(ต่อจากฉบับวันเสาร์ที่แล้ว) จากงานวิจัยของอาจารย์ ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ที่นำมาเสนออย่างต่อเนื่องนี้นับเป็นงานวิจัยที่มีคุณูปการต่อวงการศึกษาและสะสม พระพุทธรูป ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นการให้คำตอบ ต่อบรรดานักศึกษาและนักสะสมได้เป็นอย่างดี พร้อมเป็นการไขปริศนาความลับที่มีมายาวนานนี้ทำให้การศึกษาและสะสม พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน นอกจากง่ายขึ้นแล้วยังไม่สับสนหรือวกวนต่อผู้สนใจศึกษาอีกด้วย เนื่องจากการสร้างพระพุทธรูปในสมัยต่อมาถึงปัจจุบันมักจะมีการสร้างพระพุทธรูปในลักษณะ เลียนแบบ ศิลปะเก่าแก่อยู่เสมอประกอบกับการสร้างเลียนแบบนั้นมีอายุความเก่า ที่ใกล้เคียงกับศิลปะต้นแบบก็ยิ่งทำให้มีความสับสนต่อการแยกแยะ จึงมีการทึกทักพร้อมเหมารวมว่าเป็นการสร้างในยุคเดียวกันไปเลย ดังนั้นผลงานการวิจัยของ อาจารย์ ศักดิ์ชัย สายสิงห์ จึงถือว่าเป็นการยุติได้แบบเบ็ดเสร็จเพราะเป็นการวิจัย ที่ค้นคว้าหาความจริงจากหลักฐานทางโบราณคดี ที่ยังมีปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนั่นเอง
ยุคทองที่รับอิทธิพลจากศิลปะ สุโขทัย
ในยุคทองของ ศิลปะล้านนา นี้นอกจากมีการสร้างพระพุทธรูปแบบ เชียงแสนสิงห์หนึ่ง และ พระพุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ แล้วการสร้างพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลจาก ศิลปะสุโขทัย ในรัชสมัยของ พระเจ้าติโลกราช ก็ได้รับความนิยมจัดสร้างขึ้นเช่นเดียวกัน กับยุคที่อิทธิพลศิลปะสุโขทัยได้แผ่เข้ามายังอาณาจักรล้านนาในสมัย พระเจ้ากือนา ผู้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่ง ราชวงศ์เม็งราย ซึ่งก็คือครั้งที่พระเจ้ากือนาอาราธนา พระสุมนมหาเถระ จากอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบ ลังกาวงศ์ ในอาณาจักรล้านนาจึงเป็นการส่งอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย ที่มีต่อพระพุทธรูปในอาณาจักรล้านนาเป็นครั้งแรก ส่วนครั้งต่อมาก็คือในรัชสมัยของ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็มีความนิยมจัดสร้างพระพุทธรูปในกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจาก ศิลปะสุโขทัย จึงเป็นการส่งอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยในอาณาจักรล้านนาเป็นครั้งที่สอง และในครั้งนี้ถึงแม้จะได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยก็ตามแต่ศิลปะแบบล้านนาในยุคนี้ ก็ได้มีพัฒนาการเป็นของตนเองกระทั่งมีศิลปะเป็นเอกลักษณ์ ในศิลปะล้านนาที่ผสมผสานกับศิลปะสุโขทัยกลายเป็นความลงตัว ที่กลมกลืนได้เป็นอย่างดีดังนั้นในสมัยของ พระเจ้าติโลกราช ที่มีการยอมรับว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนา ก็รับเอาอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยส่งผลให้ศิลปะยุคนี้ เป็นศิลปะแบบผสมผสานระหว่างศิลปะ สุโขทัยกับศิลปะล้านนา และในยุคทองของอาณาจักรล้านนาก็มิใช่จะมีแต่ในรัชสมัยของ พระเจ้าติโลกราช เท่านั้นในรัชสมัยต่อ ๆ มาเช่นในรัชสมัยของ พระเมืองแก้ว ก็ถือเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนาด้วยเช่นกัน ดังนั้นการผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับศิลปะสุโขทัยจึงเกิดขึ้นในยุคนี้ด้วย และมีวิวัฒนาการของการเป็นศิลปะมากกว่าการส่งอิทธิพล ของศิลปะสุโขทัยในยุคแรกซึ่งในข้อนี้อาจารย์ ศักดิ์ชัย ได้มีบทวิเคราะห์ไว้ดังนี้
นอกจากการสร้างพระพุทธรูปแบบสิงห์หนึ่งที่สืบทอดมาจากงานในยุคก่อนหน้านี้ นอกจากจะเป็นที่นิยมอย่างมากในระยะเวลานี้แล้ว ยังได้พบงานอีกกลุ่มหนึ่งที่มีพัฒนาการต่างออกไปเล็กน้อยกล่าวคือ ยังรักษาระเบียบของพระพุทธรูปแบบสิงห์หนึ่งไว้ในส่วนของแบบขัดสมาธิเพชร และเหนืออุษณีษ์เป็นต่อมกลม แต่ลักษณะพระพักตร์และพระวรกาย กลับมีอิทธิพลของกลุ่มพระพุทธรูปสุโขทัยเข้ามาผสมได้แก่ พระพักตร์บอบบางและเป็นรูปไข่มากขึ้น พระวรกายเพรียวพระอุระไม่นูน และที่สำคัญคือเป็นกลุ่มพระพุทธรูปที่มีจารึกและสร้างพร้อมขึ้นกับรุ่นแรก (ศักดิ์ชัย สายสิงห์ : ศิลปะเมืองเชียงแสน หน้า ๑๗๖)
จะเห็นได้ว่าการสร้างพระพุทธรูปของ อาณา จักรล้านนาทั้งสองยุค ล้วนรับเอาอิทธิพลจากสุโขทัยด้วยกันคือยุคแรกในรัชสมัยของ พระเจ้ากือนา จะสร้างพระพุทธรูปเลียนแบบศิลปะสุโขทัยล้วน ๆ โดยมิได้มีพัฒนาการทางศิลปะเป็นแบบการผสมผสาน เฉกเช่นการสร้างพระพุทธรูปของล้านนาในระยะที่สองที่อยู่ในรัชสมัยของ พระเจ้าติโลกราช ที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนาที่มีอิทธิพลของ ศิลปะเชียงแสน อยู่มากและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นจากการผสมผสานทางศิลปะขึ้นมา กระทั่งเห็นข้อแตกต่างระหว่างอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยยุคแรก กับอิทธิพลศิลปะสุโขทัยยุคที่สองได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาในเรื่องความแตกต่าง ระหว่างศิลปะล้านนาที่รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยในระยะแรก กับอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยในยุคที่สอง ซึ่งอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยในระยะแรกก็คือในรัชสมัยของ พระเจ้ากือนา จะสร้างพระพุทธรูปเลียนแบบ ศิลปะสุโขทัย และที่ฐานพระพุทธรูปจะไม่มีการจารึกอักษรระบุศักราชที่สร้าง พร้อมผู้สร้าง และวัตถุประสงค์ในการสร้าง ส่วนพระพุทธรูปล้านนาในยุคทองซึ่งเป็นยุคที่รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย ในระยะที่สองซึ่งการสร้างพระพุทธรูปในยุคนี้จะมีการจารึกอักษรระบุศักราช และอักษรธรรมล้านนา พร้อมระบุชื่อผู้สร้าง รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการสร้าง ดังเช่นการสร้างพระพุทธรูปล้านนาที่เลียนแบบ พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง นี่คือข้อแตกต่างระหว่างอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยในระยะที่สอง อันเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนาซึ่งเรื่องราวเหล่านี้อาจารย์ ศักดิ์ชัย ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้
สำหรับอิทธิพลศิลปะสุโขทัยพระพุทธรูปในกลุ่มนี้ ได้แก่พระพุทธรูปที่แสดงลักษณะอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่แต่เดิมเรียกว่าแบบ เชียงแสนสิงห์สอง โดยใช้ข้อสังเกตที่ว่าเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจ ในการสร้างมาจากวิวัฒนาการของสุโขทัย ที่เริ่มขึ้นในระยะที่สองแต่ในยุคนี้ล้านนาก็ได้พัฒนารูปแบบเกิดเป็นลักษณะเฉพาะตัว โดยลักษณะของสังฆาฏิจะต่างจากสุโขทัยที่เป็นหยักโค้งลายคลื่น ทำให้นักวิชาการบางท่านเรียกพระพุทธรูปในยุคนี้ว่า รูปแบบผสม และจากการศึกษาพระพุทธรูปล้านนาจะพบว่าพระพุทธรูปกลุ่มนี้ มีรูปแบบที่แพร่หลายและเหลือหลักฐานให้ศึกษามากที่สุดในล้านนาโดยเฉพาะในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช ถึงรัชสมัยของพระเมืองแก้ว เช่น พระพุทธรูปปางมารวิชัยในวิหารวัดเจดีย์หลวงมีจารึกที่ฐานว่า พระเจ้าแสนทององค์นี้สร้างขึ้นโดยธานีในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ และหวังไป เกิดในยุคทองของพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งในรัชสมัยของพระเมืองแก้วนี้ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับพระศาสนามากที่สุดในล้านนา โดยเฉพาะหลักฐานการสร้างวัดและพระพุทธรูปที่ปรากฏในจารึก พบว่าตัวอย่างของพระพุทธรูปในการศึกษาครั้งนี้มีถึง ๔๑% ที่จัดอยู่ในสมัยนี้และพระพุทธรูปส่วนใหญ่มีจารึกบอกปีที่สร้างถึง ๗๑% (ศักดิ์ชัย สายสิงห์ : ศิลปะเมืองเชียงแสน หน้า ๑๗๖-๑๗๗)
จากทรรศนะและข้อคิดเห็นของ อาจารย์ศักดิ์ชัย เกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปของอาณาจักรล้านนา ในยุคทองนี้ ทำให้ทราบว่าการสร้างพระพุทธรูปของอาณา จักรล้านนา นอกจากจะเป็นการสร้างเลียนแบบของเก่าแล้วการรับเอาอิทธิพลของศิลปะต่างอาณาจักร อย่างเช่นอาณาจักรสุโขทัยแม้จะมีการเลียนแบบหรือการรับเอาอิทธิพลมาจากต่างอาณาจักรแต่ก็ยังมีวิวัฒนาการทางศิลปะของล้านนาผสมเข้าไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งแต่เดิมนั้นการเข้าใจอย่างผิวเผิน ของบรรดานักสะสมพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน จะเชื่ออย่างฝังใจและคิดเพียงด้านเดียวว่าพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน มีการสร้างขึ้นมาที่เมืองเชียงแสนเพียงเมืองเดียว ซึ่งในความเป็นจริงนั้นจากการ ค้นคว้าศึกษาหาหลักฐานทำให้ทราบว่าพระพุทธรูปเชียงแสนเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใน อาณาจักร ล้านนา ประกอบกับเชียงแสนเป็นเมืองท่าที่สำคัญของอาณาจักรล้านนา และชื่อของเมืองเชียงแสนก็เป็นชื่อที่มีมงคล และคล้องจองกับพระพุทธรูปจึงมีความเชื่อกันว่าถ้าได้บูชาแล้ว จะมีความร่ำรวย และมีความเจริญก้าวหน้า ดังนั้นหากเป็นพระพุทธรูปในกลุ่มศิลปะเมืองเชียงแสน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างที่เมืองเชียงแสนเพียงเมืองเดียว เพราะข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็คือพระพุทธรูปที่มีการสร้างขึ้นมาในอาณาจักรล้านนานั้นได้ครอบคลุมไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่เมือง พะเยา น่าน เชียงราย ลำพูน ลำปาง ก็ล้วนแต่เป็นเมือง ในการปกครองของอาณาจักรล้านนาและมีเมือง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ (จ.เชียงใหม่) เป็นจุดศูนย์กลางการสร้างสรรค์งานศิลปะส่วนพระพุทธรูปที่รับเอาอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยเข้ามาผสมผสานนั้นก็มีวิวัฒนาการด้วยการสร้าง ฐานลายฉลุ และมีขารองรับฐานจำนวน ๓ ขา โดย อาจารย์ศักดิ์ชัย ได้ให้คำอธิบายไว้ดังนี้
ลักษณะของพระพุทธรูปโดยทั่วไปที่มีรูปแบบที่พบมาก เป็นกลุ่มพระพุทธรูปขัดสมาธิราบสายวิวัฒนาการของศิลปะสุโขทัย แต่ในสมัยนี้ได้พบพระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถใช้เป็นข้อสังเกตได้คือวิวัฒนาการของฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย ที่มีลายเกสรบัวและฐานอยู่ในผังแปดเหลี่ยมนิยมยกสูงขึ้น หรือบางกลุ่มเจาะเป็นช่องที่ในภาคเหนือ เรียกว่าช่องกระจก ซึ่งอาจจะมีที่มาจากลายเมฆที่มีอิทธิพลมาจากศิลปะจีน ที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยแล้วช่างล้านนานำมาดัดแปลงเป็นลายประดับฐานพระพุทธรูปและเจาะเป็นช่องพระพุทธรูปในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มีจารึกที่ฐานพบมากที่สุดในราวกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และได้เกิดความนิยมแบบใหม่ขึ้นมาคือส่วนฐานที่มีขารองรับ ๓ ขา โดยส่วนของขานี้มาจากสายท่อ (ชนวน) สำหรับหล่อพระพุทธรูปเมื่อหล่อเสร็จแล้วจะตัดทิ้ง แต่ความนิยมในสมัยนี้ได้เหลือไว้ไม่ตัดทิ้งจึงเป็นลักษณะเฉพาะ ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยของพระเมืองแก้ว (อ่านต่อฉบับหน้า) ภาพประกอบจากหนังสือ พระพุทธรูปเเละเทวรูปชิ้นเยี่ยม
"อดิศศวร"
ขอบคุณ นสพ เดลินิวส์