คิมหันต์ที่ 18/2
เฟท... เสียงใสเอ่ยเรียกชายหนุ่มเสียงหวาน รอยยิ้มค่อยๆ คลี่ไปบนริมฝีปากสีทับทิม...รอยยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกปีติจากหัวใจ และเป็นยิ้มที่ทำให้เฟทเจ็บแปลบ นั้นเพราะ...ในดวงตาคู่ซึ้งสวยคู่นั้น เอ่อไปด้วยหยาดน้ำตา... มือใหญ่เอื้อมออกไปประคองใบหน้างามเอาไว้อย่างทะนุถนอม...ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เพราะนี้คือความจริงที่เห็นอยู่...เขาได้ทำให้นางเหงา และอ้างว้าง...แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจ และ สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นเขาได้ทำทั้งหมดเพื่อนางจริง แต่เขากลับลืมสิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งไป ก็คือ...ถึงแม้ว่าทุกคนในที่แห่งนี้จะดีต่อนางเพียงไรก็ตาม แต่สำหรับนางแล้ว ทุกๆ คนก็ยังคงเป็นคนอื่นอยู่ในเวลานี้... ...ยกเว้นเขา... เขาเป็นเพียงคนเดียวในโลกใบนี้...และอย่างยิ่งในยามนี้...ที่นางสามารถวางใจเอาไว้ที่เขาได้ เขาไม่เคยลืมว่า ใจของนางนั้นแบกรับความรู้สึกอันหนักอึ้งเพียงไรจากอดีตที่ผ่านมา! ข้าขอโทษ... เพียงถ้อยคำนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกินสำหรับการถ่ายทอดความรู้สึกรับผิดชอบที่เขานั้นมีต่อนาง เฟทรั้งร่างน้อยมากอดเอาไว้ หมายให้ตนเองนั้นเป็นดั่งที่พักพิงของนาง...และหัวใจดวงน้อยๆ ที่แสนรักของเขา ข้าสัญญา ในเวลานี้ข้าอาจจะมีเวลาให้กับเจ้าน้อยเหลือเกินก็ตาม ขอให้เจ้าได้ระลึกไว้เสมอเถิด ฟีต้า...นางฟ้าองค์น้อยของข้า ว่า...ทุกสิ่งข้าทำเพื่อให้เจ้าได้มีความสุขตลอดไป...ในเวลานี้ข้าไม่อาจจะให้สัจแก่เจ้าได้ว่าข้าจะเคียงข้างเจ้าตลอดไป แต่สักวันหนึ่ง...ข้าจะสาบานต่อทวยเทพ ว่าข้าจะอยู่เคียงคู่เจ้า ไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเงียบเหงาอ้างว้างอีกต่อไป เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว... หญิงสาวซุกซบดวงหน้ากับบ่ากว้าง รองรับน้ำใจจากใจของเขาที่ส่งผ่านมาตามความอบอุ่นของร่างกาย ซึมซับความหนักแน่นจากเสียงของหัวใจอันสม่ำเสมอจริงจัง และปรารถนาความแข็งแกร่งของเขามาปันให้แก่นางบ้าง เพื่อที่นางจะได้ผ่านพ้นช่วงนี้ไป... สัญญากับข้าได้ไหม นางฟ้าคนดี...ว่าเจ้าจะเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำให้ซัลฟาและพวกนางกำนัลในต่างก็เป็นห่วงเจ้ามากนะ รู้ไหม? ประโยคนั้นที่เฟททำให้ฟีต้ารู้สึกตัวขึ้นมาว่านอกจากพวกตนแล้วยังมีคนอื่นอยู่ในสถานที่นั้นด้วยอีกกลุ่มหนึ่งจากสายตาของเฟทที่หันมองไป เหล่าสาวผู้ติดตามของนางพากันยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปยืนสะดุ้งเมื่อเห็นทั้งสองหันไปมองพวกนางต่างพากันเดินออกมายืนบิดกระมิดกระเมี้ยนด้วยสีหน้าที่บอกความรู้สึกผิดแล้วพากันวิ่งออกไปจากสถานที่แห่งนั้น จนกระทั่งคนสุดท้ายจึงเป็นว่าเป็นซัลฟาที่เดินออกมาจากดานหลังต้นไม้ต้นนั้นซึ่งนางไม่ได้วิ่งหนีไปเหมือนคนอื่นๆ แต่เพียงยิ้มให้กับสองหนุ่มสาวเหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มองดูเด็กๆของตนอย่างเอ็นดูแล้วจึงค่อยเดินจากไป เฟทยิ้ม เมื่อเห็นดวงตาที่วาวระยับของฟีต้า ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความปราบปลื้ม อีกทั้งพวงแก้มใสระเรื่อขึ้นเมื่อหันมองเขา... ค่ะ ข้าสัญญา วันนี้เฟทไม่ต้องทำงานเหรอคะ... หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อเห็นชายหนุ่มนั้นปลีกเวลามาอยู่กับตนนานแล้วที่ใต้ร่มไม้นี่ พลางชี้ชวนให้ดูที่โน่นที่นั่นอยู่กับนาง อันที่จริง คือ...ข้าโดดมาน่ะ... เฟทยกมือขึ้นเกาหัว ก่อนหันมายิ้มกว้างให้กับหญิงสาว...ฟีต้ารู้สึกละอายขึ้นมาทันทีที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียงาน ข้าขอโทษค่ะ...เพราะข้าแท้ๆ หญิงสาวเอ่ยพร้อมด้วยสีหน้าสลดหม่นเศร้าที่ทำให้เฟทอยากจะเฉาตายไปเลยเมื่อได้เห็น ใครว่าล่ะ...เพราะเจ้าต่างหากที่ทำให้ข้าตั้งใจทำงานอย่างที่ไม่เคยสนใจมันมาก่อน ที่ข้าหมกมุ่นอยู่กับกองเอาสารข่าวและสาสน์ทั้งหลายก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น อยากรู้ไหมว่าข้าทำอะไรบ้างทุกๆ วันน่ะ? ค่ะ ข้าอยากรู้... เฟทยิ้มแล้วจึงค่อยๆ เล่าเรื่องต่างๆให้นางฟัง เฟทได้เล่าถึงการที่เขาวุ่นกับการส่งสาส์นถึงเหล่าสภาผู้เฒ่า เม้าท์เลยไปจนถึงเรื่องที่ว่าสภานี่จริงๆ แล้วมีเอาไว้ก่อปัญหามากกว่าช่วยแก้ไขเพียงไร เฟทนั้นเล่าล่วงไปครั้งที่แม่ของตนนั้นจะมาเป็นชายาของพ่อของตนว่าครั้งนั้นสภาที่ว่าได้ก่อปัญหาอะไรบ้าง หัวเราะจนท้องแข็งกับเรื่องที่กลับกลายเป็นว่าคนที่คัดค้านเสียงแข็งที่สุดในสภา ณ ตอนนั้นกลับกลายมาเป็นเขยขวัญของบ้าน แถมยังเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ ซ้ำยังเคยตกหลุมรักแม่อีกต่างหาก...วุ่นอิรุงตุงนังไปหมด... ถ้ามีแล้วปัญหามันเยอะแบบนั้น แล้วทำไมถึงต้องมีด้วยล่ะคะเฟท? ในเมื่อพ่อของเฟทก็เป็นพระราชาอยู่แล้วและถ้ามีแล้วมันก่อปัญหา คนๆ เดียวตัดสินใจดีกว่าก็ไม่น่าจะมีดีกว่านี่ เฟทหยุดหัวเราะลงไปในพลัน สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมทันใด... มันก็จริงอย่างที่ว่ามันวุ่นวายอยู่หรอกนะ ฟีต้า...แต่ทว่า ถ้าไม่มีสภาผู้เฒ่าคอยดูแลมาแต่เดิมแล้วละก็ บางทีโอราเคิลคงไม่สงบสุขถึงเพียงนี้ ลองคิดดูถึงในโลกมนุษย์ที่เราจากมาสิ ว่ามันยุ่งเหยิงเพียงไรเมื่อคนเพียงคนเดียวควบคุมเบ็ดเสร็จแต่ปราศจากทศพิธราชธรรม ยึดและสนองตอบต่อความต้องการแห่งตนเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังเสียงของความทุกข์ร้อนของไพร่ฟ้า หน้ามืดตามัวกับอำนาจที่ถือครองและมีความปรารถนาอันไร้จุดจบ ประเทศก็ไม่อาจจะได้พบกับความสุขสงบเป็นได้...มันก็คือจุดเริ่มต้นของสงครามที่เกิดขึ้นในโลก โลกที่คนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีอำนาจและพยายามจะไขว่คว้ามาให้ได้ ให้ได้ครอบครอง และให้ได้มามากที่สุดอย่างไม่รู้จักเพียงพอ คนๆ นั้นก็สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ให้ได้มาซึ่งอำนาจที่เหนือยิ่งกว่านั้น ทั้งโกหก หลอกลวง ขู่ และในที่สุดฆ่า.. การที่คนๆ หนึ่งมีอำนาจมากในมือโดยปราศจากการควบคุมตนเองนั้นก่อความน่าสะพรึงกลัว แล้วเจ้าลองคิดดู เจ้าได้เห็นอำนาจของเราชาวโอราเคิลกันมาแล้ว เจ้ารู้ว่าชาวโอราเกิลอย่างเรามีกำลังมากมายเพียงไร ลองคิดลึกลงไปกว่านั้นดูอีกสักนิดกันนะ...ขนาดมนุษย์ที่ไร้กำลังอำนาจเยี่ยงเรายังก่อให้เกิดความเสียหายได้มากมายเพียงนั้น แล้วลองเอามาบอกกับความเป็นสัตว์ในชาวโอราเคิลที่เข้มข้น แถมเข้าไปกับสัญชาติญาณแรกของพวกเราก็คือการปกป้องอาณาเขตของตน และความเป็นใหญ่เหนือสัตว์ที่อ่อนแอกว่า เฮ้อ...คงวุ่นวายยุ่งเหยิงสนุกดีพิลึก ลองคิดดูสิ...หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเยี่ยงนั้น จนเป็นสงครามในโอราเคิลแล้ว มันจะยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายขนาดไหน นี้เอง...พวกเราจึงได้ใช้...สิ่งที่ดีที่สุดในตัวมนุษย์...มาควบคุม...เจ้าสัตว์...ในตัวเรา มันคืออะไรรู้ไหม? สิ่งที่อยู่เหนือสัญชาติญาณ ความปรารถนา และความกระหายทั้งปวง...นั่นก็คือ สติปัญญา.. เพื่อไม่ให้ความเขลาอันเลวร้ายเกิดขึ้นโดยตนเป็นผู้ก่อเสียเอง บรรพบุรุษของพวกเราก็เลยได้ทำข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติขึ้น โดยการแบ่งอำนาจนั่นออกเป็นส่วนๆ และ ถือครองมันไว้ร่วมกัน..เป็นบัญญัติแห่งโอราเคิล สายตาของเฟทจ้องมองไกลออกไปในท้องฟ้าเวิ้งว้างนั้น ราวกับว่าเขามองเห็นสิ่งที่เขาพูดอยู่เบื้องหน้า ทั้งเรื่องของความขัดแย้ง และสงคราม ทำให้ฟีต้ารู้สึกสะท้านไปกับมัน...นางเองก็เพิ่งเผชิญมาด้วยตนเอง ถึงความยากแค้นแสนเข็ญที่ผู้ปกครองเป็นผู้ก่อให้เกิดกับประชาชนของตนอย่างไร้ปรานี...เพื่อให้บรรลุถึงความมีให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะอยู่ให้เหนือและเหนือไปกว่าที่ตนเป็นและตนมี! เฟทหันกลับมามองที่นางอีกครั้ง สายตาของเขากลับอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้น ทำให้ฟีต้าได้รู้ว่า...นางได้หลุดพ้นมาจากมันแล้ว... แต่ทุกระบบย่อมมีปัญหา แรกสุดคือ เกิดจากแต่ละเผ่าถือครองอำนาจกันอย่างเท่าเทียม และมากคนก็มากความพวกเรามีความเห็นที่แตกต่างกัน และนั่นก็ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่แตกต่างกันเท่าไรจากเดิม ลองคิดดูเล่นๆ นะ...ในโอราเคิลเรามีชาวเผ่ามากมายเป็นร้อยเป็นพัน แถม ในสมัยนั้นยังไม่เกิดการรวมตัวของสัตว์ชนิดต่างๆ อย่างกลุ่มสัตว์ปี สัตว์น้ำ ตระกูลแมว ตระกูลไอยรา อย่างทุกวันนี้ อำนาจอยู่กับฝูง ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็มีฝูงเป็นสิบๆ ร้อยๆ ฝูง คิดถึงความวุ่นวายในสภาโอราเคิลดูแล้วกันว่ามันวุ่นวายยุ่งเหยิงขนาดไหน แล้ววันดีคืนโหด พวกผู้เฒ่าก็พบว่า มันไม่รุ่งเลยสักนิด เพราะเมื่อความเห็นแตกกระจายโดยไม่มีใครเข้ามาควบคุมดูแลและจับพวกเรามาประสานกันและทุกๆ เผ่ามีความเห็นและเหตุผลสนับสนุนตนเองทั้งสิ้น เฮ้อ...เชื่อเถอะ ข้าว่ามันไม่แตกต่างกับการดูเด็กทะเลาะกันเลยสักนิดเดียว เฟทยิ้มตาพราวกับความคิดนั้นราวกับว่าเขากำลังขบขัน พูดไปแล้วทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เว้นก็แต่ว่าจำนวนเด็กทะเลาะกันมันน้อยกว่าเยอะ แต่เพราะอย่างนี้นี่เอง...ที่ตำแหน่งจ้าวภูผาได้ถูกตั้งขึ้น...ที่น่าขันคือ ชื่อตำแหน่งนั้นได้มาจากคำเรียกขานของพวกมนุษย์ ฟีต้ามีสีหน้าประหลาดใจเมื่อรู้...และก่อนที่นางจะถามออกมาว่าไฉนเลยจึงเป็นเช่นนั้น เฟทก็เล่าต่ออย่างรวดเร็ว ก่อนที่พ่อข้าจะมาเป็นจ้าวภูผานั้น มีผู้ดำรงในตำแหน่งนี้มาก่อนแล้ว ทั้งเผ่านก เผ่างู เผ่าสมิง เผ่าหมาป่า วนกันไปโดยมีสภาโอราเคิลเป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสม อันที่จริงดูๆ ไปก็เหมือนการประกวดนางงามนั่นแหละ เพียงแต่มีแต่ผู้ชายบึกๆ ทั้งนั้น แข่งขว้างโน่น โยนนี่ ยกนั่น ตอบคำถาม แล้วก็ประลองกันไม่มีอะไรน่าดู พอชนะเลิศก็ได้รับรางวัลเป็น...หน้าที่ แถมหน้าที่หลักของจ้าวภูผาในสมัยนั้นมันรวมทั้งการปกป้องคนที่เข้าใกล้ดินแดนของเราเหมือนกับตำแหน่งยามดีดีนี่เอง และด้วยเหตุที่ว่า เดี๋ยวนกบ้าง หมาบ้าง แมวบ้าง ที่ต้องออกไปไล่มนุษย์ไม่ให้เข้าใกล้โอราเคิล ก็เลยทำให้เกิดเป็นตำนานความลึกลับของผู้ปกครองขึ้น พวกมนุษย์จึงเรียกตำแหน่งของผู้พิทักษ์แห่งโอราเคิลว่า จ้าวภูผา จากนั้นเฟทจึงได้เล่าเรื่องราวการได้ขึ้นเป็นใหญ่ของผู้เป็นพ่อของตน การได้พบกับมารดาซึ่งเป็นมนุษย์และการที่ทั้งคู่ได้ฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกันทั้งหมดจนเป็นตำนานความรักอันหวานซึ้งตรึงใจ และถูกบอกเล่ากันไปในโลกมนุษย์ ข้าเองก็เคยฟังการขับขานตำนานนั้น และแม้ว่าบางทีจะขับเองบ้างเป็นบางครั้ง แต่พอได้ฟังเรื่องราวจากต้นตำนานเองอย่างนี้แล้วความรู้สึกอัศจรรย์ใจยังไงไม่รู้ ข้าเคยแต่คิดว่าตำนานนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ชาวบ้านแต่งขึ้นเล่ากัน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง...แถมพอได้พบตัวจริงของทั้งสองอีก ข้าก็ตาลายไปหมด นั่นสิน้า...น่าประทับใจจนเผลอผล็อยหลับไปใต้ต้นไม้ในสวน บนตักข้าเลยเชียวนา... เฟทพูดขึ้นลอยๆ พลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มขณะเสหันมองไปทางอื่น หากก็ไม่ลืมชำเลืองกลับมามองใบหน้าที่แดงซ่านขึ้นของหญิงสาว ก็...อากาศมันน่านอนนี่นา... ฟีต้าก้มหน้างุดด้วยความเขิน ขณะที่เฟทกำลังเล่าเรื่องราวของพ่อและแม่ของตนอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ต้องพบว่านิทานยังไม่ทันจะจบ สาวน้อยก็ผล็อยหลับพิงอิงแอบกับตนเองไปเสียแล้ว ด้วยสีหน้าแสนที่จะบริสุทธิ์ในยามหลับใหล ใจของเฟทไม่คิดที่จะปลุกนางขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังรั้งร่างน้อยให้ค่อยๆ นอนลงหนุนตักตนเสียอีกด้วย แล้วตนเองก็นั่งมองนางจนกระทั่งหญิงสาวตื่นขึ้นมา...แก้เก้อด้วยการถามหาตอนต่อเสียอีกแน่ะ! ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินกลับเข้าไปข้างในวิหารนั้นเอง สายตาอันคมปราบของเฟทก็มองเห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในวิหาร ชายในชุดขาวขลิบทองท่าทางองอาจคุ้นตาที่ทำให้เฟทมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาพลัน... ไควา... ในขณะเดียวกัน ชายผู้มีแผนการร้ายนั้นกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดจนมิทันสังเกตเห็นสองหนุ่มสาวที่หยุดยืนอยู่ห่างออกไปในสวน ไม่คิดเลยว่าตาเฒ่านั่นจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเป็นไปได้เลยว่ามันจะสามารถรอดมาจากโลกมนุษย์และผ่านพ้นช่วงสงครามที่รุนแรงที่สุดของพวกมนุษย์ได้ ทั้งๆ ที่เขาแน่ใจแน่แล้วว่าไม่มีทางเลยที่ชาวโอราเคิลจะมีชีวิตอยู่รอดเมื่อลงไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ที่มีแต่ความโสมม จิตใจน่าจะถูกกัดกินเหมือนกับชาวโอราเคิลอื่นๆ มิใช่รึ? หรือว่ามันจะมีของวิเศษอะไรที่ช่วยเหลือมันเอาไว้กัน? เป็นเพราะการกลับมาของตาเฒ่านั่นแท้ๆ ที่ทำให้พวกสภาโอราเคิลเพ่งเล็งเขาในฐานะที่เป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดของตาเฒ่านั่น ไม่เท่านั้นยังจะเรื่องที่เขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าอย่างรวดเร็วโดยไม่นำเรื่องการหายตัวไปของหัวหน้าคนก่อนเข้าสภาเพื่อช่วยในการตัดสินอีกด้วย พวกนั่นเริ่มที่จะไม่ไว้วางใจเขาแล้วในตอนนี้ และลงมติให้เขาคืนตำแหน่งให้กับตาเฒ่านั่นโดยเร็วอีกด้วย ทำไม! ทำไมเขาจะต้องคืนตำแหน่งที่เหมาะสมกับเขาที่สุดเหนือใครอื่นให้กับตาแก่นั่นด้วย ไม่ใช่เขารึไงตลอดเวลาสองร้อยปีที่ทำให้เผ่านกเจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้! ไม่ใช่เขาหรือไงที่ปกครองชาวเผ่าให้อยู่อย่างสงบสุข! เขาต้องทำ...ทำอะไรบางอย่างที่จะทำให้ตัวเขายังคงอยู่ในตำแหน่ง จะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากจะต้องกำจัดตาเฒ่านั่นไปให้พ้นทางของเขาเสีย! ช่วงเวลานั้นเองที่ไควาคิดถึงการฆ่าผู้เฒ่าไปให้พ้นทาง ชายผู้เดือดดาลก็ค่อยๆ สงบลง สงบลงจนทำให้เขาทันสังเกตเห็นเฟทได้ แต่ไม่เร็วพอจะทันเห็นร่างบางที่เฟทสั่งให้วิ่งเข้าด้านในไป ไควาจึงแสร้งยิ้มแล้วโบกมือทักทายเฟทหนุ่มด้วยสีหน้าเปี่ยมไมตรี พร้อมเดินเข้ามาทักทาย ท่านเฟท! ท่านไควา ชายหนุ่มเอ่ยทักทายชายผู้มากวัยวุฒิกว่าอย่างเคร่งขรึม ไคเมร่าหนุ่มค้อมหัวให้กับนกอย่างสุภาพ โอ ท่านกลับมาแล้ว ข้าได้ข่าวแล้วเกี่ยวกับการค้นพบของท่าน ข้าเสียใจจริงๆ ที่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของวิหคศักดิ์สิทธิ แต่ดีใจที่ท่านปลอดภัยกลับมา โลกมนุษย์นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก และใจของมนุษย์ก็ช่างน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก ไควาเอ่ยด้วยสีหน้าแช่มชื่นราวกับไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจใดๆ ก่อนหน้า เฟทพยักหน้ารับคำเอ่ยนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยและรอยแย้มเป็นพิธีรีตอง ใช่ ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว ใจมนุษย์นั่นน่าหวั่นเกรงจริงแท้ แม้ข้าเอง เมื่อคิดเองยังเกรงเองเลยว่า...ขนาดมนุษย์ซึ่งไร้อำนาจแต่มีเพียงจิตใจอันดำมืดเท่านั้นยังน่ากลัวถึงเพียงนี้แล้ว...หากชาวโอราเคิลเยี่ยงเรา มีจิตใจลึกล้ำดำมืดเช่นเดียวกันนั้นเกิดขึ้นมาบ้าง...จะเป็นเยี่ยงไร ความเสียหายคงไม่เพียงเกิดขึ้นแค่เมืองใดเมืองเดียว แต่หายนะคงแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งโอราเคิลเป็นแน่ เฟทเอ่ยพลางค่อยๆ ลดสายตาลงต่ำขณะรอสดับคำจากไควาว่าจะเอ่ยกลับมาเช่นไร หากไร้ถ้อยคำพูด มีเพียงรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว ยิ้มที่ฝืนให้ดูเป็นมิตรที่สุดแต่ริมฝีปากที่แย้มออกกลับสั่นระริกด้วยโทสะจริตที่พยายามเก็บซ่อน หากซ่อนได้ไม่มิด...ราวกับว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกถึงความเหยเกของมัน ไควาแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน ทำให้เฟทขรึมลงถนัด ฮึๆ ข้าว่าท่านคิดมากเกินไปแล้ว ท่านหนุ่มน้อย...เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับอารยชนอันสูงส่งเหนือเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาได้อย่างไร เฟทซ่อนรอยยิ้ม ท่านคงลืมไปเสียแล้ว ครึ่งหนึ่งของเราก็คือมนุษย์ มันก็คงจะมีเชื้อโง่ผสมอยู่ไม่มากก็น้อยล่ะ... ไควาหน้าตึง ไม่ยอมเอ่ยเอื้อนสิ่งใดต่อ รีบกล่าวลาแล้วผละจากไปอย่างรวดเร็ว
Free TextEditor
Create Date : 30 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2551 17:21:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 217 Pageviews. |
|
|