|
โสดาปัตติมรรค-แนวทางเพื่อทรงคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน ตอน ๘
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะระดับโสดาบันเท่านั้น โดยผู้ที่ถึงภูมิธรรมขั้นโสดาบันก็จะได้ชื่อว่า เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น สมัยพุทธกาลนับว่าเยอะมาก ๆ แทบจะเดินชนกันเลยว่างั้น เพราะว่าภูมิธรรมขั้นนี้สามารถที่จะบรรลุได้แม้ยังคงสถานะเป็นฆราวาสอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นพระโสดาบันก็ยังสามารถแบ่งได้อีก ๓ ประเภทด้วยกันคือ
๑. เอกพีซีโสดาบัน จะเกิดอีกเพียงชาติเดียว แล้วก็จะบรรลุอรหันตผล
๒. โกลังโกลโสดาบัน ซึ่งจะเกิดอีก ๒-๖ ชาติเป็นอย่างมาก แล้วก็จะบรรลุอรหันตผล
๓. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ซึ่งจะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ แล้วก็จะบรรลุอรหันตผล
การเวียนว่ายตายเกิดของพระโสดาบันนั้นยังมีอยู่แต่ก็จะไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมากและที่สำคัญคือ ไม่ต้องตกไปเกิดยัง อบายภูมิ อันมี เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต นรก อีกด้วย จึงนับว่าเป็นสมบัติวิเศษที่สุดที่เราต้องแสวงหา และปฏิบัติให้เข้าถึงโสดาบันกันให้ได้ ตามพระสูตรแล้วผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงโสดาบันนั้นต้องละสังโยชน์ ๑๐ (กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตของสัตว์ให้ตกวงเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ๑๐ ประการ) ให้ได้อย่างน้อย ๓ ข้อแรกคือ
๑.สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นตัวเป็นตน ความเห็นที่ยังติดแน่นในสมมติว่าเป็นตัวตน เราเขาเป็นนั่นเป็นนี่ มองไม่เห็นสภาพความเป็นจริงที่สัตว์บุคคลเป็นเพียงองค์ประกอบต่าง ๆมาประชุมกันเข้า ทำให้มีความเห็นแก่ตัวในขั้นหยาบ และความรู้สึกกระทบกระทั่งบีบคั้นเป็นทุกข์ได้รุนแรง
จะเห็นได้ว่าแค่ทิฏฐิข้อแรก ก็เริ่มมีปัญหากันแล้วสำหรับปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เพราะคนส่วนมากที่ไม่ได้เจริญวิปัสสนา ก็จะไม่เข้าใจ ไม่สามารถละอัตตา ตัวตนได้ จะยังคงมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยึดถือสิ่งนี้ว่าเป็นของเรา เราต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เมื่อมีอารมณ์ก็จะถูกกระทบ กระทั่งได้ง่าย เพราะอัตตา ตัวตนอันเหนียวแน่น ยังคงมีความห่วงใยในทรัพย์สินภายนอกหรือคนที่เรารักอยู่
วิธีที่จะผ่านหรือละสังโยชน์ข้อแรกนี้ได้ ต้องอาศัยกำลังใจ ศรัทธา และการเจริญวิปัสสนา หลายท่านมีความเข้าใจว่า การเจริญวิปัสสนานั้นต้องนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรืออะไรทำนองนั้น แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าแล้วนั้น การเจริญวิปัสสนาสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ตั่งแต่ ตื่นนอน ทำงาน จนกระทั่งก่อนหลับ เพราะการเจริญวิปัสสนาคือการพิจารณาโดยใช้ปัญญาให้เป็นตามความเป็นจริง หรือ ถ้ายังไม่เกิดปัญญาก็ต้องค่อย ๆ สร้าง จากสมาธิระดับต้น ๆ แล้วค่อยยกจิตตัวเองขึ้นแล้วถือเอาสภาวะแวดล้อมนั้นมาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่าการใช้โยนิโสมนสิการ(การพิจารณาโดยแยบคาย) โดยการน้อมสภาวธรรมนั้น ๆ เข้ามาพิจารณากับตัวเอง ว่าต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฎสามัญลักษณะ(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)อยู่ทุกลมหายใจ
ส่วนศรัทธาหรือความเชื่อนั้นจะต้องมีแก่ผู้ปฏิบัติมาก ๆ โดยความเชื่อว่าตัวเองจะต้องทำได้ และต้องปฏิบัติเพื่อลดอัตตาของตัวเองให้ได้ การให้ทานเป็นประจำก็มีส่วนสำคัญ แต่การให้ทานครั้งนี้แตกต่างจากการทำทานกับคนทั่วไป เพราะเราจะให้ทานโดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทน เช่น ขอให้ถูกหวย ขอให้ได้เกิดบนสวรรค์ หรือ ชาติหน้าให้มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ฯลฯ แต่จุดประสงค์ในการให้ทานนี้ก็เพื่อลดอัตตา ความเป็นตัวเป็นตน และเพื่อก้าวสู่สภาวะนิพพาน และต้องพิจารณาให้ได้ว่า สมบัติทั้งหลายในโลก ไม่ใช่ของเรา เราบังคับไม่ได้นาน แม้แต่ร่างกายของเราเองก็ตาม เราก็ยังบังคับให้มันคงสภาพเดิมไม่ได้เลย
Create Date : 07 เมษายน 2551 |
Last Update : 7 เมษายน 2551 15:13:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 322 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|