|
๑๘๐-กลลวง(ตอนที่ ๒)-จบ-
เช้าวันรุ่งขึ้น ชายนักเดินทางรีบเดินทาง ไปยังสถานที่ที่ได้รับคำแนะนำเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็มาถึงภูเขาสองลูกนั้น เส้นทางที่เดินนั้นเริ่มบีบแคบลงตามระยะทางที่มากขึ้น จนในที่สุดเหลือเพียงช่องแคบ ที่คนสามารถเดินทางได้ลำพังเพียงแค่คนเดียว ชายนักเดินทางรู้สึกอึดอัดต่อเส้นทางการเดินมากที่สุด ตั่งแต่ที่เขาเดินทางมาก็ยังไม่รู้สึกอึดอัดมากขนาดนี้มาก่อน
เมื่อสายตาของเขามองขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นเพียงช่องเขาสูง มีขอบฟ้าสีครามเป็นเส้นตัดผ่านเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความลึกของช่องเขานี้
เขาเดินทางไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบทางออก มันเป็นทุ่งโล่งแจ้ง สุดปลายสายตามีแม่น้ำแห่งหนึ่งไหลพาดผ่านอยู่ ชายนักเดินทางคิดว่าต้องเป็นแม่น้ำที่ได้รับคำแนะนำมาแน่ ๆ เขารู้สึกตื่นเต้น เมื่อรู้ว่าจุดหมายปลายทางเริ่มใกล้เข้าทุก ๆ ที
ในทุ่งโล่งนี้ไม่มีแม้ต้นไม้สักต้นเดียว มีเพียงกอหญ้าที่ขึ้นปกคลุมอยู่หนาตา จึงทำให้การเดินทางของชายนักเดินทางต้องลำบากมากขึ้ นเนื่องจากพงหญ้านั้นรกเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลดละความพยายาม ยังคงเดินทางไปยังแม่น้ำแห่งนั้น
แสงแดดในตอนบ่ายเริ่มทวีความร้อนขึ้นอย่างมาก ท้องทุ่งในเวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นมาอย่างผิดปกติ สายน้ำที่อยู่เบื้องหน้าของชายนักเดินทาง มีไอน้ำพุ่งขึ้นเป็นกลุ่มก้อนขึ้นไปบนฟ้า น้ำในแม่น้ำกำลังเหือดแห้งอย่างรวดเร็ว
ชายนักเดินทางรู้สึกตกใจมากกับเหตุการณ์ดังกล่าว สถานที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่ คำบอกเล่าของชายคนเมื่อคืนต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน มันไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ เขามองไปยังหุบเขาที่เขาเดินผ่านมา ช่องเขาซึ่งเป็นทางแคบ ๆ กำลังถูกปิดลงเนื่องจากเกิดการถล่มของภูเขา อีกทั้งความร้อนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมาก ที่แห่งนี้ไม่มีแม้ต้นไม้ที่จะให้ความร่มเย็น อีกทั้งแม่น้ำข้างหน้าก็กำลังเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
เขาต้องตายแน่หากไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ทุ่งหญ้าที่แห้งกรอบ เมื่อได้รับความร้อนถึงขั้นหนึ่งก็ถึงจุดติดไฟ เปลวไฟถูกจุดติดจากหญ้ากอหนึ่งลุกลามไปยังอีกกอหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นแทบจะไม่มีเวลาตั้งตัว เปลวไฟได้ลุกลามติดต่อกันจนทุ่งหญ้ากลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงสด บรรยากาศเริ่มครึ้มเนื่องจากกถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควัน ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือ ศีรษะของชายนักเดินทาง
“นี่ ๆ มันอะไรกัน...” ชายนักเดินทางอุทาน
เขากำลังจะถูกย่างสด จากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำอยู่เบื้องหน้า เขาไม่มีเวลาคิดมากนัก ชายนักเดินทางตัดสินใจวิ่งกลับไปยังทิศทางเดิม แม้รู้ว่าเส้นทางนั้นถูกหุบเขาถล่มปิดทางแล้วก็ตาม เพราะมันไม่มีทางที่ดีกว่านี้นอกจากกลับไปทางเดิม
เขาวิ่งไปอย่างสุดกำลังแรงเพื่อหนีทะเลเพลิง แต่ทำไมกัน...ทั้งที่เขาเกลียดและกลัวมหาไฟบัลลัยกัลป์อย่างมาก และพยายามหนีอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นยังสถานที่แห่งนี้ได้ อีกนิดเดียวก็จะข้ามไปยังฝั่งนิพพานได้แล้วทีเดียว
ดินแดนนิพพานเป็นสถานที่ห่างไกลจากไฟบัลลัยกัลป์ หรือ เพลิงความร้อนใด ๆ แต่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นได้ในที่ ๆ ที่อยู่ใกล้นิพพานแห่งนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คง...
“ใช่แล้ว ถูกหลอก...” ชายนักเดินทางพูดกับตัวเองเบา ๆ รู้สึกเจ็บใจอย่างมาก
“ฮ่ะ ๆ รู้ตัวแล้วเหรอนี่ ยังไม่หายสนุกเลย” เสียงของชายลึกลับดังขึ้น “แกคือคนเมื่อคืนนี้ใช่ไหม...” ชายนักเดินทางร้องถาม “ถูกต้องแล้ว แกนี่มันโง่จริง ๆ รู้ไหมว่าแรงปรารถนาอันร้อนแรงของแก มันทำให้แกตาบอดไปชั่วขณะ ความอยากที่พอกพูนอยู่ในสันดานจิตของแกเองนั่นแหละ ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นเปลวเพลิงที่จะมาเผาตัวแกเองรู้ไหม ”
ชายนักเดินทางพยายามมองหาร่างของชายคนดังกล่าว แต่เขาก็หาไม่พบ มันคงจริงอย่างที่ชายคนนั้นว่ามา เขามุ่งมั่นมากเกิน มันเกินความพอดี และรีบร้อนมากเกินไป มีความตึงมากเกินไปขาดการพักผ่อน ร่างกายของเขาจึงซูบผอมลงเรื่อยมา แต่นี่คงไม่ใช่เวลาที่ต้องมาสำนึกได้ เขาควรเร่งหาวิธีหนีออกไปจากทะเลเพลิงแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ร่างกายของเขาจะสูญสลายไป และจิตก็ต้องไขว่ขว้าหาภพใหม่ หากเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับ เขาต้องตั้งต้นเดินทางกันใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชายนักเดินทางยอมรับไม่ได้
เขาวิ่งมาถึงภูเขาสองลูก ซึ่งบัดนี้ทางออกได้ถูกปิดลงด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ความร้อนและควันไฟเริ่มโหมกระห่ำเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทุกวินาทีมีแต่ความตายที่คืบคลานเข้ามา ชายนักเดินทางนึกเพียงว่าอยากให้เรื่องในวันนี้เป็นเพียงความฝัน เขายังไม่อยากตาย เขายังต้องเดินทางอีกไกล
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว...มันจบแล้ว สำหรับการเดินทางของแกในคราวนี้ ฮ่า ๆ ๆ...”เสียงของชายคนนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ในนาทีนั้นเอง ความมีสติ และจากประสบการณ์ที่ผ่านในอดีตทำให้ชายนักเดินทางฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาผ่านเจอเจ้าที่เจ้าทางมามาก ทุกคนต่างมีลักษณะและความสามารถเฉพาะตัว ที่จะกักขังสัตว์ให้อยู่ในวังวน และอำนาจของตัวเอง เจ้าที่แห่งนี้ก็คงเช่นกัน
เขานึกย้อนคำพูดของชายคนดังกล่าวที่ว่า
'ถูกต้องแล้ว แกนี่มันโง่จริง ๆ รู้ไหมว่าแรงปรารถนาอันร้อนแรงของแก มันทำให้แกตาบอดไปชั่วขณะ ความอยากที่พอกพูนอยู่ในสันดานจิตของแกเองนั่นแหละ ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นเปลวเพลิงที่จะมาเผาตัวแกเองรู้ไหม '
เปลวเพลิงแห่งนี้แท้จริงเกิดมาจากตัวเราเอง มันคือเพลิงของความปรารถนาที่มากเกินพอดี เพลิงโลภะนั่นเอง เจ้าเพลิงเหล่านี้มันได้เผาไหม้เจ้าของมานับภพ นับชาติไม่ถ้วน การที่จะดับเพลิงนี้ได้ต้องใช้สติ และสมาธิ ชายนักเดินทางนึกได้อย่างนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิกับพื้น ไม่ยินดียินร้ายกับความตายที่จะเยือนภายหน้า เกิดจิตอันตั่งมั่นในเวลาเพียงไม่นาน ระงับความหวาดกลัว ความร้อนใจ ความปรารถนาไปเสียได้ ไม่ช้าก็เกิดฝนตกลงมาดับไฟในทุ่งเสียจนสนิท แม่น้ำที่กำลังเหือดแห้งก็กลับมามีน้ำเต็มเหมือนเดิม หญ้าที่ดูแห้งเกรียมก็ออกใบสีเขียวในเวลาไม่นาน ความสงบร่มเย็นก็บังเกิดขึ้นชั่วขณะ
“เป็นไปไม่ได้ ๆ” เสียงชายคนนั้นร้องดังขึ้น “ไม่บ่อยเลยที่จะมีคนรู้เล่ห์กลของสถานที่ที่ข้าดูแลอยู่ ” เสียงชายคนนั้นพึมพัมต่อ “แกพลาดเองที่เผลอบอกความลับแก่ข้า” ชายนักเดินทางพูด “ฮ่า ๆ ๆ ๆ นับว่าข้าประมาทสติ ปัญญาของเจ้ามากไปหน่อย เอาเถอะยกนี้เจ้าชนะแล้ว ทางออกอยู่ที่ทางที่เจ้าเข้ามา แต่อย่าได้ด่วนดีใจไป นิพพานนั้นสำหรับเจ้ายังต้องเดินทางอีกไกลแสนไกล ระหว่างทางก็มีพี่น้องของข้ารอต้อนรับ และทดสอบความสามารถของเจ้าอยู่แล้ว โชคดีแล้วกัน ลาก่อน” เสียงของชายคนนั้นหายไป พร้อมกับก้อนหินที่ปิดทางออก คล่อย ๆ เคลื่อนออกไปทำให้เห็นทางเดินเส้นเล็ก ๆ เส้นที่เขาก้าวขาเข้ามาเพราะถูกกลลวง หลอกเอาว่า 'มีทางลัดไปนิพพาน' นั่นเอง
-จบ-
วันนี้เรื่องราวของชายนักเดินทางจบลงอีกตอน เป็นตอนที่ยาวและต้องเผชิญกับกลลวงของพญามาร ที่แสร้งบอกทางนิพพาน โดยอาศัยความศรัทธาและแรงปรารถนาของชายนักเดินทางที่มากเกินไป โดยไม่ได้มีสติในการควบคุมว่า นิพพานนั้นไม่มีทางลัด ทุกคนต้องเดินทางเพื่อเสริมสร้างบารมีด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถหยิบยื่นให้มาง่าย ๆ เราต้องไขว่ขว้าดิ้นรนด้วยตัวเราเอง ในครั้งพุทธกาลมีคนบรรลุธรรมมากมาย แม้เพียงได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าเทศน์เพียงสอง สาม คำ นั่นไม่ใช่เพราะอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหารย์ของพระองค์ หากแต่คนเหล่านั้นได้สั่งสมบารมีมาแล้วในอดีตชาติ มีความรัก ความปรารถนา และการปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงนิพพาน ส่งเป็นปัจจัยมาก่อนหน้าทั้งสิ้น
เราทั้งหลายก็ไม่พึงท้อแท้สิ้นหวัง ตราบเท่าที่เวลาในโลกนี้ยังมีและชีวิตนี้ยังดำเนินอยู่ เรายังสามารถไขว่ขว้า สร้างบารมีกันตามจริตนิสัยของตัวเองต่อไปได้เรื่อย ๆ นะครับ
ปล.ตอนนี้ยาวหน่อยครับ
Create Date : 21 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2552 8:22:19 น. |
|
14 comments
|
Counter : 617 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:8:29:09 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:14:13:24 น. |
|
|
|
โดย: Budratsa วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:15:05:45 น. |
|
|
|
โดย: be-oct4 วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:5:50:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:7:52:54 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 22 สิงหาคม 2552 เวลา:8:16:19 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 สิงหาคม 2552 เวลา:10:44:17 น. |
|
|
|
โดย: nathanon วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:15:57:50 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผมนึกถึงนิทานเรื่องนึง
ที่อาจารย์เซนพยายามบรรลุธรรมอย่างยิ่งยวด
แต่สิบปีผ่านไป
ท่านก็ยังไปไม่ถึงความรู้แจ้ง
ขณะที่ท่านกวาดลานวัดอยุ่นั้น
ท่านได้กวาดก้อนหินเล็กๆก้อนหนึ่ง
กระเด็นไปกระทบกับต้นไผ่
เสียงดัง "กริ๊ก"
แล้วท่านก็ "บรรลุธรรม" ในวินาทีนั้นเอง