It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
All blogs
 

❖การสอนลูกแบบชาวเยอรมัน



"การสอนลูกแบบชาวเยอรมัน"
134
     เด็กที่ถูกเลี้ยงอย่างพะเน้าพะนอจนเกินเหตุ
เมื่อเติบโตแล้วยากที่จะพึ่งพาตนเองได้
เด็กควรถูกฝึกให้รู้จักความยากลำบาก
เพื่อความอยู่รอดของตัวเขาเองในอนาคต
และเพื่อจะช่วยกันพัฒนาสังคม พัฒนาโลกให้เจริญยิ่งขึ้น




     เมื่อเด็กๆเจอปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ
ฝึกให้เขาจะรู้จักหาทางออก และมีความมั่นใจในตัวเอง
เด็กเยอรมันส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยวิธีนี้
เมื่อโตขึ้นพวกเขาจึงสามารถปลีกตัวออกจากอ้อมอกพ่อแม่
และสร้างอนาคตในวันข้างหน้าด้วยตัวเขาเอง


   

 ลองมาศึกษาหลักการใหญ่ๆที่ชาวเยอรมันปลูกฝังในตัวลูกๆของพวกเขา


1.   ฝึกฝนให้รู้ความเป็นอยู่ของผู้คนประเทศอื่น และความคิดเห็นของคนอื่น

     ทุกๆปี จะมีนักเรียนระดับมัธยมมากมาย ใช้เวลาช่วงปิดเทอมใหญ่ 
เดินทางไปยังประเทศต่างๆที่ค่อนข้างยากจนในแถบแอฟริกาหรืออเมริกาใต้
พวกเขาไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ไม่ได้ไปหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษ
แต่มักเป็นงานพวกอาสาสมัครหรือจิตอาสา
พวกเขาเดินทางไปเพื่อฝึกฝนให้ตนเองอยู่ให้ได้ในสภาพสังคมแบบนั้น
เด็กๆจะดูแลและะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างของตัวเขาเอง
สิ่งที่พวกเขาได้รับคือได้เข้าใจและซึมซาบความยากลำบากของสังคมคนจน
รู้ซึ้งถึงความยากลำบากของคนอื่น
แล้วจะได้สำนึกถึงความสุขสบายที่ตนเองได้รับอยู่ในทุกวันนี้
นี่เป็นบทเรียนล้ำค่าที่เด็กๆชาวเยอรมันจะได้สัมผัสในช่วงขีวิตที่พวกเขากำลังเติบโต




     2.   การได้รับมรดกมากมายอาจไม่ใช่สิ่งดี

     พ่อแม่ชาวเยอรมันเห็นว่า ลูกหลานได้รับมรดกมากมายอาจไม่ใช่สิ่งดี
มีสิทธิ์ผลักดันให้พวกเขาดำดิ่งสู่ความหายนะ
นักธุรกิจใหญ่หรือเศรษฐีมากมายในเยอรมนีจึงบริจาคเงินทองมากมายให้องค์กรกุศล
และมักได้รับการสนับสนุนจากลูกหลานของพวกเขาเอง
พวกเขาคิดว่าอยากได้สิ่งใดก็ควรสร้างด้วยตนเอง
ช่วยให้พวกเขารู้จักและหวงแหนในสิ่งที่ตนหามาด้วยตัวเอง
มันน่าภูมิใจกว่ามากมาย




     3.   ต้องรู้จักให้เกียรติคนอื่น ตนจึงจะมีศักดิ์ศรี

     ชาวเยอรมันมักยึดมั่นในความคิดที่ว่า
สังคมเป็นเรื่องของส่วนรวม 
ทุกคนต้องช่วยกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ตนจึงจะอยู่ร่วมด้วยอย่างมีศักดิ์ศรี
สังคมจะดีนั้น เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน


     มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ตอนไปเที่ยวเยอรมัน
เมื่อเดินออกจากห้องน้ำสาธารณะ
มีคุณแม่ชาวเยอรมันยืนอยู่หน้าห้องน้ำชายถามเขาว่า
เห็นลูกชายของเขาในห้องน้ำหรือเปล่า
ลูกเขาเข้าไปนานแล้ว เพื่อนจึงเดินกลับเข้าไปสำรวจให้เขา
แล้วก็พบเด็กชายเยอรมันคนหนึ่ง
อายุประมาณ 11-12 ขวบ อยู่ในห้องสุดท้ายของห้องน้ำ
เด็กบอกเขาว่ากำลังซ่อมคันโยกของชักโครกอยู่ เพราะมันเสีย
แต่เขาไม่ต้องการให้สิ่งปฏิกูลของเขาที่อยู่ในโถชักโครกไปรบกวนคนอื่น
การทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ไม่ได้เป็นการให้เกียรติแก่ตนเองเลยสักนิด
พ่อแแม่ชาวเยอรมันสอนลูกด้วยวิธีนี้



 4.   ฝึกฝนศีลธรรม

     "ศีลธรรมที่ดีงามมาจากการซึมซาบ
ไม่ใช่มาจากการท่องจำ"
ในหลักสูตรของพวกเด็กนักเรียน
เขาสอนให้เด็กรู้จักดูแลตัวเองให้อยู่ได้กับสังคมอย่างมีระเบียบ
มีปัจจัยหลักๆที่เน้นเป็นพิเศษก็คือ
“รักชีวิต รักความยุติธรรม ซื่อสัตย์ และมีสัจจะ”
โรงเรียนจะเน้นให้นักเรียนศึกษาหลักการของศาสนาให้ลึกซึ้ง
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ พุทธ หรือเต๋า
สิ่งดีงามที่ศาสนาบ่มเพาะไว้
ย่อมสามารถนำพาให้เด็กมีความคิดและมีความประพฤติที่ดีจากส่วนลึกของจิตสำนึก




     5.  เด็กๆชาวเยอรมัน เรียนหนังสือแค่ครึ่งวัน

     ครูบาอาจารย์ไม่ได้มุ่งยัดเยียดความรู้ให้นักเรียน
แต่มีการสอนแบบองค์รวมของวิชาต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยา มนุษย์ศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา และความรู้อื่นๆทั่วๆไป ให้เด็กสัมผัสรับรู้ถึงความรู้ขั้นพื้นฐานแบบสิ่งละอันพันละน้อย

     เขาฉลาดพอที่จะให้เด็กๆ รับรู้จากความรู้พื้นฐานทั่วๆไป
ให้เด็กเข้าใจสังคม ให้เด็กเข้าใจครอบครัว
และตั้งหัวข้อให้เด็กๆได้สนทนา แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
แสดงปาฐกถา และให้เด็กค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวพวกเขาเองหลังเวลาเรียน
นี่คือวิธีที่สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดของตัวเอง
ไม่ใช่ให้ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง

     เด็กๆแม้อายุจะยังไม่มาก แต่ครูมักหาหัวข้อสังคมมาให้เด็กๆได้สนทนากัน
ได้แสดงความคิดเห็น เสนอหนทางแก้ไขหรือหาทางออก
นี่คือวิถีเส้นทางเติบโตของเด็กๆชาวเยอรมัน
ช่วยให้พวกเขาสามารถบ่มเพาะให้คิดเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์และมีอิสระ




     6.  กิจกรรมร่วมกันคือวิธีของการอยู่ร่วมกัน

     ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหรือกีฬาที่ทำร่วมกัน
เด็กๆจะถูกปลูกฝังให้รู้จักอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติ
ส่งเสริมให้เด็กๆไปดูแลและสนทนากับคนแก่ในสถานเลี้ยงดูคนชรา
ร่วมกันเป็นจิตอาสาทำงานให้สังคม
เสริมสร้างให้เด็กๆมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมอย่างมีคุณค่า

     สังคมจะอยู่กันอย่างมีสำนึก
ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้า
ล้วนมาจากประชาชนที่มีสำนึกต่อส่วนรวม
สำนึกในหน้าที่ของพลเมืองที่ดีและมีคุณภาพ


     การปลูกฝังสิ่งมีค่าเหล่านี้ไว้ในตัวเด็กตั้งแต่ก้าวแรกๆในสังคมของพวกเขา
เปรีบบเสมือนต้นกล้าที่ถูกบ่มเพาะดูแลอย่างดีที่ถูกวิธีตั้งแต่เริ่มแรก แล้วจะค่อยๆเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง มีรากที่สมบูรณ์และมั่นคง ยืนหยัดแข็งแกร่งอยู่ได้ด้วยตัวเขาเอง
แล้วพวกเขาก็จะรวมกันเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ให้คุณค่าให้ความร่มรื่นตลอดไป



www.facebook.com/Flintlibrary 

"ขจรศักดิ์" 
แปลและเรียบเรียง
Credit: kknews.com
ที่มา 
https://www.winnews.tv/news/26370

ขอบคุณของแต่งบล็อก...

132
ญามี่  / June July August / ชมพร  / เรือนเรไร  /  oranuch_sri / goffymew / Zairill




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2562    
Last Update : 8 สิงหาคม 2562 8:30:38 น.
Counter : 1412 Pageviews.  

❉อ่านแล้วน้ำตาจะไหล รักที่ยิ่งใหญ่คือรักของแม่



อ่านแล้วน้ำตาจะไหล รักที่ยิ่งใหญ่คือรักของแม่
132
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก 5ni.ta/posts

ของแต่งบล็อก....
ญามี่  /  ชมพร Rainfall in August




 

Create Date : 24 เมษายน 2562    
Last Update : 24 เมษายน 2562 8:53:51 น.
Counter : 1069 Pageviews.  

❤สำหรับคุณลูกๆนะ☆ทำไมเกิดเป็นชายต้องมาบวชสามเณร..ก่อนที่จะเถียงแม่



ทำไมเกิดเป็นชายต้องมาบวชสามเณร..ก่อนที่จะเถียงแม่

เย็นวันหนึ่ง ลูกชายวัยมัธยมปลายถูกคุณแม่บ่นว่าเรื่องไม่ยอมเก็บห้องนอน

กินข้าวไม่เป็นเวลา ออกไปไหนไม่บอกก่อนล่วงหน้า ฯลฯ

หนุ่มน้อยทนไม่ได้ เพราะคิดว่าแม่ชอบจู้จี้จุกจิกเรื่องส่วนตัวของเขา
ก็เลยเถียงแม่ออกไปด้วยเสียงอันดัง ทำให้คุณแม่ยิ่งโมโหที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง

คุณพ่อเห็นท่าจะไม่ดี ก็เลยกันลูกชายออกมาและพาไปเดินเล่น
เดินไปด้วยกันเป็นนานสองนาน คุณพ่อจึงพูดกับลูกชายว่า

“การที่ลูกจะเถียงแม่ได้นั้น มีข้อแม้ว่า หากลูกทำได้ใน10ข้อนี้ ลูกจึงมีคุณสมบัติที่จะเถียงแม่ได้!”

“อะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถามคุณพ่อ

"ตั้งใจฟังนะ"


1.อาเจียนหลังกินข้าวทุกมื้อเป็นเวลาสามเดือน(แพ้ท้อง)

2.หัวนมถูกกัดแต่ต้องยอมอดทนไม่กล้าตี(ช่วงที่ฟันของลูกขึ้นใหม่ๆ)

3.เอาลูกบอลใส่ท้องและเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือนเป็นเวลาสิบเดือน(ตั้งท้อง)

4.เจ็บปวดเหมือนถูกแส้เฆี่ยนตีเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง(ช่วงคลอดลูก)

5.งดน้ำแข็ง ชา กาแฟและของชอบแต่ส่งผลร้ายต่อลูกในครรภ์เป็นเวลาสิบเดือน

6.เวลานอนพลิกตัวไม่ได้เป็นเวลาห้าเดือน

7.งดเที่ยว งดกระโดดโลดเต้นเป็นเวลาสิบเดือน

8.ห้ามป่วยเป็นอันขาดเป็นเวลาสิบเดือน ต่อให้ป่วยก็กินยาปฏิชีวนะไม่ได้

9.เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเช็ดอ๊วก เปลี่ยนผ้าอ้อมซักผ้าอ้อม ล้างก้นเป็นปีๆ

10.กลางคืนต้องตื่นทุกๆ สองชั่วโมง แต่ละช่วงใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีประมาณสามเดือน

พ่อลูกเดินคุยกันจนมาถึงหน้าบ้าน คุณพ่อตบบ่าลูกชายแล้วพูดว่า

“เดี๋ยวเข้าบ้านไป ให้เกียรติกับผู้หญิงของฉันด้วยนะ”

“ฮ่าๆ ครับๆ ต่อไปผมจะให้เกียรติผู้หญิงของพ่อให้มากกว่านี้ครับ”

เมื่อลูกชายเข้าบ้านก็ตรงไปกอดและขอโทษคุณแม่
......................
ก่อนที่จะเถียงแม่ คิดก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติในสิบข้อนี้หรือเปล่า?


Cr / ไม่ทราบแหล่งที่มา แต่ขอชื่นชมผู้เขียนด้วยความเคารพนะครับ

ภาพประกอบ : Helen Camina

เครดิต ภาพและบทความโดย เฟสบุ๊ค ดินดาว เพชรเงินทอง

ของแต่งบล็อกโดย....
ญามี่ //  ชมพร  //  Rainfall in August




 

Create Date : 23 เมษายน 2562    
Last Update : 23 เมษายน 2562 8:09:10 น.
Counter : 337 Pageviews.  

ความก้าวร้าวในเด็ก ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม



 

 
ความก้าวร้าวในเด็ก ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม
ความก้าวร้าว เกเร รุนแรง เป็นปัญหาใหญ่ที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น แต่ที่ผ่านมาพ่อแม่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าความก้าวร้าว 

ความก้าวร้าว เกเร รุนแรง เป็นปัญหาใหญ่ที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น  แต่ที่ผ่านมาพ่อแม่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าความก้าวร้าวเป็นการพัฒนาความกล้าแสดงออกของเด็กปกติ ทั่ว ๆ ไป  จึงไม่ห้ามปราม

          ความก้าวร้าว รุนแรง เป็นโรคทางพฤติกรรมชนิดหนึ่งเรียกว่าโรคพฤติกรรมเกเรก้าวร้าว (conduct disorder) ต้องได้รับการกล่อมเกลาบำบัดรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ยังเล็กจะช่วยให้ดีขึ้น โรคนี้หากปล่อยไปเรื่อย ๆ เมื่อเด็กโตขึ้นกว่าร้อยละ 40 อาจทำให้เป็นนักเลงอันธพาลได้ และนำมาสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น เกิดความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหายาเสพติด และพฤติกรรมทางเพศก่อนวัยอันควร

          ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตในปี 2559 ในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ13-17 ปีที่มีประมาณ 4 ล้านกว่าคน พบเป็นโรคพฤติกรรมเกเรก้าวร้าวร้อยละ 3.8 คาดว่ามีประมาณ 1. 5 แสนคนทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นชาย สาเหตุที่ทำให้เด็กก้าวร้าวมีหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานของเด็กที่เป็นเด็กเลี้ยงยาก เจ้าอารมณ์ ซึ่งมีประมาณร้อยละ 15  หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง เช่นเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โรคออทิสติก โรคซึมเศร้า และสมองพิการ หรือมาจากสภาพสังคมสิ่งแวดล้อม ซึ่งพบว่าเด็กที่ดูหนัง เล่นเกมที่มีเนื้อหาต่อสู้รุนแรงบ่อย ๆ จะมีผลให้เด็กมีจิตใจฮึกเหิม อยากเลียนแบบ แต่ปัจจัยที่เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือครอบครัวและการเลี้ยงดู

          การเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวมี 7 รูปแบบ ได้แก่

1. เลี้ยงแบบทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ดูแล 

2. ใช้วิธีลงโทษเด็กรุนแรง 

3. เลี้ยงแบบตามใจเด็ก เพราะกลัวเด็กไม่รัก  

4. ครอบครัวมีการทะเลาะวิวาท ด่าทอ ตบตีกันให้เด็กเห็นบ่อยๆ  

5. ชอบแหย่เด็กหรือยั่วยุอารมณ์ให้เด็กโมโห  

6. การเลี้ยงดูเด็กที่ขาดการจัดระเบียบวินัยความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน และ 

7. การให้ท้ายเด็กเมื่อทำผิด ทำให้เด็กคิดว่าเรื่องผิดเป็นเรื่องถูกต้อง

          แพทย์หญิงกุสุมาวดี คำเกลี้ยง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า  พฤติกรรมก้าวร้าวเช่นการโต้เถียงผู้ใหญ่พบในเด็กทั่วไปได้ เมื่อโตขึ้นพฤติกรรมจะลดลงเรื่อยๆ แต่หากเด็กมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้จะเข้าข่ายว่ามีพฤติกรรมเกเรก้าวร้าวรุนแรง ได้แก่ ทำร้ายคนอื่น ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายหรือทรมานสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ฉ้อโกงหรือขโมย ละเมิดกฎอย่างรุนแรง เช่น หนีออกจากบ้าน หนีโรงเรียน ซึ่งในเด็กผู้ชายมักเป็นในช่วงอายุ 10-12 ปี ผู้หญิงจะเป็นในช่วงอายุ  14-16 ปี

          การแก้ไขและป้องกันปัญหาเด็กก้าวร้าว  จะต้องเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก มีข้อแนะนำ 7 ประการ  ดังนี้

     1. ผู้ใหญ่ควรควบคุมให้เด็กหยุดความก้าวร้าวด้วยความสงบ เช่น ใช้การกอดหรือจับให้เด็กหยุด หลังจากที่เด็กอารมณ์สงบแล้ว ควรพูดคุยถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่พอใจจนแสดงความก้าวร้าว  

     2.ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเข้าไปเสริม การลงโทษอย่างรุนแรงไม่ช่วยให้ความก้าวร้าวดีขึ้น เด็กอาจหยุดพฤติกรรมชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาแสดงพฤติกรรมนั้นอีก อาจเรื้อรังไปจนโตเป็นผู้ใหญ่  

     3.ไม่ควรมีข้อต่อรองกันขณะเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว 

     4. ควรเริ่มฝึกฝนเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบให้รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง เช่น ฝึกให้แยกตัวเมื่อรู้สึกโกรธ   

     5. ฝึกให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจ มีจิตใจโอบอ้อมอารี 

     6.หลีกเลี่ยงการตำหนิ เปรียบเทียบ จะทำให้เด็กมีปมด้อย  

     7. ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างของความปรองดองเป็นมิตรต่อกัน และมีวินัย
*
ขอบคุณข้อมูลจาก : เดลินิวส์ , สสส.
 
 
  




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2561    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2561 18:25:57 น.
Counter : 568 Pageviews.  

คู่จิ้นสายบุญตัวจริง “ณเดชน์ - ญาญ่า”





ทำบุญร่วมชาติ “ณเดชน์ - ญาญ่า” เกี่ยวก้อยทำบุญกฐินที่ขอนแก่น

เรียกว่าเป็นคู่จิ้นสายบุญตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ สำหรับสองซุปตาร์คู่พระคู่นาง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” กับ “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” ที่ล่าสุด(21 ต.ค.) ทั้งสองพร้อมครอบครัวและแฟนคลับ ได้ร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคี ณ วัดหนองแวง อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของณเดชน์ โดยมีพระธรรมวิสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองแวง พระอารามหลวงที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 9 พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมาร่วมกันทอดถวาย โดยยอดกฐินทั้งหมดได้เงินจำนวน 2,358,029.50 บาท...


ขอบคุณภาพ และ ข้อมูล
https://www.facebook.com/fhunlong/posts/1341952899261391




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2560    
Last Update : 25 ตุลาคม 2560 10:56:41 น.
Counter : 1333 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.