|
๐๔๗-เนื้อที่ติดบ่วง ย่อมแยกไม่ออกว่าใครเป็นนักบุญหรือนายพราน
เป็นธรรมดาของสัตว์ที่เมื่อเกิดภัยร้ายขึ้นกับตัวเอง ย่อมดิ้นรนหาวิธีทางเพื่อจะเอาชีวิตรอด เหมือนเช่น เนื้อที่ติดบ่วงนายพราน ก็ย่อมดิ้นรนเพื่อหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากเรื่องพันธนาการ แม้ต้องใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดก็ต้องทำ
ดังนั้นเมื่อมันเห็นมนุษย์เข้ามาใกล้ ๆ มันจะวิ่งพล่าน หรือดิ้นทุรนทุรายหาทางหนี เท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้มนุษย์ผู้นั้นจับตัวมันได้ง่าย ๆ ถึงแม้จะมีเชือกผูกติดอยู่ทีขามันก็ตาม เมื่อมนุษย์พยายามจับขาของเนื้อตัวนั้น เพื่อที่จะปลดบ่วงให้มันเป็นอิสระ แต่มันก็ยังดิ้นรนไม่ยอมโดยง่าย และกระเสือกกระสนตามสัญชาติญาณสัตว์ เพราะสำคัญว่ามนุษย์ผู้นั่นจะมาเอาชีวิตของมันไป
เรื่องนี้ก็อุปมาได้ว่า
เนื้อนั้นเปรียบได้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลก บ่วงบาศคือ วงจรของวัฏฏะสงสารที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายติดข้องอยู่ บุรุษผู้มาปลดปล่อยคือ พระพุทธเจ้า การดิ้นรนเพื่อหนีเอาตัวรอดโดยขาดการพิจารณาก่อนนั้นคือ โมหะ ความหลงผิด
ทุกวันนี้มนุษย์โลกต่างรู้ว่าต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดแบบโลก ๆ โดยยกเอากิเลสตัณหามาติดยึดดิดว่าจะช่วยให้ตัวเองเอาตัวรอดได้ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ตัวเองติดขัดต่อไปอยู่อย่างนั้น
แต่การหลุดการดิ้นรนสักระยะหนึ่ง แล้วหันมาพิจารณา ตรึกตรองโดยใช้เหตุผลและปัญญาตามหลักทางพุทธศาสนานั้น เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เรารอดจากบ่วงบาศนี้ไปได้ หรือท่านว่าไง ?
Create Date : 20 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2551 13:47:09 น. |
|
1 comments
|
Counter : 816 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก๋าคุง (กะว่าก๋า ) วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:9:15:11 น. |
|
|
|
| |
|
|
ล้วนนำไปสู่การปลดปล่อยตัวเองสู่สภาวะดั้งเดิม
ปัญหาคือ การตีความเพื่อเชิดชูศาสดานั่นต่างหาก
ที่อาจบิดเพี้ยนคำสอนไปไกลจากจุดที่ควรจะเป็น
ถ้าเราศึกษาหลักธรรมอย่างถ่องแท้ที่สุด
ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องยึดติดในตัวบุคคลเลยครับ
เพราะบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
แต่ "สัจธรรม" นั้นเที่ยง