คิมหันต์ที่ 13/1
Chapter 13 ท่ามกลางกองไฟที่กำลังเผาผลาญแรงร้อนลามไปทั่วทั้งคฤหาสน์ เฟทรวบรวมกำลังใจเพื่อหอบหิ้วสังขารของตนเองออกมาให้พ้นจากห้องใต้ดินก็ต้องมาพบว่าตนกำลังอยู่ในเตาอบขนาดยักษ์แทน! โต๊ะและม่านหน้าต่างหักพังกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่ว่ามองไปทางใดก็มีแต่เพียงความแรงร้อนของเปลวไฟที่กำลังลามเลียโอบล้อมและตีขนาบเข้ามาทุกทิศทุกทาง เฟทมองหาทางออก และจากการที่เขาได้เคยเดินสำรวจไปทั่วมาก่อนหน้าแล้วก็พบว่า ห้องนี้เป็นห้องที่อยู่ห่างจากประตูทางออกของบ้านมากที่สุด แต่...มันไม่ได้ห่างจากทางเข้าออกที่ใกล้ที่สุดเลย...หน้าต่างไง! เว้นเสียก็เพียงแต่ว่าเขาจะต้องใช้กำลังพอที่จะกระโจนออกไปเท่านั้น ใช่...ใจเย็นๆ ฟู่... เฟทพยายามหายใจช้าๆ และก้มต่ำเพื่อสูดอากาศไร้ควันที่ลอยอยู่ด้านล่างเอาไว้ แล้วคว้าท่อนไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเอาไว้...ไม่ได้สิ...ถ้าเขาทำลายกระจก อากาศจากภายนอกจะดันเข้ามาและทำให้ไฟโหมแรงขึ้นอีกและเขาก็จะกลายเป็นเฟทร้อนๆ แต่ว่าทางเลือกก็มีไม่มากนักเพราะเขาเองก็ไม่ต้องการถูกย่างสดเหมือนกัน! ชายหนุ่มเริ่มคิดหนัก เขามองหาสิ่งที่เป็นพรมหนาๆ มันมีอยู่ที่พื้นนี้เพราะหนึ่งในนั้นต้องบังทางเข้าลับเอาไว้ โอ...หวังว่ามันจะพอใช้ได้นะ เฟทห่อตัวของเขาเองกับพรมผืนหนานักนั่นภาวนาให้เขาไม่กลายเป็นไคเมร่าอบภูเขาไฟไปเสียก่อน ก่อนที่เขาจะขว้างไม้ในมือไปทางหน้าต่างอย่างแรงพอที่จะทำให้หน้าต่างนั่นแตกในทันที และเป็นดังคาดเมื่อไฟในห้องลุกพรึบขึ้นพร้อมกันและระเบิดออกเป็นเปลวไฟแรงร้อน ในเวลาเดียวกันนั้นที่ไฟเริงโลดอยู่ชั่วขณะ เฟทก็หดตนเองเข้าไปหลบในพรมหนาติดไฟยาก หากไม่นานนัก เพราะเขามั่นใจว่าหลังจากไฟลุกอย่างรวดเร็วนั้น มันจะสงบลงอย่างรวดเร็วเช่นกันด้วยอากาศมากมายที่ทะลักทลายเข้ามาและเพลิงใหม่ที่มาหักล้างเพลิงเก่า เฟทสะบัดตัวออกจากพรมที่เริ่มติดไฟอย่างปลอดภัยและปีนหน้าต่างออกมาจากห้องนั้นได้ในที่สุดโดยไม่กลายเป็นไคเมร่าบาบีคิว โอ๊ย...ขอให้ทันทีเถอะ! เฟทเฝ้าภาวนากับตนเอง ในเวลาแบบนี้เขาสติดีที่สุด แต่ตัวเขานั้นแทบไร้ประโยชน์ ร่างการที่ทรุดโทรม หอบสังขารตนโซเซสวนทางกับผู้คนที่วิ่งหนีตายกันออกมา และยิ่งใกล้...เฟทก็ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น หากในใจของเขานั้นมีเพียงแค่ฟีต้าเท่านั้น และทันใดที่เขาผ่านพ้นโค้งสุดท้ายสู่สถานที่ตั้งอดีตโรงทหารภายในรั้วอดีตคฤหาสน์ เขาก็ได้พบ...ลูกไฟดวงใหญ่ที่ก่อรูปสร้างร่างเป็นตัวเป็นตนให้เห็นจะๆ ตาอย่างชัดเจน! วิหกศักดิสิทธิ! ชายหนุ่มหลุดหากเรียกออกมา เขาเพ่งมองตรงไปที่นั่น และราวกับว่าเปลวเพลิงร้อนแรงนั่นโปร่งใสขึ้นมาอย่างกะทันหัน เฟท...มองเป็นต้นตอของเปลวเพลิงนั่นอย่างชัดเจน สตรีร่างบางทั้งเรียวแขนและเรียวขาของนางนั้นราวกับรูปปั้นอันอ่อนช้อย เรือนผมของนางปลิวสยายในสายลมร้อนที่พัดพุ่งอยู่ภายในเพื่อทำให้ดวงไฟโหมแรงโดยมีนางเป็นดุจศูนย์กลางเปลวเพลิงเหมือนดั่งขั้วของเทียนไขที่มีชีวิต นางเดินอย่างไร้ทิศทางและโอนเอนราวกับคนสติเลื่อนลอย และในนาทีที่นางหันมาทางเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับถูกอัด! ฟีต้า...ฟีต้า!!! วินาทีแรกเขาสับสน หากไม่นานนักเพราะเพียงวินาทีต่อมานั้นเอง เขาก็ตะโกนเรียกนางออกมา! คือนางนั่นเอง! โธ่ เขานี่มันโง่เป็นบ้า! เขาไม่ทันได้สังเกตสีของเส้นผมของนางอย่างจริงจังเลยสักครั้งหนึ่งเหรอ? กี่ครั้งกันที่เขาคิดว่าสีผมนั่นขัดลูกตาเขาแต่ไม่นึกเอะใจสงสัยอย่างจริงจัง! คนที่เขาตามหามาตลอดและคิดจะตามหาต่อไปกลับอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้าแค่นี้...จุดใต้ตำตอ หากเป็นงูร้ายก็กัดเขาตายไปหลายตลบแล้ว! ฟีต้า... เสียงของเขาแผ่วลง เมื่อบาดแผลของเขากำลังโซมเลือดอยู่ และกำลังของเขามาถึงขีดสุดแล้ว แต่ว่านางอยู่ตรงนั้น ดูอ้างว้างเดียวดาย...ไม่ได้ เขาต้องช่วยนาง เฟทรู้สึกว่า ฟีต้า...กำลังเรียกหาเขา! ฟีต้า...ข้าอยู่นี่แล้ว...มาหาข้าสิ... เขายื่นมือออกไป ในเวลาเดียวกันก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ในวินาทีที่เขาสบตากับนางนั้นเอง เฟทก็ชาวาบไปทั้งร่าง! ดวงตาของหญิงสาวไม่เหมือนกับที่เขาเคยจำได้ ดวงตาดุกร้าวและเย็นชา ดวงตาที่ประกาศความเป็นปรปักษ์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรัก ดวงตาที่บ่งบอกว่าตนนั้นพร้อมที่จะเผาผลาญทุกอย่างให้ล้มราบพนาสูญ! ฟีต้า! เฟทยังคงเรียกต่อไป ในใจรู้ซึ้งดี...นางไม่รู้สึกตัว ยามนี้หญิงสาวกำลังโดนอะไรบางสิ่งบางอย่างสิงร่างอยู่และไม่เป็นตัวของตัวเองอันเกิดจากการผสมผสานของบางสิ่งที่ผิดเพี้ยน! ฟีต้า! ฟีต้า! เรี่ยวแรงของเขาไร้ไปเสียแล้ว แม้ใจจะสู้อยู่ เฟทล้มทาบลงไปแทบพื้น พยายามเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยดวงใจเจ็บปวด... ใครกัน... ใครกันนะที่กำลังเรียกหาเรา... ใครกันที่กำลังร่ำไห้เพื่อเรา... ใครกันที่เราแสนคิดถึง... ข้าไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นอยู่ที่ใด... ไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะเป็นหรือตาย...หากสถานที่แห่งนี้ช่างเงียบสงบยิ่งนัก ความสงบนิ่งที่ทำให้หัวใจอบอุ่น...แต่ก็โหยหาราวกับว่าบางสิ่งขาดหายไป ใครกัน...คือเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยนั้น... ใครกันที่จำได้ว่ารู้จักไม่นานหากโหยหายิ่ง... ใครกันที่ทำให้สิ่งที่ช่วยเข้ามาเติมเต็มชิ้นส่วนของหัวใจที่ขาดหายไป... ใครกันที่ข้า...ปรารถนาจะพบเจอ... อยากพบ...คิดถึง...คิดถึงเหลือเกิน...เป็นห่วงท่านเหลือเกิน... ...เฟท... ร่างที่คลุกฝุ่นดินหมอบคลานเข้าหาลูกไฟยักษ์อันแรงร้อน...เขาต้องช่วยนาง เขารู้ว่านางต้องกำลังร้องไห้อยู่ข้างในใจแน่ แววเหงาในดวงตานั้นบอกกับเขา อดีตอันอ้าวว้างและแสนเดียวดายที่เคยได้ฟัง ทำให้เขาคิดถึงรอยยิ้มพิมพ์ใจที่นางประทับเอาไว้ในความทรงจำของเขา หญิงสาวที่เด็ดเดี่ยว แม้ไม่ได้แกร่งกล้าหากประคองชีวิตตนเอาไว้ เชิดหน้า และก้าวเดินต่อไปยังอนาคตอันมืดมิด ท่ามกลางความไม่รู้ในโชคชะตาที่ทำให้ไม่ว่าเหล่ามนุษย์หรือทวยเทพก็ต่างหวาดกลัว นางกลับก้าวต่อไปอย่างองอาจกล้าหาญด้วยการมองโลกและหาสิ่งดีดีในการที่โลกใบนี้เป็น ความโอบอ้อมอารีที่นางมีให้กับแมวตัวเล็กๆ ที่หลงเข้ามาในทางของนาง ผูกพันกับมันด้วยหัวใจ ร้องไห้ให้กับการจากลาสัตว์หน้าขนที่นางเรียกว่า...เพื่อน... นางในเวลานี้ไม่ต่างเลยจากเด็กที่กำลังร้องไห้...และนางร้องไห้จริงๆ! เฟทคลานฝ่าเปลวไฟเข้าหาจนเข้ามาถึงตัวนางได้ในที่สุด ร่างกายของไคเมร่าหนุ่มนั้นเริ่มไหม้เกรียม หากด้วยความเป็นชนในสายเลือดอันใกล้เคียงกับทวยเทพมากที่สุด บาดแผลใดๆ ก็ดิ้นรนจะรักษาตัวของมันเองอย่างที่สุด แม้ผู้เป็นเจ้าของร่างจะแทบสิ้นกำลังลงแล้วก็ตาม มือใหญ่คว้าข้อเท้าเล็กๆ นั่นเอาไว้ได้ในที่สุด ยันตัวด้วยกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เพื่อรั้งรวบร่างบางมากกอดกระชับเอาไว้ปลอบประโลม อย่าร้องไห้เลยคนดี...ข้าอยู่ที่นี่แล้ว อย่าร้องไห้เลยเด็กดี...ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว ฟีต้า น้ำเสียงนั้นซึมลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ เหมือนหยดน้ำหยดใสที่ตกลงไปในบ่ออันมืดลึกแล้วสะท้อนเสียงก้องกังวานใสอยู่ภายในนั้น อ้อมกอดที่แม้จะไร้แรงหากกระชับโอบรอบให้ความรู้สึกทั้งปกป้องทั้งปลอบโยน สงบสุขจนน้ำตาที่ซึมออกมานั้นทั้งหยุดและไหลริน เฟท... ฟีต้า...ข้าอยู่นี่แล้ว และวินาทีนั้นเอง เพลิงที่ลุกอยู่รอบกายนางก็วาบหายมลาญไปจนหมด เหลือเพียงไฟที่ติดไหม้เรือนไม้ที่อยู่รอบๆ ที่ลุกลามไปด้วยตนเองเพียงเท่า และที่นั่น...ร่างสองร่างกอดกันและทรุดลงพร้อมๆ กันท่ามกลางความวุ่นวายที่ค่อยๆ สงบลง และมีดวงจันทร์เป็นสักขีพยาน ข้ากลัวเหลือเกิน ข้าตาย...ข้าไม่อยากตาย...ไม่อยากตาย เฟทรับรู้และเข้าใจในเวลานี้เองว่านางได้ผ่านสถานการณ์อันโหดร้ายมาอีกอย่างโดยที่เขาไม่อาจปกป้องนางได้ซึ่งมันได้พ้นผ่านไปแล้ว เวลานี้มีเพียงเขาและนางที่ปลอดภัยอยู่ด้วยกัน เจ้าไม่ตาย เจ้าจะไม่ตาย เจ้าจะมีชีวิตอยู่ เราทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน อย่ากลัวไปเลย...ข้าจะดูแลเจ้าเอง ดวงตางามกรอบแพขนตาเปียกชุ่มและน้ำตายังคงหลั่งไหลปิดลง พร้อมกับการพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนแขนบางจะโอบกระชับตอบร่างของชายหนุ่มเอาไว้ราวกับหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของนาง ใบหน้างามซบลงบนบ่ากว้างของเฟท หูแนบฟังชีพจรที่ต้นคอของชายหนุ่มที่เต้นอย่างสม่ำเสมอและหนักแน่นอย่างอุ่นใจ ซึมซับทุกสิ่งที่ให้ความรู้สึกสงบจากตัวเขาแก่ตน คนทั้งสองยังคงทรุดกายนั่งอยู่ด้วยกัน กอดอิงกันนิ่งๆ อยู่เช่นนั้น เฟทเองอิงพิงร่างน้อยโดยทิ้งน้ำหนักของตนเองกับนางเพื่อยังกายไว้ไม่ให้ล้ม สายลมที่เริ่มพัดมาทำให้ร่างทั้งสองไหวเอนราวกับการเห่กล่อม ชายหนุ่มซึมซับทุกๆนาทีที่มีร่างน้อยอยู่ในอ้อมกอด โดยที่ไม่ทันรู้ตนเลยว่าบาดแผลที่เปรอะรับน้ำตาจากหญิงสาวนั้นสมานเข้าหากันจนหายสนิทเป็นอย่างดีแล้ว และเมื่อโลกอันยุ่งเหยิงนี้เงียบลง...ทั้งคู่ก็หลับอย่างไม่รู้ตัวด้วยความสงบสุขของการมีกัน...จวบจนแสงทิวาค่อยๆ ไล้ความสว่างสดใสขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีอำพันงามจึงลืมตาตื่นขึ้นพร้อมขยับกายปลุกร่างใหญ่กว่าที่โอบกอดรอบกายนางไว้อย่างปกป้องตลอดคืนให้ตื่นขึ้นเช่นกัน ดวงตาสองคู่หันมองไปทางเดียวกันโดยไม่ใช่เพราะใครหันตามใคร หากเป็นเพราะความรู้สึกดื่มด่ำกับภาพทัศน์อันงดงามของอรุณเบิกฟ้าที่เสมือนดั่งละครโรงใหญ่อันตระการตา ความยิ่งใหญ่งดงามโอฬารของผืนฟ้าที่ห่อหุ้มทั้งสองรวมไว้กับโลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างดูงดงามในยามเช้า ราวกับความเลวร้ายใดๆ ในคืนที่ผ่านไม่เคยเกิดขึ้น เฟทก้มลงมองใบหน้างามที่เงยขึ้นพิศฟากฟ้าอย่างซาบซึ้งในงานศิลป์ของพระเจ้า และชื่นชมกับความพิสุทธิ์ของดวงดาวในดวงตาของนาง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ตามหาจนพลิกแผ่นดินจะเดินมาชนกับเขาด้วยตัวเอง นี่เป็นการพบเจอด้วยความบังเอิญหรือเป็นการนำพาของโชคชะตาอันแสนเร้นลับกันแน่ เมื่อแรกที่เขาทั้งเพียรศึกษาและเพียรตามหาร่องรอยและเรื่องเล่าไปนั้นแสนยากเข็ญ เขาสิ้นหวังอับจนเมื่อพบว่าหนทางที่เดินมานั้นกลายเป็นทางตัน และออกเดินทางต่อด้วยความสิ้นหวังในหนทางและหลงทิศผิดทางไป...เพียงความคิดชั่ววูบเดียวที่ทำให้เขาแวะพักข้างทางและออกนอกเส้นที่ขีดแผนเอาไว้...นางก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า นานกว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ ฟีต้ามองเฟทตอบด้วยสีหน้าบอกความสงสัย เมื่อชายหนุ่มเอาแต่นั่งยิ้มมองนางนิ่งอยู่เนิ่นนาน เฟทยังคงไล้สายตาตนและเพลิดเพลินกับการสำรวจ สังเกต วินิจฉัยลักษณะที่แสงตะวันส่องกระทบเรือนผมสีเงินของหญิงสาว รูปแบบที่แสงตะวันสะท้อนออกมาจากเส้นผมของนางแต่ละเส้นที่แตกต่างกันออกไปอย่างน่าอัศจรรย์ยามที่มันทอประกายเหลือบรุ้งแล้วแวบหาย และบางทีก็เหมือนกับการกระพริบของดวงดาว... ขณะที่สองหนุ่มสาวยังซาบซึ้งกับบรรยากาศของความสงบและการมีซึ่งกัน พวกเขาก็ถูกขัดขึ้นด้วยการปรากฏกายอย่างรวดเร็วของกองทหารกลุ่มใหญ่ เฟทรวบร่างบางเปลือยเปล่าอย่างปกป้องและเพื่อปิดบังร่างของนางจากสายตาของคนอื่นๆ ขณะที่ตนเองมีเพียงกางเกงหนังของตนที่มีรอยไหม้และเป็นรูในหลายจุดเท่านั้น ดวงตาสีทองวาวทั้งเตือนและสงสัยในตัวผู้บุกรุกความเป็นส่วนตัวของตน ทั้งดวงตาและสีหน้าของชายหนุ่มทำให้นายทหารผู้เป็นผู้นำของกลุ่มเขาใจจึงก้าวออกมายืนเบื้องหน้าคนทั้งสองและวางดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวของตนลงแนบพื้น ข้าคือไชน์ แห่งกองทหารที่สองทัพธงหมาป่าแดง มือขวาของเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งซาเรีย ชายผู้นั้นแนะนำตนเอง พลางส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับหนุ่มสาวทั้งสอง อย่ากลัวเลย พวกเรามาช่วยเหลือ คนอื่นๆ ที่ถูกจับตัวมาก็ปลอดภัยเช่นกัน หากกระนั้นแล้ว ดวงตาสีทองของชายหนุ่มผู้โอบกอดหญิงสาวเอาไว้อย่างปกป้องก็ยังไม่วายไปจากความระแวงแคลงใจสักน้อย เมื่อชายผู้สวมรอยเข้ามาเป็นพ่อบ้านได้เข้าไปกระซิบที่ข้างหูของไชน์ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ เป็นเจ้าเองรึ ที่จีอัสตามล่าตัวมา... ไชน์เอ่ย เขาได้ยินเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นี้มามากมาย และนึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเขา...ชายหนุ่มที่หลบหนีการตามล่าได้ถึงสองครั้งสองครา...และได้รับความสนใจจากจีอัสมีค่าพอถึงขนาดที่ชายผู้นั้นต้องการให้จับเป็น หนุ่มหน้าใสผู้นี้มีอะไรพิเศษกัน... นั่นคือคำถามที่เขาเฝ้าหาคำตอบมาตลอด จนเวลานี้เขาจึงได้เข้าใจ แววตาของชายผู้นี้เด็ดเดี่ยว อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว...ไชน์เลยมองไปถึงหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ดวงตาสีอำพัน เรือนผมสีเงินที่เล่นล้อกับแสงตะวันดูแปลกตา ใบหน้าเล็กๆ มองมาทางพวกเขาอย่างหวาดกลัว ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่พวกทหารกองโจรที่พวกเขาจับได้บอกเล่ามานัก... นี่รึเด็กสาวปีศาจไฟที่ทหารเลวพวกนั้นเล่าถึง? เป็นเพียงสาวน้อยอ่อนแอบอบบางธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นในสายตาของเขา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จก่อน...ความสงสัยใดๆ ที่มีต้องเก็บเอาไว้แล้วค่อยคิดหาคำตอบกับความจริงกันต่อไป เราจะไม่บังคับพวกเจ้า เพียงแต้องการให้พวกเจ้าเดินทางไปกับพวกเราสักหน่อย เราต้องการความร่วมมือจากพวกเจ้าเล็กน้อยเกี่ยวกับการให้ปากคำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น... ไชน์เอ่ยอย่างสุภาพและระมัดระวังเพราะท่าทางของชายหนุ่มนั้นประกาศโต้งๆ ให้เห็นอยู่แล้ว และเขาก็ยังต้องการความร่วมมือจากหนุ่มสาวทั้งสองไปเป็นพยานให้การณ์ขั้นตัดสินความถึงความผิดที่เสนาบดีจีอัสได้ก่อขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่พบร่างของจีอัสก็ตาม แต่ไม่ว่าชายผู้นั้นจะหนีไปหรือตายแล้ว เขาก็ยังต้องนำความไปให้สภาพซาเรียตัดสินและออกประกาศแถลงการณ์อยู่ดี และรวมทั้งการประกาศกฎอัยการความมั่นคงแห่งซาเรียด้วย เพราะหากว่าเป็นไปตามที่สายพ่อบ้านของเขารายงานละก็ ความมั่นคงของซาเรียนก็ตกอยู่ในอันตรายจากการแทรกแซงของคนจากนาร์เดนที่เข้ามาเสียแล้ว... เฟทมองชายเบื้องหน้าอย่างใคร่ครวญ ท่าทางของชายผู้นี่รวมทั้งธงที่สะบัดอยู่เบื้องหลังไม่ผิดจากคำพูดแนะนำตัว เฟทรู้จักกองทัพเสนาฯฝ่ายขวาของซาเรีย จากการที่เขาออกท่องในโลกมนุษย์หลายต่อหลายหน ความเป็นไปใดๆ ในโลกมนุษย์นี้ก็ไม่มีทางพ้นหูของเขาไปได้ ดวงตาสีเทาจริงใจของไชน์นั่นต่างหากที่ทำให้เฟทตัดสินใจได้...ความจริงใจและท่าทางที่มุ่งมั่น ไม่เป็นผลดีที่จะปฏิเสธชายที่ทำตามหน้าที่ และการรับคำเชิญก็น่าจะดีกว่าการถูกบังคับคุมตัว แม้ใจจะอยากรีบพาหญิงสาวกลับไปโอราเคิลให้เร็วที่สุดก็ตาม...แต่ การให้นางสงบใจอยู่ในโลกมนุษย์สักพัก และผ่อนคลายจากความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นสักหน่อยก็น่าเป็นความคิดที่ดี
Create Date : 30 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:31:30 น. |
|
0 comments
|
Counter : 212 Pageviews. |
|
|