~* SumiTra is a Pali name...it means 'GooD Friend'. *~
สืบลับ แฝดอัจฉริยะ ตอนที่ 1

Chapter 1

University of Cambridge, UK, 1999.


ศาสตราจารย์อังเดร เจนกิ้นส์ผู้สูงวัยเหลือบสายตาขึ้นมองลอดแว่นตากรอบทองรูปวงรีของตนด้วยดวงตาสีฟ้าใสปานอัญมณีมายังสองร่างซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าของตนด้วยสายตาบ่งบอกความสงสัยคับข้องใจ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นที่จู่ๆใบลาออกจากมือดีที่สุดในภาควิชาของเขาถึงสองคนยื่นใบลาออกพร้อมกันถึงสองใบโดยไม่ยอมให้ความกระจ่างในเหตุผลที่พวกตนลาออกนอกจากที่เขียนเอาไว้สั้นๆในจดหมาย นี้เป็นการสูญเสียครั้งสำคัญที่เขาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อมดเฒ่าแห่งวงการดนตรีสากลอย่างเขาจะปล่อยให้หลุดลอยไปเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือการง้างปากคนสองคนตรงหน้าเพื่อเอาเหตุผลออกมาให้จงได้แม้ว่าจะต้องเอาชะแลงมางัดก็ตาม

“ฉันไม่เข้าใจเลยอยู่ดีมิสเตอร์วาทยกร เหตุผลอะไรที่พวกเธอต้องยื่นใบลาออกนี้กับฉัน …” เจนกิ้นส์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยกึ่งหงุดหงิดใจด้วยน้ำเสียงอังกฤษ

“พวกเราเสียใจครับศาสตราจารย์” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มชาวเอเชียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆและด้วยสำเนียงที่ถูกฝึกปรือมาแต่ครั้งเยาว์วัยอย่างไม่มีผิดเพี้ยนหรือเหน่อในน้ำเสียงอย่างที่คนเอเชียมักจะเป็นแม้แต่น้อย

ดวงตาอัญมณีสีฟ้าของเจนกิ้นส์ผู้เปรี่ยมประสบการณ์ยังคงจ้องจับความผิดปรกติในดวงตาสีนิลงามอ่อนเยาว์ประดุจดวงตากวางนั้นเพื่อหาคำอธิบาย แต่นอกจากความว่างเปล่าอันลึกล้ำอย่างที่ตนเห็นมาจากเจนตาแล้วนั้นก็หาได้มีอะไรอีกไม่ เจนกิ้นส์ผู้เฒ่าชราจึงได้เพียงทอดถอนใจเฮือกใหญ่เท่านั้น ศาสตราจารย์ผู้เฒ่าจึงเอ่ยบางสิ่งขึ้นมา

“พูดตามตรงเลยนะ…ชาล…วี ฉันอยากให้เธอกลับไปตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”

“พวกเราตัดสินใจดีแล้วครับศาสตราจารย์…” ชายหนุ่มรุ่นกล่าวตอบอย่างรวดเร็วเหมือนแทบไม่ต้องคิดก่อนเลย เพราะรู้นิสัยลูกศิษย์คนโปรดคนนี้ดี เจนกิ้นส์เลยได้แต่เสียดายลึกๆในใจเท่านั้น ก่อนที่ดวงตาสีฟ้านั้นจะหันไปทางอีกร่างซึ่งยืนอยู่เคียงกันเสมอ

“แล้วเธอหละวี…เธอก็เหมือนกันอย่างนั้นรึ…?”ความเงียบคือคำตอบในครั้งนี้ และนั้นก็ทำให้เจนกิ้นส์รู้ดีทีเดียวโดยไม่ต้องมีถ้อยคำใดๆเลยว่าคำตอบที่เขาจะได้รับนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามใจที่เขาคิด

“ฉันเสียดายจริงๆทั้งสองคน ด้วยวัยของพวกเธอในตอนนี้และฝีมือของพวกเธอทั้งสองคนที่เปรียบเสมือนกับวูฟกังค์ อมาดิอุส โมซาทกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง พวกเธอจะสามารถสร้างชื่อเสียงและทำเงินให้กับตนเองได้อย่างมหาศาล แต่พวกเธอคิดจะทิ้งมันไปเพียงเพื่อต้องการเพียงที่จะกลับไปใช้ชีวิตสูญเปล่าในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้งเท่านั้นเหรอ?” เจนกิ้นส์พร่ำบ่นออกมาทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นผลอะไรกับการตัดสินใจของเด็กหนุ่มสาวทั้งสองทั้งนั้นก็ตาม

ในที่สุดอังเดร เจนกิ้นส์ก็จำใจยอมแพ้ให้กับทั้งสองคน เขาจดปากกาลงบนแผ่นกระดาษและตวัดเพียงสองทีเท่านั้นแล้วจับมันยัดใส่ในตะกร้าเอกสาร

“ถ้าเปลี่ยนใจหละก็เรายังยินดีต้อนรับพวกเธอเสมอ…เอาหละพวกเธอไปได้แล้ว”

ชลชลแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะโค้งให้กับศาสตราจารย์เจนกิ้นส์และหันหลังนำหน้าออกมาจากห้องพักครู เบื้องหลังร่างสูงบางแบบเด็กหนุ่มรุ่นของชลชล วาทยกร ร่างบางซึ่งสูงไล่เลี่ยกันนั้นกวดตามหลังออกมา ทั้งคู่ก้าวยาวๆไปตามทางเดินอันคุ้นเคยของมหาวิทยาลัย แสงสีทองที่เหลือบสีทองแดงแตะแต้มขอบฟ้าอันเป็นภาพลักของช่วงเวลาตะวันจะลานั้นส่องต้องดวงตาแรงกล้าจนต้องยกมือขึ้นป้อง

ร่างสูงบางแบบหนุ่มรุ่นเอ่ยขึ้นมาลอยๆกับแฝดผู้น้องสาวซึ่งเดินตามติดมาด้วยภาษาบ้านเกิดของพวกตน น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเสียแทบที่จะไม่ได้ยิน…

“แบบนี้ดีแล้วแน่เหรอ…วี?” แม้ว่าดวงตาใต้บังมือจะยังคงจับอยู่ที่พระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงทุกขณะนั้นก็ตาม แต่มันมองราวกับว่าเขามองทะลุผ่านมันออกไปไกลกว่านั้นเสียมากกว่า ชลชลนิ่งรอคำตอบของแฝดต่างฝาผู้น้องอย่างใจลอย จนในที่สุด ร่างซึ่งละม้ายกันนั้นก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างและยืดแขนทั้งสองข้างของตนออกพลางเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าเต็มปอด เสียงใสแหลมสูงกว่าตามลักษณะของหญิงสาวเอ่ยตอบเบาๆด้วยภาษาเดียวกันหากแต่น้ำเสียงนั้นชัดเจนสดใสกว่าเสียงทุ้มของหนุ่มผู้เป็นพี่ชาย

“ดีแล้วแน่นอนที่สุด ชล” ปฐวีเอ่ยขึ้นพลางหันไปยิ้มให้กับพี่ชายฝาแฝดของตนอย่างกว้างขวาง



สนามบินดอนเมือง , กรุงเทพ , 2000.

ไม่ว่าขาเข้าหรือขาออก หรือจะภายในหรือภายนอกประเทศก็ตาม กชกรจำต้องยอมรับว่าสนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินที่มีผู้คนคับคั่งและวุ่นวายอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียนี้ไม่แพ้กับสนามบินใหญ่ใดๆในภูมิภาคอื่นๆเลย ทั้งผู้คนที่จะเดินทาง ทั้งที่กลับจากการเดินทางนั้นทำให้สนามบินที่ว่าใหญ่นี้แคบลงไปเลยทีเดียว

ร่างสูงโปร่งที่เรียกได้ว่ามาตรฐานสากลของหนุ่มหล่อมาตรฐานไทยก้าวยาวๆมาตามทางเดินขาเข้าประเทศ หนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงขายาวสีเทา ก้าวยาวๆมาด้วยความเร็ว ดวงตาคมสีน้ำตาลทองกรอบด้วยของตายาวในแบบที่เรียกว่าผู้หญิงบางคนเห็นแล้วยังแอบอิจฉาปนใจละลายนั้นปราดมองหาบางสิ่งในกลุ่มฝูงชนที่มารอรับญาติสนิทมิตรสหายกันแน่นขนัดนั้นอย่างรวดเร็ว

“พี่กร!!! วู้…! ทางนี้ค่ะ” เสียงเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นจากทางด้านปลายสุดของทางออก ร่างเล็กบางของกิตติกานท์ อัศวจากร โบกมือย้อยๆพลางก็โดดตัวลอยร้องเรียกผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้ารื่นเริงสุดฤทธิ์

กชกรเดินตรงไปทางน้อยสาวตัวจ้อยสำหรับเขา หญิงสาววัยรุ่นในชุดเขียวอ่อนกระโดดกอดคอพี่ชายอย่างไม่อายใคร แม้ว่าสายตาหลายคู่จากหญิงสาวในสนามบินบริเวณนั้นจะมองมาด้วยสายตากึ่งหมันไส้กึ่งอิจฉาเล็กๆก็ตาม แต่เมื่อกชกรปล่อยน้องสาวให้ยืนลงบนพื้นแล้วชายหนุ่มก็ส่งมะเหงกให้กับผู้เป็นน้องอายุห่างกันถึงเจ็ดปีดังโป้ก!ใหญ่

“นี่แน่ะเจ้าตัวดี…โตแล้วนะเราหนะจะทำแบบนี้ไปอีกนานขนาดไหนกันฮึยายกานท์” กชกรแสร้งทำท่าทำเสียงเหมือนเอ็ดน้องสาวแต่ความจริงแล้วเป็นการเล่นกันของสองพี่น้องคู่นี้เสียมากกว่า กิตติกานท์ยกมือขึ้นลูบบริเวณที่โดนเขกปอยๆพลางทำตาพองใส่พี่ชายตัวสูงสร้างความขบขันให้กับพี่ชาย

“แหม…ก็คนเขาคิดถึง…พี่กรก็” กิตติกานท์แสร้งทำปากคว่ำพลางบ่นออดๆแอดๆแถมส่ายหัวด๊อกแด๊กเหมือนตุ๊กตาหน้าร้านขนมปังที่คอติดสปริงให้หัวส่ายได้เวลาคนไปโดน กชกรเห็นท่าทางยียวนของน้องสาวแล้วก็อดหมันไส้ไม่ได้ มือใหญ่จึงขยี้หัวคนตัวสูงแค่อกตนจนผมยาวๆยุ่งไปทั้งหัว

“นี่…คิดถึงของฝากนะสิเจ้าจอมยุ่ง…ถอกมาถึงนี่กลัวพี่ลืมของฝากหละสิยายตัวแสบ…”

“อ้า…อย่ามาขยี้หัวเขาสิ!!! โธ่…อุตส่าห์เซ็ตมาหมดสวยเลย” กิตติกานท์ปัดมือพี่ชายออกอจากหัวตนเองพลางยกมือขึ้นสางผมยุ่งให้เข้าทรง พลางแอบค้อนพี่ชายเสียวงโต

“โห อะไรไรกันนี่ อุตส่าห์ทรงเครื่องมารับพี่เลยเหรอเนี่ย…”กชกรแกล้งทำท่าตกอกตกใจยกมือขึ้นทาบอกพลางชักเท้าถอยหลังก้าวแบบในละครทีวีหลังข่าว กิตติกานท์เลยย่นจมูกใส่พี่ชายพลางแลบลิ้นให้แถมอีกแผล็บแน่ะ

“เปล่าสักหน่อย มารับลูกของลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของคุณพ่อต่างหากเล่า พี่กรไม่รู้เพราะไปขลุกทำงานหน้าทิ่มอยู่ที่ซีแอ็ดเทิ้ลอยู่ได้ตั้งหลายเดือน” กิตติกานท์เอ่ยขึ้นพลางยิ้มเยาะอย่างสมน้ำพักตร์พี่ชายตนเอง

“อ้าว…นึกว่ามารับพี่ แล้วไหนหละ ญาติเราที่ว่านะ”กชกรเอ่ยพลางเหลียวมองซ้ายทีขวาที

“อืม ไม่รู้สิที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าค่าตายังไงแต่พ่อบอกว่าเป็นฝาแฝดกันไม่น่าจะหายาก”กิตติกานท์เองก็ทำท่าชะเง้อหาเหมือนกัน

“อ้าว…แล้วเที่ยวบินไหนหละเนี่ยหือ? ก่อนออกจากบ้านมาไม่ได้ถามพ่อเลยเหรอ?” กชกรเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิแต่กลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

“ถาม…เที่ยวบินลอนดอน-กรุงเทพแต่ไม่รู้เที่ยวไหนง่า…”

“อ้าว…!!!” กชกรขมวดคิ้วใส่น้องสาวคราวนี้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ตำหนิทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

“แหม…ก็ไม่เห็นเลยนี่นา พ่อเขาบอกว่าอายุไล่เลี่ยกับกานท์ แต่กานท์ก็เห็นแต่ฝรั่งตัวสูงๆเพรียบไปหมดเลยไม่เห็นเด็กไทยซักคน…” กชกรอยากจะเขกกะโหลกน้องสาวอีกสักป๊อกนัก แต่ไม่ทันได้เงื้อมือเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือของน้องสาวตัวดีกลายเป็นระฆังยกรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด กิตติกานท์ยกมือถือของตนมากดรับก่อนยกขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล พ่อเหรอคะ…อ๋า…ทำไมหละคะ…ขอโทษค่ะก็หนูไม่เห็นนี่คะ…ค่ะ เจอแล้วค่ะ…ค่ะ…”แล้วกิตติกานท์ก็วางโทรศัพท์ไปแล้วหันไปทางพี่ชายก่อนยื่นมือออกไปคว้าแขนใหญ่ของพี่ชาย

“ไป…กลับบ้านกันเถอะค่ะพี่…”

“อ้าว!…แล้ว…” กชกรงงไปเมื่อจู่ๆน้องสาวก็ชวนกลับบ้านเสียดื้อๆอย่างนั้นแหละ

“พ่อโทรมา บอกว่าเขาออกจากสนามบินไปแล้วหละ…”กิตติกานท์ทำสีหน้าเซ็งสุดขีด

“อ้าว!!!”

“ไม่อ้าวแล้ว…กลับบ้าน!!!”ว่าแล้วกิตติกานท์ก็ลากพี่ชายตัวโตเหยงๆไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมาที่พวกตนแม้แต่น้อย



กลางท้องถนนอันคราคั่งด้วยยวดยานการจราจร บวกกับการเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้รถยิ่งติดหนักเข้าไปใหญ่ ชลชลมองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างที่นั่งด้านหลังเยื้องกับคนขับของรถแท็กซี่ที่ทั้งสองโดยสารออกมาด้วยสีหน้าสงบราวรูปสลัก

ปฐวีซึ่งกำลังนั่งฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆแอบเหลือบมองสีหน้าผู้เป็นพี่ชายเกิดก่อนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงของเธออยู่เป็นระยะๆแล้วก็เหลือบไปยิ้มผ่านกระจกส่องหลังให้กับคนขับรถซึ่งเธอเห็นว่าแอบชำเลืองมองพวกตนมาตั้งแต่ออกจากสนามบินแล้ว หญิงสาวออกจะเข้าใจดีว่าการที่คนที่ไม่รู้จักมักจี่มานั่งอยู่ในร่วมกับพวกตนนั้นเป็นเรื่องน่าอึดอัดอย่างมาก เพราะไม่ว่าคนขับแท็กซี่จะชวนชลชลคุยอะไรก็ตามคำตอบอย่างเดียวที่จะได้รับคือความเงียบเฉยของเขานั้นเอง

แฝดสาวเห็นว่าบรรยากาศท่าจะแย่ลงทุกขณะแล้ว จึงตัดสินใจงัดของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลังของตนแล้วยื่นส่งให้กับแฝดพี่

“อ่ะ…เราให้ เราเห็นที่แอร์พอร์ต ถูกดีเลยซื้อมาให้ตัว” ปฐวียื่นถุงพลาสติกยับยู่ไปตรงหน้าชลชลพลางขยับมือดุ๊กดิ๊กให้ของในมือขยับตามด้วยท่าทีกวนประสาทมากกว่าน่ารัก แถมยังยักคิ้วให้อีกแน่ะ

ชลชลละสายตาจากภายนอกมายังของตรงหน้า ก่อนหันไปขมวดคิ้วให้กับแฝดผู้น้องด้วยสีหน้าบอกอารมณ์หงุดหงิดระคนสงสัยก่อนอ้าปากพูดเป็นคำแรกนับตั้งแต่ย่างเท้าขึ้นแท็กซี่

“อะไรหนะ…?” เสียงทุ้มเอ่ยต่ำด้วยน้ำเสียงห้วนบอกอารมณ์ไม่แพ้ใบหน้า

“น่า…เหมาะกับตัวดี เอาไปใส่ซะหน้าตาจะได้ดูน่าคบหา” ว่าแล้วหญิงสาวก็ยื่นห่อนั้นไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก

ชลชลแม้ว่าจะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เขารับของสิ่งนั้นออกมา พอหนุ่มแฝดเห็นของที่อยู่ด้านในคิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ชลชลหกยิงของที่ยอยู่ในห่อออกมาโชว์คนซื้อพลางเลิกคิ้วน้อยๆก่อนปรายหางตาไปทางปฐวีด้วยสีหน้ากวนไม่แพ้กันเท่าไรเลย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปรกติเล็กน้อย

“แว่น?” ชลชลปรายตามองแฝดน้องอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ

“ก็แว่นนะสิ ไม่ใช่หญ้าหรอกน่า…” ปฐวีตอบกลับด้วยสีหน้าเลียนแบบฝ่ายตรงข้างแบบเหมือนเดี๊ยะ

“นี่ ไม่ต้องมาเล่นคำให้ขำหน่อยเลย มุขเนี้ยภาษาไทยไม่ขำหรอกยายเพี้ยน…” ชลชลว่าพลางก็เอาแว่นมากางออกดูรูปทรง แว่นกรอบเงินต้องแสงสีจากภายดูวาววับสะท้อนเห็นแม้แต่ใบหน้าของคนที่ถืออยู่จนชลชลอดนึกเปรียบเทียบกับแว่นตารูปวงรีของศาสตราจารย์เจนกิ้นส์ไม่ได้ พลางก็นึกว่าถ้าใส่แล้วจะเหมือนกับศาสตราจารย์ผู้เฒ่ารึเปล่า ชลชลจึงดึงเชือกผูกป้ายราคาที่ขาแว่นออกแล้วจัดวางมันลงบนหน้าของตนเอง ก่อนหันมาถามน้องสาวคู่ซี้ด้วยทีท่าหยอกล้อ…

“ไง…เหมือนศาสตราจารย์ไหม…” ชลชลว่าพลางก็ทำท่ายักคิ้วเลียนแบบที่ศาสตราจารย์เจนกิ้นส์ชอบทำเวลาสอนอยู่เสมอ ท่านั้นเล่นเอาปฐวีระเบิดหัวเราะก๊ากลั่นคับรถแท็กซี่ไปเลย

“เหมือน…เหมือนสุดๆ ดูดีมาก อย่าถอดนะ แบบนี้แหละดูดีแล้วพวกผู้หญิงเขาจะได้ไม่หาว่าเป็นกะเทยปลอมมาเรียนไง…” ปฐวีอดแซวพี่ชายไม่ได้ถึงตัวจะหัวเราะอยู่ก็ตามทีเถอะ ชลชลเห็นท่าทางหัวเราะงอหงายนั้นก็นึกเหน็บน้องสาวในใจแต่ด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมาหน่อยเลยมีอารมณ์อยากเล่นขึ้นมาบ้าง ชลชลดัดเสียงตนให้สูงปรี๊ดเลียนแบบผู้หญิงพลางทำท่าเท้าสะเอวแล้วโบกมือปัดๆแบบพวกกะเทย

“ต๊าย…อย่าพูดเสียงดังสิยะ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดว่าเดี๊ยนเป็นอะไรมาก่อน…” ท่าพูดกระแดะๆแถมอาการลอยหน้าลอยตาอีกต่างหากนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากน้องสาวได้อีกระลอก งานนี้ชลชลที่เห็นตัวเองผ่านกระจกหน้าต่างรถที่สะท้อนมาพลอยหลุดหัวเราะไปกับท่าทางพิลึกพิลั่นของตนเองไปด้วย

“พอๆ หัวเราะเหนื่อย…นี่ ขอบใจนะ” ชลชลหันไปยิ้มให้กับน้องสาวตัวดีพลางนิ้วเรียวสวยราวลำเทียนของนักเปียโนดีกรีด็อกเตอร์หนุ่มรุ่นก็ชี้ไปที่แว่นบนหน้าของตน ปฐวีทำท่าโค้งเลียนแบบตอนแสดงบนเวทีแม้ว่าจะนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ก็ตามนั้นรับคำขอบคุณของพี่ชายสุดที่รักแบบตั้งใจจะกวนนิดๆ แต่ดันกวนมากๆไปเสียนั่น

“ยัวเวลคัมมายบราเทอร์…” ปฐวีพูดอังกฤษอ่านไทยพลางทำเสียงสูงๆต่ำๆฟังประหลาดใส่พี่ชาย เรียกรอยยิ้มจากชลชลได้อีกครั้งหนึ่ง



“เฮ้อ…”กิตติกานท์นั่นถอนหายใจอยู่หน้าโทรทัศน์จอยักษ์ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ดวงตาคู่สวยใสสีน้ำตาลสวยหวานจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่วางตา บนหน้าจอโทรทัศน์นั่นคือการแสดงดนตรีในรูปแบบDuet นั้นก็คือการแสดงดนตรีคู่ซึ่งมีคนเล่นเพียงแค่สองคนเท่านั้น เป็นนักเปียโนชายซึ่งกำลังโยกอยู่หน้าแกรนด์เปียโนสีดำตัวยักษ์กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งสีไวโอลินอยู่ข้างๆ กชกรซึ่งขึ้นมาตามน้องสาวคนสวยลงไปทานอาหารเช้าตามคำสั่งพระมารดาที่เคารพนั้นขึ้นมาเห็นหญิงสาวกำลังถอนหายใจพอดิบพอดี

“ไงยายกานท์…ทำเงินหายกี่ล้านจ๊ะน้องสาวพี่ ถอนใจเสียบ้านหายไปทั้งหลังเลย” พี่ชายจอมกวนตัวใหญ่แซวน้องสาวอย่างขำขันในท่าทางของน้องสาว หนุ่มร่างสูงใหญ่เอนพิงขอบประตูพลางยกมือขึ้นปิดปากขำน้อยสาวคนสวย ที่ตอนนี้หันมาค้อนควับให้วงโต

“บ้า! พี่กรน่ะมาแซวกานท์…กานท์กำลังดื่มด่ำกับเสียงเพลงอยู่หรอกค่ะไม่ได้ทำเงินหายสักหน่อย…” ว่าแล้วกิตติกานท์ก็หันมาค้อนให้พี่ชายตัวเองอีกควับ เรียกเสียงหัวเราะให้กับกชกรอีกระลอก ก่อนที่จะหันไปนั่งทำตาหวานใส่โทรทัศน์ต่ออย่างไม่สนใจพี่ชายจอมกวนอีกต่อไปว่ามาทำไม

“เฮ้อ…เท่ห์สุดๆเลย” กิตติกานท์พึมพำออกมากลางถอนหายใจอีกเฮือก

“นั่งดูอะไรอยู่นะหือ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะยายกานท์…” กชกรเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจเมื่อเห็นว่าน้องสาวมีทีท่าตั้งอกตั้งใจจ้องมองดูโทรทัศน์อยู่ได้เป็นหลายนานแล้ว

“ก็ดูคอนเสิร์ตของChal-Veeนะสิพี่ไม่รู้จักเหรอ เนี่ยเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายด้วยนะ แหม…น่าเสียดายชะมัดเลยเพิ่งจะ18แท้ๆ…” กิตติกานท์เอ่ยน้ำเสียงหงอยๆพลางก็ทำตาละห้อยมองตังไปยังสองร่างบนเวทีในจอโทรทัศน์

“อะไร…เป็นอะไรตายเหรอ?” กชกรเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะน้อยนักที่เขาจะเห็นน้องสาวสุดที่รักสนใจอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องเป็นราวอย่างดนตรีคลาสสิกแบบนี้

“บ้า! พี่กรมาแช่งChalของกานท์ยังไม่ตายสักหน่อย เขาอำลาวงการต่างหากเล่าเนี่ย เป็นคอนเสิร์ตอำลาวงการของChal-Veeเมื่อตอนปลายปีที่แล้วนี้ต่างหาก…” กิตติกานท์หันมาแฟดๆใส่พี่ชายซึ่งนั่งทำหน้าซื่ออยู่ข้างๆแล้วในตอนนี้

“อ้าว…ก็พี่ไม่รู้นี่ คนไม่รู้ไม่ผิดนา…รายการโทรทัศน์เหรอนั่น?” กชกรเปลี่ยนมาเอ่ยถามขึ้นมาเสียดื้อๆทำให้คนที่บ่นแฟดๆอยู่นั้นเปลี่ยนท่าทีไปเช่นกัน

“เปล่า…เป็นเทปนะค่ะ…”กิตติกานท์เอ่ยตอบแต่ตากลับมองโทรทัศน์ไม่ได้สนใจพี่ชายเลยสักนิด

“อย่างนั้นก็ปิดค้างแล้วลงไปทานข้างก่อนเถอะ เป็นท่านแม่ที่เคารพรักสุดสวาทขาดใจของพวกเราจะงอนให้โทษฐานลงไปทานข้าวช้า…” ว่าแล้วกชกรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินนำออกไปก่อนเสียอย่างนั้น ปล่อยให้น้องสาวรีบกุลีกุจอปิดวีดิโอโทรทัศน์ง่วนแล้ววิ่งตามลงมาหน้าตั้งเพราะรู้เดชแม่ตอนงอนดีว่าน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน

มื้อเช้าที่ไม่ได้พร้อมหน้าพร้อมตากันมากว่าเดือนเต็มๆ เช้านี้จึงค่อนข้างครึกครื้นด้วยเสียงหัวเราะร่วนและเสียงทุ้มของกชกรที่เล่าเรื่องราวตลกขบขันด้วยสีหน้าสดใสถึงเหตุการณ์ที่เขาไปประสบมาเมื่อทำงานที่ซีแอ็ดเทิล เนื่องด้วยธุรกิจของกชกรในต่างประเทศขณะนี้ไปได้สวยเป็นอันมากชายหนุ่มจึงมีงานล้นมือเรียกได้ว่าแทบที่จะหาเวลาว่างพักหายใจสักสองนาที่ก็ยังไม่มี การเดินทางกลับมาครั้งนี้ก็ด้วยธุรกิจอีกนั้นแหละ แต่ถึงจะยุ่งจนแทบจะหาเวลานอนก็ไม่ได้ถึงเพียงไรก็ตาม กชกรยามอยู่กับครอบครัวแล้วนั้นเขายอมละวางเรื่องยุ่งยากต่างๆพักเอาไว้ก่อนแล้วทุ่มเทเวลานั้นให้กับครอบครัวที่รักทั้งหมด

“พี่กร…กานท์อยากเรียนเปียโนใหม่หนะนะ ขอกานท์เรียนนะคะ…” กิตติกานท์หันไปอ้อนพี่ชายเสียงใสพลางทำหน้าตาน่ารักใส่ผู้เป็นพี่ซึ่งนั่นก็ดูน่าหมันไส้เสียมากกว่าน่ารัก กชกรขำกับการกระทำเพี้ยนๆของน้องสาวของตัวคนนี้และก็อดเสียไม่ได้ที่จะต้องใจอ่อนเสียทุกครั้งไปสิน่า

“แน่ะ นี่แสดงว่าอ้อนพ่อกับแม่ไม่สำเร็จใช่ไหมหละถึงได้มาอ้อนพี่เนี่ย หือ?ยายกานท์” กชกรจับหัวยายน้องสาวโยกเล่นอย่างเอ็นดู กิตติกานท์นั้นยิ้มให้พี่ชายอย่างซุกซน

“แหม…เกลียดคนรู้ทันจัง…แสดงว่าอนุมัติใช่ไหมคะพี่ชายที่รัก…” กิตติกานท์ยิ้มพลางเอียงหัวแล้วทำตาโตใส่พี่ชายด้วยท่าทางกวนๆแต่ก็เรียกเสียงฮาได้ทุกครั้ง

“อยากเรียนก็เรียนสิ มันก็เป็นประโยชน์ออกนะ…” กชกรไม่ทันพูดจบประโยคกิตติกานท์ก็ร้องเฮขัดขึ้นมาอย่างยินดีเสียก่อนแล้ว

“เย้!...พี่กรใจดีที่สุดในโลกเลย” กิตติกานท์โผเข้ากอดพี่ชายที่รักเข้าเต็มรักรัดคอเอาไว้แน่นจนกชกรต้องรีบแกะตัวน้องสาวออกเพื่อเอาอากาศหายใจก่อนเอ่ยขัดความดีใจออกนอกหน้าด้วยข้อแม้เสียก่อน

“เดี๋ยวๆ…แต่พี่มีข้อแม้นะยายกานท์ ว่าเธอต้องเรียนให้จบคอร์สด้วย โดยไม่มีการมานั่งบ่นว่าไม่สนุกไม่เรียนแล้ว…ตกลงไหม?” ในเวลาแบบนี้นั้นในความคิดของหญิงสาวนั้น ข้อแม้นี้มันช่างง่ายนิดเดียว กิตติกานท์รีบตอบรับข้อแม้อย่างกระตือรือร้นโดยไม่หยุดคิดเสียก่อนเลยด้วยซ้ำ

“ค่ะ สบายมาก…ตกลงเลย” กิตติกานท์ร้องตอบออกมาเสียงใสเลยทีเดียว

“ถ้าผิดคำพูดพี่จะให้พ่อหักค่าขนมหนึ่งปีนะ…” กชกรพูดดัก แต่กิตติกานท์ในตอนนี้สมใจแล้วก็ไม่คิดอะไรให้มากเรื่องอีก

“ค่ะ…ตกลง ไปสมัครกับกานท์วันนี้เลยนะคะนะ พี่กร” กิตติกานท์เอ่ยเร่งแต่ท่าคุณเธอจะไปเสียเดียวนี้แล้ว

“จ้าๆ แต่ขอพี่แวะไปที่บริษัทก่อนนะ” กชกรเอ่ยเรียบๆด้วยหน้ายิ้มๆแบบที่เคย

“ค่ะ อย่างนั้นกานท์ไปแต่งตัวนะ” พูดจบปุ๊บกิตติกานท์ก็เผ่นแว้บหายไปในทันที

“แหม…ตากรนี่ ตามใจน้องมากเกินไปแล้วรู้ไหมเรานี่…” นุชนาถหันไปเอ็ดลูกชายคนโต กชกรทำกรอกตาเป็นวงรอบแล้วหันไปขยิบตาให้กับผู้เป็นพ่ออย่างรู้กัน

“อ้อ…จริงสิ ผมก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อเหมือนกัน ไปก่อนนะครับแม่” ว่าแล้วกชกรก็เผ่นหายแวบไปอีกคน ปล่อยให้คุณนายนุชนาถกระฟัดกระเฟียดใส่ผู้เป็นสามี

“ดูสิคะคุณ ลูกๆพวกนี้เนี่ย!”

“จ้า…ก็มีกันอยู่พวกเดียวนี่แหละจ้าแม่ อ๊ะ พ่อก็ติด…ต้องไปดูบอล ไปก่อนนะจ๊ะ” ว่าจบโชติวัจน์ก็เผ่นหายออกมาอีกคนปล่อยให้นุชนาถนั่งครืนๆอยู่คนเดียวตามอัธยาศัย



Create Date : 04 มกราคม 2550
Last Update : 4 มกราคม 2550 11:00:28 น. 0 comments
Counter : 211 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ArTimuS
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket


นิยายอัพเดท...Photobucket

-ปฏิบัติการหักร้างถางรักPhotobucket
เรื่องราวความรัก แนวโรแมนติกดราม่า ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งเลิกลากันไป แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็กลับมาเพื่อขอเคียงคู่เธออีกครั้ง ความรักแสนเศร้าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนิยายรักพลาดได้นะคะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-คีตคิมหันต์ Photobucket
ภาคต่อจากเรื่องลำนำเหมันต์ เมื่อคุณพ่อคนเก่งลงโทษคุณลูกตัวแสบให้ออกติดตามหาวิหคศักดิ์สิทธิ์จนนำไคเมร่าหนุ่มไปยังโลกมนุษย์จนได้พบกับเด็กสาวผู้อาภัพและเหตุการณ์เหนือความคาดฝัน นิยายแฟนตาซีโรแมนติกที่แฟนนิยายมกราไม่ควรพลาดค่ะ (อัพเดทใหม่ล่าสุดค่ะ)

-Love Happening
เรื่องสั้นของสองหนุ่มสาว และความไม่เข้าใจกัน อุปสรรค และมนต์เสน่ห์แห่งเทศกาล (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)Photobucket

-Pretty Doll
เรื่องสาวผู้น่ารักของเมทสาวกับนายหนุ่มจอมเสเพลที่เก็บเธอมาเลี้ยง เรื่องรักกุ๊กกิ๊กแนวโรแมนซ์แสนฮาเฮ (น่าเสียดายที่ห้องนี้บังเอิญล็อคเพราะเนื้อหาบางตอนไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชน แต่ถ้าสนใจและอายุไม่ต่ำกว่า18 สามารถขอพาสเวิร์ดได้โดยการส่งอีเมลมายัง จขบ. หรือหลังไมค์มาก็ได้นะคะ)PhotobucketPhotobucket

- Love in Rain
รวมเรื่องสั้นของเจ้าของบ้าน เรื่องราวความรัก และสายฝนอันชุ่มฉ่ำ



Photobucket
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ArTimuS's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.