ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๒๓๓-ตาบอดเลื่อยไม้



ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มีชายตาบอดคนหนึ่งกำลังมุมานะในการเลื่อยต้นไม้ขนาดใหญ่ ให้ขาดเป็นท่อน โดยใช้เลื่อยที่เขามีอยู่ ทุก ๆ วัน เขารูปคลำต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเขาจะโอบกอดได้โดยรอบ

เมื่อหลายวันก่อนมีชายผู้หนึ่งเดินมาหาเขาแล้วพูดว่า
“เจ้าอยากหายตาบอด และมองเห็นเป็นปกติไหม”

“อะไรคือการมองเห็น...?” ชายตาบอดถามกลับ นั่นไม่ใช่คำถามที่ส่อถึงการกวนโมโห แต่เนื่องจากเขาตาบอดมานานแสนนาน นานจนกระทั่งจำไม่ได้ว่า แสงสว่างนั้นเป็นอย่างไร

ชายผู้ที่มาแจ้งข่าวนั้น ได้อธิบายถึงการมองเห็น และความสำคัญแห่งการมองเห็น จนทำให้ชายตาบอดอยากมองเห็นบ้าง

" แต่ข้าควรจะทำอย่างไร จึงจะมองเห็นเช่นท่านบ้าง" ชายตาบอดถาม

“ชีวิตของพวกเจ้าที่ตาบอดนั้น ช่างแสนน่าเศร้ามาก พวกเจ้าก่อร่างสร้างเหตุของความไม่รู้มาปิดบังดวงตาตัวเองโดยแท้ ทุก ๆ วันพวกเจ้าต่างก็เอาน้ำรด และพรวนดิน ต้นไม้แห่งอวิชชา(คือความไม่รู้) จนมันได้เติบโต ยิ่งใหญ่แผ่กิ้งก้านสาขาและออกดอกผลไปทั่ว ยากแก่การทำลาย ” ชายผู้นั้นอธิบาย

“ท่านหมายถึงต้นไม้ของข้าเหรอ ตั่งแต่ข้าเกิดมาก็ถูกสอนให้ดูแลต้นไม้ประจำตัวนี้อย่างดี บรรพบุรุษของข้าสอนให้รดน้ำ พรวนดิน ต้นไม้ไว้เพื่อวันข้างหน้าต้นไม้นี้จะได้เป็นร่มเงาของข้าได้”



“นั่นล่ะเพราะความไม่รู้ เจ้าดูแลต้นไม้ของเจ้าอย่างดีเหลือเกิน ต้นไม้ก็ตอบแทนร่มเงา และผลไม้ให้ทุก ๆ ครั้งที่เจ้าหิว และมันก็จะเคลื่อนที่ตามเจ้าไปในทุก ๆ ทิศ ที่เจ้าเดินทาง นั่นเพราะอะไรกันเล่า....ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ของเจ้ากำลังปิดบังไม่ให้ท่านพบเห็นความสวยงาม ความน่ารื่นรมของสถานที่อื่นนะสิ เจ้าไม่มีวันลืมตาได้เลย ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ต้นไม้นั่น ”

“แต่ว่าการอยู่ใต้ร่มไม้ก็มีความสุขดี มีร่มเงา มีผลไม้ให้ทาน” ชายตาบอดตอบ

“เจ้าเคยเป็นทุกข์เพราะต้นไม้ของเจ้าบ้างไหม” ชายตาบอดถูกถามอีก เขานึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า

“เคยบ้างเหมือนกัน ยามที่ถึงหน้าแล้ง ไม่มีน้ำรดต้นไม้ ข้าจะรู้สึกร้อนมาก เพราะใบไม้จะร่วงหล่น ไม่มีบังแดดอย่างเช่นเคย อีกทั้งก็ไม่มีผลให้ทานอีกด้วย ช่วงนั้นข้าต้องอดอยากอยู่นานแสนนาน จะมองหาอาหารอื่นก็มองไม่เห็น ได้แต่รอ ๆ ฝนให้ตกเผื่อจะทำให้ต้นไม้นี้ออกดอกผล ให้ข้าได้เก็บกินและสร้างความร่มเย็นอีกครั้ง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นบางที ก็นานแสนนานเลยทีเดียว”

“อาหารนั้นมีอยู่ทั่วไปรอบ ๆ ตัวเจ้าแต่โชคร้ายที่เจ้ามองไม่เห็น จึงไม่สามารถเรียนรู้วิธีการทำอาหาร และการสร้างที่อยู่ที่ร่มรื่นมากกว่าการอยู่ใต้ต้นไม้ไปวัน ๆ ” ชายผู้นั้นพูดจบ ก็วางอาหารพิเศษชนิดหนึ่งไว้ในมือของชายตาบอด และเชิญชวนให้เขาลองทานดู ชายตาบอดค่อย ๆ ชิมเศษอาหารที่ชายผู้นั้นหยิบยื่นให้ อาหารนั้นเป็นอาหารที่มีรสชาดอร่อยที่สุด เท่าที่เขาเคยกินมาเลยทีเดียว แม้ว่าชายผู้ให้นั้น จะเรียกมันว่าเศษอาหารก็ตามที แต่นี่เป็นการยืนยันว่าชายผู้นั้นไม่ได้พูดโกหกแต่อย่างใด



“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะมองเห็น อย่างท่านบ้าง” ชายตาบอดถามเป็นครั้งที่สอง

“เจ้าต้องทำลายต้นไม้ของเจ้าก่อน โดยการเลื่อยต้นไม้ให้ขาดเป็นลำดับแรก เมื่อต้นไม้ขาดแล้ว ก็ทิ้งไว้สักพักหนึ่ง จากนั้นก็ให้เจ้าขุดราก ถอนโคนต้นไม้ให้สิ้น แล้วเจ้าก็จะสามารถมองเห็นได้เอง เป็นการหลุดจากอำนาจ การปิดบังของต้นไม้ประจำตัวเจ้านั่นเอง ”

ชายตาบอดทำตามทุกอย่าง เขามุมานะเลื่อยต้นไม้ทุก ๆ วัน แต่การเลื่อยไม้ของเขานั้นช่างยากแสนยากหนักหนา เมื่อต้นไม้สัมผัสกับเลื่อยก็จะมีแรงเสียดทาน ยิ่งลึกเข้าเนื้อไม้เท่าไหร่ ก็มีแรงเสียดทานมากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้งทำให้เขาท้อแท้ ชักเลื่อยออกจากต้นไม้ และลองหาจุดที่คาดว่าจะเลื่อยให้ขาดง่ายกว่านี้ แต่ทุก ๆ จุดที่เปลี่ยนไป ไม่มีจุดไหนเลยที่การเลื่อยทำได้โดยง่าย อีกทั้งต้นไม้ก็มีระบบรักษาตัวเอง มันสามารถซ่อมแซมรอยเลื่อยที่ชายตาบอดสร้างไว้ และสมานแผลได้ในเวลาไม่นาน

เวลาผ่านไปนานแสนนาน ชายตาบอดตรึกนึกไปว่า การเลื่อยไม้นี้ทำได้ยากแสนยาก อีกทั้งก็ไม่มีวี่แววว่าจะสามารถมองเห็น หรือว่าเราจะถูกหลอกให้ทำเรื่องตลกแล้วกระมัง
…แต่เมื่อนึกถึงความอร่อยของเศษอาหาร ก็ทำให้เขามีกำลังใจในการเลื่อยต้นไม้ต่อไปได้

วันหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะเลื่อยจุดเดิมไปเรื่อย ๆ และจะไม่ยอมชักเลื่อยออกอีกเป็นอันขาด จนในที่สุด ก็มีแสงสว่างราง ๆ ผ่านเข้ามาในดวงตาที่มืดบอดอันนานแสนนานของเขา



เขามองเห็นภาพต้นไม้ขนาดใหญ่ มองเห็นใบเลื่อยที่เลื่อยผ่านลำต้นไปกว่าครึ่งต้นแล้ว หากเลื่อยจุดเดิมไปเรื่อย ไม่ช้าต้นไม้ก็ต้องขาดอย่างแน่นอนทีเดียว แต่การมองเห็นของเขาเป็นเพียงการมองเห็นเพียงชั่วครู่ ไม่ต่างอะไรก็สายฟ้าแล้บเพียงชั่วแวบเดียว สายตาของเขาก็กลับมาบอดสนิทเช่นเดิม...



-จบ-

ต้นไม้นั้น เปรียบได้กับอวิชชา คือ รากเง้าของกิเลสทั้งปวง

การเลื่อยต้นไม้ เทียบได้กับการพยายามทำลายกิเลสอาสวะ อวิชชา
ตาบอด เทียบได้ สัตว์ที่ยังข้องอยู่ในวัฏฏะสงสาร

การเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ เปรียบได้กับ สุข ทุกข์ ที่สัตว์ทั้งหลายต้องเผชิญ

ผู้ที่แนะนำ เปรียบได้กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย

เศษอาหาร เปรียบได้กับ ความสุขที่ได้จากฌาน สมาธิ รวมถึง ทิพยสมบัติ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องล่อระหว่างทาง

การมองเห็นเพียงชั่วครู่ เปรียบได้กับ การบรรลุธรรมถึงขั้นโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ซึ่งจะสามารถทำลายร้างกิเลสให้หมดสิ้นได้ในอีกเวลาไม่นาน เป็นผู้ไม่กลับกลอกในการทำความดี เป็นผู้เข้าใจและเคารพธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด เป็นผู้มีอบายภูมิสิ้นแล้ว เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทางกาย วาจา หรือ เจตนาในการทุศีลย่อมไม่มี เป็นผู้เห็นภัยจากการเกิดอย่างแท้จริง


เหตุที่พระพุทธศาสดามักตรัสว่า พระโสดาบัน จะเป็นผู้ที่เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ในเบื้องหน้า เป็นผู้ที่ไหลตามกระแสพระนิพพาน เป็นผู้ปิดอบายภูมิสี่อย่างราบคาบ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับชายที่เลื่อยไม้ และสามารถมองเห็นว่าอีกไม่นาน ไม้ที่ตนเองจะเลื่อยนั้นใกล้จะขาดแล้ว อีกทั้งก็รู้ว่าต้นไม้นี้ขนาดใหญ่เพียงใดด้วย

เป็นไปได้หรือ ที่ชายผู้นั้นจะชักเลื่อยของตัวเองกลับเสีย...
(ตอบเลยว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้)

ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกำเนิดในอบายภูมิสี่ในชาติถัดไป เพราะไม่มีการหันกลับมากระทำชั่วทางกาย วาจาอีก...(อย่างนี้แล)


ขอขอบคุณรูปภาพงาม ๆ จาก //fc08.deviantart.net มากมายครับ





Create Date : 21 เมษายน 2553
Last Update : 21 เมษายน 2553 8:36:51 น. 28 comments
Counter : 4309 Pageviews.

 

ดีที่ชายตาบอดแม้เหนื่อยแต่ยังคงพยายามต่อไป

ช่างไม่ง่ายเลยค่ะ แต่เมื่อทางข้างหน้าที่เป็นความสุข สงบและหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงอย่างแท้จริง มันก็คุ้มค่ากับการปฏิบัติ

ใช่ไหมคะ


โดย: ขมเตย วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:11:51:58 น.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:17:18:01 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณอัสติสะ

แม้อุณหภูมิรอบกายจะร้อน
แม้อุณหภูมิรอบใจจะร้อน

แต่หากวางใจเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ก็คงพอจะอยู่ในท่ามกลางความร้อนได้โดยไม่ทุรนจนเกินไป



โดย: ป้ากุ๊กไก่ ณ ร่มไม้เย็น IP: 124.121.59.249 วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:19:56:47 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณอัส
เห็นต้นไม้แล้ว ทำไมใหญ่โตขนาดนั้น
ถ้าความไม่รู้ของเรา เท่ากับต้นไม้ต้นนั้น
โอ้.....ม่ายอยากคิด

สบายดีใช่มั๊ยเอ่ย


โดย: นุ่มณอ่อนนุช วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:7:04:20 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ

อะไรคือการมองเห็น ?

อะไรคือการมองไม่เห็น ?








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:7:30:38 น.  

 
โห แก้ข่าวๆๆๆๆ เป็นการคาดเดาที่ผิดแล้ว


สวัสดียามเช้าค่ะ ^^


โดย: ขมเตย วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:7:49:22 น.  

 
ความทรงจำที่เลวร้ายบางครั้ง
บางครั้งก็บั่นทอนความความ รู้สึกเราได้ทั้งชีวิต

.
.


เห็นด้วยเลยครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:8:22:12 น.  

 


พฤหัส สวัสดีค่ะคุณอัส
มีความสุขมาก ๆ นะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:8:42:53 น.  

 
จากที่เม้นท์ที่บ้าน คุณอัสติสะ
ไม่ง่ายดายเลยค่ะ ที่เราจะลบเลือนเรื่องบางเรื่องออกไป
เหตุที่ให้มันคงอยู่อย่างนั้น
เพราะการคงอยู่ ก้อเป็นการดำเนินสืบไป ของการเรียนรู้ จากนั้นแตกแตกสลาย ดับไปค่ะ วนเวียนมาที่การเริ่มต้นอีกครั้ง
สิ่งเหล่านี้ หุนเวียนดั่งวัฏจักรค่ะ
...
มันอยู่ที่เราจะได้อะรัย จากสิ่งเหล่านั้น กองขยะสิ่งปฎิกูล บางครั้งนำมาผันแปร เราได้ประโยชน์ จากมามากมายด้วยซ้ำค่ะ
ปฎิกูลในใจของเราก้อเช่นกัน นะคะ คุณอัสติสะ
...
บางใครๆ ก้อมองว่ามันทำร้ายเราเสมอ ใช่ค่ะมันทำร้ายเรา แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ เติมเต็ม สร้างสรรค์สิ่งดีดี ต่างๆ มากมากมายเลย เปลี่ยน มากพอจนไม่รู้จะอธิบายอย่างงัย ไม่รู้ว่าจะขอบคุณด้วยถ้อยคำคำไหน เลยค่ะ
...
มีความสุขมากมากนะคะ คุณอัสติสะ


โดย: Nissan_n วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:10:58:35 น.  

 
ตอนแรกกังวลค่ะ
ตอนนี้เบื่อหน่าย ไม่อยากเห็นค่ะอัส
เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดหัวใจ

แหงล่ะ ตัวไม่ต้องไปนี่นา
เชอะ


โดย: ขมเตย วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:15:16:52 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:7:28:23 น.  

 
สวัสดีตอนเช้าจ้า
สบายดีน๊า


โดย: นุ่มณอ่อนนุช วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:7:46:03 น.  

 
ไปสิคะ ยังไงก็ต้องไปแหล่ะค่ะ

แหม....


โดย: ขมเตย วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:8:03:19 น.  

 
พี่รู้สึกว่า
สื่อมวลชน
กำลังกลายเป็น "สื่อมอมชน" ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:8:17:27 น.  

 
กลับมาปลอดภัย ไร้กังวลค่ะคุณอัส


โดย: ขมเตย วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:17:26:22 น.  

 
สวัสดียามเย็นครับ

ช่วงนี้งานเยอะครับ
งานเขียนด้านธรรมะจึงไม่ค่อยมีเวลา
แต่ก็ได้ปฏิบัติธรรมแทนครับ วันละเล็กละน้อยแค่นั้นล่ะครับ...

มันง่วงจริงๆเลย


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:19:58:22 น.  

 
สวัสดีค่ะ มาทักทาย



โดย: โซดาบ๊วย วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:21:20:44 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:7:04:03 น.  

 


หวัดดีค่ะ คุณอัส
มีความสุขมาก ๆ รักษาสุขภาพ ด้วยนะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:7:06:44 น.  

 
แวะมาสวัสดียาม สายๆ ครับ คุณอัส

สบายดีนะครับ


โดย: หมึกสีดำ วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:9:54:40 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ








โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:6:50:51 น.  

 
สวัสดีครับผม

อะไรคือเห็น??
อะไรคือไม่เห็น??

เหรอครับ


โดย: กลิ่นดอย วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:7:54:12 น.  

 
อากาศมันร้อนเน้อ
มาทานลอดช่องแก้ร้อนกันดีกว่า


โดย: นุ่มณอ่อนนุช วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:17:40:16 น.  

 
อ่ะนะ อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังนะคะ
ตั้งตา รอ



โดย: ขมเตย วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:21:56:08 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ









โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:7:21:33 น.  

 


หวัดดีวันจันทร์ค่ะคุณอัส
สดชื่น กับวันแรกของการทำงาน นะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:9:20:55 น.  

 
ไปจังขอนแก่น น่ะ ติดใจล่ะเซ่


โดย: ขมเตย วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:9:45:42 น.  

 
มาทักทายยามสายครับ


โดย: กลิ่นดอย วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:21:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.