All Blog
◄ Chapter 4 : Ames,IA...ที่รัก

แก้ไขเนื้อหา ณ วันที่ 22 Jun 2012

Chapter 4 : Ames,IA...ที่รัก



จากสนามบิน Seattle ที่เพิ่งจากมาได้ไม่นาน nakoze ต้องไปแวะต่อเครื่องที่ Memphis,TN

จาก Seattle ก็นั่งหลับสับปกหงกมาส่ว่างที่ Memphis,TN ประมาณ 7.30 น

ก็รีบเดินจ้ำอ้าวหา gate ที่จะต่อไปยัง Des Moines,IA

(เมือง Ames,IA ที่ nakoze จะเดินทางไป มันไม่มีสนามบินที่ใช้ในการคมนาคม แต่เป็นในเชิงพานิชย์

ทำให้ nakoze ต้องไปลงเครื่องบินที่ Des Moines,IA ซึ่งก็คือเมืองหลวงของรัฐไอโอว่าค่ะ)


nakoze มีเวลาต่อเครื่องแค่ชั่วโมงเศษๆก็เลยต้องรีบกันหน่อยล่ะงานนี้ ฮึ่มๆ

พอหาเกทได้ก็มานั่งรอ มองไปรอบข้างก็ไม่รู้จักใคร และก็ไม่มีใครจะรู้จักกรูเช่นกัน

มองไปทางซ้ายก็เจอกลุ่มวัยรุ่นนอนอยู่บนพื้นเอากระเป๋าปิดหน้าไว้ (มันคงไม่มีที่นอนที่ดีกว่านี้)

มองไปทางขวาก็เจอคุณลุงแก่ๆกางหนังสือพิมพ์นั่งอ่าน

มองกลับมาที่ตัวเองก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความเงียบเหงา เหว่ว้า เย๊ย!!ว้าเหว่

นั่งสังเกตพฤติกรรมของผู้คนรอบข้างได้ไม่นาน ก็ถึงเวลา boarding ขึ้นเครื่องซักที

nakoze เดินขึ้นเครื่องเป็นคนท้ายๆ ทำให้มองเห็นได้ถนัดตาว่า .....

ไฟลท์นี้มีผู้โดยสารเต็มลำกะจากสายตาคร่าวๆแล้วประมาณ 20 ที่นั่ง !!!

โอ้ ม๊าย ก๊อดดดดด!!! เครื่องบิน 20 ที่นั่ง แม่เจ้า จะเล็กไปไหน

บอกตรงๆว่าตอนนั้นตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่าเจ้าเครื่องบินไซส์มินิลำนี้จะพา nakoze ไปรอดปลอดภัยได้หรือเปล่า

พอขึ้นนั่งประจำที่ได้ nakoze ก็เริ่มจากชินบัญชร นะโมตัสสะ คาถาพาหุง ก่อนจะมาจบที่ อะระหังสัมมา

พอสวดมนต์จบครบทุกบท เครื่องบินลำนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะทะยานขึ้นฟ้า

10 นาทีผ่านไป ..... ไร้ซึ่งเสียแมลงหวี่

20 นาทีผ่านไป ..... เริ่มมีเสียงผู้โดยสารคุยกัน

25 นาทีผ่านไป ..... มีการประกาศจากกัปตันว่าอะไรซักอย่าง แต่ทุกคนบนเครื่องสบถอย่างหัวเสีย

30 นาทีผ่านไป ......... ทุกอย่างยังคงเงียบสงัดเหมือนเดิม

คือด้วยความที่หูยังไม่ชินภาษา nakoze ก็จินตนาการต่างๆนาๆ โอ้ยเครื่องมันเล็ก มันเก่า

มันจะไปไหวมั๊ยวะ แล้วที่ต้อรอนี่มันซ่อมอะไรตรงไหนวะเนี่ย ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม โอ้ยๆๆๆ

จนในที่สุดสจ๊วตหนุ่มได้ขึ้นมาประจำที่พร้อมกัปตัน อันเป็นสัญลักษณ์ว่าเราคงพร้อมจะเดินทางกันแล้ว

nakoze แทนที่จะดีใจ กลับใจเสียมากกว่าเดิมเพราะยังคิดมากเรื่องความปลอดภัยในชีวิต

กระทั่งเจ้านกเหล็กกางปีกขึ้นฟ้าได้สำเร็จนั่นแหละถึงคลายความตึงเครียดลงไปได้หน่อย

เครื่องบินลำน้อยทะยานฝ่าหมู่เมฆทมึน ที่ดูแล้วน่าจะใหญ่โตกว่าเครื่องบินหลายสิบเท่า

ทุกครั้งที่เสียเครื่องจักรหยุดทำงาน ... มันเป็นจังหวะเดียวกับที่....หัวใจ nakoze หยุดเต้น

คือด้วยความที่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินลำเล็กขนาดนี้มันก็ยิ่งตื่นเต้น

ยิ่งเห็นว่าเครื่องขึ้นไม่ได้ตามกำหนดการ ก็ยิ่งใจเสีย

สุดท้าย nakoze ก็นั่งเครื่องบินจนค้นพบสัจธรรมว่า อันตาบอด จักมองไม่เห็น

อันหูหนวกจักไม่ได้ยินเสียง  อันตาบอดและหูหนวกพร้อมๆกันก็จักไม่เสียว

ดังนั้น nakoze ก็เลยทำการ "หลับ" เพื่อลดความกดดัน

แล้วมันก็ได้ผลจริงๆค่ะท่านผู้ชม nakoze มาตื่นอีกทีนึงตอนเค้าลดระดับเพดานบิน

nakoze ก็เลยตาสว่างขึ้นมา (เพื่อภาวนาขอให้เครื่องลงอย่างปลอดภัย)

และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด เท้าของ nakoze แตะสนามบินได้อย่างปลอดภัย

ว่าแล้ว nakoze ก็ไปลากกระเป๋าคู่ชีพ 2 ใบเขื่องออกไปยังโถงผู้โดยสารขาออก

เพื่อไปสมทบกับเพื่อนๆอีก 5 คนจากมหาวิทยาลัยอื่นที่มาถึงก่อนหน้า

สมมุติชื่อตัวละครนะ ก็มีพี่ลูกเกด แฟนต้า  นีน่า พิมและแทมผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม

พร้อมกับพี่คนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น แล้วบังเอิญเป็น manager McDonald สาขาที่เราทำพอดี

ชื่อพี่เบลล์นามสมมุติ   พี่เบลล์พา nakoze และเพื่อนๆขับรถกลับไปยังที่พักของเราที่เมือง Ames,IA

ระหว่างทาง nakoze ก็ได้ตระหนักถึงสิ่งนึงว่า

เอิ่ม...ข้างทางนี้มีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า ใบหญ้าและต้นไม้

เริ่มทำใจได้ในระดับหนึ่งว่าเมืองเอมส์ที่เราจะไปอาศัยอยู่ 3 เดือนนี้มันคงจะไม่ bling bling เท่าที่คิด





ขับรถไม่นานก็มาถึงเมือง Ames,IA ที่ nakoze จะต้องใช้ชีวิตที่นี่ในช่วงปิดเทอม

พี่เบลล์พา nakoze เข้าไปส่งที่บ้านพัก ซึ่งก็ไม่ใช่บ้านสวยหรูอลังการอะไรหรอก มันคือสิ่งที่เรียกว่า Motel

แต่ nakoze จะเรียกมันว่าบ้าน  เพราะไม่ว่ามันจะเล็ก แคบ เหม็นและเก่าแค่ไหน

แต่มันก็เป็นที่ๆให้ความสุขกับ nakoze ตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่

ด้านล่างนี่ล่ะค่ะ บ้านใหม่ของnakoze

ราคาเบ็ดเสร็จ 3 เดือนรวมทุกอย่างแล้ว $850 แต่ยังไม่รวม deposit $200 ที่จ่ายไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ไทย

มี wireless ให้ใช้ด้วย ความเร็วแจ่มทีเดียว






เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับกลิ่นอับๆปะปนไปกับกลิ่นบุหรี่จางๆ

ผสมกลิ่นฮีตเตอร์ที่คงทำงานมาหนักมาตลอดอายุของมัน

แต่พี่ลูกเกดเล่าว่านี่ยังโชคดีนะเนี่ย เพราะว่าวันที่พี่ลูกเกดมาถึงกลิ่นมันถึงใจกว่านี้เยอะ

พี่ลูกเกดจัดแจงเอาสเปรย์ปรับอากาศมาฉีดบรรเทาไปแล้วรอบนึง

ในห้องของ nakoze มีอยู่ 3 เตียงด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นของพี่ลูกเกด ของแฟนต้าและnakoze

ส่วนพิม นีน่าและแทมนอนอยู่อีกห้องนึงซึ่งก็อยู่ข้างๆกัน ซึ่งภายหลังพวกเราได้ค้นพบวิธีการติดต่อ

พูดคุยผ่านช่องทางพิเศษที่ไม่ต้องเดินออกไปนอกห้องให้ยุ่งยาก

เพียงแค่คุณเคาะผนังห้อง แล้วก็พูดดังๆหน่อย เพียงเท่านี้ห้องของเราก็สื่อสารกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง



เป็นไงคะ ที่พัก nakoze มีเตียงใหญ่ๆนุ่มๆน่านอนมั๊ยล่ะ



ต่อมาก็เป็นมุมทำครัวค่ะ nakoze สอดส่ายสายตาสำรวจห้อง ก็พบว่าในห้องนี้ไม่มีอุปกรณ์ทำอาหารใดๆเลย

เห็นป่ะแบกมาทำไมให้หนักตั้งแต่แรกวะเนี่ย

จะมีก็แต่ตู้เย็นและไมโครเวฟขนาดกระทัดรัดแล้วก็อ่างล้างจาน

พื้นที่ทำอาหารเล็กๆค่ะ



รกไปหน่อยแต่การันตีความอบอุ่นค่ะ !!!

ห้องนอนของพวกเรามีห้องน้ำในตัว แถมที่ดีกว่านั้นก็คือมีอ่างอาบน้ำให้ด้วยล่ะ



อยู่สำรวจห้องต่อได้ไม่นานก็ขอปลีกตัวไปอาบน้ำ หลังจากที่ผิวหนังไม่ได้สัมผัสน้ำมานานกว่า 35 ชั่วโมง!!

อาบน้ำซู่ซ่าชื่นใจเดินออกมาเสร็จ พี่เบลล์ก็ถามว่า nakoze พกขันไปด้วยหรอ 55+

อันนี้เป็น talk of the town มาก....ก็แหม ใช้ขันราดมันสะใจกว่าใช้ฝักบัวตั้งเยอะ

nakoze ใช้เวลาแต่งตัวไม่ถึง 5 นาที ก็พร้อมออกไปเจอหน้านายจ้าง

นายจ้างของ nakoze จะเป็นอย่างไร .....

nakoze จะได้ทำงานตำแหน่งไหน .....

ติดตามชมได้ในตอนต่อไปค่ะ





เวลาที่ต้องรอเปลี่ยนเครื่องไม่ว่าสนามบินไหนก็ตาม ให้คอยเช็ค flight board (ไม่รู้เค้าเรียกอย่างนี้หรือเปล่า)

แปลง่ายๆก็คือบอร์ดที่ใช้ดู flight status , เวลาแล้วก็ gate นั่นแหละ

หมั่นเช็คบ่อยๆ เพราะว่า gate มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

อย่างตอนขากลับ nakoze วิ่งเปลี่ยน gate อยู่ 3 รอบ

ส่วนเพื่อนอีกคนลืมดูของตัวเองมาเห็นว่ามันเปลี่ยน gate ตอนเหลืออีกไม่กี่สิบนาที งานนี้วิ่งตาเหลือก





เรื่องบ้านพักต้องมีการตกลงกันให้แน่ใจกับเอเจนซี่ตั้งแต่อยู่ไทย

ว่างานที่จะไปทำมีการจัดหาที่พักให้หรือไม่ ถ้ามีจะต้องมัดจำเท่าไรและมัดจำนี้จะได้คืนเต็มจำนวนไหม ?

นอกเหนือจากค่าบ้านจะต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และบ้านมีรายละเอียดอะไรบ้าง

มีอินเตอ์เน็ต มีเตาอบ เตาผิง เครื่องครัวอะไรให้บ้างต้องถามให้ละเอียดค่ะ

สำหรับงานในเมืองใหญ่ๆ เช่น NYC, Washington D.C ส่วนมากจะไม่มีบ้านพักให้

การจะเลือกบ้านพัก nakoze แนะนำว่า คุณควรได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองค่ะ

อย่าง nakoze เจอบ้านนึงในอินเตอร์เน็ต ค่าเช่าแค่เดือนละ $350 ตกใจมากเลยค่ะ ถูกดีจริงๆ

ปรากฏว่าพอไปดูสภาพจริงปุ๊ป  อย่าเรียกมันว่าห้องเลยค่ะ

เรียกว่าซอกหลืบที่บังเอิญเตียงมันยัดได้พอดีจะเหมาะสมกว่า

เพราะห้องที่ว่านี้ไม่มีประตูค่ะ มีแค่ผ้าม่านบางๆกั้นระหว่างเสา 2 ต้นเอาไว้

แถมห้องก็รวมหญิงชาย บรื๋อ...ยอมเสียเงินเพิ่มอีกนิดได้ที่พักที่ถูกใจดีกว่าค่ะ





ก่อนจะออกเดินทาง  ส่งเมล์ไปคุยกับนายจ้างให้เรียบร้อยว่านายจ้างจะมารับหรือให้เดินทางไปเอง

บอกวันเวลา ไฟลท์บิน สนามบิน กับนายจ้างให้ชัดเจนที่สุด

ถ้าเดินทางไปเอง ต้องหาตารางรถ  หาวิธีการเดินทางให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

เช่นเดียวกันถ้านายจ้างเอ่ยว่าจะมารับก็อย่าเพิ่งวางใจค่ะ

ต้องหาทางไปเองกันเหนียวเอาไว้ก่อน เผื่อเค้าจะติดธุระกระทันหัน ไม่สามารถมารับเราได้






Create Date : 18 สิงหาคม 2553
Last Update : 22 มิถุนายน 2555 21:15:18 น.
Counter : 2183 Pageviews.

0 comment
◄ Chapter 3 : ตูดบาน at Seattle,USA

แก้ไขเนื้อหา ณ วันที่ 22 Jun 2012


Chapter 3 : ตูดบาน at Seattle,USA


หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินเป็นเวลายาวนานกว่า 11 ชั่วโมง 

ในที่สุด nakoze ก็มาถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว อ๊าาาา...กลิ่นไอของเสรีภาพช่างหอมหวลยิ่งนัก 




เราถึงสนามบิน Sea-Tac Airport , Seattle เวลาประมาณบ่ายแก่ๆ

พอลงเครื่องได้ก็ต้องมาต่อแถวเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง

ครั้งนี้ตื่นเต้นกว่าตอนผ่านด่าน ต.ม ที่เกาหลีมากๆ เพราะว่าจะได้เจอกับเจ้าของภาษาตัวเป็นๆแล้ว

แล้วด้วยความที่อเมริกาเป็นประเทศที่ nakoze คิดไปเองว่าเค้าคงจะเข้มงวดมากๆ

เลยส่งผลให้เกร็งเข้าไปใหญ่  ไม่รู้จะเค้าถามอะไรบ้าง พยายามเคลียหูสุดฤทธิ์

และแล้วก็ถึงคิวของ nakoze เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับ ต.ม ตามลำพัง

ต.ม : สวัสดีครับ (พูดเป็นภาษาไทยซะด้วย)

nakoze : สวัสดีค่ะ (แน่นอนว่าตอบกลับเป็นภาษาไทย)

ต.ม : คุณมาจาก bangkok ใช่ไหม ?

nakoze : ใช่ค่ะ

ต.ม : Can you tell me the whole name of Bangkok ?

nakoze : ( คิดในใจ ซวยแล้วกู!!! นอกจากเอาไว้เล่นตบแปะตอนป.2 แล้วไอ้ชื่อเต็มของกรุงเทพนี่
กูก็ไม่เคยจะใส่ใจมันเล๊ย  เวลาเรียกก็แค่กรุงเทพๆ ใคร๊มันจะไปคิดว่า ต.ม อเมริกาเสือกจะมาถามชื่อเมืองหลวงของประเทศกูซะงั้น)

ต.ม : ...... go ahead

nakoze : okey แล้วก็เริ่มเป็นผีอีตบแปะเข้าสิง ร้องไปตามจังหวะ...กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์   
มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน .... เอ่อ...อะไรยังไงต่อวะคะเนี่ย
ท่านผู้ช๊ม!!! nakoze ลืมเนื้อท่อนต่อไปค่ะ ไปต่อไม่ถูกก็ได้แต่ยืนนิ่ง ใจสั่นตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ....
จนในที่สุดก็ต้องหน้าซีดยอมรับออกไปว่า I'm sorry, I forgot.

ต.ม : คนไทยหรือเปล่า ทำไมถึงพูดชื่อกรุงเทพไม่ถูก (เป็นภาษาไทย)

nakoze : ยิ้มสยามโชว์ฟันขาวสะอาดครบทุกซี่

ต.ม : หัวเราะอย่างสะใจ .... ผมแกล้งคุณเล่น enjoy your trip!

nakoze : อี  #%^7*)#@_!  (แน่นอนค่ะว่าคิดในใจ)


พอผ่านด่าน ต.ม ได้  เพื่อนที่เจอกันบนเครื่องบินก็เดินมาทักว่าเค้าให้ทำอะไร

ทำไมต้องร้องเพลงด้วย แล้วบอกให้ nakoze อายเล่นๆว่า ตอนที่ nakoze ยืนร้องเพลงอยู่นั้น

ต.ม ช่องอื่นๆเค้ามองกันใหญ่  ซ้ำร้ายไอ้พวกเด็กไทยที่รู้ภาษาก็พากันหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล

อื้ม.... nakoze เพิ่งเข้าใจหัวอกแรงงานต่างด้าวที่เค้าบังคับให้ยืนเรียงแถวร้องเพลงชาติไทยก็วันนี้แหละ

แต่!!! นี่มันประเทศมึงไม่ใช่เรอะ!! ให้กูร้องเพลงของชาติกูทำไมกัน !!!




เนื่องจากว่า nakoze ต้องต่อเครื่อง domestic บินไปที่เมือง Des Moines,IA 

ก็เลยต้องไปรับกระเป๋าเดินทาง เพื่อเอาไปโหลดเข้าสำหรับการเดินทาง flight ถัดไป

เสร็จแล้วก็มานั่งรอเวลาที่เดินผ่านไปอย่างช้าๆ เข็มวินาทีค่อยๆกระดิกไปทีละนิดเหมือนถ่านจะหมด


nakoze ก็เดินไปหมายจะโทรศัพท์กลับไทย  แต่...ไม่รู้ทำไม โทรไม่ติดต่อสายไม่ได้


จะเอาโน๊ตบุคมาเล่นก็ ... ที่ชาร์จแบตนางโหลดลงใต้ท้องเครื่องเป็นที่เรียบร้อย

(เห็นไหม..nakoze เป็นคนเจ็บแล้วไม่จำ  อะไรสำคัญๆเม่งโหลดใต้ท้องเครื่องหมด !!)

nakoze กับเพื่อนก็นั่งแกร่วรอ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ... เครื่องลงบ่าย ต่อเครื่องอีกทีตอนบ่ายสอง..เจริญละกู


นั่งหมดอาลัยตายอยากจนเกือบถึงค่ำ ก็เกิดไอเดียแว๊บขึ้นมา !!

ทำไมเราถึงไม่ออกไปทัวร์ Seattle ล่ะวะเนี่ย !! ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว ออกไปสนุกกันดีกว่า

เดินไปเดินมา อาจฟลุคได้เจอกับ Jay Park ก็เป็นได้ (ช่วงนั้นปลื้มแจบอม)


ว่าแล้ว nakoze ก็หันไปหาสมาชิกร่วมภารกิจ ใครจะไปยกมือขึ้นนนนนน !

เอาล่ะนับนะ หนึ่ง ... หนึ่ง ... หนึ่ง ..... สมาชิกร่วมภารกิจพิชิต seattle มีทั้งหมด 1 คนถ้วน

รวมกับ nakoze อีกหนึ่งคน เป็นทั้งหมด 2 คน บร๊ะ !!

แต่ ... ณ จุดนี้ก็ไม่มีอะไรมาฉุด nakoze ได้อีกแล้ว 

ว่าแล้ว nakoze และสหายร่วมสาบานก็เดินไปซื้อตั๋วรถ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ city tour อะไรหรอก

มันเป็นแค่รถบัสเข้าเมืองธรรมดาๆนี่เอง  ค่าตั๋วก็ชิวๆค่ะ $18 พูดไปแล้วน้ำตาจะไหล

อะไรจะแพงขนาดนี้แค่นั่งเฉยๆเข้าเมืองเนี่ยนะ




เวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที ภาพเบื้องหน้าก็เริ่มเห็นตึกสูงใหญ่ของดาวทาวน์ซีแอตเทิล

คุณลุงคนขับรถแกก็ดีใจหาย พยายามจะชวนคุย

จะไม่ชวนคุยก็กระไรอยู่เพราะในรถมีแค่ ... เธอกับเขาและรักของเรา มีกันอยู่แค่ 3 คน โอ้ยโคดวังเวง 

ในที่สุดคุณลุงก็จอดให้ nakoze ลงตรงหน้าโรงแรมอะไรไม่รู้ แล้วก็นัดว่าเดี๋ยวจะมารับกี่โมง 

แล้วก็ปล่อยให้ nakoze เผชิญกับสภาพอากาศโคดหนาว ในเดือนมีนาคมของเมือง seattle ตามลำพัง

และแน่นอนค่ะ สิ่งที่ช่างเจ็บปวดกว่านั้น ...

ไอ้รองเท้าแตะบ้านั่น มันยังคงเป็นคู่เดิมที่ไม่ช่วยให้ตรีนของตรูรู้สึกอุ่นขึ้นมาได้เลย

nakozeกับสมาชิกในทีม ... อย่าเรียกว่าทีมเลยกระดากปากจัง เรียกว่าเราสองคนแทนแล้วกัน

เราสองคนก็เริ่มเดินสำรวจ seattle วูบแรกที่รู้สึก .... มันเงียบมาก

ถ้าไม่มีแสงไฟจากตึก จะนึกว่านี่คือเมืองร้างจริงๆนะเออ  บนถนนคนก็ไม่ค่อยพลุกพล่าน

เราทั้งสองก็เดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอกับร้านรวง เจอกลุ่มวัยรุ่นเดินผ่านไปเป็นกลุ่มๆ

nakoze กำลังจะเดินเข้าไปในร้านที่ชื่อว่า ROSS ดูจากภายนอกเหมือนร้านขายเสื้อผ้าธรรมดา

แต่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าไป คุณเพื่อนก็สะกิดว่าจะเข้าไปซื้อซิมส์โทรศัพท์เสียหน่อย

พอเดินเข้าไปในร้านพนักงานก็ออกมาต้อนรับ ไถ่ถามความต้องการเป็นที่เรียบร้อย

ได้ซิมส์โทรศัพท์ โทรไม่อั้นมูลค่าเดือนละ $65 (แพงขนาดนี้มันก็ยังเอา) แถมมันเหมาจ่ายไป 3 เดือนรวด

ก่อนออกจากร้านเพื่อน nakoze ก็หันไปถามว่า ไอ้ซิมส์เนี่ย เอาไปใช้ที่ Chicago ได้ใช่มั๊ย

คนขายก็ทำหน้างง  ทวนคำซ้ำๆ  ไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ชิคาโก้

เดือดร้อนมาถึง nakoze ต้องใช้สำเนียงกระแดะสุดฤทธิ์

โอ้วววว " ชิ แค๊ โก้วว " ถึงจะพยักหน้าหงึกหงัก say yes ได้เสียที


พอออกจากร้านโทรศัพท์ nakoze ก็เดินเข้าไปดูร้าน ROSS ที่หมายตาไว้

ปรากฏว่ามันน่าสนใจกว่าที่คิดไว้เยอะมากกก  เพราะมันเป็นร้านรวมแบรนด์ที่โล๊ะสต๊อก

ของในร้านก็เป็นสินค้ายี่ห้อดัง  แต่เอามาขายกันถูกมาก

nakoze คว้ากระเป๋าสตางค์ CK มาให้พ่อใบนึง ราคาป้ายเขียนว่า $45

แต่ nakoze จ่ายไปเพียง $12 ขอเสียงปรบมือหน่อยค๊าาาาาาา




ช็อปไปช็อปมาพลิกมาดูนาฬิกาอีกทีก็ได้เวลานัดพอดี

ยืนรอรถไม่นานคุณลุงคนขับคนเดิมก็แวะมาจอดรับเราสองคนขึ้นไป

คุณลุงบอกว่า มาจากรัสเซีย มีญาติเป็นอินเดีย และอยากจะไปอยู่ไทย

บอกว่าไทยแลนด์สวยมากกก แหม่พูดแบบนี้มันน่าให้รางวัล

จะบอกว่าคุณลุงคนขับรถแกใจดีมากจริงๆ เพราะตอนแรกที่ว่าจะเข้าเมืองกะจะไปกันทั้งกลุ่ม

แต่ทีนี้ค่ารถมันโหดเกิน สมาชิกก็เลยหดหายเหลือแค่ 2 หัวเท่าที่เห็น  คุณลุงก็เข้าใจ

บอกว่าเดี๋ยวจะวนรถเข้าสนามบิน จะรับพาเพื่อนมาด้วยมานั่งรถชมเมือง ...

โอ้โห่ ~~~ เอาไปเลย เอาไป ใจเราเอาไปได้เลย

คุณลุงแบบว่าประทับใจมากอ่ะ จนถึงทุกวันนี้ยังคิดถึงแกอยู่เลย

แต่สุดท้ายเพื่อนก็ไม่มีใครขึ้นรถมาด้วย....แต่ก็เข้าใจนะเป็นใครจะไปล่ะ อยู่ดีๆคนไม่รู้จักเดินมาบอกให้ขึ้นรถ

ระหว่างทางกลับคุณลุงก็อารมณ์ดี เพราะมีผู้โดยสารเพิ่มมาอีกเป็นทั้งหมด 6 คนบนรถ

พอผ่านตึกอะไรซักอย่างคุณลุงแกก็เริ่มเล่าว่า นี่..หลานเฮ้ย อย่าผ่านเข้ามาแถวตึกนี้นะ

มันอันตรายมากๆเลยล่ะ  ไอ้เราก็นึกว่า โหย!!ซ่องโจรแน่เลย  นี่แหละมุมมืดของอเมริกา

ไม่ปล่อยให้เพ้อได้นาน คุณลุงแกก็สานต่อ.....มันมีแต่คนไม่ดีอยู่กัน ที่ระแวกนี้

เราก็มั่นใจเลย ซ่องโจรแน่ๆ ซ่องโจรๆๆ

ลุงก็บอกว่า เปล่าลูก ..... มันเป็นคุก ป๊าด...จริงของลุง

เรากลับมาถึงสนามบินตอน 4 ทุ่มกว่า

กะจะมาให้ทัน say goodbye สหายร่วมทีมที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละมุมโลก

nakoze เคว้งคว้างหลุดกลุ่มไปอยู่ Ames,IA คนเดียว 

อีกสองคนได้งานที่ Chicago,IL ส่วน 4 คนที่เหลือกระเด็นไปไกลถึงฟลอริด้าโน้นนนนนน




กำลังจะเริ่มร่ำลากันได้ไม่เท่าไร ก็เห็นกลุ่มเด็กไทยที่นั่งเครื่องมาด้วยกัน วิ่งมาบอกข่าวร้าย

บอกว่า ไฟลท์ที่จะไปฟลอริด้ามันดีเลย์ (หรือcancleนี่แหละจำไม่ได้ละ)

กลายเป็นว่าเครื่องจะออกอีกทีคือพรุ่งนี้เช้า !!!!!!

โอ้โห่....นี่มันซวยซ้ำ ซวยซ้อน ซวยแบบซ่อนเงื่อนเลยว่ะค่ะ 

กลายเป็นจากที่จะได้ไปกลุ่มแรก ต้องนอนรอเป็นกลุ่มสุดท้าย แล้วเข้าใจอารมณ์ป่ะ

คือภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เลิศ  มาต่างประเทศก็เพิ่งมากันครั้งแรก ต้องมานอนคว้างที่สนามบิน

...... มันช่างเจ็บปวด



พอเวลาผ่านไปไม่นาน ก็ถึงเวลาของ nakoze ที่จะต้องเดินออกมาจากไข่ มาเจอโลกแห่งความจริงเสียที

nakoze ก็ร่ำลากลุ่มที่ต้องนอนอยู่สนามบินเสร็จแล้วก็หันหลังเดินจากมา

เข้าไปนั่งรอเวลา boarding ขึ้นเครื่อง .....

เฮ้อ .... Ames,IA จะเป็นอย่างที่คิดไว้มั๊ยหนอ....

ไม่รู้ล่ะ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะสุข จะทุกข์ หัวเราะ สมหวังหรือร้องไห้

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น nakoze จะไม่เสียใจ เพราะนี่คือสิ่งที่ nakoze เป็นคนเลือกเองไม่มีใครบังคับให้มา

โลกแห่ง Work and Travel กำลังรอ nakoze อยู่ข้างหน้า

ตื่นเต้นจังเลย ........





ว่าด้วยการเลือกสนามบิน  เรื่องก็มีอยู่ว่าในการมาประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ถ้าคุณไปเมืองเล็กๆ

แน่นอนค่ะว่าไม่มีเครื่องบินจากไทยไปถึงเมืองนั้นแน่นอน เครื่องบินที่ไม่ใช่สัญชาติอเมริกา

(ไม่ใช่ American airlines , Delta airlines , US airways , United airlines)

เค้าจะจอดส่งแค่ port หลักหรือที่เรียกกันว่า Hub

ซึ่งสนามบินที่เป็น Hub ก็ได้แก่สนามบินที่

Los Angeles , San Francisco , Las Vegas , Seattle , Chicago , Atlanta

Detriot , Dallas , Boston , New York City , Washington DC

แล้วแต่สายการบิน  ว่าจะมี Hub ไหนให้เลือกบ้าง 

ดังนั้นแล้วการมาอเมริกาไม่ใช่ว่าบินตรงมาได้เลย  คือต้องเข้าใจว่าอเมริกาเป็นทวีปและมันใหญ่มาก

การจะเข้าไปเมืองย่อยๆมันต้องต่อเครื่องบินหลายต่อ บางครั้ง 4-5 ต่อก็ยังมี

อย่างไรก็ตาม ตอนจองตั๋วคุณสามารถบอกความต้อการกับเอเจนซี่ได้ว่า คุณต้องการลงที่ Hub ไหน

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือ ถ้าจะไปรัฐทางฝั่งตะวันตก ก็ควรเลือก Hub ที่อยู่ฝั่งตะวันตก

ถ้าจะไปรัฐทางตะวันออกก็เลือกพอร์ต ฝั่งตะวันออก  เอาให้ใกล้ไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องบ่อยๆ

อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ราคาตั๋วเครื่องบินทางฝั่งตะวันตก จะถูกกว่าฝั่งตะวันออกค่อนข้างมาก

อย่างปีที่ nakoze ไปลง Hub ตะวันตก ถูกกว่าตะวันออกอยู่ 6,000 กว่าบาท



และบางทีมีคำถามว่าทำไมตั๋วเครื่องบินไปบางรัฐถึงแพงมากๆเลยล่ะคะ ?

ค่ะก็คือว่าบางเมืองเนี่ย เป็นเมืองที่ประชากรค่อนข้างน้อย

สายการบินคู่แข่งก็ไม่มี ดังนั้นสายการบินก็ไม่จำเป็นที่จะทำโปรโมชั่นล่อตาล่อใจออกมาแข่งกับใคร

มันก็เหมือนกับว่าเอ๊ะทำไม บางสายการบินถึงมีแต่โปรของภูเก็ตกับเชียงใหม่นะ

ทำไมจังหวัดอื่นๆไม่ค่อยจะมีโปรบ้างเลย  นั่นแหละค่ะเหตุผลเดียวกัน

เส้นทางบางเส้น มันเป็นเส้นทางแข่งขัน เค้าเลยดึงลูกค้าให้ได้เยอะที่สุด



และสำหรับคนที่เมล์มาถามเรื่องราคาตั๋วเครื่องบินนะคะ

ก่อนอื่นต้องแจ้งให้ทราบว่าราคาของตั๋วเครื่องบิน จะถูก-แพงอยู่ที่

1. สายการบิน

2. ปลายทาง

3. วันเดินทาง

4. class ของตั๋ว แม้จะเป็น economy เหมือนกันก็ยังแบ่ง sub class ย่อยอีกค่ะ

แต่โดยรวมคร่าวๆแล้ว ถ้าบินไปHubใหญ่ฝั่งตะวันตก ราคาจะอยู่ประมาณ 27,000 - 37,000 บาท

บินไป Hub ใหญ่ฝั่งตะวันออก ก็จะประมาณ 32,000 - 45,000 บาท

แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่มีการต่อ Domestic หรือการต่อเครื่องภายในประเทศ

ราคาตั๋วก็จะอยู่ราวๆ 45,000 - 51,000 แล้วแต่จุดหมายปลายทาง


Smiley คลิกเพื่ออ่านต่อ
Chapter 4 : Ames,IA...ที่รัก

Smileyคลิกเพื่อย้อนกลับ
Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!



Create Date : 18 สิงหาคม 2553
Last Update : 10 กันยายน 2556 20:42:39 น.
Counter : 5907 Pageviews.

0 comment
◄ Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!

แก้ไขเนื้อหา ณ วันที่ 21 Jun 2012


Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!



หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหกชั่วโมง เจ้านกยักษ์ก็เริ่มลดระดับเพดานบิน

ตอนนี้แหละ โอ้แม่เจ้า....ปวดหูมากกกกกก มากจริงๆ

คนที่ไม่เคยปวดหูอาจจะไม่เข้าใจว่ามันปวดมากแค่ไหน

ที่ nakoze เคยนั่งเครื่องบินมาก็ไม่เคยปวดหูแบบนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่หูอื้อ

อาการหูอื้อนี่เกิดขึ้นกับทุกคนแต่อันนี้คืออาการปวดหู ปวดจนลามไปถึงปวดกระโหลก

ปวดกว่าตอนจัดฟันที่หมอฟันดึงฟันเสียอีก ปวดจนน้ำตาแทบจะไหล nakoze ได้แต่นั่งกุมขมับ

รู้สึกถึงเส้นเลือดที่กระตุกตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ .... แหม กลัวเส้นโลหิตระเบิดจะแย่

10 กว่านาที ที่มีอาการนี้ มันเหมือนกับนานแสนนาน

(อันนี้ไม่ได้เวอร์นะ แต่ถ้าเจอจะรู้ค่ะว่ามันทรมานมากจริงๆ)


nakoze ภาวนาให้หายปวดเร็วๆ เพราะไม่เคยเป็น เลยไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร

และแล้วโชคก็เข้าข้าง เมื่อล้อเครื่องบินแตะกับพื้นรันเวย์ อาการปวดหูก็หายไป

ทิ้งไว้แต่ .... สภาวะหูอื้อข้างเดียว ที่ทรมาณกูเหลือเกิน ฟังใครพูดก็ไม่ค่อยถนัด ไม่ค่อยได้ยิน

ขอบคุณนะเกาหลี .... ประสบการณ์ ต้อนรับที่แสนเจ็บปวด

และแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เราพลาดทัวร์เกาหลีตอนเก้าโมง

(ถ้าขึ้น Asiana เค้าจะมี city tour ให้ฟรี สำหรับผู้โดยสารที่มา transit)


ทำไงดีหล่ะกู  nakozeมีเพื่อนอีก 6 คน ที่่พาชีวิตเค้ามาลำบากด้วย

แต่เอาวะ!!! ในเมื่อพลาดทัวร์ กูก็ขึ้นบัสไปเองก็ได้ !!!

ท้ายที่สุดเด็กนอก[นอกประเทศไทย] ทั้ง 7 คนก็เลยตัดสินใจไปเมียงดง  แหล่งช็อปชื่อดังของเกาหลี

ด้วยตัวเอง แผนที่ไม่ต้อง สลิงไม่เอา แสตนอินไม่ใช้  หลงจริง ตายจริง !!




ด่านแรกก่อนจะผ่านเข้าไปลั๊นลาในเกาหลีได้ก็คือ ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เค้าว่าโหดนักโหดหนา

(สำหรับผู้โดยสารสัญชาติไทย สามารถเดินตัวปลิวเข้าเกาหลีได้เลยไม่ต้องขอวีซ่า 

ดังนั้นผู้โดยสารที่มาเปลี่ยนเครื่องก็สามารถออกไปเที่ยวได้   โดยไม่ต้องกลับมาโหลดกระเป๋าอีกรอบ

เพราะกระเป๋าที่เช็คอินมาตั้งแต่ไทย จะถูกเช็คทรูตรงดิ่งไปสหรัฐอเมริการอบเดียวเลย)

ตอนเข้าช่องต.ม  ปรากฏว่า nakoze กรอกเอกสารไม่ครบ

แต่โชคดีตอนนั้นไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ในแถวรอตรวจเข้าเมืองแล้ว

ต.มก็เลยอำนวยความสะดวก ว่าจะต้องกรอกอันไหน ยังไงบ้าง ยืนกรอกอยู่หน้าเคาเตอร์นั่นแหละ

กรอกเสร็จแล้วก็ยื่นให้ต.มแสตมป์ เดินผ่านออกมาจากด่าน อย่างง่ายดาย

ไม่ถามซักคำ ไม่พูด หลับหูหลับตา แสตมป์ให้อย่างเดียว

ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า nakoze มีตั๋วว่ามา transfer เฉยๆ มั๊ง เลยอาจจะง่ายหน่อย

จากนั้น nakoze ก็เดินไปถาม information ว่าจะไปเมียงดง นี่ไปยังไง

ก็ได้ความว่าขึ้นบัสสาย 6015 มันจะไปจอดหน้าเมียงดงเลย

ด้วยความที่ nakoze บ้าเกาหลีอยู่แล้ว (ณ ตอนนั้น) ก็เลยกระตือรือล้นมากเดินอย่างว่อง ออกมานอกสนามบิน

แต่แล้ว !!!!!

........ พอเดินออกนอกตัวอาคารเท่านั้นแหละ เจอลมหนาวเกาหลีพัดใส่หน้าอย่างจัง

โอ้ยเม่งงงงง!!!! จะหนาวไปไหนวะ  แม้วันนี้หิมะไม่ตก แต่ร่องรอยหิมะก็ยังดูหนาอยู่



เหล่าเด็กนอกทั้ง 7 ก็เลยมานั่งรวมกันที่ม้านั่งเพื่อรอรถบัสเข้าเมือง

โดยส่งตัวแทนไปทำภารกิจไปซื้อตั๋วรถบัสมาเรียบร้อย ค่าตั๋วคนละ 10,000 วอน ส่งตรงถึงเมียงดง

จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คอยมาให้ความสะดวก ขอดูตั๋วแล้วก็อธิบายว่าต้องขึ้นคันไหน ยังไง

แถมช่วยถ่ายรูปให้อีกด้วย แหม่...ดีอย่างนี้ใครจะเกลียดเกาหลีได้ลงคอ

นั่งตัวสั่นเป็นลูกแมวตกน้ำกันได้ไม่นานนักรถบัสก็มาถึง



รถบัสใช้เวลาวิ่งชั่วโมงกว่า ก็ถึงเมียงดงจุดที่ลงคือหน้า Sejong Hotel ซึ่งภายหลังได้รู้ว่าจุดนี้มันจะอ้อม

ถ้าจะมาเมียงดงให้ลงตั้งแต่ป้าย Ibis Hotel แต่เมื่อมาแล้วก็แล้วไป

จากหน้าโรงแรม Sejong เราก็เดินเข้าซอยลัดเลาะไปเรื่อย เจอ 7-11 ของเกาหลี แวะซื้อนมกล้วย

ลองพิสูจน์ดูหน่อยซิ๊ ว่าจะสมราคาคุยหรือเปล่า  ซู๊ดด.....อื้ม .... เอ้ย !! อร่อยหว่ะ อร่อยจริงๆ

แต่แล้วนมกล้วยขวดละ1,000 วอนก็ไม่สามารถยื้อเวลาย่อยของกระเพาะอาหารได้นานนัก

พวกเราก็เลยลงความเห็นกันว่า จะไปหาข้าวกินกันก่อน ดั่งคำกล่าวว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

และแล้วเราก็ได้เลือกร้านอาหารบ้านๆร้านนึง เจ้าของร้านเป็นคุณป้าท่าทางใจดี

ส่วนขายอะไร และเมนูอะไรนี่ไม่ต้องพูดถึง  มันมีแต่ภาษาเกาหลี อ่านไม่ออกค่ะ จบ!!

แต่แล้วเมื่ออาหารมาเสริ์ฟ  เราก็ได้ถึงบางอ้อว่าอาหารมื้อแรกในเกาหลีของกูมันคือ "อาหารเวียดนาม"

ก็มันถูกดีนี่นา แถมหน้าตาก็ไม่เหมือนอาหารเวียดนามบ้านเราด้วย

หลังจากสำเร็จโทษเจ้าอาหารตรงหน้าเสร็จ   เราก็ถามเจ้าของร้านว่า department store ไปทางไหน

ด้วยความไม่เคยรู้ว่าเมียงดงมันเป็นยังไง มันขายอะไร ก็เลยจินตนาการว่ามันคงเป็นห้างแบบประตูน้ำล่ะมั๊ง

ปรากฏว่าคุณป้าเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่แกก็พยายามสื่อสาร

ผลสุดท้าย เค้าก็ "อ้อ ดี พาร์ท เม้น ทึ สะ โท" โอ้!!! มันมาแล้วสำเนียงโคลิช (โคเรีย+อิ้งลิช)

เออ ทึ ก็ ทึ วะ กูผิดเองง  ที่สำเนียงไม่เกาหลี

การถามทางจากคุณป้านั้นไม่มีประโยชน์เลย

เพราะสุดท้ายแล้วเราก็เดินไหลตามฝูงชน ไปตามทางเรื่อยๆ

จนในที่สุดเท้าของ nakoze ก็เริ่มไร้ซึ่งความรู้สึก

เฮ้ย!! ทำไมมันชาอย่างนี้  ท่านผู้ช๊มมมมมมมมมมมมมมม

นี่มันเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต  มันเป็นสิ่งที่ nakoze โง่มาก

มันเป็นอะไรที่แบบ ว่าเอ่อ เอิ่ม..... มันเหลือเชื่อจริงๆ

ท่านผู้ชมจำได้ไหม ที่nakoze บอกว่าแวะซื้อรองเท้าแตะที่ seacon square .... นั่นแหละ !!!

nakoze กำลังหนีบรองเท้าแตะย่ำอยู่บนหิมะ !!!!!!  


....... กรอเทปย้อนกลับไปเมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว  ตอน nakoze อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เห้ย...รองเท้าผ้าใบเม่งเทอะทะว่ะ  ร้อนก็ร้อน เดินนิดหน่อยเหงื่อก็ออก เท้าเหม็นอีก

ทำไงดีนะ .... คิดออกแล้ว เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทนแล้วกัน บนเครื่องบินต้องใส่อะไรที่สบายๆ

ว่าแล้ว nakoze ก็เปลี่ยนเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ แล้วเอารองเท้าผ้าใบใส่กระเป๋าเดินทาง

โหลดลงใต้ท้องเครื่องไปเรียบร้อยโรงเรียนเกาหลี ...


โอเคค่ะ ได้โปรดกลั้นเสียงหัวเราะของคุณไว้  ณ จุดๆนี้ nakoze เจ็บปวดมากจริงๆ

จากที่ตอนแรกแค่เย็นเท้า ต่อมามันกลายเป็นเท้าเริ่มชา ไร้ความรู้สึก

จนมาถึงขั้นสุดยอด มันปวดค่ะ   แต่ nakoze จะทำยังไงได้ กลัวว่าเท้าจะตายก็กลัว ปวดก็ปวด

nakoze ก็เลยตัดสินใจ เดินเหยียบเท้าตัวเองไปตลอดทาง เพราะเชื่อว่าถ้ายังเจ็บ ก็แสดงว่ายังมีความรู้สึก



เราเดินช็อปกันชิวๆ จนเวลาประมาณบ่าย 3 ก็ไปขึ้นรถที่จุดเดิม

หยอดเงินใส่กระป๋องด้านหน้าคนขับ มุ่งกลับสนามบินอินชอน เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปยังอเมริกา

พอถึงสนามบินแทนที่จะรีบ  แต่เปล่าเลยค่ะ เรายังไปนั่งกินข้าวต่อได้อีกมื้อนึง

แต่พอกินเสร็จนี่แหละ flight status มันโชว์ว่า final call

โอ้โห!!! นาทีนั้นวิ่งใส่เกียร์หมากันเต็มที่  เฉินหลงชิดซ้าย  อาร์โน ชวานสเนกเกอร์ต้องรีบหลบ

เพราะ nakoze สปีดเร็วกว่านรกเสียอีก

กลุ่มของ nakoze วิ่งมาทันขึ้นเครื่องเป็นคิวท้ายๆพอดี 



พอเครื่องปลดสัญญาณนิรภัย ตาnakozeก็เริ่มปรือเพราะความเพลีย 

จนในที่สุด nakoze ก็เริ่มเข้าสู่โหมดความฝัน นอนกรน ครอกฟี้ ครอกฟี้

เตรียมตัวบินเข้าสู่เขตสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว





อย่างแรกเลยนะคะ nakoze ได้ไปสืบค้นที่มาของอาการปวดหู  และพบว่าสาเหตุหนึ่งของการเกิด

มาจากการที่ก่อนเดินทาง nakoze เป็นหวัดค่ะ!! ไอและมีน้ำมูกไหล 

ซึ่งอาการปวดหูนี้จริงๆแล้วมันมีวิธีบรรเทาค่ะ ลองไปหาอ่านตามอินเตอร์เน็ตดู

ทั้งนี้อาการดังกล่าว nakoze ไม่ได้เกิดทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินนะคะ  ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมา

เคยปวดหูแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว  นอกนั้นแค่หูอื้อตามปกติ ซึ่ง nakoze แนะนำให้พกหมากฝรั่งไปเคี้ยวค่ะ





เวลาขึ้นเครื่องบิน ให้เอาพาสปอร์ตเก็บไว้กับตัวหรือที่ๆสามารถหยิบใช้ได้สะดวก

อย่าเอาขึ้นไปเก็บไว้บน overhead compartment หรือช่องเก็บของเหนือศรีษะค่ะ

เพราะว่าบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องกรอกและดูข้อมูลจากพาสปอร์ตของเราค่ะ





บนเครื่องบินแอร์โฮสเตทจะแจกเอกสาร 2 ชุด

อย่างแรกเป็นเอกสารใบขาเข้า  ส่วนอีกใบนึงเป็นใบสำแดงสิ่งของค่ะ 

ซึ่งใบที่สองนี้ถ้าไม่ได้เอาอะไรที่เค้าห้ามก็ติ๊กที่ช่อง no ให้หมด

ใบแรกจะยื่นให้ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนอีกใบนึงจะไปยื่นให้ตรงด่านศุลกากรค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยยืนเก็บ





อันนี้ Special สำหรับคนอยากแวะ stop over หรือ transfer ที่เกาหลีนะคะ


การที่จะแวะ stop over หรือว่า transfer ที่เกาหลีได้ เราต้องใช้บริการของสายการบิน Asiana airlines(OZ)

หรือว่า Korean air(KE) เท่านั้นค่ะ  สองสายการบินนี้ไม่ค่อยต่างกันมากนักในเรื่องของบริการ

แต่ว่าราคาตั๋วของ OZ จะแพงกว่า KE    อีกทั้ง OZ เทอยังเคยได้รับรางวัล the best airline มาแล้ว

ดังนั้นการันตีเรื่องคุณภาพได้ในระดับหนึ่งค่ะ สิ่งที่ต่างกันของสองสายการบินนี้อีกอย่างนึงก็คือ

ถ้าซื้อตั๋วจาก OZ แล้วมีการรอเปลี่ยนเครื่องนานมากๆ ซัก 5-6  ชั่วโมงขึ้นไป

ทางสายการบินมีทางเลือกให้สองแบบ ก็คือให้ไป city tour ฟรีรู้สึกจะพร้อมอาหารกลางวันด้วย

หรืออีกอันนึงก็คือเปิดห้องในโรงแรมใกล้ๆสนามบินให้พักฟรีระหว่างรอ

ส่วน KE นั้นหรือ กระเสือกกระสนเข้าเมืองเองเถอะ!!!  แต่!!การเข้าเมืองนั้นง่ายมากๆ

เพราะมีทั้งรถ airport bus และ Arex หรือคล้ายๆ airport link บ้านเรานี่แหละค่ะ

การที่เราจะ stop over ได้นั้น โดยส่วนใหญ่เราจะทำตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วค่ะ

ก็คือบอกกับเอเจนซี่ขายตั๋วไปเลยว่า จะแวะ stop over กี่วัน วันไหน ถึงวันไหน

เค้าก็จะจัดการให้เรียบร้อยค่ะ  ซึ่งในกรณีที่คุณมา stop over ค้างคืนนี้

เวลาออกจากเครื่องแล้วผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ คุณจะต้องมารอรับกระเป๋า

แล้วลากกระเป๋าเข้าเมืองติดตัวไปกับคุณด้วย ไม่สามารถเช็คทรูกลับไทยได้

ถ้าไม่อยากลากไปลำบากก็แนะนำให้ไปหาเคาเตอร์รับฝากกันดู

ส่วนถ้าเป็นการ transit , transfer ตอนเช็คอินที่ไทยก็บอกเค้าไปว่าเช็คทรูไปถึงอเมริกาเลย

ทีนี้ไม่ว่าจะเข้าเมืองไปเดินเล่นหรือไม่เข้าเมือง  คุณก็ไม่ต้องพะวงเรื่องกระเป๋า

เดินตัวปลิวเข้าไปช็อปได้เลยค่ะ  แต่ว่า!! อย่าลืมนะคะว่าขากลับจะพกของเหลวขึ้นเครื่องได้

ในปริมาณที่เค้ากำหนด  จะโหลดใต้เครื่องก็ไม่ได้ เพราะไม่มีกระเป๋าค่ะ

อีกในหนึ่งก็ของที่สำคัญๆที่คิดว่าจำเป็นในการเดินเล่น ก็เอาออกมาด้วยค่ะอย่าโง่เหมือน nakoze





เกาหลีช่วงเดือน มี.ค อากาศยังหนาวอยู่ค่ะ ถ้าวัดเป็นเซลเซียสก็จะอยู่ที่เลขหลักเดียว

ดังนั้นเตรียมเสื้อกันหนาวเอาไว้ให้พร้อมค่ะ และที่่สำคัญอย่าเอาเสื้อกันหนาว โหลดใต้ท้องเครื่องเด็ดขาด

เพราะอย่าลืมว่าถ้ามา transit เฉยๆ   เราจะไม่ได้ไปรับกระเป๋าคืนค่ะ

ดังนั้นแล้วรองเท้า ถุงมือ เสื้อกันหนาวจัดให้พร้อมค่ะ  จริงๆแล้วถุงมือถามว่าจำเป็นไหม ?

สำหรับ nakoze นะ   ส่วนตัวเดินไปเดินมาซัก 1-2 ชั่วโมงมันก็ชินเอง

เจ้าบ้านเองเค้าก็แทบจะไม่ใส่ถุงมือเดินไปไหนมาไหนกันหรอกค่ะ


Smiley คลิกเพื่ออ่านต่อ
Chapter 3 : ตูดบาน at Seattle,USA

Smiley คลิกเพื่อย้อนกลับ
Chapter 1 : The Begining Of The Journey



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 10 กันยายน 2556 20:39:14 น.
Counter : 2278 Pageviews.

0 comment
◄ Chapter 1 : The Begining Of The Journey

แก้ไขเนื้อหา ณ วันที่ 21 Jun 2012


Chapter 1 : The Begining Of The Journey



8 มี.ค 2010

16.00 น : เฮ้ย....ไปก่อนนะ เดี๋ยวจัดกระเป๋าไม่ทัน  โชคดีนะเพื่อน ไว้เจอกันใหม่เปิดเทอม

นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ nakoze ได้พูดกับเพื่อน ก่อนจะรีบบึ่งรถ[เมล์]กลับบ้านไปให้ทันจัดกระเป๋า

ให้พร้อมสำหรับการเดินทางก้าวใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า

เนื่องจาก nakoze เป็นคนใจร้อน ก็เลยตัดสินใจจองตั๋วไปอเมริกา 2 วันหลังจากสอบเสร็จ

ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าเม่งโคดกระทันหัน (แต่ปีถัดมาร้ายยิ่งกว่า nakoze บินหลังสอบเสร็จวันเดียว )

ก่อนเดินทางnakozeได้ปริ้นท์ใบcheck listของใช้ที่จำเป็นสำหรับการไปต่างประเทศระยะยาว

ซึ่งก็ช่วยให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะมากมาย 

ต้องขอบคุณใครก็ตาม ที่ช่วยคิด check list นี้ไว้ให้ มา ณ ที่นี้ด้วย





9 มี.ค 2010

nakoze ซึ่งจะต้องเดินทางพรุ่งนี้ กำลังเดินซื้อของใช้ที่โลตัส ซื้อมันเกือบทุกอย่าง

ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าที่พัก จะมีอุปกรณ์ทำครัว หรือเตาแก๊สให้ใช้หรือไม่

แต่ก็เอาวะ ถือคติว่าซื้อแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แต่ไม่ได้ซื้อ






10 มี.ค
2010

7.00 น : กระเด้งตัวลุกขึ้น หน้าตาตื่น ….ชิบหายแล้วกู ยังไม่ได้แลกเงินนี่หว่า

รีบอาบน้ำแต่งตัว ออกไปแลกเงินที่ร้าน super rich แถว Big C ราชดำริ

แลกเงินดอลล่าทั้งหมด ประมาณ 700$ กับเงินวอน อีกประมาณ 250,000 วอน

ทางร้านก็ขอแค่บัตรประชาชน ซึ่งเค้าจะเอาไปถ่ายเอกสาร แล้วเก็บสำเนาไว้

ตอนแลกเงิน nakoze ระบุไปว่า ขอเป็นแบงค์ย่อยบ้าง ไม่งั้นไปถึงที่โน่นมันใช้ยาก

ด้วยความที่ค่าเงินมันใหญ่ ถ้าได้มาแต่แบงค์ร้อยแล้วเอาแซนด์วิชอันละ $5

กว่าจะทอนตังกันได้อีก $95 โอ้ยตายเสียเวลา

มันเหมือนเอาแบงค์พันไปจ่ายค่ากับข้าว 20 บาทนั่นแหละ


11.00 น : หลังจากนั่งรอแลกเงินนานมากกกก จนนึกว่าจะไม่ได้ซะแล้ว

ก็เพิ่งนึกขึ้นได้อีกรอบ …. ตายหล่ะหว่า นี่กูยังไม่ได้ซื้อถุงมือกันหนาวเลย

ก็รีบจ้ำไป platinum เดินเลือกถุงมือจนเกือบบ่าย  ก็ได้ถุงมือไหมพรมสีหวานมาคู่นึง

ซึ่งตอนนี้ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ก็ต่างกระหน่ำโทรมาเร่งให้รีบกลับบ้านได้แล้ว

เพราะกระเป๋าเดินทางที่ยังจัดไม่เสร็จ ทำให้ทุกคนในบ้านนั่งลุ้น 

ว่ากระเป๋ามันจะได้จัดเสร็จก่อนไปมั๊ยและมันจะน้ำหนักเกินหรือเปล่า ?


21.30 น : กระเป๋าใบเขื่องทั้งสองใบ ก็ถูกยกขึ้นรถแทกซี่ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ


………………………………………………………………………………


การเดินทางผ่านไปเกือบราบรื่น 

ถ้า.....nakoze ไม่บังเอิญนึกออกว่า ไม่มีรองเท้าแตะเอาไว้ใส่เล่นที่อเมริกา

พี่คนขับแท็กซี่ก็ดีใจหาย  ได้ยินเราคุยกันก็รีบพาแวะไปซื้อที่ seacon square

จากนั้นก็รีบพา nakoze ที่จะตกเครื่องแหล่ ไม่แหล่ไปที่สนามบินโดยไว

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสุวรรณภูมิ กะว่าไปทันเช็คอินแล้ววิ่งสู้ฟัดเข้าเช็คอินได้พอดีเวลา

แต่แล้ว .... สวรรค์ก็กลั่นแกล้งคนที่เกลียดการรอคอยอย่าง nakoze

เมื่อ flight status ขึ้นโชว์ว่า .... ตึ่ง ตึง ตึง ตึ๊ง

ไฟล์ OZ xxx มุ่งหน้าสู่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้

ไฟลท์ได้ดีเลจาก ตีหนึ่งสิบห้า เปลี่ยนเป็น ตีสองสี่สิบ ......

(อย่าเพิ่งงงค่ะว่า nakoze จะไปอเมริกาหรือเกาหลีกันแน่ 
nakozeจะไปอเมริกาค่ะ แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่าถ้าไปอเมริกาโดยสายการบิน Asiana airlines
หรือ Korean air จะต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีก่อนค่ะ)

.
พอประมาณ 5 ทุ่ม หลาน[ที่มาส่งด้วย] ก็เริ่มร้องไห้ด้วยความงอแงตามประสาเด็ก

แน่สิ มันเพิ่งสามขวบกว่าเองนี่หว่า  พ่อ แม่ พี่สาว ก็เลยต้องกลับก่อนเพื่อพาหลานไปนอน

อ้าว !!! เฮ้ย !! แบบนี้ก็เท่ากับพ่อไม่ได้อยู่รอส่ง แบบในหนังเรื่องกาลิเลโอเลยอ่ะดิ 

โห่ อยากทำมั่ง ฉากที่ต่ายวิ่งเข้าไปกอดพ่อหน่ะ อยากทำ ๆๆๆ

หลังจากเว้าวอนอยู่คนเดียวจนพบว่าไม่สำเร็จแล้ว

nakoze ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ รอขึ้นเครื่องโดยไม่มีครอบครัวมาส่งเหมือนคนอื่นๆเค้า TT^TT

เวลาประมาณ เกือบตีสอง ก็ได้เวลา boarding ขึ้นเครื่อง

( ตอนนี้แอบสะใจคนอื่นที่ร่ำลาญาติมิตรเล็กน้อย เอาวะ!! ช้าหรือเร็วก็ต้องไปอยู่ดี

กูบอกลาเร็วกว่า ทำใจได้นานกว่า ฮ่าๆๆ )




และแล้วเครื่องบินลำโตของสายการบินAsiana  ก็ทะยานฝ่าความมืดมิด

มุ่งไปสู่สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ปลายทางแรกของเรา


.... เกาหลีจะเป็นยังไงน๊าาา  ตื่นเต้นจัง


Smiley คลิกเพื่ออ่านต่อ
Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 10 กันยายน 2556 20:36:37 น.
Counter : 2871 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments