คนเรา... เลือกเกิดไม่ได้... แต่เลือกที่จะเป็นได้...
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 2 โรงงานทำลายความฝัน

หลังจากโดนมาตการเด็ดขาด ห้ามนำของมาขายในโรงเรียนของคุณครูเครือมาศ ซึ่งเป็นคุณครูประจำชั้น และมีแผงขายขนมอยู่หลังห้อง ก๊องส์ก็เลยต้องปิดกิจการไปโดยปริยาย ด้วยความที่เป็นเด็ก ครูคือผู้มีอำนาจสูงสุด เด็กนักเรียนทุกคน จะกลัวครู ก๊องส์ไม่ได้คิดอะไรมากและเข้าใจว่า การที่ก๊องส์นำขนมมาขายในโรงเรียนนั้น มันผิดกฎของโรงเรียน แต่คุณครูสามารถนำมาขายได้ และก๊องส์ก็เป็นลูกค้าประจำคนหนึ่งของคุณครูเช่นกัน โดยเฉพาะ เวลาเข้าแถวเสร็จแล้ว และทุกคนเข้ามายังห้องเพื่อเตรียมตัวเรียนวิชาแรก ก๊องส์และเพื่อนๆ ก็จะมาออกันอยู่หลังห้อง ตรงแผงขนม โดยมีคุณครูเครือมาศขึ้นนั่งอยู่บนแท่นเพื่อรับเงินและทอนเงิน วิชาแรกจะเริ่มเรียนกันก็ต่อเมื่อตลาดซื้อขายหลังห้องซาลงมาแล้ว คุณครูเครือมาศ ก็จะมาเริ่มสอนหนังสือ ส่วนนักเรียนก็ กินขนม อมลูกอม และเรียนไปอย่างมีความสุข ที่มีคุณครูใจดี ให้นักเรียนกินขนมในเวลาเรียนได้ แถมครูประจำชั้นคนเดียว สอนทุกวิชา และทุกวันอีกต่างหาก

เมื่อรายได้ประจำวันที่เคยได้ขาดหายไป 1 ช่องทาง แต่ก็ยังเหลือรายได้จากธุรกิจการวิ่งซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคให้เพื่อนบ้าน และการวิ่งขายหนังสือพิมพ์ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล และไม่นานนัก ช่องทางรายได้อีกทางก็วิ่งเข้ามาหาก๊องส์

"มีใครสนใจไปขายโปรแกรมม้าบ้าง" พี่แจ๋ว เพื่อนบ้านใกล้เคียงเอ่ยถามเด็กๆ ที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่ ทันทีที่ได้ยินคำถมจบลง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ประมวลผลคำถาม ก๊องส์ก็ยกมือขึ้นก่อนเพื่อนเลย เสนอตัวก่อนแล้วค่อยฟังเงื่อนไขทีหลัง

"ต้องไปขายที่หน้าสนามม้า วันเสาร์กับวันอาทิตย์ ขายสักครึ่งวันก็หมดแล้วล่ะ ให้กำไรเล่มละ 1 บาท ใครสนใจจะไปบ้าง" พี่แจ๋วอธิบายงานให้เด็กๆ ฟัง นอกจากก๊องส์แล้ว เด็กๆ คนอื่นไม่มีใครสนใจเลย อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ก็เลยนึกกลัวและไม่กล้า แต่สำหรับก๊องส์แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ถึงแม้ว่า สนามม้ามันอยู่ทางไหนและจะไปได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย แต่กำไรเล่มละตั้ง 1 บาท มากกว่าหนังสือพิมพ์ที่ก๊องส์วิ่งขายซะอีก

ที่หน้าสนามม้า ก๊องส์ไปถึงที่หมายแล้วเรียบร้อย พี่แจ๋วกำลังรออยู่พอดี เมื่อพี่แจ๋วมองเห็นก็องส์ก็รีบกวักมือให้เข้าไปหาด้วยท่าทีที่รีบร้อน

"ก๊องส์ เร็วๆ หน่อย เดี๋ยวลูกค้าจะมาแล้ว..." พี่แจ๋วเสียงบอกก๊องส์อย่างเสียงดังฟังชัด
"นี่ เอาไป พี่นับไว้ให้แล้ว 50 เล่ม เอาไปดักรอด้านหน้าๆ เลยนะ ตรงประตูทางเข้าเลย" พี่แจ๋วแนะนำขั้นตอนให้ ส่วนก๊องเมื่อฟังจบก็ไม่รอช้า วิ่งปู๊ดเดียวก็ถึงประตูทางเข้าสนามม้า ผูคนเริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว บางคนก็มารถเมล์ บางคนก็มาสามล้อปั่น บางคนก็ขับรถเก๋งส่วนตัวมาเอง เรียกได้ว่า ที่นี่เป็นที่อีกแห่งหนึ่ง ที่รวมคนทุกชนชั้นให้ทำกิจกรรมร่วมกันได้

โปรแกรมม้าที่ก๊องส์ขายมีปกเป็นสีขาว เป็นเจ้าใหม่ ที่เพิ่งจะทำขึ้นมา โดยวันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มขาย ส่วนปกสีแดง จะเป็นเจ้าเก่า ทำมานานแล้ว ลูกค้าจึงมักจะซื้อปกแดง เพราะในหนังสือโปรแกรมม้านั้น นอกจากจะแสดงโปรแกรมการแข่งขันของม้าในแต่ละเที่ยวแล้ว ก็ยังจะมีเซียน เขียนวิเคราะห์ว่าม้าตัวไหนเที่ยวไหนจะชนะการแข่งขัน แต่ก๊องส์ก็สามารถขายได้ถึง 100 เล่ม

“คนเรา... เลือกเกิดไม่ได้... แต่เลือกที่จะเป็นได้” นี่คือความจริง เด็กชายก๊องส์ กำลังเลือกที่จะเป็นมหาเศรษฐีโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่วิ่งเล่นด้วนกันแถวๆ บ้านนั้น เมื่อพี่แจ๋วมาชวนไปขายโปรแกรมม้า เพื่อนๆ คนอื่นๆ ไม่มีใครสนใจ พวกเขาเลือกที่จะเป็นเด็กและวิ่งเล่นสนุกสนานไปวันๆ แต่เด็กชายก๊องส์กับไม่คิดอย่างนั้น ก๊องส์เลือกที่จะแบ่งเวลาวิ่งเล่น มาวิ่งขายโปรแกรมม้า และกลับไปวิ่งเล่นกลับเพื่อนๆ อีกครั้ง หลังเที่ยง เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งที่ก๊องส์ขายหายไปก็คือ ความสนุกในกลุ่มเพื่อนๆ เมื่อเช้านี้ แต่ได้รับเงิน 100 บาทกลับมาแทน และก็สามารถสนุกกับเพื่อนๆได้ในช่วงบ่าย

แต่สิ่งที่ก๊องส์ได้กลับมา ไม่ใช่เพียงแค่เงินกำไรจากการขาย 100 บาท หากแต่เขาได้ประสบการณ์ มันเป็นประสบการณ์เล็กๆ ที่เปรียบเสมือนก้อนอิฐก้อนเล็กๆ ที่ถูกก่อด้วยปูนรวมๆ กัน กลายเป็นตึกใหญ่โตมโหฬาร มันไม่แปลกเลย ที่ในวันที่เด็กชายก๊องส์ประสบความสำเร็จ แต่เพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกัน กลับมีชีวิตที่เหมือนๆ เดิม หรือบางคน แย่ลงไปกว่าเดิม และคนเหล่านี้ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ก๊องส์เก่ง ก๊องส์โชคดี ก๊องส์มีบุญวาสนา เพราะเขามองดูที่การประสบความสำเร็จของก๊องส์ในปัจจุบัน ไม่มีใครเลยที่จะเห็นเบื้องหลังว่า กว่าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ มีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง มันไม่ใช่แค่เพียงตัดสินใจลงมือทำสิ่งนี้ และก็ประสบความสำเร็จได้เลย การเลือกที่จะทำและไม่ทำสิ่งต่างๆ ในอดีตต่างหาก ที่ส่งผลต่อคนเราในปัจจุบัน และแน่นอน การตัดสินใจที่จะทำและไม่ทำสิ่งใดในวันนี้ ก็จะส่งผลต่อคนเราในอนาคตเช่นกัน

เด็กชายก๊องส์จัดได้ว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง มีสติปัญญาและไหวพริ๊บปฏิภาณดี มักจะสอบได้ที่ 1 เป็นประจำ รวมทั้งความสามารถในเรื่องต่างๆ เรียกได้ว่าครบเครื่อง แต่ก็นั่นแหล่ะ คนเรามักจะเป็นแบบเดียวกันกับสังคมที่เราเลือกคบค้าด้วย เมื่อชั้นประถม ทุกคนจะพูดถึงการสอบที่ได้ 1 กลุ่มที่ก๊องส์เลือกคบค้าสมาคมด้วย คือกลุ่มที่ตั้งใจเรียน และมีเป้าหมายคือสอบได้ที่ 1 และแน่นอน ก๊องส์และเพื่อนๆ ทั้งกลุ่ม จะสอบได้อันดับต้นๆ ข้องห้องเป็นประจำ แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยม เป้าหมายของการเรียนก็เปลี่ยนไป อาจารย์บอกว่า ถ้าต่ำกว่า 50% ถือว่าตก หากผ่าน 50% ได้ ก็จะสอบผ่าน นั่นคือเงื่อนไขในการเรียนที่แห่งใหม่นี้ที่ก๊องส์ได้รับมา รวมทั้งอาจารย์ไม่มีรางวัลหรือพูดถึงคนสอบได้ที่ 1 เหมือนสมัยเรียนชั้นประถมเลย เมื่อไม่มีรางวัลล่อใจ หรือเรียกง่ายๆว่า ไม่มีเป้าหมายให้พิชิต มันก็ไม่มีอะไรท้าทายก๊องส์อีกแล้ว ก๊องส์เรียนๆ เล่นๆ ก็สอบผ่านสบายๆ ไม่เคยตก ดังนั้นการตั้งใจเรียนจึงไม่ใช่สิ่งที่ก๊องส์ต้องการอีกต่อไป ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน เพื่อนๆ ของก๊องส์ จากกลุ่มที่ตั้งใจเรียน ก็เปลี่ยนมาเป็นกลุ่มที่เรียนๆ เล่นๆ จากการวิ่งจองที่นั่งเรียนหน้าสุดเพื่อให้ไม่พลาดในสิ่งที่อาจารย์สอน เปลี่ยนมาเป็นการวิ่งจองนั่งหลังห้องเพื่อหามุมเหมาะๆ และแอบหากิจกรรมสนุกๆ เล่นกัน และแน่นอน เกรดเฉลี่ยของก๊องส์ ก็ไม่ได้แตกต่างจากเพื่อนๆ ในกลุ่มเลย คือ ผ่านบ้าง ตกบ้าง แต่เพื่อนๆ ในกลุ่มถือเป็นเรื่องธรรมดา ผ่านก็ดีใจ ตกก็ซ่อม

มันไม่แปลกอะไรเลย และธรรมชาติก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กลุ่มที่สนใจในเรื่องการเรียนก็จะมีเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนเกี่ยวกับข้อสอบมาสนทนากัน เช่น

"เฮ้ย!.. วันนี้ข้าไปเจอข้อสอบมาข้อหนึ่งว่ะ... โจทย์มันซับซ้อนกว่าที่อาจารย์สอนอีกนะโว๊ย... ข้าใช้เวลาตั้งเกือบ 20 นาทีแน่ะ กว่าจะทำได้" เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

"จริงเหรอวะ... ไหนๆ เอาโจทย์มาเลย แล้วพวกเรา มาลองทำแข่งกันไหมล่ะ ใครจะเสร็จก่อนกัน" เพื่อนอีกคนเสนอ และความรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ในเรื่องการเรียนในทำนองนี้ก็จะถูกนำเข้ามาสู่สังคมของสมาชิกในกลุ่มเรื่อยๆ และก็ไม่แปลก ที่สมาชิกของกลุ่ม จะสอบได้เกรดเฉลี่ยดีๆ ทั้งนั้น

ส่วนกลุ่มของก๊องส์ ก็ได้เรื่องที่อยู่ในความสนใจใหม่ๆ และท้าทายมาสนทนาในกลุ่มไม่แตกต่างจากกลุ่มแรก

"เฮ้ย!.. วันนี้ข้าไปเจอการเล่นอันหนึ่งมาโว๊ย... เพื่อรุ่นพี่ข้างบ้านข้าสอนเล่น มันไม่ยากเลยนะ... แอบเล่นหลังห้องตอนอาจารย์สอนยังได้เลย" เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

"จริงเหรอวะ... ไหนๆ เอามาเลย แล้วพวกเราลองมาเล่นกันไหมล่ะ ว่าใครจะชนะ" เพื่อนอีกคนเสนอ และกลุ่มของก๊องส์ ก็เริ่มเล่นเกมส์เปิดหนังสือดูเลขหน้า ว่าตัวหลังสุดเป็นเลขอะไร ถ้าเป็น 0,1,2,3,4 เรียกว่าต่ำ และถ้าเป็น 5,6,7,8,9 เรียกว่า สูง จะต้องมีคนหนึ่งคนเป็นเจ้ามือ และคนที่เหลือก็เลือกแทงได้ตามสบาย และจากการแทงเล่นๆ ด้วยปากเปล่า ก็เริ่มพัฒนาไปสู่สิ่งที่ท้าทายมากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือ การใช้เงินแทง และแน่นอน การพนันในรูปแบบต่างๆ ก็จะถูกนำเข้ามาเล่าสู่กันฟังในกลุ่มให้ได้พัฒนากัน สมาชิกในกลุ่มก็จะเล่นเป็นมากประเภทขึ้นเรื่อยๆ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่สมาชิกในกลุ่มนี้ จะมีเกรดเฉลี่ยระดับแค่ผ่าน

และนี่ก็คือความลับระดับมัธยมที่เด็กชายก๊องส์ได้เรียนรู้โดยไม่รู้ตัว สังคมกลุ่มส่วนใหญ่ทั้งโลก ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ลองถอดจิตตนเองถอยหลังออกมามองดูตัวเองในกลุ่ม ก็จะเห็นว่า คนในกลุ่มที่เรากำลังคบค้าสมาคมอยู่ จะมีทัศนคติแบบเดียวกัน พูดคุยในเรื่องเดียวกัน สนุกในแบบเดียวกัน และมีรายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ บวกและลบ ไม่แตกต่างกันเท่าไรเลย และนี่ก็คือโรงงานฆ่าความฝันดีๆ นี่เอง

คนที่มีความฝันอยากเป็นนักก๊อฟระดับโลก แต่หลงเข้าไปอยู่ในสังคมพนันฟุตบอล ก็ไม่มีวันไปถึงฝัน วันเวลาที่ผ่านไป ผ่านไป ก็จะค่อยๆ ฆ่าความฝันของเขาลงไปทีละนิด ทีละนิดโดยไม่รู้ตัว... คนที่มีความฝันอยากเป็นดารา แต่ไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับการมีโอกาสได้เป็นดารา ก็ย่อมไม่ได้เป็นดารา... และก็ไม่ผิดหรอก สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่จะนำพาให้ตนเองไปสู่การประสบความสำเร็จ ก็จะไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกัน

มันเป็นเคล็ดลับธรรมชาติง่ายๆ ที่หลายๆ คนไม่รู้หรอกว่าตนเองสามารถเลือกได้ คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ ไม่ได้ให้เป็นไปตามสติปัญญา เช่นกลุ่มที่ชอบนินทาชาวบ้าน เมื่อมาทำงานแต่เช้า ลงเวลาทำงานเสร็จ มองเห็นเพื่อนในกลุ่มที่ชอบนินทาชาวบ้านเช่นกัน แม่เหล็กแห่งอารมณ์ซุบซิบจะดูดกันอย่างรุนแรง “แก... มานี่สิ ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง... แต่แกต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่เอาไปบอกต่อ...”

พฤติกรรมต่างๆ ถูกชักนำโดยอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ฯ มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ล้วนมีอารมณ์ต่างๆ เหมือนกัน ความแตกต่างของคนดีและคนไม่ดี ก็อยู่ที่การมีสติ รู้จักห้ามใจตนเองไม่ให้ทำตามอารมณ์ที่ไม่ควรทำ และทำตามอารมณ์ที่ควรทำ

แต่ละกลุ่มที่เราคบค้าสมาคมด้วย จะมีช่วงทาบทับกันไม่ต่างอะไรกับการวาดรูปวงกลมที่มีขอบพาดเกยกันเกิดเป็นพื้นที่ทับซ้อน และเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนนั้น เราก็จะสามารถเลือกได้ว่า เราจะมุ่งความสนใจเอนเอียงไปทางไหน และด้วยธรรมชาติของการพัฒนาตนเองของมนุษย์ การพัฒนาศักยภาพในด้านที่กำลังสนใจก็จะทำงานโดยอัตโนมัติทันที

เคล็ดลับข้อนี้จึงง่ายมาก สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จ คือพัฒนาตนเองจนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนของเป้าหมายที่เราอยากจะไปให้ถึง และเมื่อเข้าไปอยู่ตรงพื้นที่ทับซ้อนได้แล้ว ก็เปลี่ยนความสนใจไปที่กลุ่มใหม่ พูด, คุย, เล่น, ทำ, สนใจ ในเรื่องเดียวกันกับสมาชิกกลุ่มใหม่นี้ การพัฒนาตนเองก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องไม่ตั้งใจเรียนนี้ ดร.ก๊องส์ จะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เสียใจที่กระทำตัวไม่เป็นอย่างที่แม่ผู้เหนื่อยยากตั้งใจอยากให้ทำ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กชายก๊องส์ผู้แสนดีได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นเกรดลูกตกต่ำลง แม่ก็ได้แต่เข้าใจว่า การเรียนมันยากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้เรียนเก่งเรียนดีเหมือนเดิม แม่จึงนึกถึงเรื่องการเรียนพิเศษ เพื่อเป็นการเสริมการเรียนให้ก๊องส์

ลำพังเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในครอบครัวยังชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่แม่ก็พยายามทุ่มเทเพื่อให้ได้เงินเพิ่ม ขนาดนั้นยังไม่พอ ยังจะต้องติดหนี้ยืมสินเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาเป็นค่าลงทะเบียนเรียนพิเศษให้กับก๊องส์ แม่ดิ้นรนในโลกธุรกิจมาทั้งชีวิต แม่รู้ว่ามันสู้การรับราชการไม่ได้ หากไม่ทะเยอทะยานอยากร่ำอยากรวยแล้ว อาชีพราชการจะเป็นอาชีพที่ดี ยังไงๆ สิ้นเดือนก็มีเงิน ไม่มีเจ๊ง ไม่มีขาดทุน และการจะเป็นราชการได้ ก็คือการเรียนให้ได้คะแนนดีๆ เพื่อสอบแข่งขันสู้คนอื่นเขาได้

“ลูกรัก”แม่เรียกก๊องส์ขณะที่ก๊องส์กำลังนวดแขนให้แม่ แม่มักจะให้ก๊องส์เหยียบขา นวดแขนให้แม่เป็นประจำเกือบทุกคืน ก่อนที่ก๊องส์จะเข้านอน ส่วนแม่ ก็จะไปนั่งเย็บผ้าต่อ
“ครับ...” เด็กชายก๊องส์ขานรับพร้อมกับตั้งใจรอฟังแม่พูดต่อ
“แม่คงส่งลูกเรียนได้แค่จบ ม.6 นะลูก” แม่นิ่งไป ก๊องส์รู้ดีว่าแม่คงคิดมาหลายวันแล้วล่ะ ที่จะพูดกับก๊องส์เรื่องนี้ ส่วนก๊องส์ยังคงนิ่งเฉยและรอฟังแม่พูดต่อ
“ถ้าลูกอยากเรียนต่อระดับปริญญาตรี ลูกต้องสอบเข้าเรียนสาขาที่เขามีทุนให้นะ” แม่พูดต่อ และอธิบายอะไรอีกต่างๆ นาๆ ให้ก๊องส์ฟัง พร้อมกับให้เหตุผลเรื่อง งานราชการที่มั่นคงกว่าอาชีพอื่นๆ ส่วนก๊องส์ก็ยังคงไม่พูดอะไร มือก็ยังคงนวด ที่แขนของแม่เพื่อให้แม่คลายความเมื่อยล้า น้ำน้อยๆ เอ่อขึ้นมาล้นตา ก๊องส์พยายามกระพริ๊บตาเพื่อกลืนน้ำตาให้กลับลงไปคืนเพราะไม่อยากให้แม่เห็น ที่น้ำตาไหลเอ่อขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพราะคำพูดที่แม่บอกว่าไม่สามารถส่งเรียนต่อได้หรอก แต่เพราะก๊องส์รู้สึกผิดที่ไม่ได้ตั้งใจเรียน เพราะก๊องส์รับรู้ได้ว่า แม่เหนื่อยแสนเหนื่อยขนาดไหน กับการต่อสู้ชีวิต กับการหาเงินมาจุนเจือครอบครัว กับการชักหน้าไม่ถึงหลังของรายได้กับรายจ่าย เรื่องพวกนี้ แม่ไม่เคยปิดบังลูกๆ เลย และลูกๆ ทุกคนก็เข้าใจ ไม่เคยมีใครคนไหนร้องไห้โยเย เพื่อขอให้แม่ซื้อชองเล่นให้เลยสักครั้ง ก๊องส์และพี่น้องอีก 3 ชีวิต ไม่เคยมีของเล่น อยากเล่นอะไรก็ไปขอเพื่อนบ้านที่เขามีเล่น เขาให้เล่นก็เล่น เขาไม่ให้เล่น ก็ไม่เป็นไร

หมอ เป็นอาชีพที่ก๊องส์ไฝ่ฝันถึง ก๊องส์อยากเป็นหมอเพราะเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับในสังคม เป็นอาชีพที่สามารถหารายได้เยอะๆ ถ้าได้เป็นหมอ ก๊องส์จะไม่ให้แม่ลำบากอีกแล้ว แม่จะได้สบาย มีเงินใช้จ่าย ไม่ต้องเย็บผ้า ก๊องส์จะทำให้แม่มีความสุขเอง แต่หมอก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเรียน ซึ่งแม่บอกไว้แล้วว่า ไม่มีเงินส่งต่อแน่ๆ มีทางเดียวคือ ก๊องส์ต้องสอบชิงทุนแพทย์ชนทบ ให้ได้

ทุกครั้งที่ก๊องส์อยู่คนเดียวตามลำพัง มีเวลาคิดทบทวนและไตร่ตรองเรื่องต่างๆ ก๊องส์จะเกลียดตัวเอง ที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่เป็นอย่างที่แม่คิด แม่คิดว่าก๊องส์ทุ่มเทให้กับการเรียน ก๊องส์เป็นเด็กดี แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ก๊องส์ไม่เคยสนใจในการเรียน ก๊องส์จับกลุ่มแอบเล่นการพนัน ก๊องส์จับกลุ่มคุยกันหลังห้อง แต่ก๊องส์ก็ไม่ถึงกับเกเรหนีโรงเรียน อาจเพราะไม่อยากให้โดนจับได้และถ้าเป็นเช่นนั้น แม่จะรู้ความจริง ซึ่งแม่จะต้องเสียใจมาก ดังนั้น ก๊องส์จึงเข้าเรียนทุกวิชาเพื่อไม่ให้ถูกเช็คชื่อขาด แต่... ก๊องส์ก็ไม่เคยสนใจการเรียนเลย ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ก๊องส์คนหาด้วยก็เป็นแบบเดียวกัน ไม่อยากให้ทางบ้านรู้ว่าไม่ตั้งใจเรียน แต่เข้าห้องเรียนก็ไม่สนใจเรียน หาแต่เรื่องสนุกๆ มาเล่นกัน ทุกๆ วินาทีที่เกเร ก๊องส์รู้ตัวดี แต่ก็ยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้สนุกสนานกับเพื่อนๆได้ นับวัน ความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมของก๊องส์ เริ่มแตกต่างออกมาจากเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ตั้งใจเรียน

ก๊องส์พยายามที่จะกลับไปตั้งใจเรียนตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะใจตนเองได้เลยสักครั้ง ความสนุกสนาน ความต้องการในฝ่ายไม่ดี มันจะชนะความต้องการในฝ่ายดีอยู่เสมอ ก๊องส์เดินทางพลาดอย่างมหันต์ที่เลือกเดินเข้าสู่เส้นทางนี้ จากเด็กชายก๊องส์ นักเรียนแถวหน้าเรื่องการเรียน กลายมาเป็นเด็กชายก๊องส์หัวโจกกลุ่ม ก๊องส์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเก่งทางด้านไม่ดีเหล่านี้ได้อย่างไร จากวันที่หน่อมแน้มในกลุ่ม บัดนี้ขึ้นมายืนเป็นหัวโจกของกลุ่ม และมันยิ่งทำให้ก๊องส์หวนกลับไปสู่เส้นทางเด็กเรียนยากยิ่งขึ้น

เรียบร้อย... โรงงานทำลายความฝัน ได้ทำลายความฝันของก๊องส์ที่อยากจะสอบให้ติดแพทย์ชนบท ไปได้โดยง่ายดาย ถึงแม้ก๊องส์จะเข้าสอบก็ตามเถอะ แต่จะเอาความรู้จากไหนไปสู้เขาได้ เพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ได้รับหมดทุกคนที่สอบผ่าน 50% หากแต่เขารับจำนวนไม่กี่คนที่สอบได้ลำดับต้นๆ ซึ่งก็แน่นอน ก๊องส์ก็คงทำคะแนนสอบผ่าน 50% อย่างสบาย แต่ก็ไม่เข้าเงื่อนไขความต้องการ

ก๊องส์เอ็นทร้านซ์ ก็ไม่ติด และถึงแม้จะติดก็ใช่ว่าจะได้เรียน เพราะไม่ใช่การเรียนทุนรัฐบาล เรื่องมหาวิทยาลัยเปิดยิ่งแล้วใหญ่ แม่บอกไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่าไม่มีเงินส่งต่อระดับปริญญาตรี แต่ด้วยความรักและห่วงใยลูก แม่ได้บอกให้ก๊องส์ไปสอบชิงทุนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเอาไว้ เนื่องจากเพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกแม่ว่า ที่แห่งนี้หากสอบติดไม่ต้องใช้เงินเลย นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวนิดหน่อย เพราะกระทรวงสาธารณสุขออกให้ทั้งหมด ตั้งแต่ค่าเทอม ค่าอาหาร 3 มื้อ ค่าที่พัก จะมีค่าใช้จ่ายก็แต่เพียง สบู่ ยาสีฟัน และผงซักฟอกเท่านั้น และแน่นอน ที่แห่งนี้ คนเก่งๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจนัก มีคนมาเข้าสอบ 2,000 กว่าคน รับ 13 คน และก๊องส์สอบได้ลำดับที่ 9

“หมออนามัย” เป็นครั้งแรกที่ก๊องส์ได้ยินชื่อและรู้จักอาชีพนี้ หลังจากวันที่ทางวิทยาลัยได้พาไปดูสถานที่ที่นักเรียนทุกคนจะต้องออกมาทำงานหลังจากเรียนจบแล้ว ซึ่งก็คือสถานีอนามัยที่กระจายตัวอยู่ตามตำบลต่างๆ ทั่วประเทศ งานที่ทำก็คือ ควบคุม, ป้องกัน, เฝ้าระวัง และตรวจรักษาโรค ให้กับประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบ นี่ยังไงล่ะ หมอชนบทตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ แพทย์ชนบทที่เรียนจบมา ยังลงทำงานแค่โรงพยาบาลประจำอำเภอ แต่หมออนามัยนี้ ลงทำงานยังตำบลยังหมู่บ้าน จึงน่าจะได้ชื่อว่า หมอชนบทตัวจริงเสียงจริง แต่ก็กระนั้นล่ะ หมออนามัยก็คือตำแน่งชั้นล่างสุดของผังองค์กรข้าราชการกระทรวงสาธารณะสุข อาจารย์จึงได้บอกนักศึกษาทุกคนว่า ใครที่ไม่ชอบงานนี้ ก็เขียนใบลาออกได้เลย จะยังไม่ปรับเงินชดใช้ทุนการศึกษา ดีกว่าเรียนไปจนจบเสียเงินทุนรัฐบาลแล้วก็ลาออกทีหลัง และก็จริงอย่างที่อาจารย์คิดไว้ เมื่อกลับถึงวิทยาลัย ก็มีนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ลาออก ส่วนคนที่ไม่ออก เมื่อเรียนจบแล้วจะต้องใช้ทุนการศึกษาด้วยการทำงาน 4 ปี หรือไม่ก็ชดใช้เป็นเงิน 1.8 แสนบาท และก๊องส์เลือกที่จะเรียนให้จบ เพราะที่นี่มีทุนให้ก๊องส์เรียนจนจบและมีงานรองรับทันที

การเรียนระดับอุดมศึกษาของก๊องส์ก็ไม่ต่างจากระดับมัธยมที่ผ่านมาเลย การคบเพื่อนก็เหมือนกัน ก๊องส์ยังคงคบค้ากับเพื่อนในแบบเดิมๆ เพียงแต่เปลี่ยนตัวสมาชิกในสังคมกลุ่มเท่านั้น การเรียนก็เหมือนเดิม บวก-ลบ 50% เพราะที่นี่ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า หากสอบผ่าน 50% จึงจะได้ออกฝึกงาน ถ้าไม่ผ่าน ก็จะต้องเรียนซ้ำชั้น นักศึกษาจะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 2 ปี แยกเป็นเรียนปีที่ 1 เรื่องการรักษาพยาบาลทั้งหมด 6 เดือน และออกฝึกงานที่โรงพยาบาลจังหวัด 3 เดือน ฝึกงานที่โรงพยาบาลอำเภออีก 3 เดือน จากนั้นจึงเข้ามาเรียนปีที่ 2 ต่อ เรื่องการควบคุมและป้องกันโรค 6 เดือน และออกฝึกงานที่สถานีอนามัยอีก 6 เดือนก็จบการศึกษา และกลับไปลงพื้นที่ทำงานจริง

ก๊องส์ถูกส่งไปประจำอยู่ที่สถานีอนามัยไกลสุดกู่ ทุรกันดารสุดๆ แต่ก๊องส์กลับรู้สึกชอบใจและมีความสุข เพราะในจิตใจลึกๆ แล้ว เขาเองก็มีอุดมการณ์ที่จะเข้าไปช่วยเหลือชาวชนบทอย่างเต็มความสามารถ เขามั่นใจว่า เขาสามารถเป็นหมอที่ดีที่สุด ที่โลกจะต้องจารึก เขาจะทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจ ทำงานอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ให้สมกับการได้มีโอกาสมาทำงานให้กับประชาชนตาดำๆ ผู้ยากไร้ทั้งหลาย



Create Date : 25 พฤษภาคม 2552
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 17:24:40 น. 1 comments
Counter : 507 Pageviews.

 
มีให้อ่านต่อมั้ยครับ

*เป็นเรื่องที่อ่านแล้วได้สิ่งดีๆ กลับมาเยอะเลยครับ*

-ขอบคุณครับ-


โดย: บ็องส์ IP: 124.121.106.189 วันที่: 29 มกราคม 2556 เวลา:22:57:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อนาวิน
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ถ้ายังไม่ตาย จะตะเกียกตะกายไปให้ถึง


คนเรา...
เลือกเกิดไม่ได้...
แต่เลือกที่จะเป็นได้...
Friends' blogs
[Add อนาวิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.