~* SumiTra is a Pali name...it means 'GooD Friend'. *~

คิมหันต์ที่ 22/2

ทางวิหารในเวลานี้ได้รับข่าวที่เฟทส่งมาแล้ว ทั้งฟาฟาและเฟลิอารวมทั้งซัลฟาล้วนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนรน รอการกลับมาของเฟผู้เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวเพื่อแจ้งข่าวและช่วยการคิดหารทางช่วบเหลืออย่างร้อนรน


ฟาฟาเดินไปเดินมาราวกับเสือติดจั่น ในสมองก็เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน ยิ่งเมื่อผู้เป็นบุตรีกลับบ้านสามีไปในตอนเย็น ชายาจ้าวภูผาก็ยิ่งออกอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับเสียจนคนรอบข้างนึกเป็นห่วง


ในเวลาที่นางยังคงเดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้องของตนเองพร้อมกับจมดิ่งอยู่ในความคิดของตนนั้น เสียงเอะอะก็เกิดขึ้นที่ภายนอกวิหาร ไม่นานเท่าไรเฟซัลฟาก็ปรากฏกายขึ้นที่ประตู


“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ พระชายา...ท่านเฟหัวใจของผู้เป็นภรรยาแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น


“เกิดอะไรขึ้นซัลฟา! เกิดอะไรขึ้นกับเฟ ฟาฟาวิ่งเข้าไปจับร่างซัลฟาเขย่าด้วยสีหน้าซีดเผือดสี หัวใจของนางร่ำร้องขออย่าให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น


“ท่านเฟกลับมาพร้อมกับคนเจ็บค่ะ ท่านผู้เฒ่าร็อคโก้อาการสาหัส กับหลานสาวของท่านเจ้าค่ะ


หัวใจของฟาฟากลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติเมื่อได้รู้ว่าสามีไม่ได้เป็นอะไร สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและวิ่งออกไปสั่งการผู้คนของนางให้เตรียมการรักษา


บาดแผลของหญิงสาวนั้นนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บของผู้เฒ่าร็อคโก้ ซึ่งถูกแทงมาและยังสูญเสียเลือดมาก โชคดีที่ร่างกายของชาวโอราเคิลนั้นมีความสามารถในการเยียวยาตนเองสูง มิฉะนั้นแล้วหากเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ท่านผู้เฒ่าก็คงจะตายไปในป่าเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว


จากการบอกเล่าเรื่องราวของหลานสาวท่านผู้เฒ่า พวกเขาจึงได้รู้ว่าทันทีที่ทั้งสองพ้นไปจากอาณาเขตของวิหารใหญ่ก็ถูกโจมตีโดยพวกนักฆ่าที่หลบซ่อนอยู่ระหว่างทาง ทั้งสองหนีเข้าไปซ่อนตัวในป่า ในขณะที่คนส่งข่าวรอดพ้นกลับมายังวิหารแต่พวกเขาก็กลับโชคร้ายถูกทหารของไควาจับตัวเอาไว้ได้ ไควาให้ผู้เฒ่าเขียนจดหมายลวงส่งมายังวิหารเพื่อล่อให้เฟทและฟีต้าออกไปรวมทั้งยังเพื่อที่จะทำให้ทางวิหารนั้นชะล่าใจ ในขณะที่ทั้งสองถูกจับขังไว้นั้น นางและท่านผู้เฒ่าก็หาทางหลบหนีออกมาได้ กระนั้นก็ยังถูกทหารตามล่าจนทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และได้มาพบกับเฟและเซลดัลช่วยเหลือเอาไว้


“ทีนี้มันก็ได้ตัวสาวน้อยนกอมตะนั่นไป แถมยังจะเอาทหารมาบุกวิหารอีกด้วย เฟทรุดกายลงนั่ง ในใจเต็มไปด้วยความโกรธอันเกรี่ยวกราดขุ่นมัว ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเสียท่าให้มันได้เช่นนี้ ทันทีที่ผู้เฒ่าออกพ้นไปจากวิหาร ก็กลับกลายเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้มันพลิกหมากเกมนี้ไป!


“ไควาคิดจะประกาศสงครามกับวิหารใหญ่ พวกเผ่าอื่นๆก็คิดที่จะออกห่างจากสงครามในครั้งนี้ คิดแต่จะเอาตัวรอด คิดว่าพวกมันจะรอดหากไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว คิดว่าไม่ว่าใครแพ้หรือชนะมันก็จะไม่เสียอะไร...ทำไมถึงได้โง่เง่ากันอย่างนี้ เซลดัลเองก็ไม่ได้โมโหน้อยไปกว่ากัน


“ไม่ได้ เราจะให้เกิดสงครามในโอราเคิลไม่ได้ เราจะให้แผ่นดินศักดิสิทธิ์นี้นองเลือดไม่ได้! มิฉะนั้นทวยเทพจะพิโรธและสมดุลแห่งโอราเคิลก็จะพังทลายเฟเอ่ย เขาจะต้องหาทางยับยั้งสงครามในครั้งนี้ แต่...


ต้องทำอย่างไร?


ไม่มีเวลาให้คิด! เขาจะยอมถูกจับไม่ได้ เพราะมัน...ไม่มีเวลาแล้ว!


เฟทพุ่งตัวกระโดดข้ามหัวของกองทหารติดปีกของไควาอย่างรวดเร็ว ก่อนแปลงร่างเป็นคนครึ่งนกโผทยานออกไปในเวหา และถูกตามติดด้วยพวกทหารติดปีก การต่อสู้กลางเวหาจึงเกิดขึ้น และเฟทก็ต้องการจะหลีกเลี่ยงการลงมือ เพราะเมื่อไรที่เขาลงมืออย่างจริงจังแล้วละก็ จะต้องมีคนเสียใจแน่ ทว่าพวกทหารเหล่นั้นไม่ได้รู้เลย ทหารผู้คาดเชือกแดงเป็นผู้เปิดฉากอย่างน่าเศร้า เมื่อเขาพยายามจะใช้ทวนในมือของตน แทงเฟทและพลาดห่างไปเป็นวา


นี่น่ะเหรอ หัวหน้ากองทหาร? และแม้ว่าชายคนนั้นจะว่องไว แต่ไม่เร็วเท่ากับเฟท ศึกกลางเวหานี้จึงเป็นของเขา! การที่เขาเคยมาพบไควาที่นี่ครั้งหนึ่งนั้นเป็นผลดี เพราะเฟทเป็นชายผู้มีความจำเป็นเลิศ ชายหนุ่มมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นซึ่งเป็นที่พำนักของไควาอย่างรวดเร็ว


ที่นั่นก็มีคนรอต้อนรับเขาอย่างคาด ทหารองครักษ์ติดปีอีกฝูงพุ่งเข้าโจมตี เฟทไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะนี้ได้อีกต่อไป ไคเมร่าหนุ่มหลบหลีกซ้ายขวาการจ้วงแทงของทวนในมือของพวกองครักษ์ ก่อนพุ่งตัวเข้าไปชิงเอาทวนเล่มนั้นมาจากทหารแล้วจัดการดับสติของอีกฝ่ายด้วยสันมือพลางหลบการโจมตีของนายทหารอีกนาย แล้วหมุนกายตวัดเตะอีกฝ่ายจนร่วงไปอีกหนึ่ง ร่างทั้งสองได้พรรคพวกของตนรับเอาไว้จึงไม่ตกลงไปดับชีพข้างล่างนั่น


เฟทจัดการควงทวนอย่างแคล่วคล่องปัดป้องการจู่โจมเข้มแข็ง แสดงถึงฝีมือการต่อสู่ที่เหนือชั้นกว่าพวกทหารเหล่านั้น ทำให้เขาฝ่าผ่านเข้าไปภายในได้สำเร็จ 


เมื่อไคเมร่าหนุ่มเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ เขาก็ไม่วายถูกโจมตี หากคนที่ซุ่มอยู่หาใช่ทหารไม่ แต่เป็นชายเตี้ยล่ำถือลูกตุ้มเหล็กขนาดมหึมาตรงเข้ามาหวดรุกไล่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เครื่องแต่งกายของชายผู้นั้นหาใช่เผ่านก ร่างหนา ผิวดำเข้ม และเช่นเดียวกับเส้นขนทุกเส้น เป็นตัวบอกเผ่าพันธุ์ชายผู้นั้น


“ข้าคือมือสังหารของท่านไควา จะมาจัดการกับเจ้า


ชายผู้นั้นประกาศลั่นอย่างได้ใจเมื่อเห็นไคเมร่าหนุ่มปัดป้องตรึงมือ ทว่า...สำหรับเฟทแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้น ไคเมร่าหนุ่มเห็นช่องว่างในการจู่โจมของอีกฝ่ายเต็มไปหมดโดยเฉพาะในเวลาที่การโจมตีไปแล้วครั้งหนึ่งลูกตุ้มนั่นก็จะลอยออกไปไกลทำให้ต้องดึงกลับมาทุกครั้งที่จะทำการโจมตีครั้งต่อไปทำให้เกิดช่องว่างในการโจมตีเป็นช่องใหญ่


“เรื่องที่รู้อยู่แล้ว...” เฟทเอ่ยก่อนหลบการโจมตีรวดเร็วจนดูราวกับร่างของเขาหายไป ในเวลาเดียวกันทวนในมือของเขาก็พุ่งออกไป! “...ก็ไม่ต้องมาบอกหรอกน่า


ด้ามทวนไร้คมกระแทเข้าปลายคางอย่างพอดิบพอดีจนมือสังหารร่างเตี้ยล้มหงายตาเหลือก ไม่มีเวลาจะมาสมเพช เฟทรู้ดีแก่ใจจึงกระโดดข้ามร่างนั้นไปด้านในอย่างรวดเร็ว และที่นั่นที่เขาต้องชะงัก เพราะมีทางถึงสามทางเบื้องหน้า...มันจะเป็น...


ประตูไหนกัน!


“ทางนี้ เสียงหนึ่งในเงามืดดังมา พร้อมกับการปรากฏกายของชายผู้หนึ่งในชุดดำ ใบหน้าของชายผู้นั้นถูกซ่อนปิดเอาไว้หลังผ้าตาข่ายแดง “ไควาเอาตัวเด็กสาวนั่นไปที่ใต้วิหารผ่านทางนี้ ตามข้ามา


ร่างประเปรียวนั่นก็หันหลังแล้วออกนำไปยังชองประตูทางด้านขวา แม้จะนึกระแวงสงสัย หากไคเมร่าหนุ่มก็ออกติดตามไป และทันทีที่เขาวิ่งตามมาติดๆ ไคเมร่าหนุ่มก็ร้องถามขึ้น


“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงช่วยข้า?”


“ข้าก็คือคนที่ไควาจ้างให้ลักพาตัวแม่สาวน้อยนั่นมาเป็นคนแรก ที่ข้าช่วยเจ้า มันก็แค่เป็นเพราะข้าไม่พอใจไอ้นกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นมันดูถูกข้าโดยจ้างไอ้พวกปลายแถวพวกนี้มารบกวนงานของข้า พวกมือสังหารปลายแถวพวกนี้เป็นหนึ่งไปพวกที่ไควาเลี้ยงเอาไว้ และสั่งให้ไปชิงตัวผู้หญิงนั่นมา พอดีพ่อของเจ้าจับไปได้เป็นส่วนใหญ่ก็เลยเหลือแต่ไอ้ปีศาจขมูขีนั่นที่พอจะมีสมองหนีรอดมาอยู่ตัวเดียว”


“รึว่า...เจ้ารู้ว่าพวกเราใช้ตัวล่อ เฟทนึกทึ่งในชายเบื้องหน้า “ทำไมเจ้าถึงไม่จู่โจมถ้าเจ้าถูกจ้างเป็นคนแรก”


“มันเป็นเรื่องของข้า...นักฆ่าก็มีหลักการของนักฆ่า” เฟทนึกชอบใจในคำตอบของบุรุษแปลกหน้าผู้นี้ขึ้นมา


“หลักการของนักฆ่าเรอะ...เจ๋งดีนี่นา”


สองหนุ่มต่างเผ่าวิ่งต่อไปจนกระทั่งทั้งคู่มองเห็นแสงไฟลุกเรืองรองอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น ชายผู้เป็นผุ้นำทางก็หยุดทำให้เฟทนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่ไปต่อ


“เจ้าไปต่อเถอะ อันที่จริงข้าก็คิดอยากจะลองปะมือกับกับเจ้าสักครั้ง แล้วก็สั่งสอนไอ้เจ้าไควานั่นด้วยตัวเองอยู่ แต่ข้าคงต้องอดใจไว้ทั้งสองเรื่องละนะ”


“ข้าเข้าใจ...” เฟทพยักหน้ารับรู้ถึงสิ่งที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นคิด เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กระตุ้นความกระหายในการต่อสู้ในตัวเขาตื่นขึ้น จากตัวชายผู้นี้ “...ถ้ามีวาสนา”


ภายใต้ผืนผ้าบังหน้านั่น เฟทรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มของอีกฝ่าย “ใช่...ถ้ามีวาสนา”


แล้วร่างนั้นก็หายไป เฟทออกวิ่งต่อไปจนสุดทางเดินแคบๆและยาวนั่น เขาออกมาพบกับสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบลืมหายใจ


“ฟีต้า


ร่างของหญิงสาวถูกตึงไว้ในลูกแก้วลูกใหญ่ รอบกายของนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลามเลียอยู่ทั่ว มีไควายืนอยู่เบื้องหน้า ในมือของชายผู้นั้นถือดาบสองคมไว้ตั้งตรงอยู่เบื้องหน้า ดูราวกับพิธีกรรมสังเวยที่เขาเคยได้ยินมาในโลกมนุษย์


ในลูกแก้ว ทั้งที่อากาศซึ่งอยู่ภายในน่าจะถูกเผาผลาญไปจนหมดแล้วแท้ๆ ทำไมไฟจึงยังเผาผลาญอยู่ได้ เฟทมองดูด้วยความรู้สึกสับสน แล้วแต่เขาก็ได้คำตอบเมื่อเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น! สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นลูกแก้วยักษ์นั้นหาใช่ลูกแก้วไม่ หากเป็นบอลลมใหญ่ที่เกิดไฟซึ่งโหมอยู่รอบกายของฟีต้าถูกกักเอาไว้ เขาไม่รู้สักนิดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ไฟนั่นไม่ลามไปทั่ว


ในขณะที่อาภรณ์ของหญิงสาวลุกติดไฟมอดไหม้ไปจนสิ้น สายสร้อยคล้องขนปีกนกอมตะนั้นกลับสะบัดพลิ้วปลิวร่อนล้อเปลวเพลิงอยู่ไปมา! ไม่นานเปลวเพลิงดังกล่าวก็วูบเหมือนกับจะดับลง...


“ฮ่าฮ่าฮ่า! สำเร็จ! อำนาจ...กำลังจะเป็นของข้าแล้ว


ทว่าในเวลานั้นเองเปลวไฟนั่นก็รวมตัวกันเบื้อหน้าของหญิงสาว ก่อตัวเป็นรูปร่างที่น่าพรั่นพรึง! ร่างของหญิงสาวอีกนางที่เกิดขึ้นจากเปลวไฟ! ภาพนั้นทำให้เฟทตัวแข็งไปในบัดดล แม้แต่ไควาเองก็ตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน!


“ไม่นะ! เป็นไปได้ยังไง...” ดาบสองคมในมือของไควาร่วงหล่นลงบนพื้น พร้อมกับร่างของชายผู้นั้นที่ทรุดตามลงไปแล้วล้มหงายทั้งๆที่ดวงตายังจับดวงหน้าของสตรีผู้ปรากฏในร่างเปลวไฟ


“ซัลช่า






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:12:06 น.
Counter : 1107 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 23/1

Chapter 23


ร่างนั้นก่อนกายขึ้นในเปลวเพลิงสีแดงฉาน ขึ้นรูปกายเป็นคนครึ่งวิหคทุกเส้นสายล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากเปลวไฟ เรืองรองไปทั้งใบหน้าและดวงสีเพลิงอันช่างละม้ายสตรีผู้อยู่เบื้องหลัง หากผิดกันแค่เพียงความรู้สึกของผู้มองดูเท่านั้น


มีอะไรบางสิ่งที่เฟทรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม และทรงอำนาจอย่างแรงกล้าจากร่างอันงดงามนั้น มันเปล่งอำนาจที่ยากจะอธิบายออกมาได้ แล้วความกลัวก็บังเกิดขึ้นภายในอกของเขาจนไคเมร่าหนุ่มสะท้านไปทั้งร่าง! นี่คือสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นอัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพแห่งตนและขุมพลังอันบริสุทธิ์!


“ข้าจำได้...”


เสียงนั้น ไม่ได้ออกมาจากลำคอของสตรีผู้เปล่งประกายเป็นเปลวเพลิงเริงโรจ หากเสียงนั่นมันดังตรงเข้าไปสู่สมองเลยทีเดียว


“เป็นไปไม่ได้ เจ้าตายไปแล้ว ไควาส่งเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว เมื่อสิ่งที่ตนเห็นนั้นเหนือกว่าที่เขาจะคาดการณ์ได้ คนที่ตายไปแสนนานแล้ว แถมยังอยู่นอกโอราเคิลตอนที่นางตาย จะมาปรากฏกายให้เห็น...ในวิหาร! เช่นนี้ได้อย่างไร!


“ข้าคือนกอมตะ นกอมตะตรงตามความหมายของมันทุกประการ ข้าไม่มีวันตาย...แม้ข้าจะถ่ายโอนอำนาจของตนให้ผู้ใด แต่ข้าไม่เคยสูญอำนาจแห่งตน”


“แต่นกอมตะ ถือกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน ใครๆก็รู้ดี ไควาตวาดลั่น สีหน้าของเขาซีดเผือดสี


“ใช่แล้ว จากเถ้าธุลีอย่างไรล่ะ” แล้ วในเวลานั้นเองก็บังเกิดความกระจ่างเมื่อสายลมรอบกายอันเกิดจากการเผาไหม้ของเปลวไฟร้อนแรงเผาผลาญอากาศ ธุลีที่กระจัดกระจายก็รวมตัวกันในมือนาง ธุลีที่เกิดจากร่างของฟีต้าที่เผาผลาญตนเองและด้วยร่างอันมีสายเลือดของชาวโอราเคิลไหลเวียนอยู่ ทำให้บาดแผลเพลิงไหม้ถูกรักษาในทันใดจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการเผาไหม้นั้น


ในตัวลูกสาวทุกคน มีมารดาอยู่...เฟทเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน บัดนี้เขาได้กระจ่างแก่ใจว่ามันเป็นความจริงอย่างยิ่งเพียงไร!


“ไม่จริง! ไม่ๆๆ ข้าไม่เชื่อ ผี ปีศาจ...เจ้าเป็นปีศาจ ไควาออกอาการเสียสติอย่างเห็นได้ชัด ชายผู้ชั่วร้ายไม่เหลือสติเพียงพอจะควบคุมตนเองได้ เขากลับหลังหันแล้วออกวิ่งพร้อมไปกับส่งเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัว!


เฟทมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตะลึง ชายหนุ่มเงยมองร่างอันก่อขึ้นจากไฟอย่างยำเกรงในขณะที่ร่างเพลิงนั้นมองตามหลังผู้ที่วิ่งหนีไปอย่างเวทนา แล้วนางก็หันมาที่เขา จ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มเยือนออกมาให้กับไคเมร่าหนุ่มน้อย เปลวไฟค่อยๆหรี่ลงจนดับไปในเวลาไม่ช้า แล้วร่างของฟีต้าก็ร่วงลงมา เมื่อเชือกซึ่งประคองร่างของนางไหม้เป็นผงธุลีไปในอากาศ ทั้งยังไร้ลูกบอลอากาศพยุงกาย


“ฟีต้า เฟทวิ่งเข้าไปรับร่างน้อยเอาไว้ทันเวลา ขณะที่อีกร่างซึ่งลอยอยู่กลางหาวค่อยๆร่อนลงมาอย่างช้าๆสง่างาม เฟทไม่ได้สนใจสตรีผู้นั้นแต่อย่างไร ไคเมร่าหนุ่มพะวงอยู่แค่เพียงความปลอดภัยของหญิงสาวคนรักเท่านั้น แต่แล้วเมื่อชายกระโปรงสีขาวมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เฟทจึงละสายตาขึ้นมองสตรีอีกนางผู้มีใบหน้าละม้ายกับหญิงสาวในอ้อมกอดของเขา


“ท่าน...” เฟทเอ่ย เมื่อเขาสบตากับผู้เป็นมารดาของหญิงสาวในอ้อมกอดของเขา เฟททอดสายตาลงมองร่างซึ่งหลับตานิ่งไม่ไหวติง แม้ว่านางยังหายใจอยู่ก็ตาม “...นาง...”


“นางไม่เป็นไร...ขอบใจเจ้าที่ช่วยให้ข้าคืนชีพขึ้นมา”


“ข้า ไม่ได้ทำอะไรเลย” เฟทเอ่ย งุนงงในคำขอบคุณนั้น


“ไม่หรอก เจ้าทำมากเลยทีเดียว เจ้าเชื่อในสิ่งที่สหายเก่าของข้าได้บอกกับเจ้า และนำขนนกของข้ามาคล้องให้กับนาง ทำให้ข้าสามารถกลับมาปกป้องลูกสาวของข้าได้ อีกทั้งยังพยายามช่วยปกป้องดูแลนางแทนข้า ระหว่างที่ข้าไม่มีกายเนื้อของตนเองอีกด้วย ขอบใจเจ้าจริงๆ” ดวงตาของนางมองมาที่เขาอย่างซาบซึ้งและขอบคุณ เป็นดวงตาที่อ่อนโยนและอารียิ่งนัก แตกต่างความน่าเกรงขามเมื่อครู่ก่อนที่ทำให้เขาแข็งชาไปทั้งร่างด้วยความยำเกรง


ดวงตาของซัลช่าก็เปลี่ยนไปอีกยามที่มองลงมายังร่างบางในอ้อมกอดของเขา...ดวงตาที่บอกถึงความรักอย่างมากมาย


“พวกเจ้าออกไปจากที่นี่เถอะ...ไควาเสียสติไปแล้ว และกำลังจุดไฟเผาที่นี่”


“แล้วท่านละครับ?”


นางไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วออกปากไล่ให้ชายหนุ่มหนีไปเสีย “ไปซะ พาลูกข้าหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เร็วเข้า ส่วนข้ามีเรื่องต้องสะสางกับเขา


เฟทรวบร่างบางเอาไว้ในอ้อมกอด กระชับร่างนั้นแนบแน่นแล้วออกวิ่ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองเพียงนิด เห็นสตรีนางนั้นมองตามเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้หักกลับไปมองอีกเลยว่าเบื้องหลังของตนเองนั้นเกิดอะไรขึ้น


ด้านนอก...เฟทวิ่งพ้นออกมาทางประตูลับซึ่งเชื่อมต่อที่อยู่อาศัยของผู้ถือครองตำแหน่งเจ้าเผ่าวิหค พวกทหารที่โอบล้อมที่แห่งนี้เอาไว้นั้นหายไปหมดแล้ว และจากหน้าต่างของตัวอาคารมองออกไปด้านนอน เฟทมองเห็นท้องฟ้าสีแดงฉาน เฟทตัดสินใจวางร่างบางลงและหาผ้ามาห่มคลุมร่างของหญิงสาวเอาไว้ และตนเองนั้นก็วิ่งไปดูสถานการณ์ด้านนอกตรงหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุด


วิหารเผ่าวิหคที่เคยอวดว่ายิ่งใหญ่เทียบเท่ากับมหาวิหารแห่งโอราเคิลนั้นลุกท่วมด้วยเพลิงกาฬ ผู้คนต่างพยายามช่วยกันดับไฟนั้น แต่...แม้ว่าน้ำจะถูกสูบขึ้นมามากมายเพียงไรก็ยังช้าและไม่เพียงพอที่จะดับเพลิงที่ได้รับลมหนุนให้โหมกระพือความร้อนแรงลุกลามนั่นได้!


มันคือความสิ้นหวังของวิหารที่กำลังพังทลายลง สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคที่แสนภาคภูมิใจ หรือว่านี่คือจุดจบของผู้ที่ไขว่คว้าหาอำนาจเพื่อให้ได้เทียบเคียงเทพเจ้าอย่างนั้นเหรอ?


ในเวลาที่เฟทมองเพลิงอันโชติช่วงนั่นกำลังเผาไหม้วิหารไม้อันใหญ่โตนั้น...วูบหนึ่งก็บังเกิดแสงสว่างอันเรืองรองเป็นสีทองตระการตา ทุกสิ่งดุจหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แล้วไฟที่กำลังโดลแล่นทำลายล้างก็วูบดับลงราวกับมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เว้นสิ่งเดียวที่บอกให้ทุกคนรู้ว่ามันคือความจริง นั่นก็คือซากของวิหารใหม่อันพังทลายลง!


ร่างสีทองปรากฏกายขึ้นเหนือยอดวิหาร ปีกอันเจิดจ้างามตระการนั้นสะกดสายตาของคนทุกผู้เอาไว้ แล้วในเวลานั้น ร่างอีกร่างหนึ่งก็วิ่งออกมาจากวิหาร ร่างเดียวที่ติดไฟลุกโชน ร่างเดียวที่ไม่ได้รับปาฏิหาริย์แห่งการปกป้องจากทวยเทพ!


“อ๊ากกกก ไควาวิ่งกรีดร้องออกมาจากภายในวิหารสองมือถือคบไฟและน้ำมัน ไควาดิ้นพล่านแล้วล้มลงต่อหน้าต่อตาทุกๆสายตา “ไม่! แผนของข้า! อำนาจของข้า! มันต้องไปเป็นอย่างนี้!!!”


เสียงกรีดร้องของไควาทำให้ผู้คนพากันผวาออกห่าง ไม่มีผู้ใดคิดจะช่วยเหลือ ไม่มีผู้ใดสามารถละสายตา...วาระสุดท้ายของชายผู้เรียกตนว่า เป็น ‘เจ้าแห่งเผ่าวิหค’ ถูกเผาจดมอดไหม้ ด้วย ‘ไฟ’ ของตน






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:11:00 น.
Counter : 193 Pageviews.  

คิมหันต์ที่ 23/2

ข้างนอกนั่น ไม่รู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น เฟทนั้นรู้แค่เพียงไฟได้มอดดับลงพร้อมกับการปรากฏกายอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้งหนึ่งของนกอมตะในตำนาน เหตุการณ์ต่างๆก็ค่อยๆสงบลง และทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปพักใหญ่


และเมื่อเฟทตัดสินใจว่าไม่มีผู้ใดสนใจติดตามล่าตนเองอีกแล้ว จึงคิดที่จะหลบออกไปจากที่แห่งนี้...


“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ ไคเมร่าน้อย”


ร่างงามในอาภรณ์สีขาวสุกสกาวปรากฏขึ้น บัดนี้ทั้งดวงหน้า ดวงตา และเส้นผมของนางนั้นเหมือนกับหญิงสาวผู้หลับใหลยิ่ง เว้นเสียก็เพียง นามกรและอายุที่ยืนยาวเกินกว่าที่ใครจะล่วงรู้ได้ของนาง


“ข้า...พวกทหารตามล่าข้า ข้าต้องไปส่งข่าวเรื่องที่จะมีสงคราม...” เฟทเอ่ยด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม หากสตรีตรงหน้ากลับยิ้มให้กับเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆซึ่งเป็นอีกสิ่งที่แตกต่างไปจากฟีต้า


“ไม่ต้องห่วง ข้าได้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย ข้าได้ส่งข่าวไปบอกที่มหาวิหารแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะได้รับข่าวของเจ้าและเดินทางมาพร้อมกับคนเจ็บซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าที่แท้จริงของชาววิหค ไม่มีปัญหาอีกแล้ว ไม่มีสงครามอีกด้วย เพราะตัวการได้สิ้นชีพลงไปแล้ว”


เฟทฟังแล้วสิ่งที่ดูเหมือนจะกดทับอยู่ในอกนั้นได้มลายหายไป เขาถอนใจออกมาหนักหน่วงอันบ่งบอกถึงความโล่งอกแกมดีใจ หรือถ้ามันไม่ได้สื่ออะไรต่อคนที่มองมาก่อนแล้วละก็ รอยยิ้มโล่งอกของเขาก็เป็นดั่งเครื่องประกาศชั้นดีที่กระจายข่าวให้ทุกคนที่เห็นได้รู้อย่างแน่นอน


“ขอบคุณครับ...” และทันทีที่พูดจบ


ชายหนุ่มก็ล้มลง!


“เล่นไม่ได้กินไม่ได้นอน เร่งเดินทางโดยไม่หยุดพักผ่อนตั้งสามวันสามคืนติดต่อกัน แถมพอมาถึงก็ยังออกแรงสู้กับพวกทหารอีกทั้งกอง จะบ้ายังไงก็ให้มันมีขีดจำกัดเสียบ้าง! อย่าทำให้เมียข้าเขาเป็นห่วงแกจะได้ไหม


“นั่นแม่ของผมต่างหาก


เฟยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียง พูดบ่นลูกชายตัวดีที่พอฟื้นขึ้นมาได้ก็ถามหาผู้หญิง แถมพอเจอหน้าผู้หญิงก็ร้องหาของกิน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรสักนิดว่าทำให้คนเขาเป็นห่วงวุ่นวายกันขนาดไหนที่เจ้าตัวหลับไม่ตื่นถึงสองวันติด! แถมตอนนี้ยังมาทำฝีปากดีกวนประสาทเขาอีก


“เมียข้าก่อนโว๊ย


“เฟคะ...เฟทททท” ฟาฟายิ้มหวานเอ่ยปรามสองพ่อลูกที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กทะเลาะกันไม่มีผิดด้วยน้ำเสียงอย่างที่เรียกได้ว่ากำลังจะสิ้น...ความอดทน...เต็มที สองหนุ่มไคเมร่าต่างวัยจึงเลิกทะเลาะถกเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องกันได้ในที่สุด


เฟทรู้ดี แม้ว่าพ่อของเขาจะทำท่าทางเฉยชาต่อลูกและปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่...พ่อก็ยังเป็นห่วง...หลังจากที่เฟทล้มลงและหลับไป พ่อของเขาก็เดินทางมาถึงที่เผ่านกก่อนใครทั้งหมดด้วยความร้อนใจ  การเดินทางสามวัน สำหรับจ้าวภูผาที่เป็นดุจพายุคลั่งนั้นกลับใช้เวลาเพียงวันครึ่งเดินทางมาถึง...โดยการบินข้ามเขา


ฟีต้าแอบกระซิบให้เขาฟังว่า พอเฟเห็นหน้าเขาและพบว่าไร้รอยขีดข่วน ก็ยิ้มอย่างโล่งใจออกมาแล้วเดินออกจากห้อง แล้วหายหน้าไปทั้งวันจนไม่ว่าใครตามหาก็หาไม่เจอ


แต่เขารู้ว่าพ่อไปไหน...


เฟทยิ้มแล้วก็เริ่มหัวเราะเมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้นจากสาวคนรัก พอเขาฟื้นขึ้นมาได้วันนึง แม่ของเขาก็เดินทางมาถึงพร้อมผู้เจ็บซึ่งแข็งแรงขึ้นพอที่จะเดินทางไกลได้ในรถเทียมได้ และตอนนี้ท่านผู้เฒ่าก็ได้รับน้ำตาฟีนิกซ์จนบาดแผลนั้นหายสนิทเป็นที่เรียบร้อยและตาเฒ่าก็ออกไปซ่าได้เหมือนเดิม


แม้ว่าไฟจะไม่ได้เผาผลาญวิหาร แต่ตัววิหารวิหคก็เสียหายหลายจุด และบางจุดโดยไฟลามทำลายมากเสียจนไม่อาจจะซ่อมแซมไหว สตรีผู้อยู่ในจุดสูงสุดของตำแหน่งในวิหารดังกล่าว จึงออกมาเสนอความเห็นให้รื้อถอนและทำการสร้างใหม่ แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างได้ใหญ่เท่าเดิมก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าท่านซัลช่าจะพอใจ...เพราะวิหารจะเล็กหรือจะใหญ่ ขอเพียงผู้คนมีความศรัทธาแรงกล้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


“ข้ายังไม่เข้าใจบางอย่าง เท่าที่ข้าฟังมาจากท่านกูว์โด เมื่อท่านตายและเกิดใหม่ท่านจะไร้ความทรงจำจนกว่าจะมีใครมาช่วยมอบความทรงจำให้กับท่านไม่ใช่เหรอครับ” เฟทเอ่ยถามขึ้น ถึงข้อสงสัยที่ค้างคาใจเขาอยู่


“ง่ายนิดเดียว ก็ด้วยสิ่งนี่ไงล่ะ” แล้วซัลช่าก็ดึงขนนกเส้นหนึ่งออกมาให้ดู


“ขนนกของท่าน? ข้าไม่เข้าใจ”


“เจ้าเคยได้ยินบ้างหรือไม่ละว่า...ความทรงจำของสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ และก็ใช่เลย ความทรงจำของข้าก็ข้าใช้วิธีนี้เพื่อกระตุ้นให้ความทรงจำที่สูญไปจากการเกิดใหม่นั้นกลับคืนมา” เฟทอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ...


“เพราะอย่างนั้น ท่านลิลลี่ กูว์โด จึงให้ข้าเอาขนนกของท่านมาทำจี้ห้อยคอให้กับฟีต้าอย่างนั้นเหรอครับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมท่านจึงไม่เกิดใหม่ขึ้นมาก่อนหน้านั้นได้ละครับ?”


ซัลช่ารับถ้วยชามาจากซัลฟาผู้ยืนบริการของว่างให้กับทุกๆคนที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันในที่นั้น “นั่นมันยิ่งง่ายกว่าการฟื้นความทรงจำแยะ ที่ข้าทำก็แค่ตายเท่านั้นเอง...”


นางตอบหน้าตาย แต่คนฟังกลับทำหน้างงกันเป็นแถว ก่อนที่ฟีต้าจะสะกิดแม่ของนางพลางส่งสัญญาณเป็นนัยว่า...ไม่เข้าใจค่ะ


“อืม...มันก็แค่เพียงว่า ข้าตายลงไปแบบคนธรรมดาตายนั่นแหละ อย่างที่ข้าบอกก่อนหน้านั้น ข้าสามารถโอนอำนาจของตนเองให้กับใครก็ได้ แต่อำนาจของข้าก็ยังเป็นของของข้าอยู่เช่นนั้นเอง ทันใดที่ข้าต้องการมันคืนมา ข้าก็แค่เรียกมันคืนมา”


“ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านั้นท่านถึงไม่...” เฟทยังไม่ทันพูดจบ ซัลช่าก็ยกมือขึ้นให้เขาหยุดพูด


“จุ๊ๆ...ไคเมร่าน้อยผู้ช่างสงสัย ข้าเป็นนกอมตะผู้ซึ่งเป็นที่รักและเป็นผู้เดียวในวิหารแห่งนี้และที่สามารถติดต่อกับทวยเทพได้โดยตรงเชียวนะจ๊ะ ข้ารู้ดีว่าถึงแม้ไม่มีข้าแต่ลูกสาวของข้านางก็สามารถดูแลตนเองได้ และก็ยังรู้ดีอีกว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะออกมาถึงจะเหมาะ พูดตรงๆนะ หนึ่งที่ข้าไม่ออกมาตั้งแต่แรกและเป็นเหตุผลอันสำคัญที่สุด นั่นก็เพราะ...” นางหยุดพูดแล้วชี้นิ้วขึ้นสู่ฟ้า แล้วทำสีหน้าขึงขังก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“มันเป็นลิขิตของทวยเทพน่ะสิ”


เฟทนึกอยากจะกลอกตา หากมารดาของเขากลับขึงตามองลูกชายตนตาแข็ง ชายหนุ่มจึงไม่กล้าแสดงทีท่าอะไรออกมา


หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ แม่และลูกสาวสองคู่ก็กล่าวลาหนุ่มๆออกไปช็อปปิ้งกัน...ฟีต้าดูมีความสุขมากเหลือเกินที่นางได้แม่ตนคืนมา แม้ว่าแรกๆจะขัดเขิน แต่สายเลือดนั้นอัดแน่นไปด้วยความผูกพันลึกซึ้งต่อกัน สองแม่ลูกจึงใช้เวลาไม่ทันข้ามวันที่จะกลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง


และนั่นทำให้เฟทกลายเป็นหมาหัวเน่าไป...ในเวลานี้...


“ไงล่ะพ่อลูกชาย โดนสาวๆทิ้งล่ะสิ นั่งหน้าเป็นหมาเหงาเชียว” เฟเดินมาแซวลูกชายซึ่งตกอยู่ในสภาพเสือสิ้นลายอย่างสมบูรณ์ ทั้งๆที่ปกติแล้วเจ้าแสบนี้จะต้องแรดออกไปจีบสาวที่อื่นแล้ว...


อานุภาพของความรักเปลี่ยนคนเราได้จริงๆ...เฟนึกขำอยู่ในใจ


“ก็เหมือนท่านจ้าวนั่นแหละขอรับ...”


“เฮอะ ยังปากดี แสดงว่าเจ้าเตรียมใจเอาไว้แล้วสิ” เฟเอ่ย เขาเข้าเรื่องอันเป็นเหตุที่ทำให้ตนถูกซัลช่า หัวหน้านักบวชหญิงแห่งเผ่าวิหค เรียกพบเมื่อหลายวันก่อน


“เตรียมใจ?” เฟททำสีหน้ายุ่ง มองหน้าผู้เป็นบิดาอย่างงงงวย


“ใช่...เตรียมใจเข้าพิธีแต่งงานไงล่ะ” ผู้เป็นบิดาพยักหน้า


“แต่งงาน!!!” เฟทผุดลุกพรวดขึ้นร้องเสียงหลงอย่างตกใจ...เอ่อ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อยากแต่งนะ แต่จู่ๆพ่อก็พูดขึ้นมาแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ “ข้าเหรอ?”


เฟยกมือขึ้นเกาหัวแล้วตีหน้าเบื่อหน่ายมองหน้าลูกชาย “แล้วจะมีแมวตัวไหนแถวนี้อีกล่ะ หือ?”


ชิ! เดี๋ยวให้เป็นหมา เดี๋ยวก็ให้เป็นแมว...พ่อแม่เดียวแต่ปาเข้าไปร้อยกว่าสปีชี่ส์แล้ว!


“ข้าคิดว่า อยากจะให้ทุกอย่างมันลงตัวเข้าที่เข้าทางกว่านี้เสียก่อน ที่สำคัญคือ ข้าอยากให้ฟีต้าได้มีอิสระที่จะทำตามใจนางอีกสักระยะด้วย”


“ถึงจะแต่งงานแล้ว นางก็ยังสามารถมีอิสระของนางเองได้  ดูอย่างแม่ของเจ้าเป็นตัวอย่างไง”


“แต่อิสระของหญิงแต่งงานกับหญิงโสดมันต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรเมื่อแต่งงานแล้วมันมีภาระหน้าที่...ไม่อิสระเท่าสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน” เฟทเถียง ตามมุมมองของตัวเขาเอง


“มันก็ใช่ แต่มันไม่ได้ทำให้สิ่งอื่นๆแตกต่างไปจากเดิมนักหรอก”


เฟทไม่เถียงต่อไป หากชายหนุ่มกลับเอาแต่นั่นหน้ามุ่ยหันหลบไปทางอื่น เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน เขารู้ว่าตนเองรักหญิงสาวมากขนาดไหนมากพอที่จะมอบให้นางได้ทั้งชีวิตเพื่อพิทักษ์รักษานางเอาไว้ และรักมาก...มากมายเกินว่าจะทำสิ่งใดที่จะส่งผลให้นางเจ็บปวดใจ ในความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางนั้น เขาไม่เคยมีสิ่งนี้ให้กับผู้ใดมาก่อนเลยในชีวิต


ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่าตนเองนั้นรอคอยเวลาที่เรื่องราวทุกอย่างมันคลี่คลายลงไป แล้วพอเรื่องทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ใจเขากลับยั้งตนเองเพื่อที่จะรีรออะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่...บางอย่าง...ที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร?


“หรือเจ้ายังเกรงว่า สาวน้อยนั่นจะไม่ได้รักเจ้าจริงรึไง?” เสียงของพ่อดังขัดความคิดราวกับอ่านใจเขาออก ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโยงหันมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาขุ่นเคือง ท่าทางของนายลูกชายทำให้เฟหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เมื่อเจ้าหนุ่มเจ้าสำราญผู้มั่นใจในตัวเองสิ้นลายเพราะเด็กสาวผู้แสนบริสุทธิ์สดใสเสียแล้ว


“ใจของเข้าเจ้า บอกกับเจ้าว่าเจ้าอยากจะทำอะไรล่ะ ลูกข้า” เฟตบบ่าลูกชาย เอ่ยถามก่อนชักเท้าเดินจากไป ทิ้งคำถามที่ยังไม่ทันจะตอบเอาไว้ให้ลูกชายขบคิด


ช่วงกว่าสัปดาห์มานี้ฟีต้ารู้สึกมีความสุขมากเสียจนนางคิดกับตนเองไปว่า เรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตทั้งหมด เป็นเพียงฝันร้ายในยามหลับเท่านั้น  แต่ไม่รู้ว่าทำไม พระเอกขี่ม้าขาวที่มาช่วยฉุดนางออกจากความฝันจึงไม่ยอมโผล่หน้ามาให้นางเห็นหน้าบ้างเสียที


ฟีต้านั่งเหม่ออยู่เพียงลำพังในห้องของตนเองซึ่งท่านผู้เฒ่าร็อคโก้จัดเอาไว้ให้กับนาง เนื่องจากนางไม่สามารถเข้าไปอยู่กับแม่ซึ่งบัดนี้กลับมาเป็นหัวหน้านักบวชและต้องอาศัยอยู่ในวิหารวิหคตลอดเวลาได้ เพราะนางไม่ใช่นักบวชของวิหารนั้น จึงไม่ได้รับอนุญาต แต่กระนั้นแม่ของนางก็มักจะหาเวลาว่างมาพบนางอยู่บ่อยๆ และบางทีนางก็เข้าไปหาแม่แทน


เวลานี้แม่ของนางออกเดินทางไปยังดินแดนมนุษย์เพื่อตามหาอัฐิของพ่อของนางซึ่งเป็นมนุษย์ร่างถูกฝังเอาไว้ในดินแดนนั้น ซัลช่าหาทุกวิถีทางเพื่อให้สภาแห่งโอราเคิลยอมให้นางนำร่างสามีมาฝังได้โดยมีเฟ และผู้เฒ่าร็อคโก้คอยช่วยเหลือ กระนั้นแล้วก็ยังเป็นสิ่งที่ยากที่จะค้นหา...เนื่องจากที่วันเวลาได้ผ่านมาเนิ่นนานยิ่ง


ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง...แม้ว่าบิดานางจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่นางจะสามารถมาเยี่ยมหลุมศพของพ่อได้ทุกเมื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะลงตัวหมดแล้ว เว้นแต่เฟทเท่านั้น...ฟีต้าไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาจึงต้องหลบหน้านางด้วย?


ท้องฟ้าระยับแสงดาว พราวกระจ่างสดใส หัวใจของสาวน้อยก็ลอยละล่องท่องไป หมายตามหาชายผู้เป็นที่รัก...ในขณะที่นางเรียงดวงดาวต่อกันเป็นภาพของเขาอยู่ในใจนั้นเอง...คนที่นางพยายามฝันถึงก็ปรากฏกาย


มันเหมือนวันแรกเจอ...วันแรกที่นางได้พบสบหน้า


เขาอยู่ในชุดนักเดินทางพเนจร ไม่ใช่เสื้อผ้าหรูหราสง่างามอย่างที่สวมใส่กันที่นี่ เรือนผมสีดำงามสลวยเป็นประกายเหมือนเส้นไหมประดับเพชร ใบหน้าขาวเรียวงามของเขาประดับด้วยอัญมณีสีอำพันที่ดวงตา ดวงตาที่ตรึงตาตรึงใจนางตลอดมา


เขายืนอยู่ข้างนอกนั่น มองมาที่นางด้วยสีหน้าและแววตาสื่อความนัยที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง...ความนัยที่หัวใจที่ตรงกันเท่านั้นจะสามารถสื่อถึงกันได้


“ข้ามาตามสัญญา...ที่ได้ให้เอาไว้แก่เจ้า จำได้ไหม?” เสียงทุ้มห้าว หากเมื่อได้ยินในยามได้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่รู้สึก เอ่ยถึง ‘สัญญา’ บางสิ่งที่ทั้งสองมีต่อกัน


สายลมพัดผ่านทำให้ร่างทั้งร่างสะท้านด้วยความเย็นของค่ำคืน แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวราวกับจะจับไข้ หัวใจที่สั่นไหวอย่างรุนแรงเสียจนเหมือนจะหลุดออกมา...สัญญา...ที่ตราตรึงเอาไว้ในหัวใจ สิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้ว่าอดีตที่ผ่านมาไม่ใช่เพียงความฝัน! สัญญาที่เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ของความรู้สึกลึกซึ้ง...ต้นเหตุของความรักที่เริ่มก่อและเติมโตขึ้นทุกวัน ในหัวใจดวงนี้...


“ไม่มีวันลืม...ไม่มีวันไหนเลยที่ข้าจะลืม ทุกๆโมงยามที่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกนาทีที่ได้พบหน้า ทุกวินาทีที่ได้รับรู้ด้วยสัมผัสทั้งห้า ว่า...ในโลกใบนี้มีท่านอยู่...” หยาดน้ำตาเล็กๆ ค่อยๆเอ่อขึ้นมาคลอดวงตาอันงดงามให้ยิ่งแวววาวรับแสงของดวงตาที่มองลงมาให้กำลังใจคู่รัก


“ข้าเองก็ไม่มีวันลืมเช่นกัน...” เสียงทุ้มห้าวตอบรับ แล้วร่างของเขาก็โบยบินขึ้นมา ทำให้นางได้เห็นมือใหญ่ซึ่งประคองบางสิ่งเอาไว้อย่างทะนุถนอม


ดอกไม้ดอกเล็กๆสีขาวกลีบบางที่นางสังเกตเห็นว่ามันบานอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในโอราเคิลนี้... ภายในดอกไม้เล็กๆนั้นโอบอุ้มหยาดน้ำค้างเอาไว้ภายในจนดูราวกับเพชรเม็ดน้อยๆ


“ข้ารักเจ้า...รักเจ้าเสมอ”


“ข้าคิดถึง...คิดถึงท่านเสมอ” นางตอบเสียงเครือ ความรู้สึกมากมาย ยากเหลือเกินที่จะถ่ายทอดออกไปได้หมด มือใหญ่มือหนึ่งประคองดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมเหมือนความรักเอาไว้ อีกมือเอื้อมออกไปประคองมือน้อยขึ้น แล้วผจงวางดอกไม้ดอกน้อยนั้นในมือนาง...


“นี่คือหัวใจของข้า ด้วยดวงใจอันบริสุทธิ์ที่มี ข้าจะทุ่มเทเพื่อปกป้องอัญมณีแห่งรุ่งอรุณเม็ดนี้เอาไว้ชั่วกาล” ใบหน้าคมคายค่อยๆลดลงมาหาดวงหน้าอ่อนหวานเยาว์วัย ริมฝีปากอุ่นๆผจงจูบด้วยสัมผัสแผ่วพริ้วนุ่มนวลดุจรอยสัมผัสของภูติพรายแล้วผละจาก ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความอบอุ่นอ่อนหวานประทับลึกซึ้งไว้ในหัวใจของผู้ได้รับ


“พรุ่งนี้...”


“...ข้าจะรอ...”


“พรุ่งนี้...”


“...ข้าสัญญา...” แล้วร่างสูงสง่าก็โบยบินจากไป...โดยมีนางผู้เป็นที่รักเฝ้ามองจนลับตา






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:10:14 น.
Counter : 184 Pageviews.  

คิมหันต์แห่งการเริ่มต้นใหม่

Epilogue


ท้องฟ้าสีครามจัด ภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่นมีแผ่นดินอันไพศาลทอดตัวอยู่เบื้องล่าง จากฟากฟ้ามองลงมายังดินแดนนั้นดุจสรวงสวรรค์ เมื่อหัวใจของผู้มองนั้นเปิดกว้างออกรับความงดงามอย่างที่ดินแดนแห่งนี้เป็น


เมื่อนานแสนนานมาแล้ว นางไม่เคยได้สังเกตความงามของโลกใบนี้มาก่อน ความรู้สึกที่มีต่อดินแดนอันกว้างใหญ่นี้มีเพียงแค่ ความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุด ดินแดนแห่งความทุกข์ยาก หากในเวลานี้ หัวใจของนางได้เปิดออก ความงามที่นางมองเห็นในเวลานี้ก็คือความงามอย่างที่โลกใบนี้เป็นมาโดยตลอด


ไม่ใช่เพราะโลกเปลี่ยน หากเป็นเพราะทัศนคติของนางได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นตัวนางเองที่เปลี่ยนไปจากเดิม และไม่เหลือโลกใบเดิมอันมืดมนทนทุกข์นั้นอีกแล้ว


มันคืออิสระที่กรุ่นกลิ่นหอมหวนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ


มันคืออิสระที่คนอันเป็นที่รักได้มอบให้แก่นาง


อิสระที่จะได้โบยบินไปในโลกกว้าง


อิสระที่จะได้เรียนรู้และได้พบเห็น


อิสระที่จะได้ทำทุกสิ่งและลองในทุกๆอย่าง


อิสระที่ตัวนางจะได้เป็นและได้เลือกที่จะเป็น


นั่นคือทั้งหมด และเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง...


อิสระในการเป็นตัวของตัวเอง!


และคนที่ทำให้นางได้เห็น ได้รู้ ได้เจอ ได้ลองทำในทุกๆสิ่งที่ปรารถนาเยี่ยงนี้ได้ก็คือ...เขา...ชายเพียงคนเดียวที่สำคัญยิ่งกับนางในเวลานี้...เฟท...ชายคนเดียวที่ผลักดันนางในทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง และทุกๆทางที่เป็นไปได้! ริมฝีปากเล็กๆขับขานลำนำที่เมื่อนานแสนนานมาแล้วจนนางเจียนจะลืมเลือนว่า ครั้งหนึ่งนางชอบร้องเพลงสื่อความรู้สึกของตนเช่นนี้มากเพียงไร...


ท้องฟ้ากว้างไกลสุดสายตา...


สกุณาถลาร่อนโผผิน...


เจ้าตัวน้อยลอยว่อนกางปีกบิน...


สู่แดนอินทร์ถิ่นฟ้านภางาม...


ฟีต้ากางแขนออกจนสุด สูดกลิ่นหอมของอิสรภาพอันแสนสดชื่นสวยงามตระการตา ในยามนี้ ยามที่เธอได้ยืนอยู่หมิ่นเหม่ขอบผาสูงเช่นนี้ ความรู้สึกที่ได้รับนั้นราวกับว่านางได้โอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้


“หนอยยยย ทำเป็นอารมณ์ดีขับลำนำนะแก! ในที่สุดก็หนีไม่พ้น! เจ้าหัวขโมย!!!”


เสียงของชายผู้หนึ่งดังไล่หลังนางมา หลังจากที่นางได้แอบเข้าไปเดินเล่นในกองทหารซึ่งรวมพลกันอยู่ใกล้กับอาณาเขตชายแดน บนที่ราบระหว่างเขา หญิงสาวในชุดนักเดินทางโพกศีรษะด้วยผ้าโพกสีน้ำตาลสลับลายหันมาทำตาโตทักทวน หากริมฝีปากกลับแย้มยิ้มยเยาะขบขัน


“นี่ๆๆ นายท่าน ข้าไม่ได้ขโมยอะไรมาสักหน่อย ข้าแค่เข้าไปเดินเล่นในเต้นท์ของพวกท่านก็เท่านั้นเองนา...อย่าขี้โมโหนักสิเจ้าคะ ท่านนายกอง”


“ข้าเป็นแค่สิบโทเท่านั้น! อย่ามายั่วให้ข้าโมโหนะนางตัวดี ยอมให้จับรับโทษเสียดีดี จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว ชายผู้นำทหารเพียงหยิบมือไล่ตามมาร้องตอบในขณะที่คนอื่นๆยืนหอบหมดแรงกันเสียแล้ว...ไม่รู้จักออกกำลังกายกันเสียบ้างเล๊ย วิ่งขึ้นเขาแค่นี้ก็หอบซะแล้ว!


“โอ้! ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาจับข้าเลยซี้ ท่านนายกอง”


เวลานั้นเองที่ลมพัดวูบขึ้นรุนแรง ร่างบางซึ่งยืนหิ่นขอบเหวอยู่นั้นพลันเอียงวูบอย่างน่าหวาดเสียวพลางพยายามที่จะทรงตัวเอาไว้ให้ได้ใหม่ ขณะที่นางกำลังยืนโอนไปเอนมาและเกือบๆที่จะทรงตัวเอาไว้ได้นั้นเอง ลมกรรโชกอีกวูบก็พัดนางเสียหลักลื่นตกลงเหวไปต่อหน้าต่อตานายทหารทั้งหลายทันที!


“ว๊ายยย!!!”


“เฮ๊ย! เจ้า นายทหารร้องด้วยความตกใจ พลางจะเข้ามาช่วยคว้าร่างเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ร่างนั้นร่วงจากขอบเหวลงไปเสียแล้ว ทำให้นายทหารผู้นั้นคว้าเอาไว้ได้แต่อากาศแถมยังพลาดท่าจะตกลงมาเองเสียอีกด้วย โชคยังดีที่เพื่อนทหารดึงเอาไว้ทัน...


ในขณะที่นายทหารถูกเพื่อนๆดึงกลับขึ้นจากหน้าผาได้นั้นเอง ทหารทั้งหน่วยก็ต้องตกใจอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสองร่างลอยอยู่กลางอากาศ ร่างหนึ่งคือร่างของชายหนุ่มรูปงามมีเรือนผมสีดำขลับ ดวงตาเป็นสีทองเป็นประกายดุจทองคำลอมเหลวอยูภายใน กับอีกร่างบางในอ้อมแขนของชายหนุ่มซึ่งเรือนผมยาวสลวยของนางเป็นสีเงินต้องแดดเป็นประกายประดุจประดับกากเพชรแวววาว ผิวขาวใสและใบหน้าสวยหวานงามราวนางอัปสรซึ่งถูกสลักเอาไว้ในวิหาร...ไม่สิ! งามยิ่งกว่าจินตนาการนั้นเสียอีก!


“ระวังหน่อยสิ! ฟีต้า เจ้ายังแปลร่างไม่คล่องเลย ถ้าข้ามารับเอาไว้ไม่ทัน หล่นลงไปตายจะทำยังไง เสียงห้าวๆเอ็ดสาวในอ้อมกอด ฟังจากน้ำเสียงไม่ค่อยจริงจังเท่าไรนัก หากฟังดีดีอีกที น้ำเสียงติดจะขบขันเสียด้วยซ้ำ


“ข้าไม่กลัวหรอก ข้ารู้ว่าเฟทจะต้องช่วยข้าทัน” ร่างนั้นหันไปคล้องแขนรอบคอชายหนุ่มแล้วดันตัวเข้าไปหอมแก้มของเขาครั้งหนึ่ง แสดงความรักใคร่อย่างเปิดเผย


“หมดเวลาซนแล้วสาวน้อย เราต้องกลับไปกันได้แล้ว” เฟทขยับปีกกระพือลมแล้วโผนบินออกไป สองหนุ่มสาวหาได้สนใจสายตาที่มองตามอย่างตกตะลึงแทบสิ้นสติของเหล่าทหารผู้ขวัญกระเจิงทั้งหลายเลย แม้แต่นิดเดียว!


โอราเคิล ดินแดนอันเกิดจากเหล่าทวยเทพประทานพร...ภายใต้ท้องฟ้างามดุจภาพเขียนสี ภายในอ้อมกอดของขุนเขาอันรายรอบ คือแดนฝันอันพรรณราย ดินแดนอันสงบสุขในแบบที่มันเป็น ดินแดนที่เหล่าสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันโดยสันติและคงไว้ซึ่งความสมดุลแห่งสรรพสิ่ง จนกว่าถึงวันสิ้นสลาย...


ฟากฟ้ายามนี้เป็นสีฟ้าอมม่วงและชมพูอ่อนๆจากแสงตะวันที่กำลังจะลาลับ หมู่ดาวเริ่มเคลื่อนตัวมาประดับวับวาวราวกับกากเพชรเหนือหมู่เมฆขาวที่ดูอ่อนนุ่มราวกับปุยฝ้าย


สูญกลางของโอราเคิ้ลเวลานี้ถูกย้อมด้วยสีเขียวของใบไม้แรกผลิ...ฤดูกาลแห่งการเกิดใหม่...พื้นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำจากหยาดฝนที่โปรยปราย และการละลายของหิมะ ต้นใหญ่ใหม่แตกออกแผ่ไปบนผืนดินดูนุ่มฟูเหมือนผืนพรม ดอกไม้ดอกเล็กๆสีขาวเติบโตเบ่งบานอยู่โดยทั่วไป ดอกไม้ขาวแห่งโอราเคิล ซึ่งแทนความหมาย ‘หัวใจอันพิสุทธิ์’ ของชาวโอราเคิลที่ทุกคนบนดินแดนแห่งสวรรค์นี้ภาคภูมิใจ


นิ้วเรียวดุจลำเทียนเด็ดดอกไม้ดอกน้อยซึ่งภายในปกป้อง ‘อัญมณีแห่งรุ่งอรุณ’ ไว้ชั่วกาล ส่งกลิ่นหอมดุจความรักอันอ่อนหวานที่สุด ส่งให้ร่างน้อยในอารณ์สีเดียวกับท้องฟ้า เรือนผมงามสีเงินบัดนี้ถูกรวบขึ้นกลัดเกล้าและประดับประดาอย่างงดงาม เสริมความเยาว์วัยใสสะอาดของนางให้งามพิสุทธิ์ยิ่งขึ้น


พวงแก้มใสคราใดที่ได้รับดอกไม้น้อยๆนี้มาก็พลอยที่จะออกสีระเรื่อขึ้นมาเสียทุกคราไป ดวงตาสีอำพันดุจเดียวกันกับดวงตาของชายคนรักนั้นระยับหวานหลุบลงมองดอกไม้ดอกน้อยในมือนาง ริมฝีปากแย้มออกนิดๆแฝงความอ่อนหวานจากหัวใจ


เมื่อร่างสูงลุกขึ้นยืนเบื้องหน้า วงแขนกว้างก็โอบรั้งร่างน้อยเข้ามาแนบกับหัวใจแล้วประพรมจุมพิตระไปบนเรือนผมของนางอย่างบูชา


วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว วันคืนที่ทั้งนางและเขาเฝ้ารอคอยมาโดยตลอด วันที่จะได้สาบานรักนิรันดรนี้ร่วมกันต่อเหล่าทวยเทพและสักขีพยาน เพื่อก้าวเดินไปด้วยกัน และโบยบินไปด้วยกันยังฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ มีเพียงกันและกันตลอดไป


“นับแต่วันที่ข้าได้พบเจ้า...ข้าไม่รู้เลยว่าโลกของข้าจะเปลี่ยนแปลงไป” เฟทเอ่ยออกมา เมื่อนำนางออกเดินไปพร้อมกัน มือน้อยๆประคองดอกไม้ดอกสวยเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม อีกข้างก็กุมมือคนรักส่งผ่านความอบอุ่นซึ่งกัน


“แต่นับจากวันที่ข้าพบท่าน โลกของข้าได้เปลี่ยนไป ในวันนั้น...วันที่ท่านออกมาจากหลังต้นไม้ต้นนั้นแล้วช่วยข้าเอาไว้จากหมาป่าฝูงนั้น ชีวิตของข้า...กลับมามีความหมายขึ้นอีกครั้ง” เฟทย่นคิ้ว มองดวงหน้าหญิงคนรักด้วยสีหน้าอันแสดงความประหลาดใจ...


“เจ้าจำได้อย่างนั้นเหรอ? จำได้เมื่อไหร่?”


“ข้าจำได้ตั้งแต่แรกที่ข้าได้พบท่านอีกครั้ง หลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลง...ข้าอายตัวเองเหลือเกินที่ตลอดเวลาในดินแดนของพวกมนุษย์นั้น ข้ากลับอยากกลบฝังลืมมันไป ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีถ้าพบท่าน แต่ปรากฏว่า ท่านกลับไม่ยอมมาพบข้าแทนเสียนี่เฟทนึกออกทันทีว่าตอนไหน ชายหนุ่มมีสีหน้าแสดงความสำนึกผิดในทันที


“ตอนนั้นข้ารู้สึกไม่มั่นใจ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน แต่ข้าก็กลัวว่า เจ้าจะไม่ได้รักข้าอย่างที่ข้ารักเจ้า ข้ากลัวว่าความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้านั้นมันจะเป็นเกิดขึ้นเพียงเพราะความรู้สึกขอบคุณ กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้ว ความรู้สึกของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป”


“ไม่เลย ไม่เคยแม้แต่จะจืดจางลงเลยสักวันเดียว” ดวงตาแจ่มใสเงยขึ้นสบสานลึกซึ้งกับดวงตาของผู้เป็นที่รัก “ข้ารักเฟท ที่พูดคุยกับข้าอย่างสนุกสนาน เฟท ที่พยายามที่จะปกป้องข้าด้วยชีวิต เฟท ที่ทำทุกอย่างเพื่อข้า เพื่อให้ข้าได้พบความสุข เฟทคือโชคชะตาของข้า และ ศรัทธาของข้า...มีเพียงเฟทเท่านั้น ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของข้า ทำให้โลกใบนี้ของข้างดงามหาใดปาน”


สองหนุ่มสาวยิ้มให้แก่กันมือใหญ่กุมมือน้อยเอาไว้ แล้วออกเดินอีกครั้ง ความอบอุ่นจากมือนั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจ โอบกอดความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมนี้ไว้อย่างมั่นคง...


ดอกไม้ดอกน้อย โอบอุ้มเฝ้าคอยปกป้องประคองหยาดแห่งอรุณไว้ราวกับสิ่งมีค่าดุจเดียวกับมือของชายผู้เป็นที่รักโอบอุ้มหญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงใจ กอดเกี่ยวกันไว้อย่างลึกซึ้งอุ้มชูดูแลตราปชั่วกาล


และ


นี่ก็คือ คำบอกรัก อันอ่อนหวานที่สุด ที่ชายแห่งแดนสวรรค์นี้ จะมอบให้กับนางได้...


The end.


28/05/2551 (2008)






Free TextEditor




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551    
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:05:49 น.
Counter : 329 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ArTimuS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket


นิยายอัพเดท...Photobucket

-ปฏิบัติการหักร้างถางรักPhotobucket
เรื่องราวความรัก แนวโรแมนติกดราม่า ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเลิกลากันไป แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมาเพื่อขอเคียงคู่เธออีกครั้ง ความรักแสนเศร้าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายรักพลาดได้นะคะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-คีตคิมหันต์ Photobucket
ภาคต่อจากเรื่องลำนำเหมันต์ เมื่อคุณพ่อคนเก่งลงโทษคุณลูกตัวแสบให้ออกติดตามหาวิหคศักดิ์สิทธิ์จนนำไคเมร่าหนุ่มไปยังโลกมนุษย์จนได้พบกับเด็กสาวผู้อาภัพและเหตุการณ์เหนือความคาดฝัน นิยายแฟนตาซีโรแมนติกที่แฟนนิยายมกราไม่ควรพลาดค่ะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-Love Happening
เรื่องสั้นของสองหนุ่มสาว และความไม่เข้าใจกัน อุปสรรค และมนต์เสน่ห์แห่งเทศกาล (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)Photobucket

-Pretty Doll
เรื่องสาวผู้น่ารักของเมทสาวกับนายหนุ่มจอมเสเพลที่เก็บเธอมาเลี้ยง เรื่องรักกุ๊กกิ๊กแนวโรแมนซ์แสนฮาเฮ (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)PhotobucketPhotobucket

- Love in Rain
รวมเรื่องสั้นของเจ้าของบ้าน เรื่องราวความรัก และสายฝนอันชุ่มฉ่ำ



Photobucket
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ArTimuS's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.