ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๐๗๕-ใครจำวันเกิดของตัวเองได้บ้าง…?(ตอนที่ ๒)



*ต่อจากตอนที่ ๑
ดังนั้นธรรมชาติ จึงต้องปรับตัวโดยการพยายามปิดบังความทรงจำ ที่ผ่านมาในภพชาติอดีตให้หมดสิ้นไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยความว่างเปล่าทางความคิด เมื่อพูดถึงการรักษาสมดุลของวัฏสงสาร อาจจะทำให้คุณมีจินตนาการว่า คงจะมีใครสักคนที่บงการ อยู่เบื้องหลังเป็นแน่

ซึ่งถ้าคุณคิดเช่นนั้นก็เท่ากับ เป็นการเบนเข็มทิศให้คุณห่างจาก คำสอนของพระพุทธเจ้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งคงเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของข้าพเจ้า
แต่อยากจะให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งที่ทุกอย่างนั้นมีอยู่ ตั้งอยู่และดำเนินอยู่ ตามเหตุตามปัจจัยของมันเอง คนที่บงการอยู่นั้นไม่มีแน่นอน หากจะมีคนเหล่านั้นก็คือ เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายนี่เอง ที่เป็นกระทำให้กงล้อแห่งวัฏฏะสงสารหมุนต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

เหมือนกับการทดลองในระบบปิดของวิชาเคมี ม.ปลาย เรื่องการทดลองสสารที่อยู่ในสภาวะสมดุลในระบบปิดครั้งนั้น จำได้ว่า เราใส่สารตั้งต้นสองชนิดผสมกัน สารที่ผสมกันอยู่ ต่างเกิดการชน และการรวมตัวของโมเลกุลของสสาร เกิดเป็นของเหลวชนิดหนึ่งที่มี องค์ประกอบและสถานะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงก็คงไม่ถูกนัก เพราะว่าภายในระบบปิดนั้นมันยังคงมีการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของสสารอยู่ หากแต่การเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงนั้น อยู่ในสภาวะที่สมดุล ทำให้มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

ต่อมาเราได้กระตุ้นสสารในระบบปิด โดยการให้ปัจจัยภายนอกเสริมเข้าไป นั่นคือเท่ากับเป็นการเพิ่มอุณหภูมิ และพลังให้กับสสารในระบบปิด เป็นการเร่งปฏิกิริยา ทำให้ระบบปิดขาดความสมดุล มันจึงพยายามปรับตัวให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง ในระดับพลังงานการชนและรวมตัวที่สูงขึ้นไป จนกระทั่งถึงระดับพลังงานหนึ่ง สสารก็เปลี่ยนสภาพเป็นไอ เป็นกลุ่มก๊าซ และเกิดความสมดุลของระบบอีกครั้งในสถานะก๊าซ(ในขณะที่ให้ความร้อนคงที่) เมื่อหยุดให้ความร้อน สสารก็เกิดการปรับสมดุลอีกครั้งหนึ่ง กลับมาเป็นของเหลวชนิดเดิม

นี่เป็นตัวอย่างของธรรมชาติของการปรับสมดุล ที่มันได้เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก ไม่มีใครไปเฝือนบังคับ บัญชามันได้ เราต่างก็เป็นโมเลกุลในระบบปิด ที่มีส่วนสร้างและได้รับผลกระทบ วนเวียนอยู่ในระบบปิดอย่างที่จะหาทางออกไม่ได้ เพียงแต่จะมีบางช่วงเวลาที่ถูกเปลี่ยนสภาพ เป็นของเหลว ของแข็งและก๊าซบ้างเท่านั้น

ก็เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ของคนที่ชื่นชอบวิทยาศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับคนในสมัยติจิตอลอันรุ่งเรืองนี้ เอาเป็นว่าเหตุที่เราจำอะไรไม่ได้ในชาติก่อนนั้น

เป็นเพราะเกิดการปรับตัวปรับสภาพของระบบ ๆ หนึ่งที่เรียกว่าวัฏสงสาร เพื่อป้องกันความโกลาหล ของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะเหตุที่เรายังมีความโลภ โกรธ หลง อยู่มากมายนั่นเองเป็นตัวแปรที่ทำให้เราระลึกชาติได้ยาก

แต่ตราบใดหรือยุคสมัยใดที่ เหล่าสัตว์มีความโลภ โกรธ หลง เบาบาง มีความเห็นผิดน้อยลง ระบบที่เรียกว่าวัฏฏะสงสาร ก็จะปรับตัวเองอีกครั้ง ทำให้เราสามารถระลึกชาติ ย้อนหลังได้ไม่ยากนัก

ดังจะเห็นได้จากพระสูตรและชาดกที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ บางชาติผู้คนที่เกิดร่วมสมัยของพระองค์ ก็สามารถระลึกชาติได้โดยไม่ยากเพียงแค่ทำสมาธิ หรืืืือน้อมใจไปก็สามารถรู้อดีตชาติที่ผ่านมาได้แล้ว โดยสมัยนั้นจะเป็นสมัยที่มนุษย์มีศีลธรรม เสมอกันเสียโดยส่วนมาก หากเป็นสมัยที่มนุษย์มีความโลภ ผิดศีลธรรมกันอยู่ ก็จะไม่บังเกิดเรื่องการระลึกชาติให้เห็น


ผู้ที่มีอคติ เชื่อว่าชาติหน้าไม่มีจริง หรือ อดีตชาติที่ผ่านมาไม่มีจริง ขอให้น้อมใจนึกถึงตอนที่เราเกิด ถามตัวเองว่าเราจำวันที่เราเกิดได้ไหม ไม่ต้องบอกขนาดถึงว่าเป็นวันหนึ่งวันใดในสัปดาห์ แค่บอกว่าช่วงนั้นเป็นกลางวันหรือกลางคืน ท่านก็จำเองไม่ได้แล้วใช่ไหม อย่างนี้จะให้ระลึกไปถึงชาติไหนได้ เพราะแม้แต่ชาตินี้ชาติเดียวตอนท่านเกิด ท่านก็ยังจำอะไรไม่ได้เลย...

-จบ-




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2551    
Last Update : 4 ตุลาคม 2551 10:12:08 น.
Counter : 343 Pageviews.  

๐๗๔-ใครจำวันเกิดของตัวเองได้บ้าง…?(ตอนที่ ๑)




นั่นสินะ…ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่ง ที่จำวันเกิดของตัวเองไม่ได้ เพราะอะไรกัน…?

ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ผุดขึ้นมาตั่งแต่สมัยที่มนุษย์เราเริ่มมีสิ่งที่เรียกกันว่า “อาริยธรรม” สิ่งที่เป็นการกระตุ้นทำให้มนุษย์สงสัยเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนี้ น่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมกันของสังคม เพราะหากเราเกิดเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกเราก็คงไม่ต้องสงสัยอะไร…

ความไม่เท่าเทียมนี้เอง มันเป็นผลมาจากความแตกต่างกันของคนในสังคม บางคนรวย บางคนจน บางคนเกิดมาสวย มีผิวพรรณ งดงาม เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง บางคนเกิดมา น่าตาอัปลักษณ์ตั่งแต่แรกเกิด บางคนมีความสมบูรณ์เพียบพร้อม แต่บางคนก็พิการ มีองค์ประกอบของร่างกายไม่ครบ ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น สติ ปัญญา ความสามารถของมนุษย์ก็ยังไม่เท่ากันทุกคนอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดน่าสงสัย เหตุของความต่างเช่นนี้

ก่อนที่จะการกำเนิดขึ้นของพระพุทธเจ้า มนุษย์ในสังคมสมัยนั้น มีความเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด และผลของกรรมอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ความเชื่อนั้นยังไม่ถูกต้องครบสมบูรณ์ และชัดเจนเท่ากับสมัยหลังการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จนมาถึงบัดนี้กาลเวลา ล่วงเลยมานับสองพันกว่าปี เราเองก็ยังมีความลังเลในความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เนื่องจากการพิสูจน์เรื่องนี้เป็นการอยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดาเดินดินแบบเรา ๆ

คุณอาจจะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าคุณยังคงลังเล และไม่มั่นใจว่าจะเป็นจริงอย่างที่ท่านสอนหรือเปล่า

คุณอาจจะศรัทธาในพุทธศาสนา แต่คุณก็ปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสิทธิที่คุณจะทำได้ แต่คุณก็ต้องทำใจได้เลย เพราะคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาต่างก็มี เรื่องกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ภพ ภูมิ เทวดา แทรกอยู่เกือบทุกหมวด

คุณอาจจะเชื่อว่าคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว แล้วทุกอย่างก็จบสิ้น คนที่มีความคิดประเภทนี้อยู่นั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ผิดอะไร แต่ก็แสดงออกถึงความประมาทอยู่

มีคำถามที่พบบ่อยคือ ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดหรือภพ ภูมิ มีจริง ทำไมคนเราถึงจำอะไรไม่ได้เลย ทำไมระลึกชาติย้อนหลังไม่ได้ทุกคน หรือนั่นเป็นกลไกลของธรรมชาติ ที่พยายามสร้างห้องกั้นไว้ ไม่ให้เรามองเห็นความเป็นจริง

คำตอบเรื่องนี้เป็นความรู้ที่เกินสามัญสำนึกของเราที่จะรู้ได้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่สัณนิษฐานเอาไว้เท่านั้น และความไม่ชัดเจนของคำตอบนี้เอง ทำให้คนเรามีทิฏฐิ ความเชื่อที่เบนออกไปจาก หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันโดยมาก

มีคำถามที่น่าคิดต่ออีกว่า แล้วกลไกลของวัฏสงสารนั้นตั้งอยู่ได้เพราะอะไร
คำตอบคือ อวิชชา หรือ ความไม่รู้ธรรมชาติตามความเป็นจริง ความเห็นผิดของสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่รู้ใน อริยสัจ ๔ ทำให้เราจึงยังติดข้องอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด และประสบทุกข์ อย่างที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้

ถ้าหากเราระลึกชาติได้กันทุกคน สังคมของสัตว์ก็จะวุ่นวายและโกลาหลอย่างหนัก เพราะ เราเกิดมาต่างมี ทั้งคนรักและคนชังกันทั้งนั้น การรู้อดีตของเราและคนอื่นได้เหมือนกันทุุกคน จะเป็นเหตุให้กงล้อแห้งวัฏสงสาร บิดเบี้ยวไป ไม่มีความสมดุล และเคลื่อนที่หมุนต่อไปได้อย่างลำบากและติดขัด


*อ่านต่อในตอนที ๒




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2551 17:44:37 น.
Counter : 399 Pageviews.  

๐๗๓-ผีเสื้อ…กับความงาม




แสงแดดอ่อน ๆ ยามเย็น สาดส่องผ่านปุยเมฆมากระทบ ทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม ในช่วงปลายฤดูฝนปีหนึ่ง อุณหภูมิของอากาศกำลังลดลง พร้อม ๆ กับ พระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าเร็วกว่าปกติ เป็นสัญญาณที่บอกถึงฤดูหนาวกำลังเข้ามาแทนที่

เวลาช่วงกลางวันนั้นเริ่มสั้นลง สลับกับกลางคืนที่ยาวนานขึ้น นี้คงเป็นการสอนของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้รู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แน่นอน ยืนยาวไปได้ เมื่อมีร้อน ก็มีหนาว มีสุข มีทุกข์ มีกลางวัน กลางคืน สลับกันไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ผีเสื้อตัวน้อย ๆ กำลังโบยบินดูดดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ดอกแล้วดอกเล่า มันชื่นชมกับน้ำหวาน ไม่ต่างอะไรกับคนเราที่ติดข้องอยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปีกที่มีสีสันสวยงาม ดูสะดุดตา เป็นการบรรจงสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ให้มาหลอกล่อคู่ตรงข้ามให้มาติดกับได้อย่างไม่ยากเย็น

“นั่นไง ตัวนั้นแหละ…” เด็กน้อยผู้ถือตาข่ายวงใหญ่พูดขึ้น
“ไม่เอา ๆ ตัวนี้สวยกว่า” เด็กอีกคนหนึ่งซึ่งตัวเล็กกว่าคัดค้าน
“พี่ว่าเราจับทั้งสองตัวเลยดีมั้ย…”
“ดีครับพี่่…ไปกันเลย”

ความงามนั้นเป็นที่ต้องตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็นเสมอ มันอันตรายมากแค่ไหน เคยรู้กันบ้างไหม มีผีเสื้อสีสวยมากมายเท่าไหร่ ที่ต้องจบวงจรชีวิตลง และต้องย้ายซากตัวเองไปอยู่ในกรอบรูป ถูกประดับติดอยู่กับหมู่บ้านเมืองของมนุษย์

ผู้หญิงที่สวยงามก็ไม่แตกต่างอะไรกับผีเสื้อตัวนั้น ที่ผู้ชายหลายต่อหลายคนต่างจ้องหา อยากเป็นเจ้าของหัวใจและร่างกาย ซึ่งบางครั้งมันก็มาพร้อมกับอันตรายที่คาดไม่ถึงอย่างที่กล่าวมา…

หากเราย้อนมองดูและคิดกันสักนิด เราจะหาประโยชน์อะไรได้บ้างจากความงามนั้น แน่นอนว่าเราไม่อาจจะฝืนธรรมชาติที่ต้องการให้มนุษย์ดำรงเผ่าพันธุ์ และติดข้องอยู่ในสัมผัสที่ชอบใจทั้งหลายได้

แต่หากความสวยงามนั้นมันไม่ได้อยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรม อันตรายมันจะตามมาหาตัวเราได้ง่าย ๆ มีหลายต่อหลายคนที่จบชีวิตลงเพราะความงามเป็นเหตุ การแย่งคู่รัก ความหึงหวง ความอิจฉา ริษยาต่อกัน
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องทำความรู้จักความสวยงามให้มากขึ้น รู้จักใช้ความสวยให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ต่อตนเองและส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อแต่งตัวอวดโฉมกัน

ไม่อย่างนั้นแล้ว สุดท้ายก็จะมีจุดจบ เหมือนกับผีเสื้อที่เด็กสองคนนั้นจับไปประดับฝาผนังบ้าน… (อย่างนั้น)




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2551    
Last Update : 3 ตุลาคม 2551 8:10:47 น.
Counter : 2363 Pageviews.  

๐๗๒-แด่ช้าง…ผู้ซื่อสัตย์



แผ่นซีดีสะท้อนแสง เคลื่อนไหวไปมา ตามจังหวะการแกว่งหางของช้างตัวหนึ่ง แม้ยามนี้ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของสัตว์โลกทั้งหลาย แต่ตามฟุตบาท ทางเดินอันคับแคบของเมืองหลวง ยังคงมีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ที่ในอดีตเคยร่วมกันสร้างชาติ บ้านเมืองจนรุ่งเรือง มาถึงทุกวันนี้ ทั้งช้างและคนเลี้ยงช้างต่างเดินร่อนเร่ หาคนซื้ออ้อยให้เป็นอาหารของมัน ซึ่งอ้อยก็เป็นอาหารประเภทแรก ๆ ที่เด็ก ๆ ตอบได้ เมื่อพูดถึงช้าง

มันเป็นภาพสะท้อน หรือผลกระทบของความเจริญรุ่งเรือง หรืออย่างไรกันแน่ ที่ทำให้ช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมือง ต้องตกชะตากรรมลำบาก ดำรงชีวิตเสี่ยงต่อการถูกรถชนอย่างนี้

ข้าพเจ้าเดินตามช้างตัวนั้นอย่างช้า ๆ พยายามที่จะเอามือลูบลำตัวอันใหญ่โตของมัน แต่นั่นก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นไม่อาจจะสัมผัสตัวของมันได้ ได้แต่ยกมือ และหยุดเดินอยู่กับที่ ปล่อยให้ช้างตัวนั้นเดินห่างออกไป ทำอย่างไรหนอ จึงจะช่วยช้างตัวนั้นได้ หรือต้องปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม

รถเมล์สายที่ต้องการขึ้น กำลังเข้ามาหยุดที่ป้ายจอดรถ ข้าพเจ้าก็กำลังจะเดินขึ้นรถเมล์คันนั้น และจากไป แต่มาคิดอีกที…ก็เปลี่ยนใจ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้รถเมล์คันนั้นจากไป

ข้าพเจ้าวิ่งตามช้างตัวนั้น และมอบเงินจำนวน ๑๐ บาทให้กับเจ้าของช้าง แล้วบอกว่า
‘ผมให้ครับ…’

‘ให้เป็นค่าอาหาร ช่วยซื้ออ้อยป้อนมัน แทนผมด้วยครับ’

แล้วก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับไปมองดูหรือสนใจว่า เจ้าของช้างจะทำตามที่ข้าพเจ้าขอร้องหรือเปล่า

ข้าพเจ้ายอมเดินเหนื่อยไปอีก ๔ – ๕ ป้ายรถเมล์ เพื่อนำค่ารถเมล์นั้นไปให้ช้าง อย่างน้อยสิ่งที่ทำลงไปมันอาจจะไม่ได้อะไรมาก แต่ก็คิดว่า ทำดีกว่า…
ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว มันอาจจะเป็นการส่งเสริมให้ช้างเข้ามาในเมืองมากขึ้น ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว มันอาจจะเป็นการช่วยเหลือ เจ้าของช้างมากกว่าช้างตัวนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ช้างก็ยังต้องลำบากอยู่เหมือนเดิมใช่หรือไม่

อย่างน้อย หากเจ้าของช้างมีเงินใช้ มีฐานะดีขึ้น ช้างก็คงจะลำบากน้อยลง หากเงินที่ข้าพเจ้าให้ไปนั้น มันสามารถที่จะช่วยให้ช้างตัวนั้น เดินทรมาณ อยู่ในป่าคอนกรีตน้อยลง สักเพียงแค่ก้าวเดียว ให้มันได้ผ่อนคลาย ความทรมาณจากความร้อนในเมืองกรุงได้เพียงสักครู่เดียว

ข้าพเจ้าก็พอใจมากแล้ว…




 

Create Date : 02 ตุลาคม 2551    
Last Update : 2 ตุลาคม 2551 8:17:04 น.
Counter : 357 Pageviews.  

๐๗๑-Matrix…ที่เคว้งคว้าง



เมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีหนังเรื่อง The Matrix เป็นหนังภาคต่อที่มีคนรอชมอยู่มากเรื่องหนึ่ง หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีฉาก เอฟเฟ็ก และกราฟฟิกที่ยอดเยี่ยม จนน่าประทับใจ แต่สิ่งที่นอกเหนือจากความสนุก และความบันเทิงจากฉากการต่อสู้นั้น นั่นคือ theme หรือแนวคิดของหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนบทได้นำเสนอ เรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง และให้แง่คิดมุมมองได้อย่างมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่มีจริตในทางปัญญา เขาก็จะดูหนังเรื่องนี้แบบสนุก ๆ ไปเท่านั้น

ยอมรับว่าดูหนังในภาคแรกนั้น ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ และจะงงอยู่มาก ๆ มีพี่ที่เขาชื่นชอบเหมือนกัน เขาบอกว่าถ้าฟัง sound ที่เป็นอังกฤษ ไม่ต้องอ่านหรือฟังภาษาไทย จะเข้าใจเรื่องได้มากกว่านี้ เหมือนกับว่าคนแปลหนัง แปลภาษาได้คลาดเคลื่อนจากวัตถุประสงค์ของต้นฉบับเดิม พี่คนนั้นบอกว่าอย่างนั้น

แต่ข้าพเจ้าไม่ได้จบเมืองนอก ภาษาอังกฤษก็งู ๆ ปลา ๆ จะไปฟัง Sound English ให้รู้เรื่องได้อย่างไร แต่นั่นก็ไม่ละความพยายาม ที่จะหาความรู้เพิ่มเติม นั่นคือหนังสือ จำได้ว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง แปลและเรียบเรียง จุดประสงค์ของหนังออกมาในแง่มุมของปรัชญา ซึ่งมีการวิเคราะห์และให้แง่คิดของหนังในอีกมุมมองหนึ่ง และด้วยความพยายามนี้เอง จึงได้เข้าใจ topic ของเรื่องทั้งหมด และยังสามารถเชื่อมโยงกับหนังเรื่อง I-Robot ที่ออกมาทีหลังได้อย่างลงตัว (ประโยคนี้คิดเอง)

ผู้คนส่วนมากของโลกต่างนอนหลับไหลอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง มีสายยางนำอาหาร และของเสีย คอยหล่อเลี้ยง อุดหนุนไม่ให้มนุษย์เสียชีวิตลง ภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคนได้ถูกครอบงำโดยเครื่องจักร ที่หลอกลวงจินตานาการของมนุษย์ โดยการโปรแกรม เมืองทั้งเมือง โลกทั้งโลก ให้มนุษย์ติดข้องอยู่ในนั้น ไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมาเห็นความเป็นจริงของชีวิต ว่าที่แท้จริงแล้วนั้น ได้ตกเป็นทาสของเครื่องจักร ที่มนุษย์เองนั่นแหละเป็นผู้สร้างขึ้นมา

นีโอเป็นตัวแทนของผู้ที่ติดอยู่ในโลกเสมือน ซึ่งได้เห็นถึงความผิดปกติของการดำเนินชีวิต เขาได้รับการช่วยเหลือให้ออกมาจากโลกเสมือนจริง จากเพื่อนมนุษย์ผู้ที่เป็นอิสรภาพจากการควบคุมของอาณาจักรเครื่องจักรกล และได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อเรียกร้องอิสรภาพให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

จากการดูหนังและอ่านหนังสือ หลาย ๆ รอบ มันเหมือนกับเป็นตัวจุดชนวนในความคิดของข้าพเจ้า ทำให้ได้ออกมาคิดต่อว่า แล้วโลกทุกวันนี้จะเป็นเหมือน The Matrix หรือเปล่า ตัวเราเองที่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อาหารที่กิน งานที่ทำอยู่ มันเป็นของจริงหรือโลกเสมือนที่ถูกปั้นแต่งขึ้นจากใครสักคนกันแน่

ทำไมแง่มุมที่ฝรั่งคิดจากหนังเรื่องนี้ มันช่างสอดคล้องกับแง่มุมของพุทธศาสนาของเรา และสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าคิด ผิดกับคนไทยเองที่เป็นเมืองพุทธศาสนาแท้ ๆ กับสร้างสรรค์ผลงานได้ดีที่สุดแค่หนังผี หลอกให้คนกลัว หลอกให้คนงมงาย ติดข้องอยู่กับที่อย่างนั้น แล้วมันจะตามทันเขาได้อย่างไร… (จริงมั้ย)




 

Create Date : 30 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 20:25:13 น.
Counter : 443 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.