คนเรา... เลือกเกิดไม่ได้... แต่เลือกที่จะเป็นได้...
Group Blog
 
All Blogs
 
บทที่ 1 เจ้ง!... แบบประถม

บทนำ

ดร.ก๊องส์ ชื่อนี้อาจจะบ๊องส์ ๆ ตลกๆ แต่เจ้าของชื่อนี้กำลังเดินขึ้นไปรับรางวัลเกียรติยศจากรัฐบาล ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จติดอันดับเศรษฐีของโลก กองทุนและมูลนิธิมากมายที่แตกสายงานมาจากมูลนิธิส่วนตัวของเขา ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสังคมแก่มนุษยชาติ ไม่เพียงเฉพาะคนในชาติของเขาเท่านั้น... เสียงปรบมือกึกก้องและยาวนานพร้อมกับการลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติกับเขา จากทุกผู้คนในสถานที่ประชุมอันใหญ่โตมโหฬาล ยังไม่มีใครในประเทศที่จะได้รับเกียรติมากมายขนาดนี้เท่าที่เคยมีบันทึกมา

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ก่อนที่เขาจะได้มารับการประกาศเกียรติคุณอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เขาเคยถูกเพื่อนฝูงและผู้คนที่รู้จักมากมาย บอกกับใครๆ ว่า คนๆ นี้ ทำอะไรก็เจ้ง!... กี่งานต่อกี่งาน ก็เจ้งหมด… ชีวิตนี้ คงจะถามหาคำว่าประสบความสำเร็จกับเขาได้ยากมาก

ดร.ก๊องส์เองเคยคิดในใจอยู่บ่อยๆ สมัยเมื่อเขาทบทวนตัวเองในเรื่องการทำมาหากิน “ครั้งแล้วครั้งเล่า... ธุรกิจแล้วธุรกิจเล่า... ชีวิตที่ก้าวเดินไป พร้อมๆ กับการเลิกกิจการ/อาชีพ ต่างๆ.. กี่งานแล้วนี่เรา... อืมมม... ก็ปาเข้าไป 10 กว่า งานแล้ว... ทุกงาน ไปไม่ถึงจุดหมายสักงาน... คำถามที่ตามมามากมายก่ายกองจากคนรอบข้างคือ... ทำไม...ทำไม...และก็ทำไม...พวกเขาไม่รู้หรอกว่าทำไม.... เพราะอะไร.... แต่เราสิ... รู้.... รู้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยล่ะ.... ปัดติโธ่... ก็เราเป็นคนละเลงมากับมือ... ทำไมถึงจะไม่รู้ล่ะ... แล้วไอ้ประสบการณ์ เจ้ง!!!... ซะให้พอ เหล่านั้น... มันให้บทเรียนอะไรเราบ้าง....” ทำให้เขาหวลนึกถึงครั้งอดีตกาลดั่งกับเพิ่งดูหนังจบออกมาจากโรง

ธุรกิจแรกในชีวิต

ด.ช.ก๊องส์ เกิดมาในครอบครัวที่แตกแยก พ่อกับแม่อย่าร้างกัน เขาและพี่น้องร่วมชีวิตอีก 3 คน อาศัยอยู่กับแม่ซึ่งหอบลูกทั้ง 4 คนกลับมาพักเลียแผลจากการดำเนินชีวิตที่บ้านเกิด ซึ่งเป็นบ้านนอกคอกนา ห่างไกลความเจริญ ซึ่งแม่คิดได้เพียงหนทางเดียวสำหรับการหาที่ตั้งหลักเพื่อสู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ชีวิตในเมืองมาแล้วหนึ่งยก และกลับมาบ้านนอกพร้อมหนี้สินมากมาย เขาเริ่มเรียนรู้ความยากลำบากจากการทำมาหากิน หาเงินที่นี่ ถึงแม้เขายังเล็ก อายุยังไม่ถึง สองขวบ แต่ก็ยังจำเรื่องราวต่างๆ ได้พอรางๆ บวกกับผู้เป็นแม่ช่วยย้อนลำลึกความหลังให้เมื่อเขาเติบใหญ่ และสิ่งที่เขาจำได้ดีก็คือ ชาวบ้านเรียกพวกเขาว่า “ขอทาน”

หญิงวัยเพียง 28 ปี ที่ชีวิตครอบครัวล้มเหลว มีหนี้สินมากมาย จนต้องซมซานกลับมาบ้านนอกในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ที่ไม่มีงานทางด้านเกษตรกรรมอีกแล้ว จนกว่าจะถึงหน้าฝนปีหน้า การกลับมาขอเธอ กับลูกเล็กๆ อีก 4 ชีวิต ต้องสร้างความลำบากใจให้กับพี่น้องอย่างแน่นอน เพราะส่วนแบ่งของอาหารและอื่นๆ ก็ต้องมีคนมาแบ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติที่ผ่านมา ก็แค่พออยู่พอกินไปปีต่อปี แต่นี่ ต้องมีคนมาร่วมใช้สอยส่วนกลางเพิ่มขึ้นอีก 5 ชีวิต ทำให้เธอต้องคิดหนัก เธอครุ่นคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี หากรอจนถึงหน้าฝนปีหน้า มีหวังปัญหาความไม่พอเพียงของอาหารเกิดขึ้นแน่ๆ จะเพราะปลูกอะไรสักอย่าง ก็ไม่มีน้ำซะแล้ว ชาวนาชาวสวนก็อย่างนี้แหล่ะ ชีวิตขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ ปีไหนฝนดีก็ยิ้มกันได้ ปีไหนฝนแล้ง ก็ต้องทำใจยอมรับชะตากรรม

เธอตัดสินใจอยู่หลายวันว่าจะทำอย่างไร จะหาทางออกให้ชีวิตและครอบครัวแบบไหน จะมีเงินหรืออะไรก็ได้ เพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร ทำอย่างไร เธอและลูกๆ จึงจะไม่มาเป็นภาระให้กับญาติพี่น้อง... วันแล้ววันเล่า ก็ยังมองไม่เห็นหนทางเลย เพราะเกษตรกร ต้องรอน้ำจากฝนในปีหน้า ซึ่งก็อีกเกือบปีเลยทีเดียว... ทางออกสุดท้ายที่พอจะทำได้ก็คือ การเก็บของป่าไปแลกข้าว เพราะชาวนาเพิ่งจะเก็บเกี่ยวผลผลิตกันได้ใหม่ๆ เกือบทุกชีวิต จึกพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการตากตรำทำงานหนักมาแล้วช่วงหนึ่ง แน่นอน ครอบครัวที่มีที่ทำมาหากินเยอะหน่อย ก็จะมีข้าวเหลือมากมายเกินการบริโภคในครัวเรือน หากเธอหาของป่ามาแลกข้าวจากพวกเขา ย่อมต้องมีคนยอมแลกอย่างแน่นอน การหาของป่า ก็ใช้เพียงแค่แรงกายเท่านั้นคือการลงทุน

รุ่งขึ้นตั้งแต่ ตีสี่ ฟ้ายังไม่ทันสาง เธอก็กุลีกุจอออกจากบ้าน มุ่งสู่ป่าเขาทันที โดยที่ไม่ลืมสั่งเสียผู้เป็นแม่ของเธอให้ดูแลลูกๆ ทั้ง 4 ก่อนที่เธอจะกลับมา...ในตอนสายๆ เด็กชายก๊องส์และพี่น้องอีก 3 คน ต่างร้องกระจองอแงหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นผู้เป็นแม่ สร้างความอลหม่านให้กับญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง และเกือบเที่ยงวัน ผู้เป็นแม่ก็กลับมาจากป่า หลังจากพักเหนื่อย กินข้าวกินปลาเสร็จ เธอก็เตรียมที่จะหาบของป่าที่หามาได้ ออกไปตระเวนแลกข้าวจากชาวบ้านทันที พร้อมทั้งลูกน้อยที่กระจองอแงจะติดตามไปด้วย เธอจะทำอย่างไรดี เนื่องจากลูกชายคนโต เพิ่งจะ 5 ขวบ ลูกชายคนที่สอง 4 ขวบ ลูกชายคนที่ 3 คือเด็กชายก๊องส์ เพิ่งจะ 2 ขวบ และน้องสาวคนเล็ก ยังไม่เต็มขวบดี ญาติพี่น้องที่ช่วยเลี้ยงดูเด็กๆ ตอนที่เธอเข้าไปหาของป่า ก็ทำท่าไม่อยากดูแลลูกๆ ให้เธอ อาจจะเพราะทุกคนก็เหนื่อยล้ามาจากการตากตำทำนาเพิ่งเสร็จมาหมาดๆ อยากจะพักให้หายเหนื่อยเมื่อยล้า กลับจะต้องมาเอาใจดูแลเด็กเล็กที่ไม่ยอมฟังเสียใดๆ ทั้งสิ้น ร้องหาแม่ท่าเดียว ทำให้เธอตัดสินใจ หอบลูกๆ ทั้ง 4 ชีวิต ไปกับเธอด้วย

เด็กชายก๊องส์ ยังจำภาพตอนขากลับได้ดีไม่มีลืมเลือน กับความสนุกสนาน ที่แม่แลกของป่าหมดแล้ว และฝากข้าวที่แลกมาได้ไว้กับเพื่อนบ้านแถวนั้น เพื่อจะมาขนเอาในคราวหลัง มันเป็นภาพของเขาที่นั่งอยู่ในตระกล้าด้านหน้า โดยมีน้องสาวคนเล็ก นั่งอยู่ที่ตะกร้าด้านหลัง และเราสองคนแย่งกันเพื่อให้ผู้เป็นแม่หมุนเราไปอยู่ด้านหน้า ใครได้มาอยู่ด้านหน้า ก็ยิ้มหัวเราะร่า แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับร้องไห้งอแง เพื่อให้แม่หมุนย้ายตนเองไปอยู่ด้านหน้า เป็นอย่างนี้ เกือบทุกวัน ที่เดินทางกลับจากหมู่บ้านอื่นๆ ที่แม่พาไปแลกข้าว เขาและน้องสาวไม่ได้รับรู้หรอกว่าผู้เป็นแม่จะเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน คิดถึงเหตุการณ์นี้ทีไร น้ำตาเขาจะไหลและรักแม่แบบสุดหัวใจขึ้นมาทุกที

จากการตระเวนเอาของป่าไปแลกข้าวจากหมู่บ้านโน้นออกหมู่บ้านนี้ จากหมู่บ้านนี้ ไปหมู่บ้านนั้น ทำให้แม่ได้ข้าวหลายกระสอบเลยทีเดียว แต่ก็แลกมาด้วยการดูหมิ่นจากชาวบ้านว่าเป็นขอทาน เพราะไม่มีใครเขาทำกันแบบนี้ ถือเป็นเรื่องอับอายมากสำหรับชาวบ้านที่นั่น แต่แม่ไม่สนใจ แม่ถือว่าเป็นการค้าขายชนิดหนึ่ง เพียงแต่จากขายของป่าแลกกับเงิน เปลี่ยนมาเป็นขายของป่าแลกกับข้าวเปลือก เพราะข้าวมันดูเหมือนจะจ่ายให้ง่ายกว่าการใช้เงินซื้อสำหรับชาวบ้าน เพราะมีข้าวอยู่เต็มยุ้งเต็มฉาง นี่คือความชาญฉลาดของแม่

เด็กชายก๊องส์ มีชีวิตอยู่บ้านนอกคอกนาจนอายุ 7 ขวบ ผู้เป็นแม่ได้วิเคราะห์แล้วว่า อยู่บ้านนอก ไม่มีโอกาสเลย 5 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้เลย ทำได้ก็เพียงมีชีวิตอยู่ไปอย่างชาวชนบททั่วๆ ไป กอร์ปกับบาดแผลในใจจากชีวิตคู่และชีวิตการต่อสู้ในเมืองที่ล้มเหลวนั้น ได้รับการเยียวยาจากเวลาที่ผ่านไป ทำให้แม่ตัดสินใจหอบลูกๆ ทั้ง 4 เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ แม่เลือกไปเผชิญโชคยังเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองที่แม่เคยไปอยู่ เป็นการเริ่มต้นชีวิตคนจนในเมือง โดยแม่เลือกประกอบอาชีพที่แม่ถนัดคือ เย็บเสื้อโหล ถึงแม้เงินที่ได้มาจะไม่มากมายอะไร แต่ก็พอเพียงสำหรับทุกคนในครอบครัว เนื่องจากการประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เด็กชายก๊องส์และพี่น้องทั้งสาม ไม่เคยมีของเล่นกับเขาหรอก เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องเก็บไว้ซื้อสิ่งที่จำเป็นที่สุด

เมื่อเข้าเรียนชั้น ป.1 ก๊องส์เห็นพี่ชายคนที่สองของเขานำท๊อฟฟี่ที่ซื้อจากร้านที่เราเดินผ่านไปโรงเรียนทุกๆ วัน เอาไปขายให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียน เมื่อเขาดูพี่ชายทำจนเข้าใจแล้ว อาชีพแรกของเขา ก็เริ่มขึ้นทันที ก๊องส์เริ่มเก็บค่าขนมที่แม่ให้ไปโรงเรียนวันละ 1 บาท เป็นเวลา 8 วัน เนื่องจากท๊อฟฟี่ตรานกแก้วมันถุงละ 8 บาท มีทั้งหมด 100 เม็ด เมื่อไปถึงโรงเรียน ก๊องส์ก็เริ่มบอกขายท๊อฟฟี่ให้เพื่อนๆ โดยขายในราคา 8 เม็ดบาทตามที่พี่ชายบอก ไม่ถึงครึ่งวัน ท๊อฟฟี่ก็หมดเกลี้ยง ก๊องส์ดีใจมากๆ ได้เงินมา 12 บาท เพราะเขากินเองไป 4 เม็ด

“แม่ครับ...” เสียงของก๊องส์ตะโกนเรียกแม่ดังมาแต่ไกลด้วยความดีใจคละด้วยความตื่นเต้นและอยากอวดแม่ ก่อนที่ตัวเองจะถึงหน้าบ้านซะอีก เมื่อเห็นแม่ที่นั่งเย็บผ้าอยู่ที่จักรตัวเก่งยี่ห้อซิงเกอร์ ซึ่งผ่อนเดือนละไม่กี่มากน้อย พอที่จะช่วยให้แม่ประกอบอาชีพได้ ก๊องส์รีบกระโดดกอดแม่อย่างริงโลด
“ผมขายท๊อฟฟี่หมดเกลี้ยงเลยครับ ได้เงินตั้ง 12 บาทแน่ะครับแม่...” ก๊องส์กุลีกุจอล้วงเอาเงินในกระเป๋ากางเกงออกมาอวดแม่ ส่วนแม่ก็ยิ้มให้ด้วยสายตาที่ชื่นชมในตัวลูกชาย
“ทำไมถึงได้เงินเยอะจังครับแม่ ตั้ง 12 บาทแน่ะ” ก๊องส์อดสงสัยไม่ได้
“ไม่ใช่ได้ 12 บาทหรอกลูก... ไอ้ 12 บาทนั้น มันรวมเงินต้นทุนของลูกด้วย” แม่เริ่มอธิบาย ต้นทุนกำไรให้ก๊องส์ฟัง “กำไรจริงๆ ของลูกคือ 4 บาท... มานี่มา แม่จะสอนการลบเลขให้” พูดจบแม่ก็จัดแจงหากระดาษกับดินสอมาสอนก๊องส์ ส่วนก๊องส์ก็ตั้งใจฟังตาแป๋วเลยทีเดียว

จากท๊อฟฟี่รสน้ำผึ้งผสมมะนาวเพียงรสเดียว ไม่กี่วัน ก๊องส์ก็สามารถเพิ่มสินค้าเป็นรสกาแฟ รสฮอลล์เย็นซ่าชุ่มคอเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น ถึงแม้จะเพิ่มจำนวนสินค้ามากขึ้น แต่ก๊องส์ก็ขายของหมดทุกวัน สร้างความภิรมณ์สุขสมให้ก๊องส์เป็นยิ่งนัก เงินกำไรทุกบาททุกสตางค์ ก๊องส์จะให้แม่หมดเหลือแต่เพียงต้นทุนที่จะซื้อท๊อฟฟี่ไปขายใหม่เท่านั้น ส่วนแม่เอง ก็ยังคงให้ค่าขนมกับก๊องส์วันละ 1 บาททุกวัน ก๊องส์จะใช้เงิน 1 บาทค่าขนมที่แม่ให้มาเท่านั้น ไม่เคยเอาเงินกำไรจากการขายของมาใช้เลย เงินกำไรในการขายของเป็นของแม่ ก๊องส์คิดเช่นนั้น

ธุรกิจของก๊องส์ดำเนินไปได้ไม่กี่สัปดาห์ เด็กชายวิชัย แซ่แต้ เพื่อนเรียนในห้องเดียวกัน ก็เปิดกิจการขึ้นมาแข่ง และที่สำคัญ ไอ้แต้มันมีของแปลกๆ มากกว่าก๊องส์ เช่น ผลไม้ดองที่อยู่ถุงพลาสติก เย็บติดกับกระดาษชาร์ตเป็นแผงๆ หรือแม้แต่สลาก มันก็มี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ลูกค้าประจำของก๊องส์จะหันไปเป็นลูกค้าประจำของไอ้แต้มัน ทำให้ยอดขายของก๊องส์ตกลงไปกว่าครึ่ง แต่ก๊องส์ก็ไม่ทันเกมส์ ไม่มีความคิดที่จะเอาสินค้าแปลกๆ มาขายบ้าง ยังคงขายท๊อฟฟี่เหมือนเดิมทุกวันๆ ขายได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น เป็นอยู่อย่างนั้น อย่างที่มันต้องเป็น

มันก็แปลกดีนะ ร้านค้ากิจการการต่างๆ เมื่อเคยรุ่งเรืองจนเวลาผ่านไปได้สักระยะ ยอดขายก็จะตกลง ลูกค้าที่เคยเยอะแยะมากมาย ก็ค่อยๆเหลือแต่เพียงแฟนพันธุ์แท้ บางร้านก็พอที่จะมีกำไรให้กิจการอยู่ต่อไปได้ แต่บางร้านถึงกับต้องปิดกิจการไปเลยก็มีไม่ใช่น้อย ร้านที่ยังไม่ปิดกิจการ ก็จะยังคงดำเนินกิจการต่อไปในรูปแบบเดิมๆ รูปแบบที่เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต แล้วก็รอรับชะตากรรมตามแต่มันจะเป็นไป มีกำไรอยู่ก็เปิดต่อ ขาดทุนก็ปิดกิจการ ทำไมเขาไม่ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นมองหาช่องทางหรือแนวคิดใหม่ๆ มาสร้างสีสันให้กับกิจการ สร้างความน่าสนใจให้กับผู้คนและลูกค้า เขาช่างไม่เข้าใจกฎของธรรมชาติซะจริงๆ เรื่อง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป มันไม่มีอะไรที่จะอยู่ยงคงกระพันค้ำฟ้า ด้วยวิธีการเดิมๆหรอก... เถ้าแก่หลายๆ คน ก็ยังคงติดอยู่กับความสำเร็จในอดีต ความสำเร็จที่ผ่านมา แต่หาใช่ความสำเร็จในปัจจุบันไม่ บางครั้ง บางคนจึงเรียกสิ่งนี้ว่า กับดัก-หลุมพราง แห่งความสำเร็จ

เด็กชายก๊องส์ก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่กล่าวถึง ขายท๊อฟฟี่ 4 รสชาติเหมือนเดิมทุกวันๆ ก่อนหน้านี้ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงแม้ร้านค้าในโรงเรียนก็มีขายเหมือนกัน แต่เพื่อนๆ ก็เลือกที่จะซื้อกับก๊องส์ เพราะความเป็นเพื่อน(Connection) และซื้อได้ง่ายๆ ในห้องเรียน แต่เมื่อไอ้แต้ นำมาขายบ้าง ความเป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่สินค้ามีสีสันและหลากหลายกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กิจการของมันจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนกิจการของก๊องส์ ก็จะเหลือเพียงแฟนพันแท้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่เนื่องจากไม่มีต้นทุน สินค้าไม่เน่าเสีย ก๊องส์ก็ยังคงขายต่อไป หมดก็ซื้อมาติดกระเป๋าไว้ พอได้มีกำไรกลับไปให้แม่บ้าง

ความที่เป็นคนจนในเมืองใหญ่ การจะเอาชีวิตให้อยู่รอดได้ต้องใช้เงิน เพราะในเมืองใหญ่ ไม่มีของป่า ไม่มีอาหารจากธรรมชาติ ให้หามาเพื่อประทังชีวิตเหมือนคนตามชนบทได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสหรือช่องทางที่จะได้เงิน เด็กชายก๊องส์ก็จะรีบคว้าไว้ทันที วันนี้ก็เช่นกัน โอกาสดีได้เข้ามาถึงก๊องส์โดยบังเอิญ เนื่องจากแถวๆ บ้านที่ก๊องส์อาศัยอยู่นั้น มักจะมีการตั้งวงเล่นไพ่กันเป็นประจำ ปกติก๊องส์จะไม่เข้าไปใกล้แถวนั้นหรอก เพราะแม่เคยสอนไว้เสมอว่า การพนันเป็นสิ่งไม่ดี เราไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปใกล้มัน แต่วันนี้เป็นวันเสาร์ และก็เป็นช่วงบ่ายแล้วด้วย เพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันทุกเสาร์-อาทิตย์ จนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา ก๊องส์เลยเข้าไปหาเขา และไม่ใช่อะไร บ้านของเพื่อนก๊องส์นั่นเอง ที่ตั้งวงเล่นไพ่กัน

“ก๊องส์...” เสียงหญิงวัยกลางคนตะโกนเรียกเขา ขณะที่กำลังเดินจะไปหาเพื่อน ก๊องส์จำได้ว่าเป็นเสียงของแม่เพื่อนที่เขาจะไปหานั่นเอง
“คร๊าบบบ...” ก๊องส์ขานรับด้วยสัญชาตญาณของเด็กนิสัยดี มีสัมมาคารวะที่ผู้หลักผู้ใหญ่แถวนั้นรู้จักกันดี อาจเป็นเพราะละแวกนั้นนอกจากครอบครัวของก๊องส์แล้ว ก็มีแต่ผู้ดีมีสตางค์ เมียท่าน ลูกเธอกันทั้งนั้น การเป็นคนจนไม่มีอะไรจะไปทัดเทียมคนอื่นเขา จึงทำให้ก๊องส์ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดู
“ไปซื้อโซดากับเมล็ดแตงโมให้แม่หน่อยสิลูก” ทันทีที่ก๊องส์ไปถึง แม่ของเพื่อนก็ขอให้ก๊องส์ทำงานให้ ซึ่งร้านค้าที่จะต้องไปซื้อนั้น อยู่ห่างออกไปสัก 800 เมตรได้ เมื่อกลับมาและนำของที่สั่งส่งให้แม่เพื่อนแล้ว ก๊องส์ถึงกลับต้องดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อแม่เพื่อนยื่นเศษเงิน 50 สตางค์ ที่เหลือมาจากซื้อของ เพื่อเป็นรางวัล และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วันเสาร์-อาทิตย์ หรือแม้แต่เย็นๆ วันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ ก๊องส์ก็มักจะไปป้วนเปี้ยนแถววงไพ่เป็นประจำ เพราะแต่ละบ้านในละแวกนั้นติดเล่นไพ่กัน ก็จะขี้เกียจไปซื้อของเอง ทำให้แม่บ้านระแวกนั้น ใช้บริการม้าเร็วอย่างก๊องส์เป็นประจำ และค่าตอบแทนที่ได้รับ ก็มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่ผู้ใช้บริการจะศรัทธา

ก๊องส์สังเกตเห็นว่า วันไหนที่บางคนให้ลูกเขาเดินไปซื้อขอเองแสดงว่าวันนั้นเขาเสียเงิน และบางคนก็ให้ค่าตอบแทนการวิ่งซื้อของเขามากเป็นพิเศษ แสดงว่าวันนั้นเขาได้เงินมากนั่นเอง แต่โดยรวมๆ แล้ว กิจการม้าเร็วของก๊องส์ จะมีผู้เรียกใช้บริการทุกวันอย่างแน่นอน ทำให้ก๊องส์มีเงินมาให้แม่อีกช่องทางหนึ่ง

ธุรกิจอำนวยความสะดวกกับคนที่ขี้เกียจแต่มีเงิน ก็เป็นธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันตายไปจากสังคมมนุษย์ ตราบใดที่สะสารไม่มีวันสูญหาย ตราบนั้น เงินทองก็จะยังคงหมุนเวียนไปอยู่ในมือของผู้คน พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ปีนี้คนนี้ร่ำรวยขึ้นมา แต่คนนั้นจนลง ปีต่อไปก็มีคนรวยคนใหม่ คนจนคนใหม่ และเงินที่ไม่มีวันสูญหายก็หมุนเวียนไปอยู่ในมือของใครคนใดคนหนึ่ง และเป็นธรรมชาติอีกอย่างของมนุษย์สุดประเสริฐ ที่เมื่อมีเงินมากพอก็จะเริ่มจ่ายให้กับสิ่งอำนวยความสะดวก คนที่จนลงก็จะงดเว้นรายจ่ายเพื่ออำนวยความสะดวก แต่คนที่มีเงินเพิ่มขึ้นจะมาจ่ายทดแทนให้

เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ก๊องส์รีบไปหาพี่ชายคนโตที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 และถามพี่ชายว่า “ตั่วเฮีย... วันนี้ให้ผมไปขายหนังสือพิมพ์กับเฮียได้ไหมครับ?...”
“วันนี้คงยังไม่ได้หรอก... ก๊องส์ต้องไปขออนุญาตแม่ก่อน ถ้าแม่ให้ เฮียจึงจะพาไป” พี่ชายคนโตตอบกลับมา

พี่ชายคนโตกับคนที่สอง หลังเลิกเรียนแล้วก็จะไปรับหนังสือพิมพ์ออกไปวิ่งขายในวันที่หวยออก ก๊องส์สังเกตมาสักระยะแล้ว และคิดว่าตนเองก็คงทำได้ จึงขออนุญาตแม่ ทีแรกแม่ก็คิดหนักอยู่เหมือนกัน เพราะก๊องส์เพิ่งจะเจ็ดขวบเอง ต้องวิ่งไปวิ่งมาตามท้องถนน จะสามารถดูแลตนเองได้หรือไม่ แต่ที่สุดแล้วก็อนุญาตเพราะมั่นใจในตัวลูกชาย

มันก็แปลกดี ในเมืองใหญ่นี้ มีช่องทางให้หาเงินได้เยอะแยะมากมายจริงๆ การวิ่งขายหนังสือพิมพ์ตรวจล๊อตตารี่ ทำให้ก๊องส์มีรายได้ 50 บาทต่อวันเลยทีเดียว ใช้เวลาเพียง ชั่วโมงกว่าๆ เอง แถมไอ้หนังสือพิมพ์ตรวจล๊อตตารี่ก็ราคาแพงกว่าหนังสือพิมพ์รายวันอย่างไทยรัฐหรือเดลินิวส์ซะอีก ค่าจ้างที่ทางโรงพิมพ์จ่ายให้เด็กวิ่งขายนั้นคือ ฉบับละ 50 สตางค์ ด้วยกำลังของก๊องส์ ไม่สามารถแบกหนังสือพิมพ์จำนวนมากๆ ทีเดียวได้ ต้องรับไปทีละน้อยขายหมดแล้วก็รีบกลับมารับออกไปขายใหม่ ทำให้ก๊องส์ต้องเหนื่อยกว่าเด็กโตคนอื่นๆ ที่รับได้ทีละเยอะๆ ซึ่งจะไปได้ไกลๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาย้อนทางเดิมกลับมารับใหม่อย่างก๊องส์ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กตัวกระเปี๊ยก เล็กที่สุดในจำนวนเด็กวิ่งขายหนังสือพิมพ์ที่นั่น ก๊องส์จึงได้รับความเมตรตาจากโรงพิมพ์ ให้ได้คิวแรกเสมอ โดยที่คนอื่นต้องจับสลากกัน ทำให้ก๊องส์มีโอกาสขายให้คนในละแวกรัศมีใกล้โรงพิมพ์และหมดอย่างรวดเร็ว จึงใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาต่อคิวรับใหม่อีกรอบ

และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ก๊องส์ได้เรียนรู้เป็นประสบการณ์ก็คือ หนังสือพิมพ์ตรวจล๊อตตารี่ มีเท่าไรก็ขายหมด แต่หนังสือพิมพ์รายวันอย่างไทยรัฐ-เดลินิวส์ กลับไม่ค่อยมีคนอยากจะซื้อ เพราะก๊องส์เคยไปลองวิ่งขายดู เนื่องจากมันสามารถขายได้ทุกวัน ผิดกับหนังสือพิมพ์ตรวจล๊อตตารี่ ซึ่งออกเดือนละ 2 ครั้งเท่านั้น แต่คนก็ไม่ค่อยซื้อ กว่าจะขายได้แต่ละเล่ม ใช้เวลามากเหลือเกิน ส่วนไอ้หนังสือพิมพ์ตรวจล๊อตตารี่ นี่แทบจะแย่งกันซื้อเลยทีเดียวทั้งๆ ที่แพงกว่าเกือบ 2 เท่า แถมแทบไม่มีอะไรจะให้อ่านซะด้วยซ้ำ นอกจากข่าวในท้องถิ่นและบทความบ้างนิดหน่อย แถมถ้าไม่มีผลการออกสลากกินแบ่งฯ ขายเฉพาะข่าวและบทความ เชื่อได้เลยว่าแทบจะไม่มีคนซื้อซะด้วยซ้ำไป

แต่ก็มีคนพิมพ์เฉพาะผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งฯ อย่างเดียว(เรียงเบอร์) และราคาถูกกว่าเกือบ 3 เท่า กลับไม่ได้รับความสนใจใคร่ซื้อจากผู้คนมากอย่างหนังสือพิมพ์ที่ก๊องส์วิ่งขาย ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว คนที่ซื้อก็อยากได้แค่ผลการออกสลากฯ แต่ก็ยอมจ่ายเงินมากกว่า เพื่อให้ได้รับความรู้สึกว่า ตนเองซื้อหนังสือพิมพ์ มนุษย์นี่ก็แปลกดีนะ มักจะมีเหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผลเสมอๆ ใครจับจุดธรรมชาติของมนุษย์ได้ ก็จะสามารถหาเงินได้ไม่ยาก

ทำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แต่คนซื้อเพราะเรียงเบอร์
ทำปั้มน้ำมัน แต่คนเข้าเพราะห้องน้ำสะอาด และกำไรมาจากร้านขายของ

วันแรกที่ก๊องส์ขึ้นเรียนในชั้น ป.2 เมื่อเดินเข้าไปยังห้องประจำชั้น ก๊องส์ถึงกับต้องอึ้ง... เพราะที่หลังห้องเรียน มีโต๊ะเตี้ยๆ กว้าง 1.5 เมตร ยาว 2.5 เมตร ตั้งอยู่ และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยกระจาดใส่ขนมประเภทต่างๆ นอกจากขนมแล้วก็ยังมี สมุด ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด และเครื่องเขียนอื่นๆ ... โอ้โห... นี่มันร้านค้าย่อมๆ 1 ร้านเลยนะนี่ มันเข้ามาอยู่ในห้องเรียนเราได้อย่างไร เพียงไม่นานนัก ก๊องส์ก็รู้ว่า นี่คือร้านขายของของคุณครูเคลือมาศ ซึ่งเป็นครูประจำชั้นคนใหม่ของก๊องส์

ปีที่แล้ว เจอคู่แข่งทางธุรกิจคือไอ้วิชัย แซ่แต้ ก็เล่นเอากิจการของก๊องส์แทบล้มพับ แต่วันนี้ เจอธุรกิจใหญ่กว่าไอ้แต้อีกหลายเท่าตัวนัก แถม ลูกค้าก็คือ กลุ่มเดิมๆ คือเพื่อนในห้องเรียนและห้องข้างๆ และที่สำคัญ Connection ของครูเครือมาศ ย่อมเหนือกว่าทั้งก๊องส์และไอ้แต้ อย่างแน่นอน เพราะเด็กๆ ก็คงอยากได้หน้า อยากเป็นที่รักของครูประจำชั้น ต้องพากันอุดหนุนคุณครูอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นทีงานนี้ทั้งเด็กชายก๊องส์และเด็กชายวิชัย แซ่แต้ ต้องเจอศึกยักษ์เข้าแล้วสิ

เปิดเรียนได้สองสัปดาห์ ไอ้แต้ก็ปิดกิจการลงไปก่อน อาจจะเพราะยอดขายตก รวมทั้งไม่อยากเป็นคู่แข่งกับครูประจำชั้น ทำให้ก๊องส์ขายของดีขึ้นบ้าง รวมทั้งก๊องส์หาของที่คุณครูไม่มีมาเสริมทัพ เช่น มะขามหวาน โดยก๊องส์ไปปีนเก็บมาจากต้นที่อยู่แถวๆบ้าน นำมามัดเป็นกำๆ ซึ่งไม่มีต้นทุน นอกจากแรงกายที่ต้องไปปีนเอามา ก็เลยขายดี มีเท่าไรก็ขายหมด แต่... เพื่อนๆ กลับกินแล้วทิ้งทั้งเปลือกและเม็ด สร้างปัญหามลภาวะในห้องเรียนอยู่หลายวัน จนในที่สุด คุณครูก็รู้ที่มาที่ไปว่า ก๊องส์เป็นคนนำมาขาย และได้ใช้คำสั่งขั้นเด็ดขาด “ห้ามนำของมาขายในห้องเรียน” ธุรกิจตัวแรก ก็เลย เจ้ง!...


ฉบับหน้า เตรียมพบกับตอน... “คุณหมอที่รัก” การหันหลังให้กับอาชีพพ่อพระของคนเจ็บป่วยอย่างไม่มีวันหวนกลับ เหตุเพราะอะไร?... ทำไมจึงเจ้ง!... ในอาชีพนี้ได้



Create Date : 25 พฤษภาคม 2552
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 17:27:44 น. 1 comments
Counter : 452 Pageviews.

 
ไม่เอาเข้าสีลมหละ


โดย: wbj วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:23:34:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อนาวิน
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ถ้ายังไม่ตาย จะตะเกียกตะกายไปให้ถึง


คนเรา...
เลือกเกิดไม่ได้...
แต่เลือกที่จะเป็นได้...
Friends' blogs
[Add อนาวิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.