|
๑๖๒-เงื่อนตาย
"ทำไมแกต้องพูดจา แทงใจฉันอยู่เรื่อย" " นี่จะกัดฉันไปถึงไหน "
ข้าพเจ้ามักจะถูกเพื่อนผู้หญิงตำหนิ อยู่เป็นประจำ เมื่อหล่อนถูกกระทบจากคำเหน็บของข้าพเจ้าบ่อย ๆ แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องไปว่าคนเหล่านั้นขนาดนั้นด้วย ความจริงก็ไม่ได้มีใจเสน่หา ต้องการจีบมาเป็นแฟนหรอก
เพียงแต่มีความรู้สึกว่า เธอทั้งหลายวัน ๆ (ทำงาน)จะเพ้อเจ้อมากเกินไป บางครั้งนำเรื่องที่ไม่สมควรพูดมาพูดในที่สาธารณะ เช่น เรื่องเพศ หรือ เรื่องลับของผู้หญิง เรื่องละคร เรื่องนานาสารพัด จนเป็นที่ปวดหัวสำหรับข้าพเจ้า
นี่แหละจึงเป็นที่มาของการที่จะต้องพูดแบบแทงใจดำเพื่อให้กระตุก หรือดึงคนเหล่านั้นกลับมาบ้าง ไม่อย่างนั้นเกิดตายไปตอนนี้ ลงอบายอย่างเดียวครับ แต่การจะเตือนโดยอ้างหลักธรรมมาแบบตรง ๆ ก็ทำไม่ได้ จึงต้องเลี่ยง ๆ เชิงเหน็บให้เขารู้สึกละอายในสิ่งที่พูดที่กระทำออกไป อย่างน้อยก็ให้ได้สติกลับมาบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้วาข้าพเจ้านั้นจะหวังมากเกินไปหรือเปล่า
เรื่องเหล่านี้มันเป็นจริต เป็นนิสัยของแต่ละคน ในภาษาสมัยโบราณท่านเรียกว่าเป็นวาสนา คำว่าวาสนาเท่าที่ได้ฟังมาเป็น การหมายถึงนิสัยที่ติดตัวมาตั่งแต่อดีตชาติ เป็นนิสัยที่ประพฤติมานาน ติดต่อกันหลายภพหลายชาติ
เรื่องของวาสนา หรือ นิสัยที่ทำจนเคยชินนี้ แม้แต่พระอรหันต์ก็ท่านยังละไม่ได้ หากแต่สิ่งที่ท่านทำนั้นจะไม่ประกอบด้วยอกุศลเจตนา เป็นเพียงนิสัยพื้นเดิมที่ติดตัวมาในอดีตชาติเท่านั้น (มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ท่านสามารถละวาสนานี้ได้)
ยกตัวอย่างพระอรหันต์ท่านหนึ่งชื่อ พระปิลินทวัจจะ ท่านมักเรียกผู้อื่นว่า "เจ้าถ่อย" หรือ "คนถ่อย" อยู่เสมอ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็มีคนไปฟ้องต่อพระพุทธเจ้า บอกว่าพระเถระผู้นี้เป็นพระอรหันต์แล้ว เหตุไฉนจึงพูดคำหยาบอยู่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระเถระท่านนี้ในอดีตชาติ ได้เกิดในสกุลพราหมณ์ และ ได้ต่อว่าผู้คนด้วยคำเช่นนี้มานานหลายร้อยชาติ ดังนั้นด้วยนิสัยอย่างนี้จึงติดมาจนกระทั่งในชาติที่บรรลุอรหันต์ แต่เมื่อท่านบรรลุอรหันต์แล้ว ถ้อยคำที่พูดนั้นก็เป็นเพียงคำพูดที่ไม่ได้ประกอบด้วยเจตนาให้ร้าย หรือ ประกอบด้วยอกุศลกรรมใด ๆ
นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ที่มีมาในพระไตรปิฎก แต่คำว่า วาสนา ในยุคหลังก็จะมีความหมายไปในทางที่ดีงามมากกว่า
ย้อนกลับมาในยุคปัจจุบัน คำพูดหรือการกระทำอย่างใดที่เราทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ แสดงว่าเรากำลังสั่งสมสิ่งที่เป็นนิสัยติดตัวไปยังชาติต่อ ๆ ไป หากแต่สำหรับคนที่พูดจาเพ้อเจ้อ ไร้สาระทั้งวันนั้น เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก เพราะน้อยคนที่จะรู้สึกตัวว่าการพูดมาก พูดไร้สาระมันเกิดโทษทำให้จิตใจสับสน ขาดสติ ลงอบายภูมิได้ง่ายมาก คือ ประตูนรก เปรต นี่เปิดกว้างมากสำหรับคนเหล่านี้
ที่พูดนี่ก็ไม่ได้ต้องการสาปแช่งใคร เพราะในตำราท่านก็แจ้งไว้อย่างนั้น ก็พูดกันตามตำราเลยก็ว่าได้ นี่เป็นสาเหตุที่ข้าพเจ้ามักจะพูดเตือน สติ เพื่อน อยู่เสมอ จนบางครั้งก็ถูกต่อว่ากลับคิดว่าเราไปสั่งสอนเขา หรือหาเรื่องด่าเขาทางอ้อม ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นไป
เราลองมาเปลี่ยนมุมมองพิจารณาดูจิต ดูใจของเราเองดูบ้าง จิตเราในอดีตที่ผ่านมามันไม่ต่างอะไรกับเส้นเชือกที่ผูกพันกันไปเป็นปม เป็นก้อนรุงรังยากที่จะแก้ไข เมื่อมีใครสักคนพยายามจะชักดึงเส้นเชือกเส้นนั้น ให้เขารับรู้และคลายปมเส้นนั้นออกมาบ้าง หากเรื่องนี้เป็นเรื่องยากมาก ๆ ข้าพเจ้าพยายามเข้าไปแก้ไขเชือก หรือ แก้ไขความเห็นผิดของเพื่อนซึ่งสั่งสมมานาน ทุกครั้งทีดึง กลับรู้สึกว่าเชือกเหล่านี้มันยากเกินความสามารถของเราที่จะไปแก้ไขให้เขาได้ ต้องรอเวลาให้เขารู้สึกตัวและแก้ไขความยุ่งยากนี้ด้วยตัวเองดีกว่า (ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนที่อ่านมาถึงนี้ ก็คงคิดเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า)
นานวันเข้าก็ถึงเวลาที่จะงัดเอา อุเบกขาธรรม มาใช้งาน เพราะ เมตตา กรุณา มุฑิตา ก็ถูกกลั่นมาใช้อย่างเต็มที่แล้ว จึงเหลือธรรมแค่หลักเดียวเท่านั้น ที่พอจะทำให้เราไม่กลายเป็นคนบ้าหลุดโลก ในมุมมองสายตาของคนอื่นไปเสียก่อน
ความเห็นผิดที่เราสั่งสมมา เป็นดั่งเชือกที่ขมวดเป็นปม รัดรวมตัวกันแน่นหนา หากแต่เราไม่ได้นำธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาอบรม เพื่อแก้ไขเงื่อนปมของเชือกที่ยุ่งเหยิงนั้น ไม่นานเชือกเส้นน้น ก็จะพันติดกันและพัฒนาจนกลายเป็นเงื่อนตายไปในที่สุด
*ฝากไว้นิดนึงครับ วาสนาในภาษาไทยหมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมานาน ทำให้คน ๆ นั้นมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน ในความหมายทางธรรม วาสนา หมายถึง นิสัยสันดานที่ฝังลึกอยู่ในจิตจนถอนไม่ขึ้น ว่ากันว่า ถึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังละ วาสนา ไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
Create Date : 29 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 8:05:44 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1624 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:38:07 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:51:19 น. |
|
|
|
โดย: busabap วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:54:04 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:13:19 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:4:25:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:16:48 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:08:05 น. |
|
|
|
โดย: zeedhama วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:02:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:36:58 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:52:57 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:7:38:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:7:57:09 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:0:02:14 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:2:36:00 น. |
|
|
|
| |
|
|
คนเรามักมีอุปนิสัยบางอย่าง
ที่เป็นกรรมติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาอย่างหนุนเนื่อง
ไม่ง่ายเลยนะครับ
ที่จะลบล้างอุปนิสัยเหล่านั้นได้