ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว
สำหรับเรา ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องสะสมและฝึกฝนไปเรื่อยๆ ค่ะ เนื้อหาของ blog นี้มาจากกระทู้ที่เราเคยตอบในห้องไกลบ้าน //topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3039643/H3039643.html จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชอบภาษาอังกฤษมากขึ้นและอยากฝึกฝนให้ตัวเองใช้ภาษาได้ดีขึ้นก็คือ ตอนเรียนชั้นม.ปลายเริ่มซื้อนิตยสาร Nation Junior สำหรับนักเรียนมาอ่านค่ะ อ่านหมดทุกคอลัมน์ พยายามเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ มีเกมอะไรให้เล่นก็เล่นหมดเลย เขียนจดหมายไปคุยกับ editor ด้วย จนกระทั่งจดหมายที่ส่งไปได้ตีพิมพ์ แล้วก็ได้รางวัลส่งมาที่บ้าน นอกจากนี้ก็ยังเป็นช่วงที่เราเริ่มฟังเพลงฝรั่ง พยายามนั่งแกะเนื้อเพลงเพราะอยากร้องเพลง ก็เลยได้ศัพท์สำนวนใหม่ๆ มาเยอะ ช่วงนั้นภาษาอังกฤษดีขึ้นมากค่ะ ได้อ่าน ได้เขียนบ่อยๆ แต่ยังไม่ค่อยได้ฝึกฟัง ฝึกพูดสักเท่าไร ช่วงที่ทำให้ภาษาอังกฤษของเราดีขึ้นมากๆ ก็คือตอนเรียนในมหาวิทยาลัยที่เมืองไทยนี่ล่ะค่ะ ได้พูด ฟัง อ่าน เขียนทั้งวันและทุกวัน เรียนกับอาจารย์ฝรั่งเกือบตลอด ต้องเขียนเรียงความส่งอาจารย์ มีอาจารย์คอยแก้ภาษาให้ ต้องพรีเซนต์หน้าห้องเป็นภาษาอังกฤษ ได้เรียนวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง สอบพูด สอบอ่านสารพัด และต้องเรียนวิเคราะห์โครงสร้างของประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้เข้าใจและใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องโดยไม่ต้องท่องจำ ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ รู้สึกว่าใช้ภาษาได้ดี ไวยากรณ์แม่นมากๆ แต่พอเรียนจบมาหลายปี ไม่ได้อยู่ในระบบที่ต้องฝึกฝนทักษะต่างๆ มากๆ ทุกวัน ความรู้ก็ไม่แน่นเท่าตอนเรียนแล้ว แม้จะไปเรียนเมืองนอกมา ก็ยังสู้ตอนที่เรียนในมหาลัยในเมืองไทยไม่ได้อยู่ดี ยิ่งช่วงปิดเทอมได้อยู่กับเพื่อนคนไทยเยอะๆ พูดภาษาไทยตลอด ภาษาอังกฤษก็ฝืดๆ ลงเหมือนกัน ฉะนั้นเราคิดว่าทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนนะคะ ไม่จำเป็นว่าต้องไปอยู่เมืองนอกเท่านั้นถึงจะเก่งภาษาอังกฤษ อยู่เมืองไทยก็ฝึกฝนได้ โดยพยายามให้ตัวเราเองได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน เราแนะนำวิธีการต่อไปนี้ค่ะ ฝึกทักษะการฟัง ถ้าเวลาทำงานไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ กลับมาบ้านพยายามดูหนัง ฟังข่าวภาษาอังกฤษ ถ้าติดเคเบิลทีวีก็จะช่วยได้มากเลย ถ้าอยากฝึกฟังสำเนียงอเมริกันก็ดูช่อง CNN หรือ CNBC และรายการหนัง สารคดี ละครต่างๆ ถ้าอยากฟังสำเนียงอังกฤษก็มีให้ฟังหลายรายการอย่างเช่น ช่อง BBC รายการทำอาหารของ Jamie Oliver และรายการ Britains Worst Pet/Driver/Performer/Husband เป็นต้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องดูแต่ข่าวเท่านั้นนะคะ ดูรายการอะไรก็ได้ที่เราสนใจ จะได้ไม่รู้สึกเบื่อ และมีสมาธิมีความตั้งใจที่จะนั่งดูนั่งฟังได้นานๆ ช่วงแรกๆ จะเลือกดูรายการที่มี subtitle ก่อนก็ได้ พอฟังเก่งขึ้นก็ค่อยเลือกรายการที่ไม่มี subtitle แต่ถ้าไม่ได้ติดเคเบิลทีวีก็ไม่เป็นไรค่ะ ไปซื้อซีดีสอนภาษาอังกฤษมาฟัง เวลาขับรถไปทำงานก็เปิดเทปหรือซีดีฟังไปด้วย หรือฟังข่าววิทยุประเทศไทยภาคภาษาอังกฤษ และซื้อดีวีดีหนังหรือสารคดีที่เราสนใจ แล้วเลือก subtitle ภาษาอังกฤษ เพราะการดู subtitle ภาษาอังกฤษจะช่วยฝึกให้เราไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อน แล้วค่อยมาแปลเป็นภาษาอังกฤษในสมองอีกที ดูรอบแรกให้ดูเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องก่อน ฟังไม่ค่อยออกก็ไม่เป็นไร รอบต่อๆ มาที่ดู subtitle ไปด้วย อาจจะอ่าน subtitle ไม่ทัน ดูหลายๆ รอบก็จะรู้สึกว่าดีขึ้นเอง พอฟังคล่องแล้วคราวนี้ก็เอาเทปมาปิด subtitle ไว้ แล้วดูหนังโดยไม่ต้องอ่าน subtitle และถ้าชอบฟังเพลงฝรั่งก็จะยิ่งดี เราก็จำหลักไวยากรณ์หลายอย่างได้เพราะเพลงเหมือนกัน การฟังเพลงและจำเนื้อเพลงที่เราชอบได้ จะทำให้เราคุ้นเคยกับรูปประโยคภาษาอังกฤษ แล้วก็จำได้โดยไม่ต้องท่อง ยิ่งถ้าฟังแล้วชอบร้องตามก็จะช่วยฝึกเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ชัดเจนขึ้นด้วย เพราะเวลาร้องเพลงเราก็อยากร้องให้เหมือนต้นฉบับ เลยพยายามออกเสียงให้ชัด ทำเสียงให้เหมือน เป็นการฝึกภาษาไปในตัว ฝึกทักษะการอ่าน หลายคนมีปัญหาว่าจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ รู้ศัพท์น้อย หรือแม้จะรู้ศัพท์แต่ก็ไม่รู้จะเอาไปเรียบเรียงให้เป็นประโยคยังไงดี ใช้ศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ฯลฯ น่าจะลองวิธีต่อไปนี้นะคะ ทบทวนเรื่องหลักไวยากรณ์พื้นฐานก่อนค่ะ ทำความเข้าใจเรื่องหน้าที่ของคำชนิดต่างๆ ว่า noun, verb, adjective, adverb, conjunction ทำหน้าที่อะไร ต่างกันยังไง เพราะถ้าไม่เข้าใจหน้าที่ของคำ ก็ยากที่จะนำคำไปใช้อย่างถูกต้องได้ และทบทวนหลักไวยากรณ์อื่นๆ เพราะถ้าเราเข้าใจเรื่องไวยากรณ์ก็จะทำให้เรารู้ว่าจะเอาคำมาเรียงกันยังไง เขียนและพูดยังไงถึงจะถูกต้อง ไปหาซื้อพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษดีๆ มาสักเล่ม เริ่มแรกเราแนะนำ Oxford Wordpower ค่ะ เป็นพจนานุกรมสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องศัพท์ภาษาอังกฤษในระดับปานกลาง อธิบายเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ มีตัวอย่างประโยค มีรูปประกอบ เล่นสี และทำรูปเล่มดิกได้อ่าน หาความหมายของคำเจอได้ง่ายดี แล้วไว้พอใช้พจนานุกรมคล่องแล้วค่อยไปซื้อพจนานุกรมขั้น advanced อย่างเช่น Longman Dictionary of Contemporary English หรือ Oxford Advanced Learner's Dictionary หรือ Collins Cobuild English Dictionary บังคับตัวเองให้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษทุกวัน อ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เราสนใจ ถ้าชอบข่าวก็อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ถ้าชอบอ่านนิยายก็ไปซื้อนิยายมาอ่าน เป็นต้น ที่แนะนำให้เลือกหนังสือแนวที่เราสนใจก็เพราะจะทำให้รู้สึกอยากอ่าน ให้ซื้อหนังสือเล่มบางๆ มาก่อน พออ่านจบสักเล่มจะได้มีกำลังใจมากขึ้น (สำคัญมากค่ะ อย่าเริ่มต้นด้วยการซื้อแบบเล่มหนาเป็นนิ้วๆ เพราะสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อ่านภาษาอังกฤษ กว่าจะอ่านจบเล่มเนี่ยเหงื่อตกเลย เผลอๆ จะได้วางขึ้นหิ้ง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เคยเกินสองสามหน้าสักที) เราเองเริ่มด้วยหนังสือพวกวรรณกรรมเยาวชนอย่างของ Roald Dahl ซึ่งเขียนด้วยภาษาง่ายๆ สำหรับเด็ก แล้วก็เขียนได้สนุก น่าติดตามดี พออ่านแล้วเจอศัพท์ยาก ก็พยายามเดาดูก่อนว่าคำนั้นๆ แปลว่าอะไร โดยเดาจากข้อความที่แวดล้อม อ่านข่าวหรือบทความนั้นไปจนจบ (ซึ่งจะทำให้เราได้ไอเดียคร่าวๆ แล้วว่าคำนั้นแปลว่าอะไร) แล้วค่อยเปิดดิกเช็คดูว่าความหมายที่เราเดาไปถูกต้องหรือเปล่า แล้วก็จดลงในสมุด หรือพิมพ์ลงใน MS Office ก็ได้แล้วแต่ความถนัด ถ้าอ่านเจอศัพท์ยากแล้วเปิดดิกทันทีโดยที่ไม่ได้ลองเดาดูก่อน บางทีผ่านไปวันนึงก็อาจจะลืมแล้วว่าคำทั้งหลายที่เรานั่งเปิดดิกตั้งนานน่ะแปลว่าอะไร การที่เราเดาความหมายของคำก่อนแล้วค่อนเปิดดิกจึงช่วยให้คำนั้นๆ ได้ผ่านตาเราหลายครั้ง ได้คิด ได้เดา ผ่านกระบวนการในสมองหลายที ก็เลยทำให้จำได้แม่นกว่าค่ะ จะซื้อหนังสือพวกเพิ่มพูนความรู้เรื่องศัพท์มาทำแบบฝึกหัดด้วยก็ได้ อย่าง English Vocabulary In Use ของสำนักพิมพ์ Cambridge ก็ดีมากค่ะ เลือกแบบ Elementary หรือ Intermediate ก่อนก็ได้ จะได้เริ่มเรียนตั้งแต่ศัพท์แบบพื้นฐานอย่างเป็นระบบ ฝึกทักษะการพูดและการเขียน หาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม ศึกษาหลักการเขียนแนวต่างๆ ที่คิดว่าจะได้ใช้บ่อยๆ ค่ะ เช่น ถ้าทำงานบริษัทก็ซื้อแนว business English สอนวิธีการเขียนจดหมายธุรกิจ ถ้าอยากไปเรียนต่อก็เลือกหนังสือแนว academic English ตามร้านหนังสือเช่นศูนย์หนังสือจุฬาฯ จะมีหนังสือภาษาอังกฤษที่สอนหลักการเขียนแนวต่างๆ เยอะมาก ลองไปอ่านและเลือกเล่มที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นฝรั่งหรือคนไทยที่เก่งภาษาอังกฤษ เราแนะนำให้ไปเรียนตามสถาบันสอนภาษาเพิ่มเติมด้วยค่ะ เพราะฝึกพูดคนเดียวก็คงไม่สนุก ครั้นจะฝึกพูดกับคนไทยด้วยกันก็คงรู้สึกเขินๆ แปลกๆ แล้วก็ไม่ได้ฟังสำเนียงของเจ้าของภาษาด้วย และเวลาฝึกเขียนก็ควรจะมีคนช่วยอ่านช่วยแก้ไขให้ เราจะได้รู้ว่าเราเขียนถูกหรือเปล่า และถ้าเขียนผิด ควรจะเขียนยังไงจึงจะถูก ส่วนที่ถามว่าคอร์สภาษาอังกฤษของสถาบันไหนดีเนี่ย เราเองไม่ค่อยได้เรียนตามสถาบันสอนภาษา ก็เลยแนะนำไม่ถูกเหมือนกันค่ะ ที่เราเคยเรียนก็มีที่ AUA กับ British Council เราเองชอบที่ British Council มากกว่า เพราะหนังสือเรียนสนุกกว่า สถานที่ สื่อการสอนก็ดีทีเดียว อยากบอกว่าเรียนภาษาต้องใจเย็นและอดทนพอสมควร เพราะไม่ได้เก่งกันได้ภายในวันสองวัน ต้องใช้เวลาหลายๆ เดือน อ่านและฟังให้มากๆ เวลาอ่านก็ไม่ได้อ่านเฉยๆ พยายามสังเกตว่าเค้าใช้ภาษายังไง เรียงโครงสร้างประโยคยังไง ถ้าตั้งใจจริง ใช้เวลาไม่นานก็จะเริ่มเห็นผลค่ะว่า เอ๊ะ เราเริ่มอ่านอะไรรู้เรื่องขึ้นตั้งแยะนะ หรือฟังออกหมดเลย เวลาเขียนอะไรก็นึกศัพท์ดีๆ ได้ตั้งเยอะ ผลที่ได้จะทำให้เราหายเหนื่อยเลย ขอให้พยายามและตั้งใจ แล้วจะพบกับความสำเร็จค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552 | | |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 1:53:57 น. |
Counter : 882 Pageviews. |
| |
|
|
|