2010-01-21 ตกเครื่องไป Varanasi เซ็งสุดๆ
ตั้งปลุกไว้ตอนตีห้า แต่หลับๆ ตื่นๆ ห้องข้างๆ เมากลับมาตอนเที่ยงคืนแล้วยังทะเลาะกัน, กรีดร้อง, คุยกัน, กระซิบกระซาบ… หนวกหูนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าโรงแรมนี้ใช้ฟากทำผนังหรือไง ใช้ ears plug อุดหู เคลิ้มหลับ, เอาที่อุดหูออกเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว... มาสะดุ้งตื่นตอนตีห้าเพราะห้องข้างๆ (อีกแล้ว..) ตื่นมากระซิบกระซาบ... แหกปาก.... กระซิบกระซาบ โจ้ยจิงๆ อยากเห็นหน้าตาว่ามันเป็นยังงัย สงสัยต้องซื้อหนังสือคุณสมบัติผู้ดี เล่มละ 50 สตางค์ให้อ่าน จะได้รู้จักเกรงอกเกรงใจคนอื่นบ้าง (ขอโทษนะฮาร์ฟฟฟ แบบว่าอารมณ์โมโหง่วงนอนอ่ะนะ) สรุปว่าตื่นนอนก่อนนาฬิกาปลุกเสียอีก. ทำกิจวัตรประจำวันเสร็จก็ขนของลงมารอคนขับรถ, Mr.โกวะดันมาตรงตามเวลานัด คือหกโมงเช้า ไม่ขาดไม่เกิน

นั่งรถจากตัวเมืองมาสนามบิน Udaipur ประมาณ 20 นาที ขนของลงรถ แล้วบอกลา Mr.โกวะดัน พร้อมให้ทิปก้อนโตด้วยความเต็มใจ เพราะตลอดเก้าวันที่ผ่านมาน้าเขาขับรถดี มีน้ำใจ บางครั้งยังเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ให้อีกต่างหาก. ขนสัมภาระผ่าน security check ได้อย่างรวดเร็วเพราะ Udaipur Airport ไม่ใหญ่เท่าไหร่ และตอนนี้ก็ยังเช้ามากๆ เข้าห้องน้ำของสนามบิน...ที่จริงไม่ได้เข้าห้องน้ำมาหลายวันแล้ว เพราะกิน Imodium หลังอาหารทุกมื้อ (กลัวท้องเสียมากๆ เพราะทริปนี้เดินทางตลอด กลัวได้ใช้ห้องน้ำสาธารณะเป็นอย่างมาก) หลังจากเช็คอินเข้าไปนั่งรอในห้องรอขึ้นเครื่อง ได้ยินเสียงจิ้งหรีดแถวมุมน้ำดื่ม ทำให้รู้สึกวังเวงยังงัยชอบกล แต่ฟังไปก็เพลินดี

รู้สึกว่าเที่ยวบินจะ Delay เพราะมีหมอกลงจัดที่ Delhi เพื่อเปลี่ยนเครื่องต่อไปยัง Varanasi… ที่ใช้คำว่า ‘รู้สึก’ ก็เพราะว่า ไม่ว่าจะถามพนักงานคนไหน ก็จะได้รับคำตอบว่า บางที, อาจจะ, คง, ประมาณ... ไม่มีใครสักคนที่ตอบคำถามเราอย่างตรงไปตรงมา. ตอนที่กำลังบันทึกได้แต่นั่งรออย่างไร้จุดหมาย เพราะไม่รู้ว่าจะได้เดินทางเมื่อไหร่. ถ้าไม่สามารถบินไป Delhi ได้ ก็ต้องไปลงที่ Jaipur แล้วนั่งรถต่ออีก 259 กิโลเมตร และก็ไม่แน่ใจว่าจะบินต่อไป Varanasi ได้ไหม... ได้แต่ภาวนาขอให้หมอกจางและแผนการยังคงเดิม


Udaipur Airport


ห้องน้ำที่สนามบิน Udaipur, หาที่กดชักโครกไม่เจอ เพ่งดูดีๆ มันจ่ออยู่ตรงหน้าเรา อันใหญ่ซะ.. คงกลัวคนไม่เห็น


เครื่องอยู่ห่างจากตัวอาคารประมาณครึ่งกิโลเมตร ต้องเดินไปขึ้นเครื่องเอง

คำอธิฐานไม่สัมฤทธิ์ผล... เราขึ้นเครื่องตอนแปดโมงสิบห้านาที ลงที่ Jaipur ตอนเก้าโมง และต้องต่อรถบัสไป Delhi คนขับบอกว่าใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง รถบัสเก่ามากที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่มีห้องน้ำบนรถ แต่รถเหม็นฉี่เหมือนห้องน้ำสาธารณะเลย. รถออกจากสนามบินได้ประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จอดหน้าปั๊มแห่งหนึ่งแล้วคนขับก็ไล่ให้ผู้โดยสารทั้งหมดไปขึ้นรถบัสอีกคัน... ฟังแล้วคล้ายบริการรถทัวร์บ้านเราเลยอ่ะ, รถคันนี้ใหม่กว่าและไม่เหม็นฉี่ (โชคดีบนความโชคร้าย) และยังมีน้ำให้คนละ 1 ขวด และแซนวิช ไส้กะหล่ำ 1 ชิ้น ซึ่งแซนวิชดูไม่น่าไว้ใจ เราเลยไม่กิน

ขับรถมาได้ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ไม่มีทีท่าว่าจะถึง และคนขับหน้าโหดก็ไม่มีทีที่ว่าจะหยุดให้ผู้โดยสารแวะทานข้าว หรือเข้าห้องน้ำแต่อย่างใด เมื่อสองชั่วโมงก่อนเราเห็นชายอินเดียวัยกลางคนเดินไปคุยกับคนขับรถ ดูท่าทางก็รู้ว่าอยากให้จอดข้างทางเพื่อปัสสาวะ แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากคนขับคือ ตวาด ตะบึงตะบัน กรีดร้อง ประมาณว่าให้ตายกรูก็ไม่จอด ผู้โดยสารต่างก้มหน้ารับสภาพด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว. เราทั้งหิวทั้งปวดฉี่ แอบเอาช็อกโกแลตเค้กที่เหลือเมื่อวานมาประทังชีวิต คนขับก็ขับไปเรื่อยๆ.... ปวดฉี่... ยังคงขับไปเรื่อยๆ... ยิ่งปวดมากขึ้น... แล้วก็ยังคงขับไปเหมือนสุดสายปลายทางเป็นนรกขุมสุดท้ายที่รถไม่มีวันไปถึง แล้วอยู่ๆ รถก็จอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เห็นอีลุงคนขับกระโดดเข้าพุ่มไม้ ผู้โดยสารที่นั่งด้านหน้า ต่างก็กระโจนตามไปสมทบพุ่มข้างๆ ไม่ไกลจากจุดที่รถจอดเป็นร้านขายของชำ ซึ่งก็ไม่มีห้องน้ำ เราเลยอ้อมไปด้านหลัง ปรากฏว่า ฝรั่งที่นั่งเบาะหน้าเรา และคุณลุงแขกที่โดนคนขับตวาด ชิงมาฉี่อยู่ก่อนแล้ว... บนโลกใบนี้ ฉันไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป ขอได้ปลดปล่อยแม้จะเป็นทุกข์เบา แต่ก็สาหัสสากรรจ์เอาการ คนอื่นบนรถต่างก็ทยอยมายิงกระต่ายและเก็บดอกไม้ป่ากันตามอัธยาศัยเกือบทั้งรถ. ก่อนขึ้นรถเข้าไปร้านของชำซึ่งมีลักษณะเหมือนร้านขายขอชำแถวบ้านเราแต่ไม่ค่อยมีของให้เลือกมากนัก เราซื้อ Potato chips 3 ถุง เป็นเงิน 60 รูปี


คนจนสร้างเพิงอาศัยอยู่ริมถนน


ขับมาได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็เจอกับรถติดแบบกาวดักหนู ทั้งๆที่เป็นถนน 8 เลน


ป้ายโฆษณาโทรศัพท์มือถือ


วิถีชีวิตผู้คน... เก็บภาพระหว่างทาง


นั่งรถมาแล้ว 4 ชั่วโมง ก็ยังติด มีช่วงที่รถวิ่งได้ชิวๆ แค่ประมาณ 15 นาทีเอง


โครงรถบรรทุก


สองฝั่งถนน วุ่นวายตลอดทาง


ร้านขายของข้างทาง


เลยเที่ยงมาแล้ว คนขับก็ไม่ยอมจอด หิวมากเลยเอาช้อกโกแลตเค้กที่กินเหลือเมื่อวานมาประทังชีวิต


เละหมดเลย, แม้จะไม่น่ากินแต่รสชาดก็ยังคงอร่อยนะ


หลังจากยิงกระต่ายป่าก็และร้านขายของชำ มีแต่เจ้าถุงนี่แหล่ะที่พอติ๊ต่างว่าเป็นอาหารเที่ยงได้

หลังจากจอดทำธุระส่วนตั๊ว...ส่วนตัว... และเช็คเพื่อนร่วมชะตากรรมว่ากลับขึ้นรถมากันหมดแล้วก็ออกเดินทางต่อ รถติดอีกเกือบสี่ชั่วโมง ได้แต่ค่อยๆ คลานไป แบบว่าเต่าแซงได้อ่ะ มาถึง Delhi Airport ตอนเกือบ 6 โมงเย็น สรุปนั่งรถบัสมา 9 ชั่วโมง. เข้าไปเค้าเตอร์ขายตั๋ว... คนเยอะมากๆ. เที่ยวบินที่จะไป Varanasi เที่ยวสุดท้ายของวันนี้ออกไปแล้ว ถ้าจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ก็ออกประมาณบ่ายสองเพราะช่วงเช้าหมอกลงจัด ถ้าจะไปจริงๆ ก็เท่ากับว่าใช้เวลาที่ Varanasi แค่ครึ่งวันกับ 1 คืนแล้วจะต้องบินกลับมา Delhi เพื่อต่อเครื่องกลับเมืองไทยพวกเราเลยยกเลิกที่จะไป Varanasi. จะกลับกรุงเทพฯ ตั๋วก็เต็ม เลยตัดสินใจอยู่ Delhi ต่อ แล้วจะบินกลับเมืองไทยตามเที่ยวบินเดิมที่จองไว้

มีคนมาเสนอให้ขึ้นรถส่วนตัวบอกว่าถูกกว่ารถแท็กซี่แค่ 550 รูปีเอง แต่ด้วยความที่เราเป็นคนขี้ระเวงจึงปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วไปต่อแถว Taxi prepaid... แค่ 220 รูปี คนขับส่งถึงแค่หน้าสถานีรถไฟ New Delhi เพราะถนนหน้าสถานีรถไฟกลายเป็นถนนคนเดินทุกๆวันตอนเย็น โรงแรมที่เราเลือกคือ Prince Polonia อยู่ในย่านถนนคนเดินนั่นเอง พวกเราต้องลากกระเป๋าฝ่าดงแขกและนักท่องเที่ยว กว่าจะถึงโรงแรมก็สะบักสะบอม เลือกพักห้องสูท ราคาคืนละ 2,100 รูปี เป็นห้องที่แพงที่สุดในทริปนี้ ห้องกว้างขวาง มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ และที่สำคัญมี Wifi แค่นี้ก็สุดยอดแล้วอ่ะนะ. เช็คอินเสร็จก็ขึ้นไปดาดฟ้าซึ่งเป็นร้านอาหารของโรงแรม สั่งอาหารทานด้วยความหิวโหย ทานเสร็จกลับห้อง... สลบโดยไม่ได้อาบน้ำ แค่อยากบอกว่าเหนื่อยจริงๆ


ต่อแถวเพื่อชำระค่า Prepaid Taxi



Create Date : 27 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2553 15:18:14 น.
Counter : 2048 Pageviews.

1 comments
  
โดย: MaFiaVza วันที่: 27 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:10:51 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

annopwichai
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]



ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
New Comments
All Blog
MY VIP Friend