2010-01-16 Jodhpur... Blue city
ทำกิจวัตรประจำวันแต่เช้าเพราะวันนี้ต้องนั่งรถประมาณ 4 ชั่วโมง ขึ้นไปดาดฟ้าทานอาหารเช้า อากาศหนาวแต่วิวสวยมากๆ นี่ถ้าเป็นคนตื่นเช้าก็คงดี จะได้เห็นสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้มากขึ้น จุดหมายปลายทางวันนี้คือ Jodhpur เมืองสีน้ำเงิน

ออกเดินทางไปตามถนนที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่ คงเป็นทางลัดมั๊ง... ขับไปได้เกือบสองชั่วโมง Mr.โกวะดัน ก็จอดรถ นึกว่าให้เราพักสูบบุหรี่, แต่ไม่ใช่... จอดให้เราเข้าชมบ้านของชาวบ้านตะหาก วันนี้พลขับของเราแปลงกายเป็นไกด์กิติมศักดิ์ และยังเป็นล่ามให้อีกตะหาก หลังจากลงจากรถ Mr.โกวะดัน ก็เข้าไปคุยกับป้าแก่ๆ เพื่อขอให้เราเข้าไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านร้านช่องที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ซึ่งเป็นทะเลทราย ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทรายแบบที่มีแต่ทรายเพียงอย่างเดียวนะ มีต้นไม้เป็นหย่อมๆ และทรายก็มีดินปนอยู่ด้วย บ้านของชาวบ้านที่นี่มีโครงเป็นไม้ ใช้มูลวัวผสมทรายและน้ำก่อฉาบ คล้ายๆ บ้านดินที่กำลังอินเทรนด์ในเมืองไทย. ชาวบ้านเข้ามามุงดูพวกเรา.. สักพักก็มามุงดูมากขึ้น ดูเหมือนจะมาทั้งหมู่บ้านเลยมั๊ง. เราเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หน้าตายังไม่ตื่นนอน ผมกระเจิง ขัดสะโหร่งยังไม่เสร็จดี แต่ก็ยังวิ่งออกมาเหมือนมีไฟไหม้ยังงัยยังงั้นเลย ดูแล้วก็ตลกดี... น่ารักกันทั้งหมู่บ้าน หลังจากรำลาเหมือนรู้จักกันมาแสนนาน ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ...


วิวยามเช้า บนดาดฟ้าของโรงแรม New Park Hotel, Pushkar.


ชาวบ้านมาตักน้ำจากบ่อของหมู่บ้าน


บ้านดิน, ชาวบ้านที่นี่อาศัยอยู่กันจริงๆ ไม่อินเทรนด์ อิ..อิ..


ภาชนะบรรจุน้ำใช้ภายในบ้าน ยังใช้ไหดินเผาอยู่


ห้องครัว


ชาวบ้านมามุงดูพวกเรา


คุณยายมาขอถ่ายรูป... ประมาณว่ามั๊กกล้องขนาดเน้อ!!!


มาถนนสายนี้ก็ดี ไม่ค่อยมีรถวิ่งสวนเลย และยังได้บรรยากาศกว่าวิ่งสายไฮเวย์ซะอีก


ผ่านหมู่บ้าน มีแพะเจ้าถิ่นอยู่เต็มถนน ถ้าดูซ้ายมือของภาพ จะเห็นแพะอีโรติค อิ..อิ..


ชาวบ้านนำผลผลิตทางการเกษตรมาบด กรรมวิธีคือนำมาวางบนถนนให้รถที่วิ่งทับ... สุโค่ย... สป๊อนท์ช่องเก้าจิงๆ


ซ่อมถนน


เห็นวิวแบบนี้มาเกือบตลอดทางเลยอ่ะ

จากจุดที่แวะชมบ้านของชาวบ้าน เราขับรถต่อมาอีก ประมาณ 120 กิโลเมตรก็ถึง Jodhpur. Jodhpur เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐ Rajasthan โดยมีชื่อเล่นๆ ว่า "เมืองสีน้ำเงิน" เพราะบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่รอบๆ ป้อมเมห์รานการฮ์ ต่างทาสีน้ำเงินสดใส

ป้อมเมห์รานการฮ์ - Mehrangarh Fort

Mehrangarh Fort อยู่ใจกลางเมืองเก่าของ Jodhpur ซึ่งตั้งอยู่เนินเขาสูง 125 เมตร Mehrangarh Fort เป็นป้อมที่มีสถาปัตยกรรมวิจิตรสวยงาม และเป็นหนึ่งในป้อมที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นเมืองประมาณ 550 ปีมาแล้ว กำแพงของป้อมสูงถึง 32 เมตรเลยทีเดียว ปัจจุบันป้อมแห่งนี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแบ่งการแสดงโบราณวัตถุออกเป็นส่วนๆ เช่น ส่วนของเกี้ยวหรือเสลี่ยง, ส่วนของกูบพระที่นั่ง, เปลของราชวงศ์, ส่วนของเครื่องดนตรี, เครื่องแต่งกายแบบโบราณ และเฟอร์นิเจอร์


Mehrangarh Fort และเมือง Jodhpur


ประตูทางเข้า


เดินผ่านประตูแล้วมองขึ้นไปบนป้อม จะเห็นกำแพงสูงมากกกก


ระเบียงคดที่ฐานกำแพง


ลิฟท์... สันนิษฐานว่าไม่ได้สร้างมาพร้อมกับป้อม แต่เพิ่งต่อเติมเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง... ที่จริงไม่ต้องสันนิษฐานก็ได้นะ อิ..อิ..


นี่ก็เป็นอีกฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The fall ที่นำแสดงโดย Lee Pace


ถ่ายมาให้เห็นว่าเป็น Blue city จิงๆ น๊า


ระบบชลประทาน... เนื่องจากป้อมอยู่บนเนินสูง 125 เมตร ดังนั้นการลำเลียงน้ำขึ้นมาใช้จึงเป็นเรื่องลำบาก แต่ที่นี่เขาใช้ระบบวิดน้ำ... เมก้าเคลฟเวอร์ อีกแล้วนะฮาร์ฟฟฟ


ซูมให้เห็นหินสลักใกล้ๆ นี่อยู่บนหน้าผานะเนี๊ยะ


ทางเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์


ทางเดินไปสู่โซนกูบช้าง


กูบช้างเงิน ลายสิงห์


กูปช้างเงิน ลายสิงห์


กูบช้างประดับกระจก


กูบช้างเงิน ลายสิงห์


เสลี่ยงผ้าทอเส้นทอง


เสลี่ยงประดับกระจกโมเสค


เสลี่ยงลายนกยูง


งานสบาย... นั่งสูบบารากู โพสท์ท่าถ่ายรูป


ทางเข้าอาคารพิพิธฑภัณฑ์แสดงอาวุธสงคราม


ปืนครกเล็ก ลายเสือผสมจระเข้


ดาบหัวนกแก้ว


อาวุธและเครื่องป้องกัน


ทวนและหอก


หีบงาช้าง


ภาพวาดมหาราชาแห่ง Jodhpur


ห้องโถง... พรมในห้องนี้อายุ 200 กว่าปี แม้จะดูหมองไปบ้าง แต่สีสันยังคงสวยงาม


ช่องแสงบนหน้าต่างประดับประดาด้วย กระจกสี (Stained glass) สวยงามมาก


มุมหนึ่งของป้อม... เห็นบันไดวนสวยดีจึงถ่ายรูปมาให้ดู


พิพิธภัณฑ์อู่


เดินจนเหนื่อย เพราะกว้างมาก, ที่นี่ดีมากๆ มีที่นั่งพักเตรียมให้นักท่องเที่ยวไว้เป็นระยะ


ส่วนหนึ่งของป้อมจัดนิทรรศการทอพรม พร้อมทั้งมีการออกร้านให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อเป็นของที่ระลึกอีกด้วย


มีการแสดงวิธีการเก็บเกี่ยวฝ้าย, การปั่นฝ้าย, การย้อม ไปจนถึงขั้นตอนการทอ


นำฝ้ายที่ได้มาทอเป็นพรมและจัดจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว


ทางออก... นกพิราบเกาะที่โคมไฟ แถมยังหันไปทางเดียวกันอีก... เอ๊ะ!! หรือว่านกปลอม อิ..อิ..


ระเบียงคดระหว่างทางออก มีไหใบใหญ่... จากการสอบถามไกด์ ได้ความว่า มีไว้ใช้เก็บน้ำเผื่อไฟไหม้ (เหมือนถังดับเพลิงในปัจจุบันอ่ะนะ) เราคิดว่าอาคารหินแบบนี้จะเกิดไฟไหม้ได้เหรอ?? แต่ก็หุบปากไว้หิ


รูปปั้นนูนต่ำรูปมือตรงประตูทางออก พอดีมัวแต่ถ่ายรูปเลยไม่ได้ฟังไกด์อธิบายว่าหมายความว่าหยังอ่ะ


ไกด์ Micheal กับโซ่คล้องประตูทางออก ข้อละ 15 กิโลกรัม เลยนะนาย

Jaswant Thada... สุสานหินอ่อนสีขาว

ออกจากป้อม เดินทางลงจากเขาประมาณ 1 กิโลเมตร แวะชม Jaswant Thada ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานสร้างจากหินอ่อนสีขาวเมื่อปี 1899 หรือ 111 ปีมาแล้ว ภายในบริเวณ Jaswant Thada เป็นสุสานของราชวงศ์ Jodhpur


สุสานจาสวานท์ ธาดา (Jaswant Thada Mausoleum)


สุสานสำหรับราชวงศ์ Jodhpur


สำหรับราชวงศ์ชั้นปลายๆ สุสานก็จะอยู่รอบนอกหน่อย

ชมสุสานหินอ่อนจนทั่วแล้ว จึงเดินทางกลับเข้าสู่เมืองเก่า Jodhpur รถตู้ของเรามาจอดที่หน้าตลาด Sardar ไกด์พาเดินรอบตลาด ลักษณะของตลาดคล้าย "กาดมั่ว" มีของขายทุกอย่างตั้งแต่อาหารสด, อาหารแห้ง, อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน, อุปกรณ์ช่าง, กระเป๋า, เสื้อผ้าเครื่องประดับ มีทั้งคนท้องถิ่นมาจับจ่ายซื้อผักปลาไปทำอาหาร มีทั้งนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวและหาซื้อของที่ระลึก พวกเราเดินจนทั่วตลาดแล้วกลับมาที่รถที่จอดอยู่หน้าร้านขายเครื่องเทศ, ชา, กาแฟ. พวกเราเดินเข้าไปชมภายในร้าน ได้เครื่องเทศทำแกงมา 2 ห่อ

เนื่องจากถนนในเมืองเก่าเป็นตรอกซอกซอยขนาดเล็ก รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นเราต้องนั่ง Auto rickshaw (ตุ๊กๆ แขก) เข้าไปโรงแรมซึ่งอยู่ไกลออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร เราพักกันที่ Saji Sanwri Guesthouse. ที่จริงเกสเฮาส์นี้เป็นบ้านหลังโต มีห้องถึงห้าสิบกว่าห้อง เจ้าของต้องบริหารให้ได้รายได้เพียงพอในการบำรุงรักษาอาคาร (ข้อมูลจากการเม้าท์กับคุณป้าเจ้าของเกสเฮาส์)


ป้ายบอกทางในเมือง... คงต้องจอดรถอ่านเลยนะเนี๊ยะ


เข้าไปซื้อเครื่องเทศร้านนี้แหละ


ประตูเข้าตลาด Sardar Market


หอนาฬิกากลางตลาด ประมาณว่าถ้าหลงกันก็มาเดินหาที่หอนาฬิกานะ!!


กำไลพลาสติกติดเพชรปลอม วงเล็กๆ ใส่ที 15-20 อัน เป็นที่นิยมนักแล


ผักสด.. ผลไม้ ก็มีขาย


ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น อยู่ติดแผงหนังสือ, ถัดมาเป็นรถเข็นขายของจิปาถะ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันสก๊อชไบรซ์


วิวจากดาดฟ้าของเกสท์เฮาส์ เห็น Mehrangrah Fort อยู่ไม่ไกล


หลังจากเดินเล่น กลับมาก็มืดแล้ว ป้ายของเกสท์เฮาส์ จัดระดับของเราไว้เสร็จสรรพ... เราเป็นนักท่องเที่ยวแบบประหยัด หรือนักท่องเที่ยวชั้นสอง อย่างไหนหรูกว่ากันหว่า อิ..อิ..

หลังจากเช็คอินและนำสัมภาระเก็บเข้าห้องก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ โรงแรม ไม่กล้าไปไหนไกลเพราะแถวนี้เป็นตรอกซอกซอยแคบๆ คดเคี้ยว วกวน และนี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็น ถ้าเดินหลงแล้วจะกลับมาไม่ทัน (ห่วงกินอ่ะนะ อิ..อิ..) เดินได้สักพักก็กลับเกสท์เฮาส์และขึ้นไปห้องอาหารที่อยู่บนดาดฟ้า อาหารมาเสิร์ฟตอนสองทุ่มกว่า รสชาดทานแทบไม่ได้และแกงก็เย็นเหมือนเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นยังงัยยังงั้น... ไม่ได้โม๊!!! เลยกินได้แค่นิดเดียว นั่งคุยกันสักพักแล้วก็เข้าห้อง... อาบน้ำ... นอน...

ปล. 1. ไม่มีทีวี (เซ้งสุดๆ), 2. จะอาบน้ำต้องไปเคาะห้องเจ้าของให้เปิดเครื่องทำน้ำอุ่น... พออาบเสร็จ ต้องไปเคาะบอกให้ปิดเครื่อง.. ไม่งั้นเธอวีน



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2553 22:00:06 น.
Counter : 2526 Pageviews.

1 comments
  
น่าไปนะคะ สวยดีค่ะ

เที่ยวแบบนี้น่าสนุกออกค่ะ ชอบ
โดย: kidthung maanoy วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:6:09:52 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

annopwichai
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]



ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
New Comments
All Blog
MY VIP Friend