ผมเป็นหมาครับ

สมองเสื่อมเป็นฉันใด

โรคสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อม คืออะไร ?
ในคนปกติเมื่ออายุมากขึ้น จะเริ่มเกิดความเสื่อมของ อวัยวะต่างๆ สมองก็เช่นกัน ย่อมเกิดความเสื่อมได้แต่จะเกิดในวัยที่เหมาะสม และ ไม่เกิดก่อนวัยอันควร หากเกิดการเสื่อมของสมองก่อนวัยอันควร จะเกิดอาการที่บ่งให้เห็นถึงความผิดปกติของสมองชัดเจน และ ถ้าอาการเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย และ บุคคลรอบข้าง เราเรียกภาวะเหล่านี้ว่า “โรคสมองเสื่อม (Dementia)”
โรคสมองเสื่อมมีอาการอย่างไร ?
อาการนำของโรคสมองเสื่อม คือ อาการความจำผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืมเพียงเล็กน้อยในช่วงแรกๆ เช่น ลืมของ ลืมชื่อคนรู้จัก ลืมวันเวลา หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา อาการจะหนักขึ้น จะหลงลืมมากขึ้น ผู้ป่วยบางคนถึงขนาดที่ จำที่อยู่ไม่ได้ จำคนใกล้ชิดไม่ได้ จำลูกไม่ได้ จำชื่อตนเองไม่ได้ และ แม้แต่กิจวัตรประจำวันที่เคยทำได้เอง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ทานข้าว ก็อาจลืม จนทำไม่ได้เอง ซึ่งเมื่อสมองถูกทำลายมาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของ พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป กลางคืนไม่นอน เดินไปมา อารมณ์ฉุนเฉียว ความต้องการทางเพศมาก ประสาทหลอน หวาดระแวง จนถึงขั้นเป็นโรคจิตได้
สาเหตุของโรคสมองเสื่อม ?
คือ สาเหตุที่ทำลายโครงสร้างสมองถาวรจนสมองเสื่อม และ ทำให้การทำงานของสมองผิดปกติไป สาเหตุของโรคสมองเสื่อม ได้แก่
1. -การเสื่อมของสมองก่อนวัยอันควรเนื่องจาก หน่วยพันธุกรรม(Gene) ในร่างกาย สร้างสารที่ทำให้สมองเสื่อม ดังเช่นใน สมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s type), สมองเสื่อมที่เกิดตามโรคพาร์กินสัน (Parkinson,s disease) เป็นต้น
2. -การเสื่อมของสมองก่อนวัยอันควรเนื่องจาก โรคหลอดเลือดสมอง(Stroke) พบในผู้ป่วยที่เป็น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และ เบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ง่าย
3. -การติดเชื้อเรื้อรังบางชนิด เช่น การติดเชื้อซิฟิลิซ (Syphilis), การติดเชื้อไวรัส HIV, การติดเชื้อโรควัวบ้า, การติดเชื้อแบคทีเรีย และ เชื้อราบางชนิด ที่ส่งผลต่อสมอง
4. -การขาดสารอาหารเช่น การขาดวิตามิน B1 การขาดวิตามิน B12 เป็นต้น
5. -การใช้สารเสพติดที่ทำลายสมองโดยตรง เช่น สุรา สารระเหย เป็นต้น
6. -การได้รับบาดเจ็บที่สมองโดยตรง เช่น ศีรษะถูกกระทบกระเทือนรุนแรงจนเกิดการบาดเจ็บที่สมอง ซึ่งพบบ่อยในผู้ที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ และ นักมวย
7. -อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิต้านทานทำลายตนเอง (Autoimmune disease), เนื้องอกในสมอง และ โรคทางระบบฮอร์โมนบางชนิดเช่น ภาวะฮอร์โมนธัยรอยด์ต่ำ เป็นต้น

รักษาอย่างไร ?
เนื่องจากโรคสมองเสื่อมมีสาเหตุต่างกัน ดังนั้นการรักษาโรคสมองเสื่อม ต้องรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายของเนื้อสมองจนสมองเสื่อมก่อนที่เนื้อสมองจะถูกทำลายมากจนไม่สามารถกลับฟื้นคืนได้เลย สาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายของเนื้อสมองที่รักษาได้ ได้แก่ โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากภาวะฮอร์โมนธัยรอยด์ต่ำ โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากเนื้องอกไม่ร้ายแรงในสมองบางชนิด โรคสมองเสื่อมจากการติดเชื้อซิฟิลิซ โรคสมองเสื่อมจากการขาดสารอาหาร เป็นต้น ซึ่งหากรักษาสาเหตุได้ก็จะหยุดการทำลายเนื้อสมองได้ ทำให้อาการของโรคไม่แย่ลงเร็ว และ บางรายสามารถดีขึ้นได้เอง ขึ้นอยู่กับสภาพสมองขณะที่มาพบแพทย์ แต่หากสาเหตุของโรคนั้นรักษาไม่ได้ การรักษาจะใช้ยาเพื่อชะลอความเสื่อมของสมองเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบัน ยาเหล่านั้นสามารถใช้กับสมองเสื่อมที่เกิดจากพันธุกรรม เช่น สมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s type) และ สมองเสื่อมที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองเท่านั้น นอกจากยาที่ใช้ในการชะลอสมองเสื่อมแล้ว ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับยาเพื่อควบคุมอาการอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น อาการก้าวร้าว อาการโรคจิต อาการย้ำคิดย้ำทำ และ อารมณ์ทางเพศมากผิดปกติ เป็นต้น
ส่วนการรักษาอื่นๆ ที่ต้องทำร่วมไปกับการใช้ยา และ การรักษาสาเหตุนั้น ได้แก่ การจัดการกิจวัตรประจำวันให้ผู้ป่วย การจัดการสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยให้ผู้ป่วย รวมไปถึงการประเมินความเครียด และ สภาวะทางจิตใจของผู้ป่วย และ ผู้ดูแล เนื่องจากผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมนั้นต้องเผชิญอาการของผู้ป่วยตลอด ซึ่งบางครั้งอาการของผู้ป่วยไม่อาจคาดเดาได้ ส่งผลให้ผู้ดูแลมีความเครียด ดังนั้นการเข้าใจ เห็นใจ และ การให้การประเมินผู้ที่ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมร่วมไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
การรักษาผู้ป่วยสมองเสื่อมนั้น หากตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว ก็สามารถที่จะชะลอความเสื่อมของผู้ป่วยได้มาก และ สามารถที่จะลดค่าใช้จ่าย และ ความยากลำบากของผู้ดูแลได้มาก แต่หากมารักษาช้า การทำลายเนื้อสมองอาจเกิดรุนแรงถาวรจนรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ดังนั้น หากบุคคลใกล้ชิดของท่านมีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัย และ การรักษาที่เหมาะสมต่อไป




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2550   
Last Update : 15 สิงหาคม 2550 9:38:35 น.   
Counter : 452 Pageviews.  

ความรู้ด้านจิตเวช 1

เห็นมีคนสนใจเรื่องทางจิตเวชมาก
ขอถามตอบ เพื่อสร้างความเข้าใจทางจิตเวช ครับ

1-ถาม-อาการป่วยทางจิตเวชทุกรายคือ “บ้า” ใช่หรือไม่
ตอบ-ไม่ใช่ อาการป่วยทางจิตเวชไม่ใช่ทุกราย ที่มีอาการบ้า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อาการป่วยทางจิตเวชมีหลายชนิด ได้แก่ โรคจิต โรคอารมณ์แปรปรวน โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคเครียดที่เกิดจากสถานการณ์ร้ายแรงในชีวิต โรคปรับตัวผิดปกติ บุคลิกภาพบกพร่อง ฯลฯ
ส่วนอาการที่เรียกว่าอาการบ้านั้น จะเข้าได้กับอาการโรคจิต แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่า โรคทางจิตเวชทั้งหมด คือ “บ้า”
สรุป อาการบ้า เป็น subset ของ อาการโรคจิต และ โรคจิต เป็น subset ของ โรคทางจิตเวชซึ่งมีหลายร้อยโรค

2-ถาม-งั้นโรคจิตคืออะไร
ตอบ-โรคจิต ไม่ใช่คนที่ทำในสิ่งน่ารังเกียจ เช่น แอบดูผู้หญิงอาบน้ำ หรือ โชว์อวัยวะเพศ พวกนี้เราเรียกว่า โรคกามวิปริต และ โรคจิตไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี ที่เราเรียกว่า สัน...ดาน
คนที่เป็นโรคจิต จะมีอาการดังนี้
1) ประสาทสัมผัสหลอน เช่น ได้ยินเสียงคนที่ตายไปแล้ว ได้ยินเสียงกระแสจิต หรือเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น ได้กลิ่นที่คนอื่นไม่ได้กิน และอาการเหล่านี้เป็นบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน
2) หลงผิดอย่างรุนแรง เช่นคิดว่ามีคนจะมาฆ่า ทั้งที่จริงๆไม่มี หรือคิดว่าตัวเอง เป็นพระเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือคิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวจับตนไปฝังเครื่องส่งสัญญาณโดยที่ไม่มีเหตุผลที่ฟังแล้วเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือ
3) พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ถ้าในช่วงแรกจะสังเกตได้ยาก ต้องเป็นคนใกล้ชิดเท่านั้น ที่พอทราบ แต่ช่วงหลังจะเปลี่ยนหนัก เช่น ไม่หลับไม่นอนไม่กินข้าวปลา เดินทั้งคืน พูดคนเดียว

3-ถาม-งั้นสาเหตุของโรคจิตล่ะ
ตอบ- สาเหตุมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมองเช่นถูกกระทบกระเทือนสมอง การใช้สารเสพติด เช่น ดมกาว ยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี ยาลดความอ้วนบางประเภท กัญชา หรือ แม้แต่สุรา หรือเป็นจากสารพันธุกรรม(มักเริ่มมีอาการในช่วงวัยรุ่น) โดยพบว่า ในคน 100 คน จะพบ คนเป็นโรคจิต ประมาณ 3-4 คน โดยในนั้นโรคจิตที่พบบ่อยที่สุด คือ “โรคจิตเภท” (ไม่ใช่จิตเวชนะครับ) ในคน 100 คน พบได้ 1 คน
สรุป โรค จิตเภท เป็น Subset ของ โรคจิต และ โรคจิต เป็น subset ของ โรคทางจิตเวช

4-ถาม-แล้วรักษาอย่างไร
ตอบ- ทางการแพทย์พบว่าคนเป็นโรคจิต มีสารเคมีชื่อ Dopamine ในสมองที่สูงผิดปกติ การรักษาจึงเป็นการใช้ยาปรับสมดุลในสมอง ซึ่งถ้าไม่รักษาปล่อยให้สารตัวนี้สูงผิดปกติไปนานนาน สิ่งที่ตามมาคือการทำลายเนื้อสมองถาวร และ ผู้ป่วยจะไม่กลับคืนปกติ ดังเช่นที่เห็นในผู้ป่วยบางรายที่ญาติคิดว่าผีเข้า ไม่พามารักษา ไปรักษาหมอผี หมดเงินเป็นแสน กว่าจะมาพบแพทย์ก็สายเกิน ไม่สามารถเหมือนเดิมได้ หรือคนที่ใช้สารเสพติดนานๆ สมองถูกทำลายไปมาก ก็ไม่สามารถกลับปกติได้ ส่วนใหญ่หมอจะไม่หักล้างความเชื่อ แต่ถ้าญาติอยากรักษาทางไสยศาสตร์ ก็จะขอร้องให้รักษาทางยาด้วย เนื่องจากถ้าปล่อยไป เราก็จะเห็นคนที่เป็นโรคจิตที่รักษายากเกินเยียวยาเต็มท้องถนน
ลองคิดกันง่ายๆว่า ทุกๆ 100 คน จะมี 1คน ที่เป็นโรคจิตเภท ดังนั้น 60 ล้านคน จะมีโรคจิตเภทกี่คน มีที่มารักษากี่คน และ รักษาบ้างไม่รักษาบ้างกี่คน ในจำนวนนี้มีคนที่มีใบขับขี่กี่คน

5-ถาม-ทำไมรัฐไม่เก็บคนโรคจิตเข้าโรงพยาบาลจิตเวชให้หมด จะได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคนอื่น
ตอบ-คนที่เป็นโรคจิต ที่ก่อคดีหรือความรุนแรง คิดเป็น %น้อยมาก เมื่อเทียบกับ คนทั่วไป แต่เวลาก่อคดี จะทำพฤติกรรมแปลกประหลาด จึงมักดังลงข่าว เช่น โดยหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง เช่น “ลูกทรพีเอาขวานจามหัวพ่อตัวเอง” และ
ดังกล่าวแล้วว่า โรคจิตพบได้ ประมาณ 3% (ในจำนวนนี้เป็นโรคจิตเภท 1%) ดังนั้นถ้าเอารวมกับโรคทางจิตเวชอื่นๆ ที่พบในประชากรทั่วไป จะมีดังนี้
ลองคิดเล่นๆจะมีผู้ป่วยทางจิตเวชเท่าไหร่
โรคจิตเวชที่พบส่วนใหญ่ = โรคจิต 3 %( ประมาณ 1 ล้าน 8 แสนคน) +โรควิตกกังวล 3-5% (ประมาณ 2-3 ล้านคน) + โรคซึมเศร้า 15% (ประมาณ 9 ล้านคน)
ดังนั้นคำตอบว่าทำไมรัฐปล่อยให้คนไข้โรคจิตมาเดินเพ่นพ่าน คำตอบอยู่ด้านบน ส่วนคำถามคือ ตรงนี้จะเอาใครที่ไหน มาเลี้ยงดูคนเป็นล้าน ถ้าคิดแค่โรคทางจิตเวช กลุ่มโรคจิตอย่างเดียว ก็ล้านแปด ขณะที่ ทั่วประเทศ มีหมอจิตเวช แค่ 300 กว่าคน โรงพยาบาลจิตเวชมีแค่ 13 โรง แต่ละโรงตอนนี้ก็อัดกันเหมือน โรงฆ่าหมู บางรพ.พยาบาลในตึกมีอยู่สองคน ต้องดูคนไข้ 60 คน บุคลากรที่ทำงานจิตเวช น้อยมาก เนื่องจากไม่มีใครอยากทำงาน บางครั้งก็ถูกข่าวลือ เช่นว่า -รพ.ทำให้คนเป็นบ้า –มีการจ่ายยาให้คนไข้เป็นบ้า –เลี้ยงไข้ –โรงพยาบาลบ้าเจ้าหน้าที่ก็ต้องบ้า –โรงพยาบาลบ้าทุบตีคนไข้ –โรงพยาบาลบ้าซูเอี๋ยกับญาติเพื่อปรักปรำคนไข้ –โรงพยาบาลบ้ารับเงินจากคนรวยเพื่อบอกว่าคนนี้บ้าจะได้พ้นผิดจากคดีเป็นต้น
คำตอบอื่นๆอยู่ที่ญาติว่าจะพามาหาหมอหรือไม่ ญาติบางคนเลือกพาคนไข้ไปหาหมอผี มากกว่าจะพามาหา จิตแพทย์ เพราะกลัวเจอคนรู้จัก กลัวอับอาย “ปิดบังข้อมูล ว่าผู้ป่วยไม่เคยป่วยจิต” (ทั้งที่กินยาอยู่ทุกวันเพื่อให้อาการปกติ) ผู้ป่วยบางคนก็อับอายไม่กล้าบอกใครว่าตนป่วย ผู้ป่วยจิตเวชในสังคม จึงเดินปะปนกับคนทั่วไปไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเขาป่วย ถ้าได้รับการรักษาอย่างดี “ซึ่งผู้ป่วยจิตเวชส่วนมากไม่ใช่คนไม่ดี แต่เขาป่วย” แต่มักถูกผู้ป่วยส่วนน้อยที่ไม่ดี ทำให้เขาถูกสังคมรังเกียจ
ดังนั้นใครจะมาหาหมอล่ะครับ ใครจะบอกคนอื่นล่ะครับ ว่าเคยไปศรีธัญญา ใครขอใบรับรองแพทย์ไปทำใบขับขี่แล้วจะบอกล่ะครับ ว่าเคยเป็นโรคจิต
แล้วหมอมีสิทธิ์หรือครับ ที่จะจับผู้ป่วยทางจิตทุกคนเข้ามาขังในรพ. ต่อให้เลือกเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงเข้ามาขัง ก็ที่ไม่พออยู่ดี
-แล้วญาติจะยอมหรือครับ - คนไข้จะยอมหรือครับ เขาก็อ้างได้ว่าตอนนี้เขาคุมตัวเองได้ ถ้าหมอบังคับเขา หมอต้องโดนข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ถ้าญาติและคนไข้ไม่ยอม หมอก็ทำอะไรไม่ได้ เรียกว่า ให้นอนรพ.ก็โดน ปล่อยไปก็ซวย ดังนั้นหมอจิตแพทย์จึงน้อยมาก

6-ถาม-อ้าวก็เห็นมีคณะจิตวิทยา เปิดกันโครมๆทำไมจิตแพทย์ถึงขาดหล่ะ
ตอบ- จิตแพทย์ คือแพทย์ที่เรียนจบหกปี ได้เป็นแพทย์ทั่วไป ไปใช้ทุนหาประสบการณ์ หรือไม่ก็ได้ แล้วก็มาเรียนต่อเฉพาะด้านเหมือนศัลยกรรม หรือ สูติกรรม อีก 3 ปี รวมๆ การจะเป็นจิตแพทย์ จะต้องใช้เวลาประมาณ 9-12 ปี
ขณะที่คณะจิตวิทยา จะผลิตบัณฑิต ตามหลักสูตร 4 ปี จบมาเป็นนักจิตวิทยา ซึ่งจะจ่ายยารักษาโรคทางจิตไม่ได้ และไม่ได้เรียนรู้เรื่องโรคทางสมอง ที่มีผลต่อทางจิต

7-ถาม-แล้วโรคจิตแบบไหนที่ทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ
-ตอบ-ตามมาตรา 65 นั้น จะศาลจะลดหย่อนโทษให้ได้ในกรณีที่จำเลยมี ภาวะวิกลจริต จิตบกพร่อง หรือ จิตฟั่นเฟือน ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องรับโทษหากขณะที่กระทำความผิด ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
-วิกลจริต=โรคจิต
-จิตบกพร่อง= ปัญญาอ่อน
-จิตฟั่นเฟือน= โรคอารมณ์แปรปรวน
แต่ “หากขณะที่กระทำความผิดยังรู้ผิดชอบ ต้องรับโทษครับ” ซึ่งตรงนี้ ไม่มีหมอคนไหนกล้าฟันธงว่า ขณะที่ทำความผิดจำเลยรู้ผิดชอบไหม เนื่องจากหมอไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และไม่ใช่หน้าที่หมอที่จะบอกได้ หมอแค่บอกได้ว่าป่วยหรือไม่ป่วย ที่เหลือศาลท่านต้องพิสูจน์ตามหลักฐานว่าจำเลยรู้ผิดชอบไหม

ดังนั้นการป่วยทางจิตไม่ใช่เหตุละเว้นโทษ แต่การไม่รู้ผิดชอบชั่วดีขณะที่ทำเป็นเหตุละเว้นโทษ ซึ่งต้องอาศัยหลักฐานหลายอย่างพิสูจน์ และขึ้นอยู่กับศาล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหมอครับ

8- ถาม-ทำไมหมอไม่ห้ามคนเป็นโรคจิต ขับรถ ไม่ห้ามคนเป็นโรคจิตถือมีด ไม่ห้ามคนเป็นโรคจิต ทำอะไรที่อันตราย
-ตอบ- ทำไมหมอจะไม่ห้ามครับ แต่มีกฎหมายให้ห้ามได้เหรอครับ สมมติคุณเป็นเบาหวาน หมอบอกไม่ให้คุณกินเป๊ปซี่ หมอห้าม แล้วคุณทำตามได้ไหมครับ หมอบอกให้มากินยาฆ่าเชื้อจนหมด คุณทำตามได้ไหมครับ หมอบอกให้มารักษาต่อเนื่อง แล้วมากันทุกคนไหมครับ

9-ถาม-ขาดสติยังรู้ตัวไหม ยังรู้ผิดชอบไหม
ตอบ- ขาดสติ ยังรู้ตัวครับ เพราะยังเหลือสติอยู่บางส่วน
แต่ ไร้สติ หมดสติ นั้น ไม่รู้ตัวครับ
ส่วนเสียสตินั้น อาจรู้บ้าง ไม่รู้บ้างครับ เพราะมันเสียไป เหมือนคอมติดไวรัส ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ดังนั้นความเห็นผม ขาดสติ ยังรู้ตัวบางส่วน คุมตนเองได้บางส่วน ดังนั้นถ้าทำผิดต้องรับโทษครับ

10-ถาม- คนป่วยจิต ทำไมเรียนได้ ขับรถได้ ทำงานได้
ตอบ-เหมือนกรณีคุณหมอประกิตเผ่าครับ ยังสอนหนังสือได้ คนป่วยจิตหลายคนเป็นนักการเมือง เป็นครูบาอาจารย์ เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นหมอ เป็นวิศว เป็นทนายความ ไม่ใช่ว่าคนป่วยโรคทางจิตเวชทุกคนต้องออกมาแต่งชุดลิเกเต้นรำนะครับ หรือพูดจาไม่รู้เรื่องนะครับ คนป่วยจิตเวชที่เกือบจะฆ่าเมียยังเคยได้รับรางวัลโนเบลเลยครับ




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 17 กรกฎาคม 2550 10:25:16 น.   
Counter : 323 Pageviews.  

โอ๊ย….เครียด (ภาค 2 วิธีคลายเครียด)

ครั้งที่แล้วเราได้กล่าวถึงสาเหตุและผลของความเครียดกันไปแล้ว ครั้งนี้ขออนุญาตกล่าวต่อถึงวิธีคลายเครียดกันครับ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ความเครียดเกิดได้จากทั้งสาเหตุทางกายและทางใจ ดังนั้นผู้ที่จะขจัดหรือคลายความเครียดนั้น ย่อมต้องรู้ก่อนว่าตนเครียดหรือไม่และเครียดจากสาเหตุใด เพราะถ้าไม่รู้เหตุก็คงไม่อาจแก้ปัญหาได้ เช่นเดียวกับหลักการของพุทธศาสนาที่ให้รู้ทุกข์แล้วจึงให้หาเหตุแห่งทุกข์ จากนั้นค่อยตามด้วยวิธีดับทุกข์ ในกรณีนี้ความเครียดก็คือทุกข์อย่างหนึ่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเครียดแล้ว

ดังที่ได้กล่าวไปครั้งที่แล้วว่าความเครียดทำให้เกิดผลได้หลายอย่าง การจะรู้ว่าเครียดได้นั้นจึงต้องฝึกที่จะมีสติรู้เท่าทันตนเองตลอดว่าตอนนี้ตนเองเป็นเช่นไรใจคอและร่างกายเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ทันที บางคนแม้จะมีปัญหารบกวนจิตใจหลายเรื่องจนเกิดผลเสียต่อร่างกายและจิตใจแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ยอมรับ และ บอกตนเองว่าไม่ได้เครียด การยอมรับว่าตนเครียดไม่ใช่เรื่องอ่อนแอหรือน่าอายแต่เป็นความเข้มแข็งในการต่อสู้กับปัญหาที่เข้ามาโดยไม่ได้หลบเลี่ยงมันถึงจุดนี้ขอสรุปวิธีคลายเครียดขั้นที่ 1 คือ " รู้สติและยอมรับความเครียดที่เกิด"

ขั้นต่อมา เมื่อรู้ว่าเครียดก็ต้องหาเหตุ (ซึ่งเข้าได้กับหลักวิทยาศาสตร์ และ เข้าได้กับหลักพุทธศาสนาของเรา) เหตุนั้นจะเป็นทางกายหรือทางใจก็ได้ ถ้าเป็นทางกายเช่นทำงานหนักก็ต้องพักผ่อน ตากแดดนานๆ ก็ต้องเข้าร่มเงาบ้าง ซึ่งไม่ยากแต่ถ้าเป็นทางใจจะทำเช่นไร อันว่าเหตุของความเครียดทางใจนั้น มนุษย์เราส่วนใหญ่มักโทษว่าเกิดจากผู้อื่น เกิดจากสิ่งแวดล้อม แล้วก็พยายามหาทางเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมนั้น แม้บางครั้งก็รู้ว่าเปลี่ยนไม่ได้ ผู้เขียนขอแจ้งให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงตัวเราเองนั้นว่ายากยิ่งแล้วแต่การเปลี่ยนแปลงผู้อื่นนั้นยากยิ่งกว่า ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าสาเหตุของความทุกข์นั้นเกิดจากผู้อื่น และท่านยอมรับไม่ได้ การพยายามเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป จะเป็นไปได้ไหมที่จะเปลี่ยนใจท่านให้พอที่จะยอมรับผู้อื่นได้บ้าง การยอมรับไม่ใช่การยอมทนทุกข์ การยอมรับ คือ การผ่อนใจเราจากความคาดหวังต่อผู้อื่น การคาดหวังจะให้ผู้อื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจเรามักจะลงท้ายด้วยความผิดหวัง ซึ่งรังแต่จะเกิดวามเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้จบการแก้ความเครียดทางใจโดยใช้การยอมรับเท่านั้น คงต้องใช้หลายอย่างร่วมกันไปด้วย

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาความเครียดนั้นก็คือ "ปัญญา" ผู้ที่มีปัญญาจะสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้หลายรูปแบบ ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนผู้อื่นอย่างเดียว และไม่ใช่การทนทุกข์ หรือดันทุรังใช้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล ผู้ที่มีปัญญาสามารถแก้ปัญหาโดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ และ หาทางออกที่ดีที่สุดได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงผู้อื่นหรือฝืนใจตนเอง สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเหตุของความเครียดที่แท้จริงนั้นคืออะไร มาถึงตรงนี้ขอยกตัวอย่าง เช่น บางคนเครียดเรื่องแฟนมีชู้ ก็พยายามไปจัดการกับชู้แล้วก็แฟนให้เลิกกัน ให้แฟนเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ทำอยู่นานก็ไม่สำเร็จ เกิดความรู้สึกทั้งโกรธ เกลียดและ เสียใจ จนอยากจะไปฆ่าแกงกัน แต่ก็ทำคนอื่นไม่ได้ในที่สุดก็เลยฆ่าตัวเองแทน แต่แฟนก็ไม่กลับมาสนใจ ไม่เกิดอะไรดีขึ้น เหล่านี้คือการแก้ปัญหาที่ขาดปัญญาหากใช้ปัญญา ก็จะเห็นว่าเหตุของทุกข์นั้นอยู่ที่ในใจไม่ใช่อยู่ที่แฟน การยึดมั่นกับสิ่งสมมติคือเหตุแห่งความเครียด พอยึดมั่นว่าเป็นแฟนของตนต้องอยู่กับตนเท่านั้นก็ผิดหวัง พอผิดหวังก็เสียใจ พอเสียใจที่แฟนไม่สนใจก็โกรธ พอโกรธฆ่าชู้ไม่ได้ บางที่ก็ฆ่าตัวเอง เห็นได้ว่าถ้าหยุดการยึดมั่นก็จะหลุดพ้นได้ ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่สนับสนุนให้ปล่อยให้แฟนมีชู้ หรือยอมรับกับสิ่งซึ่งไม่ใช่เรื่องดี แต่คนที่ทำไม่ดีไปมีชู้ยังไม่เสียใจ ยังไม่ทุกข์ แล้วใยคุณจึงต้องทุกข์แทนเขาล่ะ การที่คุณทุกข์แล้วจะให้คนอื่นมาทุกข์ด้วยนั้น เราไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะบางทีอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ดังนั้นทางออกปัญหานี้ ถ้าคุณหลุดพ้นการยึดมั่นไปแล้ว และ คุณคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องอยู่กับแฟนที่กระทำสิ่งที่คุณรับไม่ได้อีกต่อไป ก็แค่เดินออกมาแล้วเรื่องก็จะจบ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่กับเขาต่อ ก็คงต้องยอมรับนะครับว่าอาจจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อีก ถ้ายอมรับไม่ได้ก็คงต้องทุกข์หรือเครียดกันต่อไป

ว่ากันมาซะยาว แต่ก็เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของการแก้ปัญหาความเครียดเท่านั้น อย่างไรผู้อ่านคงสามารถที่จะประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้บ้างไม่มากก็น้อย ขอให้คนที่อ่านหายเครียดโดยเร็วนะครับ




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550   
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 14:31:09 น.   
Counter : 190 Pageviews.  

โอ๊ย….เครียด

โอ๊ย….เครียด คำนี้คงเป็นคำอุทานที่ได้ยินกันบ่อยในยุคที่พบแต่ความวุ่นวาย แต่จะมีกี่ท่านที่ทราบว่าความเครียดคืออะไร บ้างก็เหมาว่าความเครียดคือคิดมาก บ้างก็ว่าความเครียดคือนอนไม่หลับ

อย่างไรก็ตามในวงการแพทย์ได้กล่าวถึงความตึงเครียดว่าคือ สภาวะที่ร่างกายหรือจิตใจได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจนต้องปรับตัวนั่นเอง ดังนั้นความเครียดไม่ใช่เพียงแค่เกิดจากการผิดหวัง โกรธ โมโห ทางใจหรือจิตใจเผชิญกับเรื่องร้ายๆ เท่านั้น แต่การทำงานหนัก อดนอนหรืออากาศเปลี่ยนแปลงก็นับเป็นความเครียดเช่นกัน หลายครั้งที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์ แพทย์บอกว่าท่านเครียด ก็มีหลายท่านบอกว่าไม่ได้คิดมากจะเครียดได้อย่างไร จะเห็นได้ว่าความเครียดมาจากหลายด้าน ไม่ใช่แต่ด้านจิตใจด้านเดียว ดังนั้นท่านอาจจะไม่รู้ว่าท่านเครียดก็ได้ ทีนี้เมื่อเครียดแล้วเกิดอะไรขึ้น ผลที่เกิดก็เป็นได้ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกายดังนี้ครับ

1. ด้านร่างกาย


- ความดันโลหิตสูง
- ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว
- ปวดศีรษะ
- น้ำตาลในเลือดขึ้น
- ตึงต้นคอ
- กินอาหารมากหรือเบื่ออาหาร
-นอนไม่หลับ

2. ด้านจิตใจ

- หดหู่ท้อแท้ หมดกำลังใจ
- หลงลืม
-เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร
- หวาดกลัว
- โกรธหงุดหงิดง่าย

อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นพร้อมกันทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละบุคคลที่จะเกิดอาการใดมากกว่า เช่นบางคนเครียดแล้วใจสั่น บางคนเครียดแล้วหงุดหงิด บางคนความดันขึ้นปวดศีรษะ เป็นต้น เห็นได้ว่าความเครียดเป็นผลให้บางคนไปรักษาโรคความดันโลหิตสูง แล้วคุมความดันได้ไม่ดี หรือบางคนเป็นเบาหวานแล้วคุมน้ำตาลไม่อยู่เหล่านี้อาจเกิดจากไม่ได้รับการรักษาความเครียดก็ได้ สำหรับเหตุและผลของความเครียดดังแสดงในรูปที่ 1


ดังนั้นเมื่อเห็นผลของความเครียดแล้ว คงมีหลายท่านที่บอกว่าสงสัยเราจะเครียด อย่างไรก็ถือว่าโชคดีที่เราเกิดเป็นชาวพุทธ ดังนั้นเราจึงมีหลักในการดับความเครียด ซึ่งเป็นความทุกข์โดยอาศัยหลักทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือ อริยสัจสี่ คือเมื่อทุกข์ก็ต้องหาเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งเครียด จึงจะเข้าสู่วิถีการดับทุกข์หรือดับเครียดนั่นเอง ซึ่งไว้คราวหน้าเราจะมาพูดกันเรื่องวิธีดับเครียดกันต่อไป




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2550   
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 14:30:13 น.   
Counter : 176 Pageviews.  


อารามDog
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผมเป็นหมาครับ
[Add อารามDog's blog to your web]