมลงปีกแข็งซึ่งอาศัยอยู่กับต้นสักมานานจึงพูดแทนว่า

“ท่านไม่รู้อะไร ต้นสักที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่มานานนี้ มันย่อมรู้กาล รู้เวลา รู้สิ่งที่ควรทำเสมอ เหตุที่มัน ผลัดใบเร็วกว่าปกติ เพราะปีนี้จะมีไฟป่ายังไงล่ะ”

“ไฟป่าเหรอ ตั่งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นไฟป่าเลย มันเป็นยังไง” การ้องถาม
“ฮะ ๆ …วันนี้มาเจอกับนกอ่อนหัดอีกตัวแล้ว ชะรอยเจ้าคงต้องมอดไหม้ไปกับกองไฟเสียแล้วละคราวนี้ แต่เอาเถอะข้าจะบอกให้เอาบุญก็ได้ ป่าที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มันอุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่ในความสมบูรณ์นี้ เมื่อมันถึงที่สุดมันจะมีความเสื่อมมาทำลายเสมอ นี่เป็นกฏของธรรมชาติของที่นี่ และสิ่งนั้นก็คือไฟป่านั่นเอง มันจะเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้ อย่างไม่เหลือซากทีเดียว”

“น่ากลัวจัง…แล้วทำไมท่านกับต้นสักนี้จึงอยู่รอดมาได้ล่ะ” กาพูด

“สิ่งที่ทำให้ข้าอยู่รอดมาได้เพราะอาศัยต้นสักนี่แหละ ต้นสักต้นนี้มันมีสัญชาติญาณที่สั่งสมมานานนับร้อยปี เมื่อถึงฤดูกาลไฟป่า มันจะผลัดใบเร็วกว่าเพื่อน ต้นไม้หนุ่มสาวที่ยังอ่อนต่อโลก ยังมัวชื่นชมกับความชุ่มชื่นของละอองฝน ไม่ช้าก็จะพากันล้มตายหมด ไม่เหลือเลยสักต้นเดียว”

“อย่างนี้นี่เอง งั้นข้าต้องกลับไปบอกลูกเมียและเพื่อนฝูงให้รับมือกับไฟป่าแล้ว ขอบคุณท่านมาก ที่แจ้งข่าวใหญ่เช่นนี้กับข้า” แล้วกาดำตัวนั้นก็บินจากไป

ในชีวิตของคนเราทุกวันนี้ เราต่างชื่นชมยินดีกับความสุขที่โลกสมมติให้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ดังต้นไม้ที่ชื่นชมอยู่กับละอองฝน ผลิใบแตกหน่อ ชิงดีชิงเด่นกัน โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเธอผลิตมาแข่งกันนั้น มันจะเป็นเชื้อไฟ ที่นำมาซึ่งการเผาพลาญตัวเองให้ย่อยยับ
ดับไปก่อนวัยอันสมควร

การรู้จักเรียนรู้ธรรมชาติ และการเปลี่ยนไปของฤดูกาล ความไม่เที่ยงของชีวิต เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนัก และนำมาพิจารณาให้เห็นถึงสัจธรรมความเป็นจริงของธรรมชาติ อย่าได้ลุ่มหลงงมงายจนเกินพอดี วันหนึ่งเมื่อมีสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ พวกเราพึงหยุดกิจกรรมอันจะก่อให้เกิดเชื้อไฟที่จะนำมาเผาไหม้ตัวเองเสียก่อน

จงทำตัวเยี่ยงต้นสักต้นนั้น ต้นที่รู้กาล รู้เวลาอันเหมาะสม รู้เวลาที่ควรจะหยุด รู้เวลาที่ควรเสพ ไม่ควรเสพ แล้วเราจะมีชีวิตรอด ไม่ตกอยู่ภายใต้กองเพลิงแห่งความทุกข์ และสามารถเติบโตอยู่ในป่าแห่งสังสารวัฏนี้ได้อย่างปลอดภัย




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2551    
Last Update : 1 ธันวาคม 2551 8:16:14 น.
Counter : 399 Pageviews.  

๑๐๓-กลิ่นแห่งศีลแห่งธรรม



พระพุทธเจ้าตรัสพระพุทธพจน์เพราะทรงปรารภปัญหาของพระอานนท์ มีเรื่องย่อดังนี้
เรื่องปัญหาของพระอานนท์เถระ

วันหนึ่งพระอานนท์เถระอยู่ในที่หลีกเร้น (ที่สงัด) ในเวลาเย็น คิดว่า พระพุทธเจ้าเคยทรงแสดงกลิ่นของไม้ไว้ ๓ อย่างคือ กลิ่นที่เกิดจากดอก เกิดจากแก่น และเกิดจากราก กลิ่นเหล่านั้นฟุ้งไปตามลมได้เท่านั้น ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้ กลิ่นอะไรหนอที่ฟุ้งไปทวนลมได้

ท่านเข้าเฝ้าพระศาสดาทูลถามข้อสงสัยนั้น พระศาสดาตรัสตอบว่า กลิ่นศีลฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม โดยใจความพระ พุทธพจน์ดังนี้

"อานนท์! หญิงหรือชายก็ตาม ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง เว้นจากปาณาติบาต... สุราเมรัย เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน มีอัธยาศัยน้อมไปในทางเสียสละ คนจนพอขอได้ คนเช่นนั้นย่อมได้รับสรรเสริญ จากสมณพราหมณ์ที่เป็นบัณฑิตทั้งหลาย กลิ่นแห่งความดีของเขาย่อมฟุ้งไปได้ทั้งตามลมและทวนลม..." ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาว่า

"น ปุปฺผคนโธ ปฏิวาตเมติ" เป็น อาทิมีนัยดังอธิบายมาแล้วแต่ต้น



ตอนที่อ่านจบ ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์และเข้าใจเองว่า กลิ่นแห่งศีลที่ฟุ้งทวนลมไปได้นี้ คงเป็นโวหารเปรียบเทียบมากกว่าที่จะเป็นการสัมผัสได้จริง ๆ

ขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น คนที่มีศีล มีคุณธรรมเสมอตัว ย่อมมีชื่อเสียงเรื่องลือรอบทิศ บัณฑิตผู้มีปัญญาก็ต้องแสวงหาเพื่อสนทนาพูดคุย กลิ่นแห่งศีลธรรมในประเด็นนี้จึงเป็นการพูดแบบปากต่อปาก ซึ่งสามารถขจรไกลไปได้ทั่วทิศ
แต่ไม่เคยนึกเลยว่า กลิ่นแห่งศีลจากผู้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสนั้น จะสามารถลอยมากระทบ และสัมผัสกับจิตใจเราได้อย่างน่าประหลาด โดยไม่ได้ผ่านการโฆษณาหรือฟังใครพูดสาธยายคุณสมบัติมาก่อน

ย้อนกลับไปปลายปี ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าขับรถผ่านมายังอำเภอหนึ่งใกล้ ๆ บ้าน และแล้วก็มีความรู้สึกบางอย่าง มันเป็นการถามตอบภายในจิตใจของเราเองหรือเพราะอะไรมาดลใจก็ไม่ทราบได้

‘พระอริยสงฆ์ในแถบนี้จะมีบ้างไหมหนอ…’
‘มี…ท่านพำนักอยู่ตีนเขา ใกล้ ๆ นี่แหละ’

มันเป็นความรู้สึกว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ โดยที่ไม่มีใครมาบอก ทำให้นึกถึงกลิ่นแห่งศีลที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสตอบพระอานนท์ แสดงว่าเป็นจริงโดยทั้งสองนัยกล่าวคือ

1.กลิ่นแห่งศีลเป็นเสียงเล่าลือ ซึ่งเราได้สัมผัสจากการได้ยิน ได้ฟังมา เช่น พระรูปนี้เป็นกรรมฐาน เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นต้น

2.กลิ่นแห่งศีลซึ่งเราสามารถสัมผัสได้โดยตรงด้วยจิตของเราเอง แต่ต้องเป็นจิตที่ปรารถนาความบริสุทธิ์ หรือมีความบริสุทธิ์แห่งจิตพอสมควรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงพอจะสัมผัสรับรู้ได้

แต่ในกรณีของข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่รู้สึก สัมผัสได้แต่ไม่ชัดเจนนัก(เพราะจิตยังไม่บริสุทธิ์เพียงพอ มีกำลังน้อย ศีล ๕ ก็ยังพร่อง ขาด ๆ เกิน ๆ อยู่)
แต่วันที่เข้าไปเจอท่านเท่านั้น สัมผัสทางจิตมันมีกำลังแรงมาก ข้าพเจ้าเห็นหลวงปู่เดินอยู่ไกล ๆ ซึ่งเป็นพระรูปแรกที่เห็นอยู่ในวัดนี้เลยก็ว่าได้ จิตมันบอกอย่างไม่ลังเล ความรู้สึกมันดังชัดมากกว่าปกติ

‘รูปนี้แหละ…ท่านเป็นพระอริยสงฆ์’

ข้าพเจ้าแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทีเดียว และการเสาะแสวงหาได้สิ้นสุดลงแล้ว การศึกษาในตำราก็เพียงเท่านั้น แต่การได้มาเห็น ได้สัมผัส ได้รับรู้ได้เห็นของจริงเป็นสิ่งที่น่าปลื้มใจ น่าปรารถนามากกว่าเยอะ




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 8:09:04 น.
Counter : 845 Pageviews.  

๑๐๒-ไม่รู้ว่าเข้ากับสถานการณ์มั้ย...



ครั้งหนึ่งพระอินทร์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ฆ่าอะไรได้อยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรได้ไม่โศก" พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ฆ่าความโกรธ"

ในครั้งหนึ่งได้มียักษ์ตนหนึ่งผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียด ขึ้นไปนั่งบนอาสนะของพระอินทร์ พวกเทพชั้นดาวดึงส์พากันโพนทนาติเตียน แต่ยิ่งโพนทนาติเตียน ยักษ์นั้นก็ยิ่งงามยิ่งผ่องใส จนพวกเทพพากันประหลาดใจว่า น่าจะเป็นยักษ์กินโกรธ

พระอินทร์ทรงทราบความนั้นแล้วได้เสด็จเข้าไป ทำผ้าเฉวียงพระอังสะข้างซ้าย คุกเข่าขวาลง และประคองอัญชลีเหนือพระเศียร ประกาศพระนามของพระองค์ขึ้น ๓ ครั้งว่า พระองค์คือ ท้าวสักกะจอมเทพ ยักษ์นั้นกลับมีผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียดยิ่งขึ้นจนหายไปในที่นั้น
พระองค์ขึ้นประทับบนอาสนะของพระองค์แล้วตรัสอบรมพวกเทพ และตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงโกรธมาช้านาน ความโกรธไม่ตั้งติดในพระองค์ แม้จะโกรธชั่ววูบเดียวก็ไม่กล่าวผรุสวาจา ทรงข่มตนได้

คราวหนึ่งพระองค์ทรงอบรมเทพทั้งหลายว่า ให้มีอำนาจเหนือความโกรธ อย่าจืดจางในมิตร อย่าตำหนิผู้ไม่ควรตำหนิ อย่ากล่าวส่อเสียด อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ อย่าโกรธตอบผู้โกรธ ความไม่โกรธและความไม่เบียดเบียนมีอยู่ในพระอริยะทั้งหลายทุกเมื่อ ความโกรธทับบดคนบาปเหมือนภูเขา

-จบ-

คัดมาจากหนังสือ "๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า" พระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


ทุกวันนี้เราคงต้องงใช้สติกันให้มากกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายหนักข้นทุกที
หากแต่สติ(คือ ความระลึกได้ในทางบุญ บาป)นั้นไม่ใช่ รีโมททีวี ที่ทุกคนจะใช้เป็น
ดังนั้นความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี จึงเริ่มเลือนหายไป ความบ้าคลั่งเข้ามแทนที่

เรื่องที่นำเล่าต่อนี้ ก็พิจารณาเองว่าใครอยากจะเป็น เทวดา ยักษ์ หรือพระอินทร์
เพราะข้าพเจ้าคิดว่ามันรู้สึกจะเข้ากับเหตุการณ์ได้เหมือนกัน





 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2551 8:42:18 น.
Counter : 347 Pageviews.  

๑๐๑-เมื่อเธอร้องไห้…




ความรักวัยหนุ่มสาว ย่อมมีอานุภาพยิ่งใหญ่มาก ในสายตาของพวกเขา การติดยึดอยู่กับใครสักคน การปรารถนาในความรัก และต้องการการเอาใจใส่ อาจจะเรียกว่าเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของวัยรุ่นวัยคะนองเลยทีเดียว

มานึกถึงตัวเอง เราเองก็ยังเป็นวัยรุ่นเช่นกัน แต่คงเป็นวัยรุ่นตอนช่วงปลายแล้ว ดังนั้นการผ่านประสบการณ์ร้อน หนาว กับสิ่งที่เรียกว่าความรัก จึงพอมีผ่านมาบ้าง อาจะไม่ได้โชกโชน ร้อนแรงนัก แต่จากอดีตที่ผ่านมันทำให้เรามองเห็นอะไรบางอย่าง มองเห็นคนในสังคม เพื่อนร่วมงาน ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากเดิมสิ้นเชิง

เมื่อเธอคนหนึ่งร้องไห้ …

ข้าพเจ้าจึงเดินไปถามว่า

“เธอ…เธอเป็นอะไร…ใครทำให้ร้องไห้” ข้าพเจ้าถามด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อาจจะปลอบใจได้มากกว่านี้

เธอยังคงนิ่ง เหมือนไม่รับรู้ว่ามีข้าพเจ้ายืนอยู่ข้าง ๆ

บางเรื่องบางอย่าง เขาก็อาจจะมีเหตุมีผลเป็นของตัวเอง การที่เราตั้งใจดี ปรารถนาดี กระโดดเข้าไปช่วย มันอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังก็เป็นไปได้

เธอใช้มือปาดเช็ดน้ำตาก่อนที่จะหันมามองข้าพเจ้า

“ไม่มีอะไรหรอก…” เธอปฏิเสธ

“มีอะไรก็บอกเราได้เสมอนะ…เราไม่รู้ว่าเธอทุกข์ใจเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้รับรู้ว่า ปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้ มีทางออกของมันอยู่เสมอ เราเองทุกวันนี้ก็มีปัญหาไม่น้อยกว่าเธอเท่าไหร่ ก็ได้แต่ยิ้มรับและแก้ปัญหาไปตามที่กำลัง ความสามารถของเราจะแก้ไขได้ นอกจากนั้นหากเราทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องวางใจยอมรับ ทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้นเอง เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว” ข้าพเจ้าก็พูดไปเรื่อย ๆ แบบกลาง ๆ เผื่อจะตรงใจตรงปัญหาบ้าง

“ขอบใจนะ…”เธอพูดเพียงเท่านั้น และก็เดินหันหลังจากข้าพเจ้าไป เป็นอันแสดงว่าคำพูดปลอบโยนของข้าพเจ้า ไม่ตรงเป้าหมายเลยแม้แต่นิดเดียว

ก็บอกแล้วว่า ‘บางเรื่องบางอย่าง เขาก็อาจจะมีเหตุมีผลเป็นของตัวเอง การที่เราตั้งใจดี ปรารถนาดี กระโดดเข้าไปช่วย มันอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังก็เป็นไปได้’

นี่ย้ำจิตย้ำใจตัวเองเป็นครั้งที่สอง และปล่อยเธอแก้ปัญหาของตัวเองไปตามลำพังดีกว่า ข้าพเจ้าก็ทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายเกินไป คำพูดปลอบใจในเชิงจิตวิทยาให้คนอื่นมีกำลังใจ หรือให้คนหันมารักนั้น ไม่ใช่สัญชาติญาณของข้าพเจ้าเลยแม้แต่นิด จึงไม่แปลกอะไรที่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นที่ปรึกษาปัญหาของใคร(ถ้าหากไม่มีความจำเป็น)

เมื่อเวลาผ่านไป จึงรู้ว่า…ความรักเป็นต้นเหตุให้เธอร้องไห้
จริง ๆ แล้ว ความรักมันมีอิทธิฤทธิ์ขนาดนั้นเชียวหรือ ?

เราร้องไห้เสียน้ำตาให้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนเช่นนี้ได้อย่างไร หากเรามองอย่างเป็นกลางแล้ว ความรักนั้นเป็นสิ่งที่สิ่งที่บริสุทธิ์ มันไม่เคยที่จะทำให้ใครต้องร้องไห้ แต่เราเองต่างหากที่ยึดติดกับความรัก และปรารถนามันมากเกินไป เกินกว่ากำลังของความรักมันจะให้ได้ สิ่งนี้ควรเรียกว่าความหลงมากกว่า ความหลงนี่แหละทำให้เราเสียน้ำตา ทำให้เราต้องเป็นทุกข์

จำไว้ว่าเมื่อใดที่เราปรารถความรักจากคนอื่น มากกว่าที่เขาคนนั้นจะให้เราได้ มันจะกลายเป็นความหลง ซึ่งมันจะปรากฎเป็นรูปร่างชัดเจนที่สุดในสายตาคนอื่น แต่สำหรับตนเองกลับถูกปิดกั้น และยังคงมองว่าสิ่ง ๆ นี้ ว่าเป็นรักแท้ รักนิรันดร์อยู่ดี… (เฮ้อ!)




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2551 8:04:26 น.
Counter : 392 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.